เซิ่งอันหรานไม่พูดก็ดันอวี้หนานเฉิงเข้าห้องครัว
“คุณควรอยู่เป็นเพื่อนจิ่งซีให้มากๆ คุณเห็นเขาเล่นสนุกกับซิงซิงน้อยแค่ไหน ฉันยังได้ยินคนใช้บ้านคุณที่ดูแลเขาว่าเขาไม่เคยร่าเริงขนาดนี้ นี่มันเวอร์เกินไปแล้ว”
อวี้หนานเฉิงได้ยินคำพูดเซิ่งอันหราน ในใจก็โทษตัวเองอีกครั้ง กำลังเหม่อ ที่หน้าอกกับมีผ้ากันเปื้อนผืนหนึ่งยัดเข้ามา “สวมตัวนี้ แป้งก็จะไม่เลอะบนตัวแล้ว”
มองผ้ากันเปื้อนสีชมพูในมือ อวี้หนานเฉิงหางตากระตุก กำลังจะพูดอะไร เซิ่งอันหรานก็พูดเร่ง
“คุณยังนิ่งอยู่ทำไม รีบไปล้างมือสิ 5โมงเย็นแล้ว ไม่ทำกับข้าวเด็กทั้งสองคงได้หิวตาย”
เขาเชื่อฟังเหมือนต้องมนต์ สวมผ้ากันเปื้อนเงียบๆ ล้างมือสะอาด ทำตามเซิ่งอันหรานพูด เริ่มนวดแป้งตามเธอ
“ปกติพวกเราทำแค่คุกกี้ ทำรูปร่างกลมหรือเหลี่ยมง่ายๆ ก็พอ แต่ที่จริงเด็กไม่ได้สนใจเรื่องรสชาติ พวกเขาชอบรูปร่างภายนอกของอาหารมากกว่าอร่อย ดังนั้นตอนทำคุกกี้ พวกเราสามารถใช้พิมพ์ หรือทำรูปร่างสัตว์ด้วยตัวเอง”
เซิ่งอันหรานทำตัวอย่างให้ดู บีบแป้งลงบนกระดาษรองอบ
“คุณดู นี่ก็คือรูปร่างเป็ดน้อย เวลาทำ ไม่ต้องทำอ้วนเกิน หลังจากเข้าเตาอบมันจะขยายออกมาเอง”
เซิ่งอันหรานยืนอยู่ข้างๆ มองใบหน้าด้านข้างของเธอ จู่ๆ ในใจก็มีความรู้สึกแปลกประหลาดบางอย่าง
จู่ๆ ก็รู้สึกเธอน่าสนใจมาก น่าสนใจกว่าผู้หญิงทั้งหมดก่อนหน้านี้ที่เขาเคยเจอมาก
ไม่หยิ่งไม่เสแสร้ง ฝีมือทำงานดี ชีวิตก็มีความสุข ดีใจและกล้าหาญ เรียบๆ ง่ายๆ ยิ่งไปกว่านั้นอดทนเวลาอยู่กับเด็ก
“ลุงอวี้ คุณจะพิจารณาหม่าม้าหนูเป็นภรรยาคุณไหม?”
คำนี้เคยถูกเขาเห็นเป็นคำพูดตลกของเด็ก จู่ๆ ก็วนเวียนอยู่ในหัวขึ้นมา อวี้หนานเฉิงมือสั่น ครู่เดียวบีบแป้งออกมามากเกินไป กระดาษรองอบออกมาเป็นก้อนหนึ่งที่ยากจะอธิบายทันที
เซิ่งอันหรานขำพรืดออกมา พูดตรงไปตรงมา “ประธานอวี้ โชคดีที่เป็นสีครีม ไม่งั้นหากเราทำรสช็อกโกแลตละก็ ฉันรู้สึกว่าไม่มีคนยอมกินคุกกี้รูปร่างเหมือนก้อนอึแน่ๆ”
อวี้หนานเฉิงชะงักไปเล็กน้อย เห็นผลงานของตัวเอง น่าขายหน้าจริงๆ เลยทิ้งของในมือลงอย่างหงุดหงิดทันที
“คุณทำเองเถอะ”
“ยังใจร้อนอีก”เซิ่งอันหรานยักคิ้วให้เขา ท่าทางย่ามใจ “โอเคแล้ว ไม่ใช่ว่าไม่มีวิธีช่วย อันนี้ยังสามารถกู้ได้”
พูดอยู่ เธอเลือกหยิบแครนเบอร์รี่ลูกเล็กๆ ข้างที่อยู่ในถุง วางไปในคุกกี้ที่เหมือนอึนั้น แล้วใช้ไม้จิ้มฟันลากหางคุกกี้ให้ยาวขึ้นเล็กน้อย
“เนี่ย แบบนี้ ก็เหมือนงูเล็กตัวหนึ่งแล้ว”
อวี้หนานเฉิงมองไปที่งูเล็กที่แก้ไขแล้ว แครนเบอร์รี่ทำดวงตา แสดงถึงเงาความซุกซน ร่างบิดอย่างเกียจคร้านนอนราบอยู่บ้านกระดาษรองอบ ลากหางเรียวเล็กอยู่ด้านหลัง
เขาดูครู่หนึ่ง สายตาลากมองไปบนใบหน้าเซิ่งอันหรานอย่างไม่รู้ตัว มองท่าทีที่ได้ใจนิดๆ อย่างนั้น กลับทำให้เขาดูสบายตาแปลกๆ ตา
ตอนมื้อเย็น อวี้จิ่งซีแสดงความดีใจกว่าปกติมาก กินข้าวด้วยตัวเอง จุดนี้ทำให้อวี้หนานเฉิงตกใจ เรื่องกินของอวี้จิ่งซีเป็นปัญหาใหญ่มาโดยตลอด ไม่มีคนป้อนก็ไม่กิน ถึงจะป้อนก็ยังแค่ฝืนกินนิดเดียวเท่านั้น เทียบกับเด็กอายุ5ขวบในวัยเดียวกันแล้วผอมบางไปนิด
“จิ่งซีกินข้าวเองเป็นแล้วเหรอ?”
อวี้หนานเฉิงอดถามไม่ได้
“5ขวบแล้ว ใครทำไม่เป็น?”เซิ่งอันหรานจงใจพูดเสียงดัง “จิ่งซีของเรากินอะไรได้มากมายจริงไหม?”
อวี้จิ่งซีได้ยินก็พยักหน้าตาม แล้วยังเหล่อวี้หนานเฉิงอย่างดูถูก เหมือนเมื่อก่อนเขาซ้อนความสามารถไว้อย่างนั้น
การมองบ่นนี้ทำให้อวี้หนานเฉิงทั้งโกรธและก็ขำ สุดท้ายกับคีบกับข้าวให้อวี้จิ่งซีอย่างทำอะไรไม่ได้ น้ำเสียงอ่อนโยน
“เมื่อก่อนเป็นป่าป๊าที่ใส่ใจลูกไม่พอ กินเยอะๆ หน่อย”
หลังกินข้าวเดิมเซิ่งอันหรานเห็นสีท้องฟ้าใกล้มืดแล้วเตรียมจะกลับ เซิ่งเสี่ยวซิงกลับไม่ยอม เอาแต่พูดว่าอยากเล่นเกมด้วยกัน
ห้องรับแขกของบ้านอวี้หนานเฉิงมีจอ LCD ขนาดใหญ่อันหนึ่ง มีโหมดเกม สงครามรถถัง 4 คนสามารถเล่นได้ในเวลาเดียวกัน ต่างคนต่างหยิบจอยสติ๊กคนละอัน
รอบแรกยังเล่นไม่ถึง 5 นาที อวี้หนานเฉิงก็ยึดที่ของทั้งสามคนได้แล้ว จบเกม
เซิ่งอันหรานซึม “นี่ไม่ยุติธรรม เครื่องเล่นเกมบ้านพวกคุณ คุณคงเล่นบ่อยไม่น้อย พวกเราเป็นมือใหม่ นี่ไม่ยุติธรรม”
“ผมก็เล่นครั้งแรกเหมือนกัน”อวี้หนานเฉิงทำหน้านิ่ง “อย่าหาข้ออ้างให้กับความพ่ายแพ้ของพวกคุณ”
ได้ยินคำนี้ อวี้จิ่งซีเหยียบเท้าอวี้หนานเฉิงไปหนึ่งครั้งอย่างไม่พอใจทันที ยืนขึ้นแยกเขี้ยวเผยกรงเล็บอยู่ค่อนวัน ก็ไม่รู้ว่าเขาจะสื่ออะไร หยิบกระดานวาดรูปเขียนหนังสือบรรทัดหนึ่ง
“ป่าป๊าชั่ว”
อวี้หนานเฉิงพูดไม่ออกบอกไม่ถูก ลูบหัวอวี้จิ่งซีถามกลับ
“ป่าป๊าชนะแล้ว ป่าป๊าก็ชั่วแล้วเหรอ? จิ่งซีตรรกะนี้ของลูกไม่ดีเลย แพ้แล้วก็ต้องอกผายไหล่ผึ่ง”
อวี้จิ่งซีทำหน้าไม่พอใจ ปัดมือเขาออก กอดแขนนั่งขัดสมาธิบนพื้นด้วยความโกรธ
อวี้หนานเฉิงทำอะไรไม่ได้ ทำได้เพียงมาใหม่อีกรอบ
รอบนี้ เขาวนเวียนอย่างระมัดระวังเกือบครึ่งชั่วโมง อยากตอบโต้ในช่วงสุดท้าย กลับถูกอวี้จิ่งซีเตะจอยสติ๊กในมือทิ้ง เซิ่งอันหรานขับรถถังเข้าไปในค่ายของเขาแล้วกวาดเรียบทันที
“ว้าว ชนะแล้วๆ !”
เซิ่งเสี่ยวซิงลุกขึ้นพูดด้วยเสียงดีใจ ฉีกกระดาษเส้นหนึ่ง‘แปะ’ติดลงบนหน้าผากอวี้หนานเฉิง”ลงโทษ!”
อวี้หนานเฉิงถาม
“ทำไมเมื่อกี้พวกหนูแพ้ถึงไม่มีการลงโทษ?”
“เมื่อกี้พวกเรานั้นคือผู้เก่งกาจ เป็นการทดลอง จะมีการลงโทษได้ยังไง รอบนี้ถึงเริ่มเอาจริง”
เซิ่งอันหรานทำหน้าตามนั้น
มองลูกชายตัวเองอีกครั้ง ก็พยักหน้าตามเหมือนกัน เหมือนสุนัขรับใช้
อวี้หนานเฉิงหมดคำพูด นี่คือชักศึกเข้าบ้าน นี่คือจะกบฏแล้ว
หลังจากนั้นก็เล่นอยู่หลายครั้ง อวี้หนานเฉิงมีใจอยากชนะ แต่ก็แพ้เด็กทั้งสองที่วนเวียนมาก่อกวน สุดท้ายถูกแปะกระดาษเต็มหน้า แค่หายใจก็บินขึ้นลง เกือบมองไม่เห็นหน้าแล้ว เซิ่งอันหรานกุมท้องหัวเราะจนล้มไปบนพรม ตะโกน”เกรงว่าเกมนี้คงเล่นต่อไปไม่ได้แล้ว บนหน้าคุณไม่มีพื้นที่ให้ติดแล้ว”
เด็กทั้งสองได้ยินกระโดดตีมือกันบนโซฟาไม่หยุด ซิงซิงน้อยยิ่งหัวเราะเสียงดัง
“พอแล้ว ดึกแล้ว ฉันควรกลับแล้ว”หัวเราะก็หัวเราะพอแล้ว เซิ่งอันหรานจับโซฟาลุกขึ้น ยื่นมือให้เซิ่งเสี่ยวซิง
“ไปเถอะ ซิงซิงน้อยใกล้จะ 4 ทุ่มแล้ว หากไม่กลับอีกมันจะดึกเกินไปแล้ว”
เซิ่งเสี่ยวซิงได้ยินรอยยิ้มบนหน้าหายไปทันที เม้มริมฝีปากพูดว่า
“ไม่เอา! หม่าม้า ดึกขนาดนี้แล้ว คืนนี้พวกเราพักที่นี่ดีกว่าไหม ”
เซิ่งอันหรานสีหน้าเปลี่ยนทันที