ทันทีที่โจวฟังพูดจบประโยค สายตาของอวี้หนานเฉิงก็ดูเคร่งขรึมขึ้น โจวฟังค่อยๆ ปิดปากลง พร้อมกับยื่นมือไปดึงเข็มขัดนิรภัย จากนั้นก็สตาร์ทรถออกไปอย่างเงียบ ๆ
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ไม่ยาก
เซิ่งอันหรานมีข้อตกลงเรื่องการเดิมพันกับเจ้านาย ว่าภายใน 3 เดือนนี้ หากผลงานของเธอไม่เป็นไปตามสัญญาหรือเงื่อนไขที่ให้ไว้ เธอจะต้องเก็บของและไสหัวออกไป ซึ่งการเดิมพันครั้งนั้น มีกรรมการผู้ให้สัมภาษณ์จำนวนหนึ่งเป็นพยาน
และหลังจากที่เซิ่งอันหรานเข้ารับตำแหน่ง แม้ว่าผลงานของเธอจะมีประสิทธิภาพสูงขึ้นเรื่อยๆ แต่มันก็ยังห่างไกลจากเป้าหมายที่เธอได้สัญญาในการเดิมพันครั้งนั้นอยู่มาก เมื่อเห็นว่าเวลาได้ผ่านไปแล้วเกือบ 2 เดือน และมีช่วงระยะเวลาหนึ่งที่เธอต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล ดังนั้นเกรงว่า เป้าหมายของเธอในครั้งนี้น่าจะสำเร็จได้ยาก
ดังนั้นอวี้หนานเฉิงจึงมอบหมายกิจกรรมงานเฉลิมฉลองครบรอบ 100 ปีของบริษัทให้กับเธอ
ประการแรกเป็นการเพิ่มระยะเวลาการทำงานให้เธออีก 2 เดือน ประการที่สอง เพื่อให้เธอได้แสดงศักยภาพของเธอออกมาในช่วงระหว่างการดำเนินงานกิจกรรมวันเฉลิมฉลอง
แต่น่าสงสารที่โจวฟังไม่เข้าใจ เขาไม่เข้าใจว่าทำไมเจ้านายของตัวเองถึงได้ใส่ใจเซิ่งอันหรานมาก ขนาดนั้น เป็นเพราะเธอเคยช่วยชีวิตของคุณชายน้อยไว้อย่างนั้นหรือ?
“ท่านประธานอวี้ ก่อนหน้านี้คุณเคยบอกว่าเหล่าหวังขับรถค่อนข้างดีไม่ใช่เหรอ ?แล้วทำไมคุณถึงได้ไล่เขาออกล่ะ?”
“ถามมากเกินไปแล้ว”
โจวฟังหน้าชาขึ้นมาในทันที จากนั้นเขาก็ไม่กล้าถามอะไรเพิ่มเติมอีก
ตัวเองพูดมากเกินไปจริงๆ
——
หลังจากที่ได้รับมอบหมายให้เตรียมงานสำหรับกิจกรรมวันเฉลิมฉลองครบรอบ 100 ปี อาจารย์ผู้รับหน้าที่ดูแลและเป็นที่ปรึกษาให้กับเซิ่งอันหรานก็ได้มอบหมายงานส่วนใหญ่ของโรงแรมให้กับผู้จัดการท่านอื่น เพื่อให้เซิ่งอันหรานได้มีการเตรียมตัวอย่างไม่มีความกังวล ซึ่งเรื่องนี้เป็นสิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมายของเธอ
“อันหราน นักวางแผนดำเนินงานของบริษัทมีไอเดียตั้งมากมาย ท่านประธานอวี้กลับไม่รู้สึกชอบ ท่านประธานมองเห็นความสามารถที่มีอยู่ในตัวของเธอ ดังนั้นเธอต้องตั้งใจทำงานให้ดี งานครั้งนี้นับว่าเป็นเรื่องที่มีเกียรติมากสำหรับโรงแรมของเรา”
ผู้จัดการจ้าวปกติแล้วก็ไม่ค่อยได้สนใจเธอสอนงานหรือทำตัวเป็นที่ปรึกษาให้เซิ่งอันหรานสักเท่าไหร่ แต่หลังจากจบการประชุม สีหน้าท่าทางของเธอก็ดูดีใจออกหน้าออกตา พร้อมทั้งดูชื่นชมและยกยอเซิ่งอันหรานยกใหญ่
“ฉันจะต้องทำงานนี้ให้ออกมาดีได้แน่นอน”
หนึ่งสัปดาห์หลังจากนั้น เซิ่งอันหรานใช้เวลาเตรียมงานและหาของอยู่ข้างนอก แทบจะไม่ได้เข้าไปทำงานที่โรงแรมเลย
——
เธอไม่เคยได้ลองทำงานเกี่ยวกับการวางแผนกิจกรรมวันเฉลิมฉลองเลย ดังนั้น เธอจึงต้องไปลองศึกษาดูงานของกลุ่มบริษัทอื่นๆ หรือในห้างสรรพสินค้าว่าเขาจัดกิจกรรมกันในรูปแบบไหน เผื่อว่าเธอจะได้มีไอเดียดีๆ
“คุณผู้หญิง คุณต้องการความช่วยเหลือไหมค่ะ?”
เมื่อเซิ่งอันหรานเงยหน้าขึ้น เธอก็พบว่าพนักงานบริการในห้างสรรพสินค้ากำลังมองมาที่เธอ ด้วยท่าทางที่สุภาพ แต่ก็มีท่าทางค่อนข้างระมัดระวัง
ในมือของเซิ่งอันหรานมีโทรศัพท์มือถืออยู่ และเธอก็ได้ถ่ายภาพเอาไว้มากมายแล้ว คาดว่าเธอ น่าจะโดนคนเข้าใจผิดว่าเป็นสมาชิกของสำนักงานอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรมไปแล้ว พอเธอเก็บโทรศัพท์มือถือลงเสร็จ เธอก็พยายามเก็บอาการและตอบกลับไปว่า
“มาลองเดินดูสินค้าเฉยๆ ค่ะ จริงสิ ขอสอบถามหน่อยว่าร้านขายเครื่องประดับของคุณพวกอยู่ตรงไหนคะ?”
พนักงานบริการยกมือขึ้นและชี้ไปด้วยความลังเล “ตรงนั้นค่ะ”
เซิ่งอันหรานขอบคุณเธอ และแม้ว่าเธอจะมีท่าทางสงสัย แต่เธอก็เดินตรงไปยังร้านขายเครื่องประดับ
เธอรู้ว่าการที่เธอมาถ่ายภาพแบบนี้เธอจะต้องเป็นที่สังเกตของคนอื่น แต่เธอก็เตรียมพร้อมมาอย่างดี
ในร้านขายเครื่องประดับ ผู้จัดการสวมถุงมือและหยิบสร้อยที่เซิ่งอันหรานส่งให้ สร้อยสายโซ่สีเงินประดับด้วยมรกตอันวาววับและฝังเพชรล้อมรอบ มันสว่างไสวมากว่าปกติ
“นี่เป็นเครื่องประดับของร้านของเราจริงๆ ค่ะ”
“จริงเหรอค่ะ?” เซิ่งอันหรานพยายามระงับความตื่นเต้นของตัวเอง “นี่เป็นเครื่องประดับที่ร้านคุณเป็นคนออกแบบเองอย่างนั้นเหรอ?”
“สร้อยสายโซ่เส้นนี้เป็นสร้อยสไตล์คลาสสิกของร้านเราค่ะ และยังมีตรงนี้อีกนะคะ” ผู้จัดการชี้ไปที่สร้อยสีเงิน “เครื่องประดับที่ทำในร้านของเราจะมีโลโก้แบรนด์ในตำแหน่งนี้ด้วยค่ะ ซึ่งมันเล็กมาก แทบจะมองไม่เห็น”
“สร้อยเส้นนั้นในร้านของคุณมีลูกค้าซื้อเยอะไหมคะ?”
ผู้จัดการส่ายหัวและยิ้ม
“นี่คือมรกตน้ำดี มันดูเก่าแก่และมีค่ามาก ร้านของเราไม่มีสินค้าที่มีลักษณะคล้ายๆ แบบนี้หรอกค่ะ แต่หากว่าลูกค้านำเอาอัญมณีมาให้เราทำ เราก็ยินดีที่จะช่วยลูกค้าออกแบบ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เซิ่งอันหรานก็รู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก “อย่างนั้นคุณช่วยตรวจสอบให้หน่อยได้ไหมคะ ว่าใครเป็นคนออกแบบสร้อยเส้นนี้?”
“สร้อยเส้นนี้น่าจะถูกขายไปนานแล้ว ถ้าหากจะต้องตรวจสอบคงจะต้องใช้เวลานานมาก แต่พวกเราจะพยายามตรวจสอบให้ดีที่สุดค่ะ”
เซิ่งอันหรานพูดขอบคุณครั้งแล้วครั้งเล่า
“ไม่เป็นไรค่ะ คุณเก็บสร้อยของคุณกลับไปก่อนนะคะ ถ้าจะพูดกันตามตรงแล้ว ฉันทำงานที่นี่มาหลายปีแล้วค่ะ และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ฉันได้เห็นมรกตน้ำที่ดูดีขนาดนี้ ฉันคิดว่ามันน่าจะมีการบันทึกไว้นะคะ”
หลังจากที่เซิ่งอันหรานเก็บสร้อยเสร็จเธอก็เดินจากร้านขายเครื่องประดับ เซิ่งอันหรานก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก
เมื่อ 5 ปีที่แล้ว ตอนที่เซิ่งอันหรานให้กำเนิดลูกสองคนที่เมื่องจินหลิง เธอพาเสี่ยงซิงซิงกลับไปด้วยเพียงคนเดียว ส่วนลูกอีกคนถูกคุณหมออุ้มไป เป็นเวลาหลายปีที่เธอคิดจะตามหาตัวของเด็กคนนั้น และเบาะแสเดียวที่เธอมีก็คือสร้อยคอที่มีอยู่ในมือของเธอ
สร้อยคอเส้นนี้ถูกดึงออกจากคอของชายคนนั้นในค่ำคืนนั้น
เมื่อหวนนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนั้นของเมื่อหกปีที่แล้ว เซิ่งอันหรานก็เกิดตัวสั่นเทาขึ้น
ตอนที่เธอกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น เงาของใครบางคนที่สวมเสื้อผ้าสีเขียวก็ปรากฏตัวขึ้นขวางทางเดินของเธอ
“เซิ่งอันหราน”
เสียงเรียกนั้นฟังดูเบามาก แต่เมื่อเธอตั้งใจฟังดูอีกแล้ว น้ำเสียงนั้นดูไม่ค่อยจะน่าฟังสักเท่าไหร่
เซิ่งอันหรานเงยหน้าขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว และเมื่อเธอได้เห็นคนคนนั้นเดินเข้ามา สีหน้าของเธอก็เปลี่ยนในทันที
“เป็นเธอจริงๆ ฉันก็นึกว่าตัวเองตาฝาดไป”
หญิงสาวพูดด้วยท่าทีที่ดูถูกเหยียดหยาม สองมือของเธอกอดไว้ที่อก และพูดเยาะเย้ยออกมาว่า “ไม่ได้กลับบ้านมาห้าปีกว่าแล้ว นานแค่ไหนแล้วที่เธอไม่คิดที่จะติดต่อกับคนครอบครัวเลย? คนในครอบครัวก็ต่างพากันคิดว่าเธอตายนานไปแล้ว”
คนที่เดินเข้ามาก็คือเซิ่งอันเหยาพี่สาวต่างมารดาของเซิ่งอันหราน นิสัยชอบดูถูกคนอื่น แม้จะไม่ได้พบกันมานานหลายปี แต่ความเย่อหยิ่งและท่าทาทางการพูดของเธอไม่ต่างไปจากเมื่อก่อนเลย
เซิ่งอันหรานรีบสงบสติอารมณ์ลงอย่างรวดเร็ว เธอจ้องไปที่เซิ่งอันเหยาอย่างเย็นชา “ที่ฉันไม่ตายข้างนอก ดูท่าแล้วคงจะทำให้พี่สาวผิดหวังน่าดู”
“ทำไมฉันถึงต้องผิดหวังด้วยล่ะ?” เซิ่งอันเหยาตอบคำถามอย่างบ่ายเบี่ยง น้ำเสียงของเธอก็ดูมีกลิ่นตุๆ “ไม่ใช่ว่าเธอ กลับมาจากต่างประเทศมาตั้งนานแล้วหรอกนะ ถ้าหากคุณพ่อรู้ว่าเธอกลับมาแล้วไม่บอกคนที่บ้านล่ะก็ ไม่รู้ว่าท่านจะรู้สึกผิดหวังมากแค่ไหน ลูกสาวที่เลี้ยงมานานหลายปี ตอนจะไปต่างประเทศก็ไปซะดื้อๆ วันนี้คิดจะกลับก็กลับ ทำเหมือนกับว่าบ้านเป็นสถานที่ท่องเที่ยวหรือโรงแรมยังไงยังงั้น ”
“เรื่องนั้นมันเป็นเรื่องระหว่างฉันกับคุณพ่อ มันไม่เกี่ยวอะไรกับเธอเลยสักนิด”
“ฉันเป็นลูกสาวคนโตของตระกูลเซิ่ง เรื่องของตระกูลเซิ่ง แน่นอนว่าฉันจำเป็นที่จะต้องเข้ามายุ่งอยู่แล้ว” เซิ่งอันเหยายกคางขึ้นอย่างเย่อหยิ่ง เธอมองไปที่เซิ่งอันหรานแล้วพูดขึ้นต่อว่า “ใครมันจะไปรู้ว่าตอนที่เธอไปอยู่ต่างประเทศเธอคบเพื่อนหรือเสเพลขนาดไหน พอเริ่มเรียนมหาวิทยาลัยเธอก็เรียนไม่จบ ไปเรียนเสริมที่ต่างประเทศ เรื่องนี้ก็คงจะโกหกได้คุณพ่อคนเดียวเท่านั้นแหละ”
คำพูดของเซิ่งอันเหยาไม่น่าฟังเอามากๆ เซิ่งอันหรานกำหมัดแน่น พร้อมกับหัวเราเยาะเย้ยเซิ่งอันเหยา
“ถ้าฉันไม่ได้ไปเรียนเสริมและไปเที่ยวเสเพลกับผู้ชายคนอื่นๆ มันจะเป็นไปตามแผนการของเธอได้อย่างไรล่ะ? ถ้าฉันไม่มีชีวิตอยู่แล้วใครจะคอยแย่งชิงสมบัติของตระกูลกับเธอล่ะ ถ้าไม่มีฉันอยู่เธอกับแม่ของเธอคนจะนอนหลับฝันหวานทุกๆ คืนล่ะสินะ?”
เซิ่งอันเหยามีสีหน้าซีดเซียวในทันที
“แกอย่ามาพูดเพ้อเจ้อนะ”
“ฉันไม่ได้พูดเพ้อเจ้อ ตัวเธอก็รู้ดีอยู่แก่ใจ” เซิ่งอันหราน พูดเตือนเธอด้วยท่าทางที่เย็นชา
“ฉันจะกลับไปหรือไม่กลับไปมันก็เป็นเรื่องของฉัน พวกเราไม่ได้มีแม่คนเดียวกัน อย่าทำตัวเหมือนว่าเป็นตัวเองพี่สาวของฉันและมาออกคำสั่งต่อหน้าฉัน ฉันไม่ใช่เด็กๆ แล้ว ต่อให้เธอร่วมมือกับแม่ของเธอก็ไม่มีปัญญารังแกฉันได้หรอก”
ประโยคสุดท้าย ฟังดูเหมือนกับเป็นคำด่า
เซิ่งอันเหยาใบหน้าถอดสีในชั่วขณะ “แกด่าใครน่ะ? แก … ”
“สุนัขที่ดีจะไม่เดินขวางทางคน”
เซิ่งอันหรานเดินชนเธอและเดินต่อไปข้างหน้า เธอทิ้งให้เซิ่งอันเหยายืนกระทืบเท้าด้วยความโมโห
“เซิ่งอันหราน รอไปก่อนเถอะ ถ้าแกเก่งจริงชาตินี้ก็อย่ากลับมาอีก”