The Divine Nine Dragon Cauldron – ตอนที่ 1301 – แผนของทั้งสองฝ่าย

ตอนที่ 1301 - แผนของทั้งสองฝ่าย

ตอนที่ 1301 – แผนของทั้งสองฝ่าย

  เมื่อเห็นว่าทั้งสองกำลังจะโต้เถียงกันอีกครั้งเจ้าพันธมิตรกล่าว

  “เทพสีเงินเจ้าเป็นคนของพันธมิตรประจิมแล้ว เจ้าอย่าได้ผลีผลามนัก คืนกงซุนชางไปเสีย ข้าเชื่อว่าหลังจากเรื่องนี้แล้ว กงซุนชางจะไม่กล้าก่อเรื่องอะไรกับสองพ่อลูกนี้อีก”

  ขณะที่พูดเจ้าพันธมิตรไม่ได้มองสองพ่อลูกเลย

  ซือหยูหันไปพูด

  “ข้าพูดเรื่องจริงกงซุนชางตายไปนานแล้ว! ข้าฆ่ามันตายสิ้นซากตั้งแต่ในห้องลับใต้ดินแล้ว…โอ๊ะ เกือบลืมไป ไม่สิ้นซากสิ ยังเหลือเศษหนังอยู่ตรงนี้”

  ฟึ่บ…

  ซือหยูดีดนิ้วและเรียกคุกเทพอสูรออกมา

  กงซุนชางดวงตาแดงก่ำเขาร้องคำรามราวกับสัตว์ป่า เขาพยายามจะกระโจนใส่ทุกคนที่เห็น

  เขาไม่ใช่ทั้งคนหรือสัตว์แต่เป็นสิ่งที่ต่างออกไป

  เทพกงซุนมองเขาจากระยะไกลกงซุนชางที่ร้องคำรามอยู่ไม่มีสติปัญญาเหลืออยู่อีกแล้ว

  เทพกงซุนโกรธเกรี้ยวเขาเบิกตากว้างจนลูกตาแทบจะหลุดจากเบ้า เขาตะโกน

  “กล้าดียังไงถึงได้ลบสติปัญญาออกไป!”

  หากดวงวิญญาณยังอยู่เขาจะนำลูกชายกลับมาได้

  แต่สติปัญญาในดวงวิญญาณถูกลบหายไปแล้วเขาจะแตกต่างอะไรกับสัตว์ป่าเล่า?

  “เพราะเรื่องชั่วช้าที่มันทำในอดีตมันย่อมหนีความผิดบาปไม่พ้น! มันควรจะรู้ดีกว่าใครในตอนที่ขัดขวางความสุขของกงซุนหยา! การทำลายกายหยาบกับลบสติปัญญาเป็นเรื่องการลงโทษเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น   “แล้วก็…”

  ซือหยูพูดต่ออย่างเยือกเย็น

  “เจ้าควรจะรู้สำนึกในเจ้าพันธมิตรที่เห็นแก่เจ้ามิเช่นนั้น เจ้าคิดรึว่าชะตาเจ้าจะดีไปกว่าสภาพลูกชายเจ้าตอนนี้?”

  ทุกคนตัวแข็งทื่อในทันที

  ใช่แล้วจากสถานการณ์เมื่อครู่ ซือหยูไม่คิดจะไว้ชีวิตเทพกงซุนแม้แต่น้อย

  หากเจ้าพันธมิตรไม่ปรากฏตัวเทพกงซุนอาจจะตายไปแล้วก็ได้

  “หากยังมีสมองก็จงหุบปากและเลิกทำหน้าแบบนั้นเสียถ้าเจ้ากล้าทำข้าหงุดหงิด ข้าจะฆ่าเจ้าให้ตายเยี่ยงสุนัข!”

  เหล่าคนดูไม่ได้ตกตะลึงกับคำขู่แต่เป็นความอวดดีของคำพูดซือหยู

  “นี่มันไม่เกินไปเหน่อยเรอะ?”

  “ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย!ข้าลูกเจ้า ทำลายเรือนเจ้า แล้วขู่ให้หุบปาก ไม่งั้นจะฆ่าเจ้าด้วย…น่าขันเสียจริง!   “ถ้าข้าเป็นเทพสีเงินก็คงได้ตายตาหลับ!อยากจะเป็นเทพสีเงินจริง ๆ!”

