โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ – ตอนที่ 575 – อุ่นเครื่อง

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ

“หึ!” ฉินเฟิงฉีกยิ้มกะทันหัน การแสดงออกทางสีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ยืดอกเชิดศีรษะ ท่าทีราวกับกำลังเผชิญหน้าศัตรูคู่อาฆาต

“แกมาจากองค์กรมืดใช่ไหม? ถ้าอยากจะแตะต้องแฟนฉัน ก็ต้องมาลองดูกันว่ามีความสามารถพอรึเปล่า!”

ฉินเฟิงชูกำปั้นขึ้น ทำทีราวกับนักเลงหัวไม้

เฮยฉงหัวเราะเสียงดัง ทว่าใบหน้ากลับดูน่าเกลียดยิ่ง

จางชวนเกิดความรู้สึกกังวลในใจ แต่อาศัยเพียงความแข็งแกร่งของเขา มันไม่มากพอที่จะเข้าแทรกแซง ดังนั้นทำได้เพียงส่งสายตาแปลกๆเป็นเชิงเตือนให้แก่ฉินเฟิง

ฉินเฟิงย่อมมองเห็น แต่แสร้งทำเป็นไม่ใส่ใจ นี่เล่นเอาจางชวนปวดหัวนัก

“มิสเตอร์เฮยฉง ดูๆไปแล้วทั้งสองคนนี้แต่งตัวไม่ธรรมดา บางทีพวกเขาอาจมาจากเมืองใหญ่ หรือมีภูมิหลังไม่ธรรมดา คุณแค่สั่งให้พวกเขานำของมีค่าออกมา แล้วปล่อยไปก็พอ” จางชวนโน้มน้าว

“มีภูมิหลังไม่ธรรมดา? แต่ดันมาอยู่ในที่เล็กๆแบบนี้ เหอะ! อย่าพูดดีกว่า ต่อให้มันเป็นลูกหลานของตระกูลใหญ่จริงๆ แต่มาเหยียบในถิ่นฉัน ถึงเป็นมังกรก็ต้องยอมสยบ เป็นเสือก็ต้องหมอบกรานแก่บิดา!”

มือใหญ่ของเฮยฉงผลักจางชวนออกไปด้านข้างด้วยเรี่ยวแรงมหาศาล

เฮยฉงเป็นมือปืนแน่ๆ แต่ท่ามกลางที่ราบที่เต็มไปด้วยหิมะแห่งนี้ อย่างไรย่อมมีสมบัติฟ้าดินถูกฝังอยู่ใต้มัน ตราบใดที่หาพบ การจะติดปีกทะยานสู่ฟากฟ้า ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ และเฮยฉงได้ค้นพบสมบัติมากมาย ดังนั้นความแข็งแกร่งทางกายภาพของเขาไม่เลวร้ายไปกว่าผู้ใช้วรยุทธโบราณเลย กระทั่งตนเองยังรู้สึกภูมิใจกับสิ่งนี้

ในเวลานั้นเอง จู่ๆผู้ดูแลหญิงที่น่าจะเป็นภรรยาเจ้าของโรงแรมก็ตะโกนขึ้นมาว่า “บอสเฮยฉง เด็กคนนั้นมีสมบัติติดตัวจริงๆ! เมื่อวานเขาจ่ายค่าเช่าห้องเป็นข้าวถึง 10 ปอนด์!”

ไป๋หลีหันขวับไปมองภรรยาเจ้าของด้วยความตกใจ ขมวดคิ้วเล็กน้อย ตำหนิอย่างโกรธเคือง “ทำไมคุณต้องไปบอกมันด้วย?”

ไป๋หลีไม่เข้าใจความคิดของภรรยาเจ้าของ แต่ฉินเฟิงตระหนักดีว่าเธอคิดอะไรอยู่ คงไม่พ้นเป็นเพราะฝีมือของเจ้าของโรงแรมเมื่อวานนี้

‘อย่าไปสนใจผู้หญิงคนนั้นเลย’ ฉินเฟิงถ่ายทอดเสียงส่งผ่านพลังสมาธิแก่ไป๋หลี

ฉินเฟิงจะไม่ทราบได้อย่างไร ว่าผู้หญิงคนนี้ เพียงเพราะเธอซ่อนถุงข้าวเมื่อวาน ผลลัพธ์เลยกลายเป็นถูกหลี่ฉีทุบตี เธอไม่รู้สึกตัวสักนิดว่าตัวเองก็มีส่วนผิดเหมือนกัน ทั้งยังนำความไม่พอใจทั้งหมดนี้ มาลงกับฉินเฟิง

แน่นอน นอกจากนั้นแล้ว ยังเป็นเพราะเธอต้องการสร้างความสัมพันธ์กับเฮยฉงด้วย เธอคงคิดว่าหลังจากเปิดโปงฉินเฟิง จะได้รับรางวัลหรืออื่นๆ

ความคิดไร้สมองเช่นนี้ ช่างชวนให้ผู้คนรู้สึกอยากหัวเราะเยาะซะจริง

นี่ล่ะหนอคนธรรมดาที่ไม่รู้จักโลกของผู้ใช้พลัง

แต่สิ่งที่เฮยฉงสนใจ หาใช่ถุงข้าวไม่ เขากำลังคิดว่าบนร่างของฉินเฟิง จะต้องมีชุดต่อสู้ที่ทำจากหนังสัตว์ร้ายคุณภาพสูงอยู่แน่ๆ มันถึงทำให้หนูด้ายเงินตกใจกลัวขนาดนี้

นี่เองคือสาเหตุหลักที่ทำให้เฮยฉงคิดต่อสู้ ส่วนไป๋หลีเป็นเรื่องรองที่บังเอิญเจอเท่านั้น

“หยุดพูดไร้สาระกันซักที เจ้าหนู แกจะกระดูกแข็งสักแค่ไหน ฉันเองก็ชักอยากเห็นแล้วเหมือนกัน!”

ขณะกล่าว เฮยฉงย่ำเท้าตรงเข้ามาไม่กี่ก้าว ก็ถึงตัวฉินเฟิง ซัดหมัดเข้าใส่หน้าเขาทันที

ฉินเฟิงหลบเลี่ยงอย่างคล่องแคล่ว กำปั้นของเฮยฉงแม้รุนแรงแต่สุดท้ายกินลม ไม่สามารถเข้าถึงตัวฉินเฟิงได้เลยสักหมัดเดียว นี่ทำให้หัวใจเขาเริ่มรู้สึกกังวล สีหน้าเองก็เริ่มดูน่าเกลียดขึ้นเรื่อยๆ

“ระยำเถอะ!” เฮยฉงสบถสาปแช่ง วินาทีนั้นพลิกข้อมือ ปากกระบอกปืนโผล่ออกมาทันใด เล็งเป้าไปยังฉินเฟิง

“หลบเก่งนักใช่ไหม งั้นคราวนี้ขอดูหน่อยซิ ว่าแกยังจะหลบได้รึเปล่า!”

ยังไม่ทันสิ้นเสียง ปากกระบอกปืนก็สาดสะเก็ดไฟออกมาแล้ว

ปัง!

เสียงปืนดังกระหึ่ม ตลอดทั้งหมู่บ้านเงียบงัน ทุกคนซ่อนตัวอยู่ในความมืดด้วยความหวาดกลัว ไม่ต่างจากกระต่ายในโพรงที่อาจถูกงูเลื้อยเข้ามาฉกได้ทุกเวลา

แค่ไม่รู้ว่าในเวลานี้ เป็นกระต่ายตัวใดที่ถูกงูเขมือบลงท้อง!

ขณะเดียวกัน ภายในโรงแรม ฉินเฟิงมือข้างหนึ่งขึ้น โดยระหว่างนิ้วกลางกับนิ้วชี้ มันคีบลูกกระสุนปืนที่ดูบิดเบี้ยวเอาไว้อย่างพอดิบพอดี

นี่คือลูกกระสุนที่เฮยฉงยิงออกมา

ฉินเฟิงบิดสองนิ้วของเขา ไม่มีผู้ใดทันมองเห็น รู้สึกตัวอีกทีกระสุนปืนก็กลายเป็นเถ้าถ่าน ร่วงกราวลงกับพื้น

บรรดาฝูงชนในเหตุการณ์ อ้าปากค้างกลายเป็นโง่งม

ในขณะที่สีหน้าของฉินเฟิง กลับยังคงเยือกเย็นและเรียบเฉย คู่ดวงตาของเขากลายเป็นสีดำสนิท กลิ่นอายเล็ดลอดออกมาเล็กน้อย แต่มันก็มากพอที่จะให้อีกฝ่ายรู้สึกขนลุก และตระหนักได้ว่าเขาแข็งแกร่งกว่าทุกคนในที่นี้

“โอเค อุ่นเครื่องจนพอใจแล้ว” ฉินเฟิงกล่าว

อุ่นเครื่องงั้นหรอ? ที่หลบเลี่ยงได้ทุกหมัด รวมไปถึงคีบกระสุน ทั้งหมดนั่นคืออุ่นเครื่อง?

แม้ทั้งหมดจะยังไม่ทันตระหนักถึงความหมายในคำพูดของฉินเฟิง แต่เฮยฉงเป็นคนแรกเลย ที่รู้ว่าชิบหายแล้ว

ไม่ว่าจะนิ้วคีบกระสุน หรือถูสองนิ้วเพียงเล็กน้อยก็เปลี่ยนกระสุนกลายเป็นขี้เถ้า มองยังไงก็มีเพียงผู้ใช้วรยุทธโบราณระดับสูงเท่านั้นถึงสามารถทำได้

“แก .. แกหมายความว่าอะไร? แกเป็นใครกันแน่!”

เฮยฉงหวาดกลัวจนพูดติดๆขัดๆ

ฉินเฟิงยิ้ม “ฉันหรอ? ฉันก็เป็นแค่นักท่องเที่ยวจากนอกเมืองไง”

ความตื่นตระหนกปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเฮยฉง แน่นอน นั่นไม่ใช่สิ่งที่เขาอยากรู้ มันคือคำถามที่ต้องการคำตอบเรื่องความแข็งแกร่งของฉินเฟิงต่างหาก

แต่เห็นได้ชัด ว่าฉินเฟิงไม่คิดเอ่ยมันออกมา

และในตอนนั้นเอง ฉินเฟิงสะบัดนิ้วของเขา ทันใดนั้นเปลวเพลิงสีดำพลันปรากฏขึ้น และลอยเข้าหาเฮยฉงในพริบตา

“ผู้ใช้อบิลิตี้!!”

เฮยฉงร้องอุทาน ดวงตาของจางชวนเบิกกว้าง ในขณะที่มือปืนคนอื่นๆต่างนิ่งค้างด้วยความหวาดกลัว

มือปืนเหล่านี้ มิได้แข็งแกร่งอะไร พวกเขาเป็นเพียงคนธรรมดาที่ได้รับการฉีดยาปลุกพลัง เป็นคนธรรมดาที่ครอบครองอาวุธปืน หากไม่ใช่เพราะได้ฝึกพลังสมาธิมาเล็กๆน้อยๆ แล้วทำพันธสัญญากับหมีหิมะ พวกเขามีหรือจะกล้ารังแกผู้คนถึงจุดนี้ หากให้เอ่ยถึงประสบการณ์ต่อสู้ แท้จริงแล้วไม่มีเลย

ณ ตอนนี้ พวกเขาทั้งหมดต่างตกใจกับเปลวเพลิงขนาดเล็กของฉินเฟิง ไม่แม้จะควักปืนขึ้นมาขัดขวาง

เปลวเพลิงแม้จะดูเล็ก แต่หลังจากตกลงบนร่างเฮยฉง มันกลับลุกโชนเป็นกองไฟ!

“ไม่!!” เปลวเพลิงลุกชน เปลี่ยนเฮยฉงกลายเป็นคนไฟลุก เจ้าตัวกรีดร้องด้วยความหวาดกลัว ไล่ตบๆเปลวไฟตามตัวอย่างบ้าคลั่ง

แต่เห็นได้ชัดว่ามันไม่ได้ผล

“ออกไป ออกไปให้พ้น!”

เฮยฉงวิ่งแหวกกลุ่มลูกน้องของเขา ตรงออกไปข้างนอก ทิ้งตัวลงกับพื้นดินที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ แล้วเริ่มกลิ้งม้วนไปมาปรารถนาจะดับไฟบนร่างกาย

อย่างไรก็ตาม เปลวเพลิงนี้ จะไปดับลงง่ายๆได้อย่างไร? มันคือเพลิงโลกันต์ของฉินเฟิงเชียวนะ!

ระหว่างนั้น ฉินเฟิงก็เดินตามออกมาภายนอก

มือปืนที่เหลืออยู่ 11 คนจ้องมองฉินเฟิงตาไม่กระพริบ ทุกหนึ่งก้าวของฉินเฟิง พวกเขาจะถอยหลังไปสามก้าว สุดท้ายพากันวิ่งหนีออกจากโรงแรม

ฉินเฟิงยืนอยู่หน้าประตูทางเข้า เฝ้ามองเฮยฉงกลิ้งที่ในเปลวเพลิง ก่อนจะยกมือขึ้น เปลวเพลิงราวกับมีชีวิต พวกมันทั้งหมดลอยออกจากตัวของเฮยฉง ปัจจุบันเสื้อผ้าอีกฝ่ายได้กลายเป็นตอตะโก ทว่าช่างน่าฉงนที่ตามผิวหนังกลับไม่พบรอยไหม้เลย

เมื่อไฟสงบลง เฮยฉงจึงค่อยมีเวลาหยุดมองตนเอง เขาทั้งตื่นตระหนกและหวาดกลัวถึงขีดสุด เหงื่อเย็นปกคลุมทั้งสรรพางค์กาย

‘อ้าว? นี่ฉันยังไม่ตาย? เป็นไปได้อย่างไรกัน ก่อนหน้านี้มันเจ็บปวดมากแท้ๆ … หรือว่าอบิลิตี้ของเจ้าหนูนั่นจริงๆแล้วอ่อนแอ?’ เฮยฉงมองฉินเฟิงด้วยความสับสน ทั้งยังไม่แน่ใจ ไม่รู้ว่าตนควรจะทำอย่างไรต่อไปดี

ขณะเดียวกัน ฉินเฟิงยกมือขึ้น และเปิดใช้การทักษะลับกลืนดารา ใช้พลังเพียงหนึ่งส่วนพัน ส่งเฮยฉงลงไปกลิ้งบนพื้นหิมะอีกรอบ

แต่แล้ว หน้าผากของฉินเฟิงก็เริ่มยับย่นเล็กน้อย

“ไม่มี?”

การที่ฉินเฟิงปล่อยให้เฮยฉงโอ้อวดพลัง แน่นอนมิใช่เพราะเขาต้องการเล่นบทหมูกินเสือ แต่เขาต้องการให้เฮยฉงปลดปล่อยพลังของมันออกมา และระหว่างเคลื่อนไหว ก็คอยสังเกตตรงต้นคอของอีกฝ่าย แต่กลับพบว่ามันไม่มีรอยสักขององค์กร Z

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ

Status: Ongoing
ยุคมืดได้มาเยือน รอยแยกมิติปรากฏขึ้นบนผืนโลก เหล่าสัตว์ร้ายเข้ามารุกราน สัตว์ป่าเองก็เริ่มกลายพันธุ์ ส่งผลให้ทุกสิ่งพลิกตลบ มนุษย์ที่เคยยืนอยู่บนจุดสูงสุดตลอดมา กลับกลายเป็นสิ่งมีชีวิตต่ำสุดในห่วงโซ่อาหาร …ร้อยปีต่อจากนั้น จึงได้ถือกำเนิดสามอาชีพหลักที่ใช้ต่อกรกับพวกที่กล่าวมาข้างต้นขึ้น อันได้แก่ ผู้ใช้อบิลิตี้ , ผู้ใช้วรยุทธ และมือปืนขึ้น‘ฉินเฟิง’ เด็กกำพร้าที่เกิดในช่วงยุคมืด ได้ถูกลักพาตัวไปในวันที่เขาสามารถปลุกอบิลิตี้ของตนเองให้ตื่นขึ้น ถูกจับไปทรมานทดลอง แต่สุดท้ายก็รอดหนีรอดมาได้ และใช้ชีวิตยาวนานกว่า 10 ปี และหลังจากนั้นเอง ในช่วงโลกาวินาศของเผ่าพันธุ์มนุษย์ เขาก็ได้กลับไปเกิดใหม่อีกครั้ง!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท