The Divine Nine Dragon Cauldron – ตอนที่ 1267 – ของขวัญจากศัตรู

ตอนที่ 1267 - ของขวัญจากศัตรู

  ซือหยูค่อนข้างยินดีกับการเปลี่ยนแปลงของดวงวิญญาณดวงวิญญาณของเขากลายเป็นดวงวิญญาณในระดับเซียนขั้นสูงสุด ซึ่งเหนือกว่าก่อนหน้าหนึ่งระดับ

  โอรสสวรรค์จ้องนภาในขั้นที่ห้าปรากฏในใจขึ้นเองและมันคือขั้นสุดท้ายในบันทึกศิลา…ขอบเขตกลืนวิญญาณ

  ในขั้นที่ห้าที่เขารอคอยมาเนิ่นนานได้ปรากฏให้เห็นแล้ว

  ผู้ที่มาถึงขอบเขตกลืนวิญญาณจะสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งของวิญญาณจนดับระดับวิญญาณเทพได้โดยกลืนกินดวงวิญญาณของคนอื่น

  ขอบเขตนี้มีระดับพลังอยู่สามขั้นด้วยกันหากสำเร็จขั้นแรกจะกลืนกินดวงวิญญาณของผู้ที่อ่อนแอกว่าเทพได้ นั่นหมายความว่าจะกลืนกินดวงวิญญาณของว่าที่เทพได้ด้วย  ซือหยูเบิกตาโพลงกลืนกินดวงวิญญาณรึ?

  นี่ไม่ใช่ความสามารถที่มีเฉพาะเทพหรอกหรือ?

  ความทรงจำของทุกคนกักเก็บอยู่ในดวงวิญญาณผู้ที่กลืนกินดวงวิญญาณของคนอื่นเข้าไปจะสูญเสียความทรงจำของตัวเองและเป็นบ้าในท้ายสุด

  มีเพียงเทพที่สามารถลบความทรงจำที่กักเก็บไว้ในดวงวิญญาณได้จากนั้นเทพก็จะดูดซับดวงวิญญาณที่ผ่านการชำระล้างแล้ว

  แต่ซือหยูเองก็ได้ความสามารถนั้นมาหลังจากถึงขอบเขตกลืนวิญญาณ

  ตอนนี้เขามีพลังในขั้นแรก

  พอเป็นขั้นสองเมื่อใดเขาจะกลืนกินดวงวิญญาณของเทพได้!

  หากไปถึงขั้นสามเขาจะสามารถกลืนกินดวงวิญญาณของ…มัธยเทพ!

  ซือหยูไม่รู้ว่ามัธยเทพคืออะไรแต่เขามั่นใจว่ามันจะต้องแข็งแกร่งกว่าเทพทั่ว ๆ ไปแน่นอน!

  ขณะที่ซือหยูกำลังครุ่นคิดอยู่นั้นเองเขาได้พบว่าดวงวิญญาณของเขาสามารถมองทะลวงผ่านดวงวิญญาณอื่นได้ และเขาถึงกับมองความทรงจำที่ซ่อนอยู่ได้ด้วย

  ยิ่งไปกว่านั้นซือหยูยังรู้สึกว่าเขาเปลี่ยนความทรงจำของผู้อื่นและบิดเบือนได้ตามใจนึก เขายังลบความทรงจำได้ เมื่อดวงวิญญาณถูกลบความทรงจำ เขาจะกลืนกินมันเพื่อเพิ่มพลังของตัวเอง

   นี่น่ะรึขอบเขตกลืนวิญญาณ? 

  มันเป็นความรู้สึกใหม่ที่ทำให้ซือหยูรู้สึกยินดี

  โอรสสวรรค์จ้องนภามีขอบเขตถึงเก้าขั้นแต่ในก้อนศิลาที่ได้มาจากหยุนหยาซือมีเพียงห้าขั้น หากขั้นที่ห้าแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ พลังอีกสี่ขั้นที่เหลือคงจะเหนือจินตนาการ! ซือหยูเลียริมฝีปาก เขาเริ่มสนใจในพลังอีกสี่ขั้นที่หายไปแล้ว  วิบัติเทพครั้งนี้ทำให้ซือหยูเพิ่มพลังอย่างก้าวกระโดด!

  เขาได้แหล่งพลังเทพสองดวงมาถึงขอบเขตกลืนวิญญาณซึ่งทำให้เขาเริ่มบ่มเพาะวิถีเทพใหม่ได้

  ซือหยูคิดว่าวิบัติเทพครั้งนี้จะสร้างความปั่นป่วนระหว่างฟ้าดินเหมือนกับในโลกมนุษย์ซึ่งนั่นจะดึงดูดความสนใจของพวกอสูรตระกูลราชวงศ์

  แต่ซือหยูรู้แล้วเมื่อได้ผ่านวิบัติเทพเขากังวลมากจนเกินไป พวกตระกูลราชวงศ์มิได้เคลื่อนไหวอะไรเลย

  บอกตามตรงสิ่งที่ซือหยูได้จากวิบัติเทพครั้งนี้นั้นห่างไกลจากที่เขาคาดคิดไว้มาก

   หึหึ!ข้าผ่านวิบัติเทพนี้มาแล้ว ถึงเวลาลงทัณฑ์เจ้าเมฆาอสูรสักที! 

  ซือหยูยิ้มด้วยความเย็นชา

  เมฆาวิบัติหายไปเมฆาอสูรกับลี่หยิงพุ่งไปยังเมืองชมทะเลพร้อมกับเทพอีกสองคน  ความสะพรึงกลัวยังคงแสดงผ่านดวงตาของพวกเขา

   เจ้ารู้จักผู้ที่ผ่านวิบัติเทพเมื่อครู่หรือไม่? 

  มีคนถามขึ้นมาเมื่อเมฆาอสูรและเทพอีกสองคนเข้าใกล้ซือหยู พวกเขาก็ได้เห็นอสูรผมสีเงินมองกลับมาทางพวกเขา อสูรผมสีเงินยืนมือไพล่หลัง

  แม้พวกเขาจะได้เห็นการต่อสู้ระหว่างซือหยูและเทพตำราพวกเขาก็ไม่รู้รายละเอียดใดเลยเพราะวิชาซ่อนเร้นของเทพอสูรเนตรม่วง พวกเขาไม่รู้จักรูปลักษณ์ของซือหยูและลักษณ์ของพลังด้วยซ้ำ

  เมื่อเห็นอสูรหนุ่มที่โลหิตไม่บริสุทธิ์พวกเขาก็ยิ่งคิดว่าอสูรผู้นี้เป็นอสูรจากตระกูลเทพที่เสื่อมถอยจริง ๆ

  แต่พวกเขาคิดไม่ออกเลยว่าลูกหลานเทพจากตระกูลเช่นนี้ได้รับสืบทอดวิถีเทพอันแข็งแกร่งมาได้อย่างไร  เมฆาอสูรเลิกล้มความคิดที่จะเป็นพรรคพวกกับชายหนุ่มผู้นี้เขาเพียงอยากจะผูกมิตรเท่านั้น

   ยินดีด้วยเจ้าหนุ่ม! ข้าเชื่อว่าเจ้าจะกลายเป็นว่าที่เทพและเทพในอีกไม่นาน! 

  เมฆาอสูรเดินไปหาซือหยูพร้อมประสานมือเขาปฏิบัติซือหยูดั่งคนในฐานะเดียวกัน!

  เทพอีกสองคนเองก็ได้เห็นภาพอันตระการตาเมื่อซือหยูข้ามวิบัติเทพพวกเขาจึงไม่แปลกใจที่เมฆาอสูรจะทักทายซือหยูเช่นนี้ ทั้งสองรู้ดีว่าจะต้องทำเช่นเดียวกัน

   ฮ่าๆๆๆ!ยินดีด้วย สหายตัวน้อย! 

   สหายข้าไม่มีใครเคยผ่านวิบัติเทพอย่างเจ้ามาก่อน! พวกเราทุกคนประทับใจในความเป็นวีรบุรุษของเจ้ายิ่งนัก! 

  เมฆาอสูรไม่ได้รับการตอบสนองที่เขาคาดคิดเขาหยุดไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร

   สหายน้อยข้าว่าเจ้าคงไม่มีผู้อาวุโสในตระกูลเหลืออยู่แล้วใช่หรือไม่? 

  เขาถาม

  ซือหยูที่มาจากธารดาราย่อมไม่มีผู้อาวุโสอยู่ในแดนอสูรเขาพยักหน้าโดยไม่พูดอะไร

  เห็นเช่นนั้นเทพทั้งสามตาลุกวาว ชายคนนี้เป็นลูกหลานเทพตระกูลเสื่อมถอยอย่างที่พวกเขาคิด

  เมฆาอสูรโล่งใจเขาพูดด้วยรอยยิ้ม

   ข้าคือเจ้าดินแดนเมืองเมฆาอสูรแห่งแดนจิงหยูข้าเคยคิดจะช่วยเจ้าเมื่อเจ้าจะผ่านวิบัติเทพ แต่ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะแข็งแกร่งจนไม่ต้องการความช่วยเหลือแม้แต่น้อย! แต่ถ้าหากเจ้าต้องการความช่วยเหลือเมื่อใด ข้าเต็มใจทำสุดความสามารถ! 

   นั่นไม่จำเป็นหรอก… 

  ซือหยูตอบด้วยความใจเย็น

  เมื่อได้รับการปฏิเสธอย่างโอหังจากซือหยูเมฆาอสูรมิได้ไม่พอใจ เขาพูดต่อไปอย่างนอบน้อม

   หึหึ!สบายน้อยเอ๋ย เจ้าอย่าพูดเช่นนั้นเลย! มีเทพมากมายนักในแดนอสูรอันโหดร้ายแห่งนี้ ข้าเชื่อว่าหลายผู้หลายคนจะริษยาเพราะพรสวรรค์อันสุดยอดของเจ้า เจ้าจะตกอยู่ในอันตรายหากไร้ผู้ปกป้อง เทพสองคนนี้กับข้ายินดีปกป้องเจ้าพร้อมทั้งยังให้วัตถุดิบบ่มเพาะกับเจ้าก่อนจะกลายเป็นเทพได้ เราไม่อยากเสียโอกาสล้ำค่าในการรู้จักเจ้าในวันนี้ไป! 

  เขากล่าว

   เมฆาอสูรพูดถูกแล้ว!สหายน้อย เจ้าควรจะระวังตัวในโลกอันป่าเถื่อนใบนี้! 

  เทพทั้งสองพูดเสริมด้วยรอยยิ้ม

  ซือหยูมองทั้งสามโดยไม่ตอบอะไร

  เมฆาอสูรและเทพอีกสองคนอับอายแต่ก็คิดอยู่ในใจ

  ‘สมกับที่เป็นผู้ที่จะเป็นใหญ่ในใต้หล้า!’

  พวกเขาคิด  ‘เขาถือตัวและปฏิเสธเทพที่มาเสนอความช่วยเหลือ!’

  แต่แทนที่พวกเขาจะไม่พอใจพวกเขาเลือกที่จะเมินความอวดดีของซือหยู

  นั่นก็เพราะว่าพวกเขามองแต่คุณสมบัติอันสุดยอดของซือหยู!

  ถ้าซือหยูเป็นอสูรธรรมดาพวกเขาคงจะสังหารไปแล้วหากกล้าหยาบคายต่อหน้าเทพอย่างพวกเขา

  ‘เขายังระแวงพวกเราอยู่!’

  เมฆาอสูรคิดในใจ

  ทั้งสามประสานสายฟ้าและพยักหน้าพร้อมกัน

   หึหึ!สหายน้อย อย่ากลัวพวกข้าเลย! พวกเราหวังอย่างจริงใจว่าจะได้เป็นสหายกับเจ้า! 

  เมฆาอสูรกล่าวจากนั้นจึงเรียกศีรษะสัตว์อสูรสีชมพูออกมายืนให้ซือหยูอย่างไม่เต็มใจ

   ข้าได้สมบัติศักดิ์สิทธิ์ลอกเลียนนี้มาจากซากเมืองเก่าโปรดรับของเล็ก ๆ น้อย ๆ นี้แทนใจพวกข้าและใช้มันปกป้องตัวเจ้าเองเถอะนะ! 

  หัวสัตว์อสูรสีชมพูปรากฏที่หน้าซือหยู

  แม้ซือหยูจะสับสนกับท่าทางของเมฆาอสูรเขาก็รับของขวัญประหลาดไว้โดยไม่ลังเล

  มีเพียงคนโง่เท่านั้นที่จะปฏิเสธของขวัญจากศัตรู!

  เทพอีกสองคนอ้าปากค้างและเริ่มพูดคุยกันผ่านโทรจิต

   อะไรกัน!เมฆาอสูรคิดจะให้สมบัตินั่นกับลูกชายคนโต! มันคือกะโหลกชมพูที่ใช้หลอกหลอนจิตใจของศัตรูได้ แม้แต่พวกเราก็ต้องระวังมัน! ไม่คิดเลยว่าเขาจะใช้ชายหนุ่มผู้นี้! 

   ฮื่ม!เมฆาอสูรฟุ่มเฟือยนัก! 

   ถ้าข้าจำไม่ผิดเมฆาอสูรไม่อยากจะให้มันกับลูกชายคนโต แต่มันจะใช้เป็นสมบัติช่วยชีวิตมันยามคับขัน! น่าสิ้นเปลืองยิ่งนัก! 

 

The Divine Nine Dragon Cauldron

The Divine Nine Dragon Cauldron

Status: Ongoing

หนึ่งประสงค์ทำลายสุริยันจันทราและหมู่ดารา ดัชนีเดียวเข่นฆ่าราชันย์สวรรค์ เพียงปริปากทั้งสวรรค์แลสิบภพพลันวินาศ

เด็กยากจนเดินทางออกจากหุบเขาห่างไกลพร้อมกับมังกรนพเก้าและหม้อวิเศษที่ควบคุมกาลเวลาและพื้นที่กว้างใหญ่ เขาใฝ่หาเส้นทางแห่งพระเจ้าเพื่อท้าทายจักรวาลอันไม่มีสิ้นสุดและต่อสู้กับยุคสมัยในตำนาน

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท