บทที่ 699 นางเซียนงามวิลาสนางหนึ่งปรากฏ จะใช่ซีหรือไม่?
หลังขึ้นมาบนนาวาสมุทรของเผ่าวาฬสวรรค์ หัวหน้าเผ่าปลามังกรก็สบายใจได้อย่างสิ้นเชิง
มีเผ่าวาฬสวรรค์คอยหนุนหลังมัน มันไม่มีสิ่งใดต้องเกรงกลัวอีก
“ฮ่า ๆ เจ้าตะขอนั่นไม่กล้าแล้วใช่หรือไม่!”
มันแหงนมองอวกาศ ท้าทายต่อไป นึกอยากเรียกเจ้าพวกที่ตกเผ่าปลามังกรของมันออกมาให้หมด
“เดี๋ยวสิ…นี่มันไม่ถูก!”
ไม่นานนัก มันก็ตระหนักถึงบางอย่าง สีหน้าเปลี่ยนไปในบัดดล
เหตุใดถึงไม่มีสมาชิกเผ่าวาฬสวรรค์คุยกับมันเลย?
มันมองสมาชิกเผ่าวาฬสวรรค์บนเรือด้วยความฉงน ก่อนจะร้องเรียก “สหาย?”
กระนั้นก็ยังไม่มีสมาชิกเผ่าวาฬสวรรค์คนใดสนใจมัน
“บัดซบ! ข้าติดกับแล้ว!”
มันสบถออกมา อยากร่ำไห้นัก สถานการณ์พิลึกเกินไปแล้ว มันอาจเจอเข้ากับภาพลวงตาเช่นกัน!
ไม่ทันได้คิดไปมากกว่านี้ มันกระโจนตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว หมายจะออกไปจากนาวาสมุทรลำนี้
ทว่าตอนนั้นเอง จู่ ๆ ก็มีลำแสงเจิดจ้ามากมายพวยพุ่งออกจากนาวาสมุทร สิ่งมีชีวิตทั้งหมดบนนาวา รวมถึงนาวาลำนี้สลายไปอย่างรวดเร็ว!
“ติดกับเข้าแล้วจริง ๆ!”
หัวหน้าเผ่าปลามังกรร่ำไห้ อยากหนีไปจากที่นี่อย่างยิ่งยวด แต่มันหนีไปได้ที่ไหน ท่ามกลางม่านแสงที่กำลังหายไป ตะขอตกปลาอันโดดเด่นปรากฏ
จากนั้น มันโดนตกขึ้นไป พลังทั้งหมดถูกสะกด
ซ่า!
ริมทะเลสาบ หลี่จิ่วเต้าเห็นแล้วปลื้มปีติยิ่ง
ที่นี่เป็นรังปลามังกรจริง ๆ ด้วย ดูที่เขากับพวกลั่วสุ่ยตกขึ้นมาสิ มีแต่ปลามังกรทั้งนั้น ถังแล้วถังเล่า เต็มถังทุกใบ
“ไม่เลวเลย”
หลี่จิ่วเต้าหัวเราะไม่หยุด คราวนี้ ‘ขนม’ ของลั่วสุ่ยก็เพียงพอแล้ว
ปลามังกรมากมายเพียงนี้ ลั่วสุ่ยกินทุกวันยังไม่เป็นปัญหา
เขารู้สึกว่าพอประมาณแล้ว ประกอบกับฟ้าเริ่มมืด จึงเรียกให้พวกลั่วสุ่ยหยุด
“เรามาดูกันเถิดว่าผู้ใดตกได้เยอะที่สุด”
ก่อนหน้านี้เขากล่าวไว้ว่า ผู้ใดตกได้เยอะที่สุดมีรางวัล
ระยะห่างชัดเจนยิ่งนัก นอกจากเขาแล้ว ลั่วสุ่ยนั้นตกได้เยอะสุด รองลงมาเป็นหลิงอิน และผู้ที่ตกได้น้อยที่สุดก็คือเซี่ยเหยียน
นางมีความอดทนไม่พอ มักดึงไม้ตกปลาขึ้นก่อนเสมอ ทันทีที่หย่อนตะขอตกปลาลงไป ก็รู้สึกว่ามีปลามาติดเบ็ด จึงเสียเวลาไปไม่น้อย ตกปลาได้ไม่มากนัก
“เซี่ยเหยียน เจ้าต้องขัดเกลาจิตใจให้ดี เจ้าดูสิ พวกอ้ายฉานยังตกได้มากกว่าเจ้าอีก”
หลี่จิ่วเต้าเอ่ย เซี่ยเหยียนนั้นดีทุกอย่าง เพียงแต่ใจร้อนเกินไป
“ข้ากับลั่วสุ่ยไม่นับ เราสองคนตกปลากันบ่อยแล้ว พวกเจ้าทุกคนล้วนเพิ่งเคยตกปลาครั้งแรก”
ชายหนุ่มหยิบพวงห้อยรูปตะขอตกปลาสีทองอันหนึ่งออกมา
“ที่เหลือก็มีหลิงอินที่ตกได้เยอะสุด มาสิ นี่เป็นของที่ให้เจ้า”
เขายื่นพวงห้อยรูปตะขอตกปลาสีทองให้หลิงอิน
นี่คือพวงห้อยรูปตะขอตกปลาทองคำแท้ที่เขาทำขึ้นเอง ยามออกจากบ้าน เขาติดไม้ติดมือของแบบนี้มาไม่น้อย
“ขอบคุณคุณชาย!”
หลิงอินกล่าวขอบคุณคุณชาย และรับพวงห้อยรูปตะขอตกปลาทองคำแท้มา
หลังนางรับมาไว้ในมือ ก็เกิดความรู้สึกหนึ่งขึ้นฉับพลัน ราวกับไม่ว่าสิ่งใด นางสามารถตกได้ทั้งสิ้น!
ใช่แล้ว ความรู้สึกที่ตกได้ทุกสิ่ง ไม่ใช่แค่ปลาเท่านั้น หากแต่รวมถึงทุกอย่าง!
นางรู้สึกว่ามีพวงห้อยรูปตะขอตกปลาทองคำแท้นี้อยู่ หากได้ไปภพเซียนอีกครั้ง นางแค่หย่อนตะขอทองคำแท้นี้ออกไป แม้แต่จักรพรรดิเซียนยังต้องติดเบ็ด โดนนางตกขึ้นมา!
“ผลงานคุณชาย ล้วนแต่ล้ำเลิศกันทั้งสิ้น!”
นางสะท้อนใจจากใจจริง
หากนางต้องต่อสู้กับจักรพรรดิเซียนจริง ๆ ความห่างชั้นนั้นคงไม่รู้ตั้งเท่าไร บัดนี้มีพวงห้อยรูปตะขอตกปลาทองคำแท้นี้ในมือ จักรพรรดิเซียนไม่เป็นอันตรายสำหรับนางอีกต่อไป นางตกได้ตามที่ต้องการ
คืนนั้น หลี่จิ่วเต้ายุ่งอยู่ทั้งคืน จับปลามังกรเหล่านี้ทำเป็นปลาตากแห้ง เก็บไว้ให้ลั่วสุ่ยกินเป็นขนม
เซี่ยเหยียนเห็นแล้วอิจฉาสุด ๆ
ในใจคุณชาย ลั่วสุ่ยมีความสำคัญมากจริง ๆ นางรู้สึกว่าทั้งนางทั้งหลิงอินต่างเทียบกับความสำคัญของลั่วสุ่ยในใจไม่ได้
ทะเลสาบแห่งนั้นไฉนเลยจะตกขึ้นมาได้แต่ปลามังกรเล่า ไม่ต้องคิดก็รู้แล้วว่าทั้งหมดนี้คงเกี่ยวข้องกับคุณชาย
เห็นได้ชัดว่าคุณชายทำเช่นนี้ก็เพื่อลั่วสุ่ย
การเดินทางดำเนินต่อไป อสูรทั้งเก้าลากรถบินผ่านภูเขาลูกแล้วลูกเล่า คูเมืองแห่งแล้วแห่งเล่าอย่างช้า ๆ แล่นอยู่ในชั้นเมฆ
“สหาย พวกท่านก็จะไปเขาเฟิ่งหวาเช่นกันหรือ”
ระหว่างทาง เด็กหนุ่มผู้หนึ่งขี่กระบี่เข้ามา เอ่ยกับผู้คนในรถลาก
“เขาเฟิ่งหวาหรือ?”
หลี่จิ่วเต้ายืนอยู่ข้างหน้าต่าง ถามด้วยความใคร่รู้ “ที่นั่นเกิดเรื่องใดขึ้นหรือ”
“สหายไม่ทราบหรอกหรือ”
เด็กหนุ่มผงะ “ข้าเห็นทิศที่พวกสหายมุ่งหน้าไปคือด้านเขาเฟิ่งหวา จึงคิดว่าพวกสหายกำลังจะไปที่นั่น”
จากนั้น เขาก็เล่าเหตุการณ์ในเขาเฟิ่งหวาให้ฟัง
“ในแดนทักษิณทิศมีนางเซียนงามพิลาสนางหนึ่งปรากฏ ไม่เพียงแต่มีรูปโฉมเป็นหนึ่ง ขอบเขตพลังยังลึกล้ำเกินหยั่ง บัดนี้ ที่เขาเฟิ่งหวาคึกคักอย่างมาก สิ่งมีชีวิตผู้ฝึกตนมากมายต่างอยากยลโฉมนางเซียนงามพิลาสนางนี้”
เขากล่าวต่อ “ข้าเองก็จะไปที่นั่น”
“นางเซียนงามพิลาสหรือ”
หลี่จิ่วเต้าตาเป็นประกาย จะใช่ซีหรือไม่
เขาถามเด็กหนุ่ม “เจ้าเคยเจอนางเซียนท่านนี้หรือไม่”
“ไม่เคย!”
เด็กหนุ่มส่ายหัว “นางเซียนไฉนเลยจะเจอกันได้ง่าย ๆ ที่ข้าไปครานี้ ก็เพื่อยลโฉมของนางเซียน ที่เหลือข้ามิกล้าคิดหรอก”
“เข้าใจแล้ว”
หลี่จิ่วเต้าชักสนใจ อยากไปที่เขาเฟิ่งหวา
“สหายอยากเข้ามาหรือไม่ เราไปที่เขาเฟิ่งหวาด้วยกันเถิด”
หลี่จิ่วเต้าเอ่ยยิ้ม ๆ
“ไม่เป็นไร”
เด็กหนุ่มหัวเราะ “ข้าชอบความรู้สึกที่ได้ขี่กระบี่โต้ลม มิฉะนั้น ข้าคงเลือกเดินทางด้วยรถลากเฉกเช่นพวกสหายแล้ว”
“ขี่กระบี่โต้ลมหรือ…ดียิ่ง” หลี่จิ่วเต้ากล่าว
ขี่กระบี่โต้ลม เป็นเรื่องที่เขาอยากทำมาตลอด
อนิจจา แม้เขาจะได้ศาสตรามาไม่น้อยที่เหาะเหินเดินอากาศได้เช่นกัน อย่างเช่นธงฮุ่นหยวน ทว่าเมื่อเทียบกับการขี่กระบี่โต้ลม ก็ยังต่างกันมากนัก
เขาอยากขี่กระบี่โต้ลมมากกว่า
ทว่าน่าเสียดาย ในบรรดาศาสตราของเขา ไม่มีกระบี่เหินฟ้า
‘ยังเด็กนัก ยังเด็กจริง ๆ!’
หลิงอินคิดในใจ เด็กหนุ่มผู้นี้พลาดโอกาสวาสนาชั้นดี คุณชายออกปากเชื้อเชิญเชียวนะ หลังขึ้นมาบนรถลาก ลำพังน้ำชาสักถ้วยที่คุณชายประทานให้ก็เป็นประโยชน์ต่อเด็กหนุ่มมหาศาลแล้ว
เด็กหนุ่มขี่กระบี่อยู่ด้านนอก มุ่งหน้าไปทางเขาเฟิ่งหวาพร้อมกับรถลากเก้าอสูร
ระหว่างทาง หลี่จิ่วเต้าสนทนากับเด็กหนุ่มถึงเรื่องราวต่าง ๆ และได้รู้ชื่อแซ่ของเด็กหนุ่ม
เด็กหนุ่มมีนามว่าฉินหวายเฟิง มาจากสำนักฝึกตนขนาดเล็กในแดนทักษิณทิศ หลี่จิ่วเต้าลองถามเซี่ยเหยียนดูแล้ว นางบอกว่าไม่รู้จัก
หลี่จิ่วเต้าจึงนึกในใจว่าสำนักฝึกตนแห่งนี้เล็กจริง ๆ ด้วย
หากใหญ่กว่านี้หน่อย คงไม่ถึงขั้นที่เซี่ยเหยียนไม่เคยได้ยิน
ทว่าเขามิได้ใส่ใจ ผู้ที่เขาต้องการสานไมตรีคือฉินหวายเฟิง หาใช่กลุ่มอำนาจเบื้องหลังฉินหวายเฟิง
และหากว่ากันจริง ๆ เขายังสู้ฉินหวายเฟิงไม่ได้ด้วยซ้ำ เขาเป็นเพียงปุถุชนธรรมดาผู้หนึ่งเท่านั้น
ฉินหวายเฟิงเองก็ตกตะลึงไปเหมือนกัน รู้สึกได้จากวาจาของหลี่จิ่วเต้าว่าตัวเขาไม่ธรรมดา อาจมีภูมิหลังยิ่งใหญ่
ทว่าเขาสัมผัสพลังปราณจากตัวหลี่จิ่วเต้ามิได้เลย นี่เป็นเพราะขอบเขตของหลี่จิ่วเต้าสูงชั้นกว่าเขามากเกินไปหรือ
เขาไม่เชื่อหรอกว่าหลี่จิ่วเต้าเป็นปุถุชน…
ด้านเขาเฟิ่งหวาคึกคักอย่างแท้จริง พวกเขายังไปไม่ถึงเขาเฟิ่งหวา ขนาดยังห่างกันสักระยะ ก็ได้เจอะเจอผู้ฝึกตนระหว่างทางไม่น้อย ทั้งหมดต่างเดินทางไปยังเขาเฟิ่งหวา
เริ่มแรกฉินหวายเฟิงมิได้เป็นอันใด ขี่กระบี่อยู่ข้างนอกไปเรื่อย ๆ ทว่า จู่ ๆ สีหน้าเขาก็เปลี่ยนไป เอ่ยถามต่อหลี่จิ่วเต้าในรถลาก “สหาย ข้าเข้าไปได้หรือไม่”
หลี่จิ่วเต้าแปลกใจนิดหน่อย จู่ ๆ เหตุใดฉินหวายเฟิงถึงอยากเข้ามาในรถลาก
ที่นี่ยังห่างจากเขาเฟิ่งหวาอยู่ระยะหนึ่ง ฉินหวายเฟิงไม่อยากขี่กระบี่แล้วหรือ
กระนั้นเขายังตอบออกไปว่า “ได้สิ”
“ขอบคุณสหาย!”
ฉินหวายเฟิงกล่าวขอบคุณรัว กำลังจะเข้ามาในรถลาก
แต่แล้วในตอนนั้นเอง เสียงอสูรคำรามดังขึ้น ฉินหวายเฟิงกระเทือนจนตัวโอนเอน เกือบล้มลงไปจากกระบี่
“ฉินหวายเฟิง ข้าเคยบอกแล้วใช่หรือไม่ ห้ามปรากฏตัวต่อหน้าข้าอีก มิฉะนั้น ข้าจะเล่นงานเจ้าทุกครั้งที่เจอ!”
เสียงแค่นจมูกเย็น ๆ ดังมาจากด้านหลัง เห็นได้ชัดว่ารู้จักฉินหวายเฟิง มาถึงก็เรียกชื่อเขา
ฉินหวายเฟิงถอนหายใจ สุดท้ายก็หนีไม่พ้นหรือ?
ใช่แล้ว ที่จู่ ๆ เขาอยากเข้าไปในรถลาก ก็เพราะก่อนหน้านี้เขาบังเอิญเห็นเจ้าของสัตว์อสูรตอนหันกลับไปมอง และเพื่อหลบหน้าเจ้าของสัตว์อสูรด้านหลังผู้นั้น ถึงได้อยากเข้าไปในรถลาก
แต่ก็ยังช้าไปก้าวหนึ่ง เจ้าของสัตว์อสูรด้านหลังเห็นเขาเสียก่อน
“สหาย พวกเจ้าไปก่อนเถิด เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพวกเจ้า”
ฉินหวายเฟิงบอกกับหลี่จิ่วเต้า ไม่ต้องการให้พวกหลี่จิ่วเต้าต้องติดร่างแหไปด้วย
เจ้าของสัตว์อสูรมีฐานะไม่ธรรมดา ภูมิหลังยิ่งใหญ่ หากพวกหลี่จิ่วเต้าพัวพันเข้ามาด้วย ย่อมต้องตกระกำลำบาก
จากนั้น เขาเหินไปด้านหลังคนเดียว ประจันหน้ากับเจ้าของสัตว์อสูร
ใช่ว่าเขาไม่อยากหนี แต่เขารู้ดีว่า ในสถานการณ์ที่เจ้าของสัตว์อสูรพบเขาแล้ว เขาไม่มีทางหนีพ้น ความต่างของพลังมากเกินไป
“ข้าก็อยากไป แต่พวกเจ้าไม่ให้โอกาสข้า”
ฉินหวายเฟิงบอกกับเจ้าของสัตว์อสูรด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
สัตว์อสูรมหึมายืนตระหง่านอยู่กลางอากาศ นี่คืออสูรทองที่เนื้อตัวทองอร่าม องอาจไม่ธรรมดา และบนหลังของมัน มีหนุ่มสาววัยเยาว์คู่หนึ่งนั่งอยู่
ผู้ที่แค่นเสียงผ่านจมูกใส่ฉินหวายเฟิงเมื่อครู่ก็คือบุรุษวัยเยาว์ผู้ขี่อยู่บนหลังอสูรทอง เขากอดสตรีวัยเยาว์นางนั้นในอ้อมอก
“ไม่ว่าอย่างไร เจ้าก็ปรากฏตัวต่อหน้าข้าแล้ว เจ้าคงรู้ดีว่าจะพบจุดจบเช่นไร”
บุรุษวัยเยาว์ปรายตามองฉินหวายเฟิงด้วยหน้าตาเย็นชา
เขาไม่สนเรื่องเหตุผล ตราบใดที่ฉินหวายเฟิงปรากฏตัวเบื้องหน้าเขา เขาก็จะไม่ยอมปล่อยฉินหวายเฟิงไปง่าย ๆ
“ท่านพี่จง คิก ๆ พวกเราสั่งสอนหมอนี่มาหลายต่อหลายครั้งแล้ว ครั้งนี้ปล่อยเขาไปเถิด”
สตรีในอ้อมกอดบุรุษวัยเยาว์เอ่ยด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม
สตรีนางนี้ช่วยออกหน้าแทนเขาหรือ
ฉินหวายเฟิงประหลาดใจอย่างมาก คิดไม่ถึงเลย
“ขอบคุณ”
เขากล่าวขอบคุณสตรีนางนั้น พลางหันหลังจะไปจากที่นี่
“ช้าก่อน อย่าเพิ่งรีบไปสิ ข้าบอกให้เจ้าไปแล้วหรือ”
สตรีนางนั้นคลี่ยิ้ม เรียกฉินหวายเฟิงไว้
ฉินหวายเฟิงชะงัก หันกลับไปมองนาง คิ้วขมวดมุ่น นี่นางหมายความว่าอย่างไร
“แค่ขอบคุณคำเดียวก็จบแล้วหรือ”
สตรีนางนั้นหัวเราะ “แบบนี้ ข้าไม่รู้สึกถึงความจริงใจเลยสักนิด…”
“เจ้าต้องการอันใด”
ฉินหวายเฟิงถาม
เขาทอดถอนใจ นึกเย้ยหยันตนเองที่ไร้เดียงสานัก
ด้วยนิสัยใจคอของสตรีนางนี้ ไฉนเลยจะช่วยออกหน้าแทนเขา
เขาคิดมากเกินไปจริง ๆ!
อย่างที่คิด นางคลี่ยิ้มละมุน วาจาที่เอื้อนเอ่ยออกมาทำเอาเขาโกรธจนตัวสั่น
“ในเมื่อจะขอบคุณข้า ก็ต้องทำให้ข้าพอใจถึงจะถูก”
นางกล่าว “ข้าอยากเห็นเจ้าทำตัวเลียนแบบสุนัข หมอบอยู่กับพื้นแล้วเห่า แบบนี้ข้าก็จะรู้สึกถึงความจริงใจของเจ้า”
จากนั้น นางก็เสริมอีกประโยค
“ผู้ได้พานพบกันล้วนมีวาสนาต่อกัน เจ้าอย่าปล่อยให้สหายของเจ้าอยู่ว่าง ๆ เลย เรียกพวกเขาออกมาเลียแบบสุนัขให้ข้าดูพร้อมกับเจ้าเลยแล้วกัน”
นางชี้ไปทางรถลาก เอ่ยเสียงสงบ