  ความเยือกเย็นเด็ดขาดและเกินทนของเขาเป็นสามสิ่งที่ทำให้เจ้าพันธมิตรประจิมต้องรับแรงปะทะทางความรู้สึก

  พวกเขาต่อสู้กับเผ่าอสูรมาตลอดเวลาเขาคิดว่านิสัยใจคอของพวกเขานั้นหยาบกร้านจนเกินทนอยู่แล้ว

  แต่เทียบกับซือหยูพวกเขาไม่แม้แต่มีค่าให้พูดถึง!

  เจ้าพันธมิตรขมวดคิ้วเขาหันไปพูด

  “เทพกงซุนพวกเราล้วนเป็นตระกูลใหญ่ ลืมเรื่องในอดีตเสียเถอะ อย่าได้ก่อปัญหาภายในอีก เข้าใจหรือไม่?”

  ปอดเทพกงซุนเทพจะระเบิดด้วยความแค้นบนโลกยังมีความยุติธรรมอยู่หรือไม่?

  แต่ต่อหน้าเจ้าพันธมิตรเทพกงซุนมิอาจเผยความคิดแค้นออกมาได้ เขากัดฟันตอบ

  “ก็ได้!   นี่เป็นจุดจบที่ดีที่สุดแล้ว

  “หากทุกอย่างจบลงแล้วพวกเราก็กลับกันเถอะ”

  ซือหยูนำเทพไม้สองพ่อลูก และเทพรับใช้อีกหกคนกลับสู่พันธมิตรประจิม

  ในฐานะตัวแทนเทพซือหยูจะได้อยู่ในตำหนักของเทพที่ถูกปลดจากตำแหน่งเป็นการชั่วคราว

  “เทพสีเงินทนอยู่ที่นี่ไปสักระยะ ต้องใช้เวลากว่าตำหนักใหม่จะสร้างเสร็จ”

  เจ้าพันธมิตรกล่าว

  ซือหยูตอบ

  “ข้าไม่ถือ”

  “ในอีกห้าวันเราจะจัดงานเลี้ยงต้อนรับเจ้าจะมีเทพมาพบเจ้าด้วย”

  ซือหยูอยากจะปฏิเสธในทีแรกแต่เขาเป็นเทพในพันธมิตรประจิมแล้ว เขาจะทำได้หรือ?   “ข้าจะตั้งตารอ!”

  เมื่อส่งเจ้าพันธมิตรกลับเขาเริ่มจัดแจงภาระในตำหนัก

  เทพอวี่และหกเทพมองหน้ากัน

  “คารวะเทพสีเงินพวกเราจะภักดีต่อท่านจนตัวตาย!”

  ซือหยูพยักหน้า

  “ดีติดตามข้าแล้วพวกเจ้าจะไม่อดอยาก”

  “พวกเจ้าคุ้มกันตำหนักอย่าให้ใครเข้ามาได้”

  ฟึ่บ!

  เทพอวี่และหกเทพคุ้มกันทุกมุมของตำหนักในทันที

  ซือหยูพาเทพไม้และสองพ่อลูกไปยังห้องรับรอง

  ปั่ก…

  ทันทีที่เข้าถึงห้องกงซุนหยาเข่าตกลงกับพื้น เขาโค้งคำนับ  เขาดึงมือกงซุนหวูซื่อให้คุกเข่าด้วย

  “มาขอบคุณผู้มีพระคุณของเรา!”

  กงซุนหวูซื่อเปิดปากแต่เมื่อคิดถึงความชอบที่มีต่อซือหยู และเขายังเป็นผู้มีพระคุณอีก นี่มันอะไรกัน! นางจะใช้โอกาสนี้สารภาพความรู้สึกดีไหม?

  ขณะที่นางลังเลพ่อนางกดหัวนางให้โน้มไปข้างหน้าเบา ๆ ทำให้นางคุกเข่า

  กงซุนหยาเองก็คุกเข่าก้มหน้าคารวะแทบพื้น

  ซือหยูอยากจะดึงทั้งสองขึ้นมาแต่กงซุนหยาไม่ยอมเขาพูดด้วยความขอบคุณ

  “มิเพีัยงแต่ครอบครัวเราจะรอดชีวิตแต่พวกเรายังได้กลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง ทั้งหมดก็เพราะเจ้า! พวกเราไม่มีทางตอบแทนพระคุณครั้งนี้ได้เลย”

  “เรารู้จักกันดีอยู่แล้วเจ้าจะมากพิธีไปเพื่ออะไรกันเล่า?”

  ซือหยูหัวเราะเขายื่นมือดึงทั้งสองขึ้น  “และข้าก็ไม่คิดว่ามันจะง่ายอย่างที่เจ้าคิด”

  กงซุนหยาผงะ

  “หมายความว่ายังไง?”

  ซือหยูตอบ

  “จากที่ข้าดูเจ้าพันธมิตรยังไม่ยอมรับพวกเจ้าอย่างจริงใจ ข้ากังวลว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงในพิธีแต่งงานของเจ้าด้วย”

  “เขาจะคืนคำพูดรึ?ไม่มีทาง เจ้าพันธมิตรสัญญาต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้ เจ้าพันธมิตรย่อมไม่กลับคำแน่…”

  กงซุนหยาเริ่มเป็นห่วงเรื่องของตัวเองอีกครั้ง

  ซือหยูส่ายหน้าถอนหายใจ

  กงซุนหยาสร้างชื่อให้ตัวเองในโลกจิวโจวและตั้งตัวเองเป็นจ้าวผาบั่นภูติ

  แต่ยามที่ผู้คนตกทุกข์ได้ยากพงกเขามักจะเชื่อในสิ่งที่ตนเองอยากเชื่อเท่านั้น  แม้จะตระหนักว่าซือหยูอาจพูดถูกเขาก็รู้เหตุผลที่ทำให้เขาเชื่อในตัวเจ้าพันธมิตร

  “หากจะล้มเลิกการแต่งงานของเจ้าเจ้าพันธมิตรไม่จำเป็นต้องคืนคำตรง ๆ คนผู้นี้เจ้าเล่ห์ สีหน้ายากจะอ่าน ต้องเจ้าอุบายพอสมควร ไม่ยากที่เขาจะเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ให้ตนเองได้เปรียบ”

  ซือหยูกล่าว

  พ่อลูกกงซุนเงียบไปบรรยากาศเริ่มหม่นหมอง

  “แต่สบายใจได้หากมีข้าอยู่ ข้าจะไม่หยุดจนกว่าทุกอย่างจะจบลง”

  กงซุนหยาขอบคุณเขา

  “ขอบคุณมากผู้มีพระคุณของเรา”

  “ไปพักผ่อนเถอะเจ้าลำบากมามากพอแล้ว”

  พ่อลูกกงซุนจากไปเทพไม้ถาม

  “เจ้าเองก็คิดว่าเจ้าพันธมิตรไม่ได้คิดแค่นั้นสินะ?   “ขนาดเจ้าที่คิดถึงแต่เรื่องเงินทองยังคิดได้ข้าที่ตาไม่บอดก็มองออกเหมือนกัน”

  “เจ้าพูดแบบนี้ข้าเสียใจมากนะ”

  “แต่แปลกถ้าเจ้าพันธมิตรไม่ให้เจ้าเข้าร่วมพันธมิตรตั้งแต่ตอนนั้น เรื่องมันก็จบลงไปแล้วไม่ใช่รึ?”

  “มันไม่ง่ายอย่างนั้นเจ้าพันธมิตรอยากจะใช้ข้า”

  “เจ้าเดาออกไหมล่ะ?”

  “ข้าไม่ใช่เทพข้าจะไปรู้ก้าวถัดไปของมันรึ? แต่ข้าพอจะเดาได้”

  ซือหยูตาเป็นประกาย

  “ข้าแค่หวังว่ามันจะไม่เป็นแบบที่เลวร้ายที่สุดก็พอ!”

  …

  ด้านในตำหนักเจ้าพันธมิตร…

  หลังเจ้าพันธมิตรกลับมาเขาก็เริ่มทำสมาธิคนเดียวราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น  แต่ก่อนที่จะเข้าสู่ภาวะสมาธิเขาลืมตาช้า ๆ

  “ข้ารู้ว่าเจ้ามาเข้ามาได้”

  ฟึ่บ…

  เทพกงซุนปรากฏตัวหน้าเจ้าพันธมิตรและถามอย่างไม่สบายใจ

  “เจ้าพันธมิตรข้าภักดีมาโดยตลอด ติดตามท่านมาหลายปี ข้าไม่คู่ควรเท่ากับคนนอกนั่นรึ?”

