สืออีเหนียงก็กังวลอยู่เล็กน้อย เมื่อปีที่แล้วมีฝ่ายตุลาการฟ้องร้องสกุลขุนนางเนื่องจากครอบครองที่นาเป็นการส่วนตัว สกุลโจวก็อยู่ในรายชื่อเช่นกัน ฮ่องเต้มีรับสั่งให้สกุลขุนนางชั้นสูงเหล่านี้เวนคืนที่ดิน และเรียกพวกเขาเข้าวังมาเพื่อตักเตือน อย่างไรก็ตามยังมีพระญาติของฮ่องเต้บางคนที่ละเมิดกฎ ใช้ที่ดินผืนเล็กคืนแทนที่ดินผืนใหญ่หรือไม่ก็ปกปิดจำนวน เฉินเก๋อเหล่าเขียนหนังสือถึงฮ่องเต้ ขอให้ฮ่องเต้นำที่ดินทางการที่เหล่าขุนนางดูแลนั้นชดเชยเป็นเงินกลับคืนมา และให้เป็นหน้าที่ของราชสำนักที่จะจ่ายเงินประจำปี
เนื่องจากเรื่องนี้เกี่ยวข้องกันอย่างกว้างขวางเกินไปและเป็นเรื่องใหญ่ เมื่อมาถึงท้ายปี ฮ่องเต้ก็ใช้ข้ออ้างว่าต้องฉลองตรุษจีนจึงยังไม่ให้คำตอบ
โจวซื่อเจิงเคยมาหาสวีลิ่งอี๋ด้วยเหตุนี้ “…ถ้าไม่มีที่นาแล้ว พึ่งพาเพียงเงินที่ราชสำนักจ่ายให้ประจำปี เมื่อถึงเวลานั้นพวกเราจะไม่ต้องเอาแต่ทำตามความต้องการของกระทรวงครัวเรือนกับกรมราชกิจภายในหรอกหรือ เจ้าก็รู้ว่าในบรรดากระทรวงครัวเรือนเหล่านั้น ตำแหน่งไม่ใหญ่แต่สวัสดิการกลับดีมาก เมื่อถึงเวลานั้นก็จะบอกว่า ‘คลังว่างเปล่า ไว้ค่อยให้ในเวลาที่เหมาะสม’ พวกเราก็ต้องจ่ายเงินเล็กน้อยให้คนเหล่านี้ เรื่องเงินเป็นเรื่องเล็ก แต่เกรงว่าศักดิ์ศรีของสกุลขุนนางชั้นสูงจะไม่เหลือแล้ว…ท่านโหว จะให้เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นไม่ได้ เจ้าจะต้องคัดค้านให้ถึงที่สุด”
หากนำที่ดินที่พระราชทานให้กลับคืน สกุลสวีก็สูญเสียไปไม่น้อยเช่นกัน ไม่ต้องพูดถึงที่ดินสองแห่งจำนวนหนึ่งหมื่นหมู่ที่ฮ่องเต้องค์ก่อนมอบให้ไท่ฮูหยิน แม้แต่สนามม้าในเมืองเป่าติ้งก็เป็นที่ดินพระราชทาน
ก้อนหินก้อนเดียวสร้างระลอกคลื่นนับพันระลอก ยิ่งไปกว่านั้นยังเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ส่วนตัว สวีลิ่งอี๋ได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนี้มานานแล้ว ยิ้มอย่างลำบากใจ “รอดูความเห็นของฮ่องเต้ก่อนแล้วค่อยว่ากันเถิด!”
เมื่อโจวซื่อเจิงเห็นว่าเขาไม่ได้กระตือรือร้นมากนักก็ค่อนข้างไม่พอใจ “ท่านโหว นี่ไม่ใช่เพียงเรื่องของสกุลเราอย่างเดียว เจ้าอย่าทำให้ทุกคนหมดกำลังใจ”
เขาพูดราวกับว่าทุกคนล้วนทำตามคำสั่งของสวีลิ่งอี๋เท่านั้น
“หรือว่าข้าไม่ได้อาศัยที่ดินพระราชทานในการใช้ชีวิตอย่างนั้นหรือ” สวีลิ่งอี๋ขมวดคิ้ว “นี่ก็พึ่งจะเปลี่ยนปีรัชศก ฮ่องเต้คิดอย่างไร ในใจข้าไม่อาจรู้ได้เลยแม้แต่นิดเดียว ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาอาศัยความกล้าบ้าบิ่นในการกระทำสิ่งต่างๆ!”
“มิเช่นนั้นข้าจะมาปรึกษากับเจ้าทำไมกัน!” โจวซื่อเจิงเบิกตากว้าง “เมื่อสองวันก่อนฮ่องเต้ยังเรียกข้าเข้าวัง พูดไปพูดมาก็ล้วนเป็นเรื่องที่เจ้าปิดบังซ่อนเร้นความสามารถเมื่อหลายปีที่ผ่านมา เรื่องล้อมรอบดินแดน นอกเหนือจากสกุลที่ยากจนไม่กี่สกุลแล้ว ในเยี่ยนจิงก็มีสกุลของเจ้าและสกุลของเจ้าเด็กเว่ยเป่ยโหวผู้นั้นที่ไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้อง ให้ข้าเรียนรู้จากเจ้า คนอื่นข้าไม่สนใจ ข้าจะทำตามความต้องการของเจ้า!”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นเจ้ายังมีอะไรต้องกังวลอีก” สวีลิ่งอี๋ยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าก็แค่คอยอยู่ใกล้ๆ ข้าก็พอแล้ว!”
“จะไม่ให้ข้ากังวลได้อย่างไร” โจวซื่อเจิงพูดพึมพำ “คนอื่นไม่รู้เรื่องในสกุลของพวกเจ้า ข้าก็ยังไม่รู้ว่าสกุลของพวกเจ้ามีที่ดินที่ได้รับจากความดีความชอบมากมาย ซ้ำยังมีที่ดินพระราชทานในวันเกิดของไท่ฮูหยิน เมื่อถึงเวลานั้นสามารถเปลี่ยนเป็นที่ดินที่ได้รับจากความดีความชอบได้ ไม่ว่าอย่างไรฮ่องเต้ก็คงไม่สามารถเอาที่ดินที่ได้รับจากความดีความชอบของสกุลพวกเจ้าคืนได้หรอกกระมัง ยิ่งไปกว่านั้นเจ้ายังมีบารมีในกองทัพ คงจะมีเงินหนึ่งแสนตำลึงต่อปีใช่หรือไม่ ทำไมข้าจะไม่อยากเอาทองมากองตรงหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ แต่ข้าก็ต้องมีทองก่อนจึงจะทำได้ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น จนถึงตอนนี้นายหญิงเฒ่าหลายคนตั้งแต่รุ่นท่านปู่ของข้าก็ยังต้องแจกเงินกิตติมศักดิ์สามร้อยตำลึงทุกปี คงจะให้มาจบลงในมือข้าไม่ได้หรอกกระมัง ชื่อเสียงในด้านนี้ข้าแบกรับไม่ไว้หรอก” พูดจบก็ยังหงุดหงิดอยู่ เรียกเติงฮวา “ไปบอกกับคนครัวสกุลพวกเจ้าว่าข้าจะอยู่ทานอาหารที่นี่ เอาหอยเป่าฮื้อนึ่งมาให้ข้าก่อน แล้วค่อยตามด้วยหูฉลาม ผัดปลิงทะเล หมูหัน แพะย่าง…”
การกล้าที่จะนอนบนเก้าอี้จุ้ยเวิงที่สวีลิ่งอี๋ชอบนอนแล้วสั่งอาหารเหล่านี้ แสดงให้เห็นถึงมิตรภาพระหว่างโจวซื่อเจิงกับสวีลิ่งอี๋ เติงฮวาไม่พูดอะไรสักคำ ขานรับอย่างนอบน้อม ทบทวนอาหารที่โจวซื่อเจิงสั่งเพื่อยืนยันว่าไม่มีอะไรผิดพลาด จากนั้นก็ก้มหน้าแล้วถอยออกไป
สวีลิ่งอี๋ยิ้มแล้วพูดว่า “ข้ายังมีสุราจินหวาชั้นดี เอาสักไหหรือไม่”
“แน่นอนว่าต้องเอามาสักสองสามไห!” โจวซื่อเจิงพูดอย่างไม่เกรงใจ “ไม่เพียงเท่านี้ เอาชาเหล่าจวินเหมยที่ฮ่องเต้ทรงมอบให้ไท่ฮูหยินในช่วงตรุษจีนแอบออกมาชิมสักหน่อย!” เขาพูดพลางลูบพุงที่ยื่นออกมาเล็กน้อย “ทานอาหารบำรุงเช่นนี้ จะให้ดื่มชาธรรมดาอย่างหลงจิ่งกับชาอู่อี๋ได้อย่างไร!”
สวีลิ่งอี๋หัวเราะลั่น “เจ้าคิดว่าตัวเองยังเป็นเด็กอยู่หรืออย่างไร มีหน้ามาพูดว่า ‘แอบเอาออกมาชิม’ อีก” พูดพลางกำชับบ่าวรับใช้ที่อยู่ข้างๆ “ไปบอกไท่ฮูหยินว่าคุณชายสามสกุลโจวมา ต้องการจะขโมยดื่มชาเหล่าจวินเหมยของท่าน”
ไม่นานบ่าวรับใช้ก็มาพร้อมกับยกไหลายครามพื้นสีขาวลายสีน้ำเงินเข้ามา “ไท่ฮูหยินบอกว่าให้เอานำกลับไปให้ใต้เท้าโจวชิมด้วยขอรับ”
โจวซื่อเจิงรับมาด้วยรอยยิ้ม
อาหารหนึ่งมื้อทานจนพระจันทร์ลอยอยู่เหนือยอดต้นหลิ่วจึงได้บอกลา
สืออีเหนียงปรนนิบัติสวีลิ่งอี๋เปลี่ยนเสื้อผ้า “ท่านโหวเป็น ‘เทวดาตีกัน มนุษย์โลกรับกรรม’ หรือเจ้าคะ”
“เทวดาตีกัน มนุษย์โลกรับกรรม!” สวีลิ่งอี๋พูดพึมพำประโยคนี้ซ้ำสองรอบ ยิ้มแล้วพูดว่า “สองประโยคนี้ของเจ้าใช้ได้เหมาะสมมาก” จากนั้นก็โบกมือส่งสัญญาณว่าไม่ต้องเปลี่ยนเป็นชุดเต้าผาวเหมือนทุกวัน เขาสวมชุดลำลองนั่งอยู่บนเตียงเตาริมหน้าต่าง ยกถ้วยชาขึ้นจิบหนึ่งอึก ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ยึดที่ดินพระราชทานคืนล้วนเป็นเพียงแค่ข้ออ้างเท่านั้น ใครจะไปรู้ว่าขอบเขตเรื่องนี้ใหญ่แค่ไหน หากไม่ระวังอาจทำให้ขุนนางชั้นสูงทั้งต้าโจวขุ่นเคืองได้ เฉินเก๋อเหล่าเพียงแค่ต้องการใช้เรื่องนี้เพื่อทดสอบทัศนคติของฮ่องเต้ที่มีต่อเขา ในภายภาคหน้าเมื่อเขาจะกระทำการใดก็จะได้รู้ว่าขอบเขตอยู่ตรงไหน มิเช่นนั้นเหตุใดจึงได้เลือกเขียนฎีกาในช่วงตรุษจีนเล่า หากฮ่องเต้ก็ต้องการทดสอบทัศนคติของเฉินเก๋อเหล่าเช่นกัน เช่นนั้นก็ไม่มีทางเห็นด้วยกับเรื่องยึดที่ดินพระราชทานคืน เช่นนี้ ข้าราชบริพารเขียนหนังสือ กระทรวงขุนนางภายในอภิปราย อย่างไรก็ไม่มีทางได้ข้อสรุปในปีสองปีนี้แน่นอน แล้วเหตุใดพวกเราจะต้องสร้างปัญหาด้วย หากไม่ระวังอาจจะถูกข้าราชบริพารเหล่านั้นจับไต๋แล้วใช้ผลประโยชน์เพื่อทำให้ฮ่องเต้ลำบากพระทัย…” เมื่อพูดถึงตรงนี้ น้ำเสียงของเขาก็เคร่งขรึมเล็กน้อย “จะกลัวก็แต่ว่าฮ่องเต้จะมีเจตจำนงแก้ไขระเบียบของราชสำนัก และอนุญาตฎีกาของเฉินเก๋อเหล่า…เมื่อถึงเวลานั้นก็ยากที่จะจัดการแล้ว”
สวีลิ่งอี๋มีศักดิ์เป็นท่านน้าชายของฮ่องเต้ เมื่อถึงเวลานั้นบรรดาสกุลขุนนางจะทำตามจุดประสงค์ของเขา หากเขายอมให้ฮ่องเต้ยึดที่ดินพระราชทานกลับคืนมาอย่างเชื่อฟัง เช่นนั้นในภายภาคหน้าเขาก็จะเป็นคนที่ผิดต่อสกุลขุนนาง ไม่แน่สกุลสวีอาจถูกคนในแวดวงนี้กีดกัน หากเขากับฮ่องเต้โต้เถียงกัน ฮ่องเต้อยู่ในฐานะกษัตริย์องค์ใหม่ เป็นช่วงเวลาที่ต้องสั่งสมบารมี ไม่แน่อาจจะเอาสวีลิ่งอี๋มาเชือดไก่ให้ลิงดู
วิธีที่ดีที่สุดคือเบี่ยงเบนความสนใจของทุกคนไปที่สกุลเดิมของฮองเฮา แต่พระราชบิดาของฮองเฮาคือโจวซื่อเจิง เป็นสหายคนสนิทที่เล่นด้วยกันมาตั้งแต่เด็กของเขา…
“ในเมื่อฮ่องเต้ยังไม่ตอบฎีกา ก็แสดงว่ามีความคิดของพระองค์เอง” สืออีเหนียงหยิบรองเท้าให้เขาเปลี่ยน “เป็นอย่างที่ท่านโหวพูดกับใต้เท้าโจว รอดูสถานการณ์ไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน ทางออกย่อมมีมากกว่าปัญหาเสมอ”
“ทางออกย่อมมีมากกว่าปัญหาเสมอ!” สวีลิ่งอี๋ได้ฟังดังนี้ก็มีสีหน้าเคร่งขรึม พูดขึ้นมาว่า “ข้าได้รับคำคมจากภรรยาแสนชาญฉลาดอีกแล้ว”
เมื่อสืออีเหนียงเห็นเขาแสร้งทำเป็นจริงจังก็หัวเราะออกมา
สวีลิ่งอี๋อาศัยโอกาสนี้กอดนางไว้ในอ้อมแขน…
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ใบหน้าของนางร้อนขึ้นเล็กน้อย รถม้าหยุดลง เสียงพูดอย่างระมัดระวังของหญิงรับใช้เฒ่าที่ตามรถม้าดังผ่านผ้าม่านเข้ามา “ฮูหยิน ถึงโรงเตี๊ยมแล้วเจ้าค่ะ!”
สืออีเหนียงรีบสงบจิตใจของนาง เหลือบมองลูกสะใภ้ทั้งสองด้วยความรู้สึกผิด เจียงซื่อมีสีหน้ามึนงงเล็กน้อย ในขณะที่อิงเหนียงรอคำตอบจากนางอย่างใจจดใจจ่อ เมื่อสีหน้าท่าทางกลับมาปกติ หัวใจของนางก็สงบลง
“ท่านพ่อสามีของเจ้าระมัดระวังอยู่เสมอ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นแน่นอน!”
อิงเหนียงได้ฟังดังนั้นก็พยักหน้า รีบลุกออกจากรถม้าก่อน จากนั้นก็หันมาพยุงสืออีเหนียงลงจากรถม้า เจียงซื่อ สวีซื่อจุน สวีซื่อเจี้ย อีกทั้งบรรดาบ่าวรับใช้กลุ่มใหญ่เดินตามหลังนางอย่างชิดใกล้ เดินล้อมตัวนางเข้าไปในเรือนซีคว่าที่จองไว้
เจียงซื่อกำชับให้สาวใช้เปลี่ยนเป็นเครื่องนอนและของใช้ที่พวกเขานำมา แล้วจัดแจงป้ารับใช้ให้ไปต้มน้ำและทำอาหาร
สืออีเหนียงนั่งนับวันอยู่ที่โต๊ะสี่เหลี่ยมในห้องโถง
เกือบสามเดือนแล้ว ทุกคนต่างก็เฝ้ารอและจับตาดูมาเป็นเวลานาน ถึงเวลาที่จะหารืออีกครั้งแล้ว…ฮ่องเต้เรียกสวีลิ่งอี๋เข้าวังอย่างรีบร้อนเช่นนี้ หรือว่าจะเป็นเพราะเรื่องนี้
ตอนกลางคืนนางหลับได้ไม่ค่อยสบายนัก เช้าวันรุ่งขึ้นฟ้าพึ่งจะสางก็รีบเดินทางกลับเยี่ยนจิง มาถึงตอนกลางคืนในช่วงเวลาจุดโคมไฟพอดี
สวีลิ่งอี๋ยังไม่กลับมา
ไท่ฮูหยินถามด้วยความสงสัยว่า “ทำไม พวกเจ้าไม่ได้อยู่ด้วยกันหรอกหรือ”
สืออีเหนียงไม่อยากให้ไท่ฮูหยินกังวลใจ ยิ้มแล้วพูดว่า “ได้พบกับใต้เท้าโจวที่ประตูเมือง ท่านโหวเลยถูกเขาเอาตัวไปแล้วเจ้าค่ะ!”
ไท่ฮูหยินได้ยินดังนั้นก็หัวเราะ “ถูกเขาลากไปเช่นนี้ ไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน ข้าว่าวันนี้เจ้าไม่ต้องรอเขาแล้ว รีบพักผ่อนเถิด พรุ่งนี้หากเขากลับมาได้ก็ถือว่าไม่ใช่เรื่องแย่!”
สืออีเหนียงยิ้มพลางรับคำ “เจ้าค่ะ” ช่วยฮูหยินสองกล่อมไท่ฮูหยินพักผ่อน
ฮูหยินสองมาส่งนาง พูดขึ้นมาว่า “ได้ยินว่าฮ่องเต้จะยึดที่ดินพระราชทานของขุนนางชั้นสูงคืนหรือ หากเป็นเช่นนั้นจริง พวกเราก็อย่าได้เสียการใหญ่เพราะเรื่องเล็ก ฮ่องเต้ว่าอย่างไรพวกเราก็ทำเช่นนั้น ตราบใดที่ในสายตาของฮ่องเต้มีพวกเรา พวกเราจะไม่มีข้าวกินได้อย่างไร”
“คำพูดของพี่สะใภ้สองข้าจะถ่ายทอดแก่ท่านโหวเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงรู้สึกว่าพวกนางเข้าใจเรื่องในราชสำนักเพียงผิวเผินเท่านั้น คำพูดโน้มน้าวเช่นนี้พูดให้น้อยลงจะดีกว่า จะได้ไม่ไปกระทบกับการตัดสินใจของสวีลิ่งอี๋
เมื่อฮูหยินสองเห็นว่านางไม่ได้สนใจ จึงไม่อาจพูดอะไรมาก พยักหน้าแล้วกลับห้องไป
เจี๋ยเซียงหวีผมให้นาง พูดเสียงเบาว่า “ฮูหยินสอง บางคนชอบกล้วยไม้หยก แต่บางคนก็ชอบดอกซ่อนกลิ่น ฮูหยินสี่ชอบเรื่องในเรือน ท่านพูดไปนางก็ไม่เข้าใจ ยิ่งไม่มีทางร้อนใจเจ้าค่ะ”
ฮูหยินสองยิ้มเล็กน้อยไม่ได้พูดอะไร
เจี๋ยเซียงถอนหายใจด้วยความโล่งอก ปรนนิบัตินางพักผ่อน ช่วยจัดมุมผ้าห่ม พอดับตะเกียงแล้วก็ค่อยๆ เดินย่องออกไปอย่างเบามือเบาเท้า
เสียงถอนหายใจยาวยังดังก้องอยู่ในห้องอันเงียบสงบซึ่งปกคลุมไปด้วยความมืดในยามค่ำคืน “นางไม่จำเป็นต้องดูแลเรื่องนี้ ย่อมมีคนช่วยนางดูแลอยู่แล้ว…จะว่าไปแล้วนางก็นับว่าเป็นคนมีวาสนา!”
******
เมื่อสืออีเหนียงกลับมาก็ให้หู่พั่วหาผ้าเช็ดหน้าที่ปักอย่างประณีตจากก้นหีบสองสามผืน “ส่งไปที่จวนเวยเป่ยโหว ดูว่าเวยเป่ยโหวอยู่จวนหรือไม่”
ฟังจากที่สวีลิ่งอี๋บอก ที่ดินพระราชทานของสกุลหลินเองก็ไม่น้อยเลย หากเป็นเรื่องเกี่ยวกับการยึดที่ดินพระราชทานคืน สกุลหลินคงไม่สามารถนั่งอยู่บนแท่นตกปลาได้อย่างมั่นคงกระมัง!
หู่พั่วกลับมาอย่างรวดเร็ว “ท่านโหวสกุลหลินอยู่ที่จวนเจ้าค่ะ! หลินฮูหยินฝากขอบคุณท่าน ท่านโหวสกุลหลินกำลังเป็นกังวลเรื่องยึดที่ดินพระราชทานคืนอยู่พอดี รออีกสองวันนางค่อยมาเยี่ยมเยียนท่านเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงพยักหน้า นั่งครุ่นคิดอยู่ในห้อง
หมายความว่าการที่สวีลิ่งอี๋เข้าวังไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องยึดที่ดินพระราชทานคืนอย่างนั้นหรือ ในเมื่อเป็นเช่นนี้เหตุใดจึงต้องค้างในวังด้วยเล่า
นางนอนหลับอย่างสบายใจ ลืมตาขึ้นมาในเช้าวันรุ่งขึ้นก็ถามทันทีว่า “มีจดหมายจากท่านโหวหรือไม่”
เหลิ่งเซียงที่อยู่เวรรีบตอบว่า “ท่านโหวกลับมาเมื่อคืน เห็นว่าฮูหยินพักผ่อนแล้ว กลัวจะรบกวนท่านจึงไปพักผ่อนที่ห้องหนังสือเรือนนอกเจ้าค่ะ”
สวีลิ่งอี๋ชอบปลุกนางกลางดึกเป็นที่สุด จากนั้นก็อาศัยโอกาสตอนที่นางสะลึมสะลือทำในสิ่งที่ต้องการ ซ้ำยังพูดจาสวยหรูว่า “ตอนที่เจ้ากำลังสะลึมสะลือนั้นดูดีที่สุด!”
สืออีเหนียงประหลาดใจ
แต่งหน้าทำผมให้เรียบร้อย ไม่มีเวลามาสนใจทานอาหารเช้า รีบไปที่ห้องหนังสือเรือนนอกของสวีลิ่งอี๋ทันที