  เจ้าพันธมิตรส่ายหน้า

  “หลายปีที่ผ่านมาไม่ได้ทำให้เจ้ารู้จักใจเย็นบ้างเรอะ!ตระกูลปราบอสูรอื่นจะไม่พอใจเจ้า”

  อะไรนะ?เทพกงซุนดูเหมือนจะจับใจความได้

  “เจ้าพันธมิตรหมายความว่ายังไง?”

  “เจ้าติดตามข้าตั้งแต่ข้ายังเป็นเทพธรรมดาก้าวทีละก้าวจนมาเป็นเจ้าพันธมิตร เจ้ากล้ากล่าวหาว่าข้าเห็นคนนอกดีกว่าผู้ที่ติดตามข้าได้ยังไง?”

  เทพกงซุนรีบพูด

  “แต่วันนี้…”

  “ข้าก็แค่ทำให้คนอื่นๆ เห็นเท่านั้น”

  “ข้าไม่เข้าใจท่านให้ตำแหน่งเทพสีเงิน ถึงกับหมั้นหมายเฟยเอ๋อให้กงซุนหยา นอกจากข้าจะอัปยศ ท่านก็เสียหน้าด้วย! ถ้าไม่ใช่เพราะพลังของมันท่านจะทำไปทำไม? ทำไมต้องให้มันได้สิ่งที่ต้องการด้วย?”

  เทพกงซุนเปิดเผยข้อกังขา

  เจ้าพันธมิตรถอนหายใจ

  “ข้าถึงบอกว่าเจ้าไม่รู้จักใจเย็น!ข้าเห็นพลังของมัน แต่ข้าไม่ได้ตั้งใจจะให้มันอยู่ฝ่ายเดียวกัน! คนตระกูลอื่นอาจจะเป็นได้ แต่เจ้าคิดรึว่าคนจากพันธมิตรบูรพาจะมาแทนที่เจ้าและเป็นมือขวาของข้า?”

  “ข้าต้องการใช้มันจัดการตระกูลฉีเหมินไอ้แก่ฉีเหมินเจี้ยนนั่นแอบซ่องสุมกำลัง มีในตระกูลปราบอสูร มีเจ็ดตระกูลใหญ่ที่โน้มเอียงสนับสนุนมัน หากเป็นเช่นนี้ต่อไปจะไม่ดีกับพวกเรา”

  “ข้าต้องการกำลังคนนอกเพื่อทำลายตระกูลฉีเหมินเทพสีเงินคือหมากที่ดี! ข้าให้ตำแหน่งเทพสีเงินกับมันเพื่อให้มันมีอำนาจ มิเช่นนั้นคนนอกจะเข้าออกดินแดนพันธมิตรประจิมได้ง่าย ๆ รึ?”

  เทพกงซุนดวงตาสดใสขึ้น

  “แล้วเรื่องแต่งงานล่ะ?หากเกิดขึ้นเมื่อใด ท่านกับข้าจะถูกหัวเราะเยาะ”

  เจ้าพันธมิตรแววตาเย็นชา

  “พวกมันก็ต้องเอาชีวิตรอดให้ได้ถึงวันแต่งงาน!”

  …

  ย้อนกลับมาที่ตำหนักชั่วคราว…

  ซือหยูอยู่ในห้องลับกำแพงสี่ด้านถูกปิดแน่นหนา แม้แต่เทพก็พังเข้ามาไม่ได้

  เทพไม้คุ้มกันอยู่ด้านนอกนางพูดด้วยความระแวง  “ทำตัวแปลกๆ แบบนี้ ไม่ได้ทำเรื่องดีอยู่แน่”

  เทพอสูรสี่คนยืนอยู่ที่หน้าซือหยู

  เจ้าหมาองค์หญิงหก องค์หญิงสอง และองค์ชายหนึ่งที่ในที่สุดก็ตื่นขึ้นมา

  หลังจากสลบไปจากแผนของซือหยูองค์ชายหนึ่งหมดสติไปหนึ่งเดือนเต็ม

  ในขณะเดียวกันซือหยูก็ช่วยเขาจรัดเลือดยักษ์ทะเลขมที่ยังอยู่ในร่างจนองค์ชายหนึ่งฟื้นพลังได้เต็มที่

  แน่นอนว่าผนึกหกเทพที่ฝังลึกในร่างเหล่าอสูรยังคงอยู่ในกำมือซือหยู

  สามองค์หญิงนั้นรับชะตาได้นานแล้วและดูไม่คิดอะไรมาก

  เหลือเพียงองค์ชายหนึ่งที่จ้องซือหยูไม่วางตา

  “ไม่ว่าใครที่บรรลุภารกิจยิ่งใหญ่ย่อมรู้จักเวลาที่ต้องอ่อนข้อและแข็งกล้าเจ้าเป็นองค์ชายหนึ่งคงจะรู้ใช่ไหม?   “ฮื่ม!”

  องค์ชายหนึ่งถอนหายใจแรงแต่ก็ไม่ทำอะไร

  เขาอดทนมเหสีหยุนเซี่ยมาหลายร้อยปีทำไมเขาจะทนซือหยูไม่ได้เล่า?

  “หลังจากเสร็จภารกิจแล้วข้าจะปล่อยพวกเจ้าทุกคนไป”

  ซือหยูกล่าว

  “และดูจากตอนนี้พวกเราลงเรือลำเดียวกันแล้วล่ะ ศาลอสูรกำลังออกเดินทางมา”

  เมื่อได้ยินเช่นนี้สีหน้าองค์ชายหนึ่งเปลี่ยนไป สีหน้าต่อตานเบาบางลง

  เทียบกับซือหยูแล้วศาลอสูรคือภัยคุกคามของจริง

  “แน่นอนแต่เจ้าต้องสัญญาว่าจะไม่บังคับให้ข้าทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ เช่นนั้นข้าถึงจะฟังคำสั่งเจ้า ถ้าไม่อย่างนั้น ข้าขอตายดีกว่า”

  ซือหยูฉีกยิ้มเมื่อองค์ชายหนึ่งผู้แข็งแกร่งที่สุดยอมอ่อนข้อ

  “ไม่ต้องห่วงข้าแค่อยากจะใช้พลังมหาศาลที่เจ้ามีเท่านั้น”

  ซือหยูยิ้ม

  มีเพียงพลังขององค์ชายหนึ่งเท่านั้นที่เขาต้องการ

  ยากที่ซือหยูจะคาดคิดถึงตอนที่เทพพันธมิตรประจิมได้เห็นเหล่ารัชทายาทเจ้าเมืองอสูรอีกหกคน และว่าที่เทพขั้นต้นอีกเกือบเจ็ดสิบคนในเมือง

  โดยเฉพาะองค์ชายหนึ่งที่มีพลังเป็นรองเพียงแค่ยักษ์ทะเลขมกับเทพอสูรหกวิถีเขาคือคนที่แข็งแกร่งที่สุดแล้ว

  “ฮ่าๆๆๆข้าหวังว่าคงจะไม่ต้องใช้รัชทายาทในงานเลี้ยงต้อนรับที่จะถึงนี้หรอกนะ มิเช่นนั้นคงจะน่าสนุกทีเดียว!”

  ซือหยูพูดกับตัวเองเขายิ้มอย่างมีเลศนัย

 

The Divine Nine Dragon Cauldron

The Divine Nine Dragon Cauldron

Status: Ongoing

หนึ่งประสงค์ทำลายสุริยันจันทราและหมู่ดารา ดัชนีเดียวเข่นฆ่าราชันย์สวรรค์ เพียงปริปากทั้งสวรรค์แลสิบภพพลันวินาศ

เด็กยากจนเดินทางออกจากหุบเขาห่างไกลพร้อมกับมังกรนพเก้าและหม้อวิเศษที่ควบคุมกาลเวลาและพื้นที่กว้างใหญ่ เขาใฝ่หาเส้นทางแห่งพระเจ้าเพื่อท้าทายจักรวาลอันไม่มีสิ้นสุดและต่อสู้กับยุคสมัยในตำนาน

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท