เขาถามอย่างไม่ได้ใส่ใจอะไร ไป๋มู่ชิงไม่แน่ใจว่าที่เขาถามเพราะไม่พอใจหรือเพราะเป็นห่วง? เป็นห่วง? เวลานี้เขาน่าจะอยากฆ่าเธอให้ตายคามือถึงจะถูกซิ!
“ไม่…..ไม่เป็นอะไร แค่เมื่อกี้นี้วิ่งเร็วไปหน่อย”
“ทำไมต้องรีบ?”
“ก็…เป็นห่วงคุณไง” ไป๋มู่ชิงหยุดนิดหนึ่ง ก่อนพูดตามจริง
“เป็นห่วงฉัน ?” หนานกงเฉินยิ้มหยัน
ไป๋มู่ชิงมองเขา “ตลกใช่มั้ย? ฉันเองก็ยังรู้สึกตลกตัวเองเลย ตอนที่วิ่งมายังคิดอยู่เลยว่ากับผู้ชายที่ไม่แม้แต่จะยอมให้ฉันมีลูก ทำไมแค่ได้ข่าวว่าเขาเป็นลมฉันต้องร้อนรนได้ขนาดนี้”
” ตอนนี้ คิดได้หรือยัง?”
ไป๋มู่ชิงพยักหน้าตอบ ” เพราะคุณเป็นสามีฉัน”
ไป๋มูนชิงรินน้ำอุ่นบนโต๊ะข้างหัวเตียงแก้วหนึ่ง แล้วยิบยาที่อยู่ในลิ้นชักออกมา พร้อมพยุงให้เขาลุกนั่งพิงหัวเตียง เอาหมอนรองหลังให้เขา ตัวเขาค่อนข้างหนัก เธอไม่กล้าออกแรงมาก กลัวจะกระทบกระเทือนกับเด็กในท้อง
พอพยุงเขาลุกขึ้นนั่งเสร็จ เธอก็ยื่นแก้วน้ำให้เขา ” กินยาก่อนนะ”
หนานกงเฉินมองยาในมือเธอแล้วพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย “วางไว้ก่อน”
“คุณหมอบอกว่าพอคุณตื่นให้รีบกินยาก่อน”
“ถ้ากินยาแล้วได้ผล ฉันยังต้องมาอยู่ที่นี่มั้ย ?” หนานกงเฉินยิบยาบนมือเธอโยนทิ้งด้วยความหงุดหงิด
ไป๋มู่ชิงอึ้งไปชั่วครู่ ก่อนก้มลงเก็บยาที่ตกอยู่ตามพื้น แล้วเงยหน้าจ้องมองเขา “แต่ถ้าไม่ใช่เพราะได้กินยา คุณคงตายไปนานแล้ว”
พอได้ยินประโยคที่เธอพูด หนานกงเฉินก็มองมาด้วยสายตาคาดโทษทันที ” ทำเอาเธอใจฝ่อไปเล็กน้อยก่อนจะทำเป็นใจกล้า “คุณชายใหญ่ คุณอยู่บริษัทฯคือเจ้านาย อยู่บ้านคือคุณชาย ทุกคนต้องเชื่อฟังคุณ แต่ที่นี่คือโรงพยาบาล และคุณคือคนไข้ คนไข้ก็ต้องเชื่อฟังคุณหมอไม่ใช่เหรอ? ใครบอกว่ากินยาไม่ช่วยอะไร? ถ้าไม่ได้ช่วยอะไรคุณหมอก็คงไม่ให้กิน”
หนานกงเฉินยิ้มหยันปนเศร้าในดวงตา “ยาพวกนี้ฉันกินมาหลายสิบปีแล้ว”
หลายสิบ นี่หมายความว่าเริ่มกินยาตั้งแต่อายุเท่าไหร่กัน? ในใจไป๋มู่ชิงเกิดความเห็นใจ
แค่เธอไม่สบายเป็นไข้หวัดคุณหมอให้กินยาสามวันเธอยังไม่ไหวเลย หลายสิบปี มันเป็นความรู้สึกยังไงกันนะ
“ไหนๆก็กินมาหลายสิบปีแล้ว ครั้งนี้ก็คงไม่ต่างกันหรอก กินยาเถอะนะ ” ไป๋มู่ชิงยิบยาในลิ้นชักและรินน้ำอุ่นให้เขาใหม่ พร้อมพูดกับเขาดีๆ “ฉันรู้ว่าคุณไม่ชอบกินยา แต่ด้วยสุขภาพร่างกายของคุณมันก็จำเป็นต้องกิน คุณรู้มั้ยว่าคุณเป็นลมล้มพับแบบนี้มีคนเป็นห่วงคุณมากมากยแค่ไหน นี่ถ้าคุณย่ารู้ ท่านจะต้องเป็นกังวลและเศร้าโศกมาก”
หนานกงเฉินมองดูเม็ดยาบนมือเธอ รอบนี้เขาไม่ได้ปัดมันทิ้ง แต่ยอมยิบยาขึ้นมากินโดยดี
เห็นเขากินยาเรียบร้อย เธอก็ยิ้มด้วยความดีใจ นี่เป็นครั้งแรกที่เธอรู้สึกว่าตัวเองมีความหมายกับเขาขึ้นมาบ้าง
เธอรีบรินน้ำอุ่นให้เขาอีกแก้ว ยิ้มกว้างพูด “คุณหมอยังบอกให้คุณดื่มน้ำเยอะๆด้วย ”
หนานกงเฉินมองหน้ายิ้มแย้มของเธอแวบหนึ่ง เขาไม่เข้าใจเร่องที่เขาจะกินยาหรือไม่กินยามันมีผลต่ออารมณ์ความรู้สึกเธอขนาดนั้นเลยเหรอ? ทำไมถึงได้ยิ้มไม่หุบขนาดนั้น?
หนานกงเฉินรับน้ำไป ก่อนถามด้วยความหมั่นไส้ ” เธอยิ้มอะไร”
ผู้หญิงคนนี้มาจากดาวอังคารหรือไง? ผู้หญิงคนอื่นเวลาอยู่ต่อหน้าเขาจะพยายามวางตัวให้สง่าดูดี แต่เธอแปลก ไม่สนใจภาพลักษณ์ตัวเองบ้างเลย
“เพราะฉันรู้สึกว่าคุณหลอกง่ายกว่าเล็กตัวเล็กๆอีก ” ไป๋มู่ชิงหัวเราะ คุณไม่รู้หรอกว่าเวลาต้องหลอกล่อให้พวกเขากินยามันยากแค่ไหน ฉันพูดจนปากแห้งยังไม่ยอมกินเลย โดยเฉพาะ เสี่ยวลี่ แค่เห็นยาก็ร้องไห้โฮ แล้วยังเอายาผงโรยบนตัวฉันอีก คุณรู้มั้ย……..”
ไป๋มู่ชิงเล่าอย่างสนุกสนาน จนเห็นว่าหนานกงเฉินกำลังจ้องเธออยู่ ด้วยสีหน้าที่ดูไม่ออกว่าอยู่ในอารมณ์ไหน เธอจึงรีบหยุด ก่อนจะหุบยิ้มและก้มหน้า “ขอโทษค่ะ…….”
“ทำไมไม่เล่าต่อ?” หนานกงเฉินถาม
“ฉัน……..”
“เธอชอบเด็กมากเหรอ?” หนานกงเฉินถามขึ้นอีก
ถ้าไม่ชอบ เธอสนิทกับเด็กๆในสถานเด็กกำพร้าเหรอ
” ค่ะ” ไป๋มู่ชิงผงกหัวตอบ “เด็กๆน่ารักและ ไร้เดียงสามาก”
หนานกงเฉินดึงสายตาออกจากเธอ เขากลับมาดูนิ่งขรึมเหมือนเคย ก่อนจะยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา แล้วกดเข้าไปดูความคิดเห็นต่างๆที่เกี่ยวกับข่าวฉาวของนายหญิงน้อยตระกูลหนานกง
“ขอโทษค่ะ…….” ไป๋มู่ชิงลังเลอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะตัดสินใจขอโทษเขาอย่างเป็นทางการ ด้วยน้ำเสียงที่รู้สึกผิด “เรื่องเมื่อวานไม่ได้เป็นอย่างในข่าวนะคะ ถึงฉันจะไม่รู้ว่าใครเป็นคนทำ แต่ฉันกับหลินอันหนานไม่ได้มีอะไรกันจริงๆ ขอให้คุณเชื่อฉันนะ”
” ฉันเชื่อหรือไม่เชื่อเธอมันสำคัญมากเหรอ?”
“สำคัญมากซิ เพราะเรื่องนี้คนที่โดนผลทระทบมากที่สุดคือคุณ” เธอหยุดก่อนจะพูดต่อ “แต่ฉันได้ขอร้องให้น้องสาวออกหน้าช่วยคุณคลี่คลายปัญหาแล้ว คุณไม่ต้องกังวลอะไรอีกอยู่พักรักษาตัวต่อที่โรงพยาบาลก่อนเถอะ”
เรื่องนี้เขารู้แล้ว
ว่าแต่…….
เขาเงยหน้าอันหล่อเหลาขึ้นมามองเธอ ” ฉันอยากรู้ว่า ทำไมน้องสาวเธอถึงยอมช่วยเธอ?”
เท่าที่เขารู้มา เธอสองพี่น้องไม่ลงรอยกันเพราะเรื่องผู้ชายอยู่
“เพราะ…….”ไป๋มู่ชิงนึกหาคำตอบ ก่อนพูดขึ้น “เธอเป็นคู่หมั้นหลินอันหนานไง เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นเธอก็เสียหน้าเหมือนกัน”
เธอเฝ้าสังเกตสีหน้าเขาอย่างระมัดระวัง ยังดีที่ดูแล้วเขาไม่ได้มีอารมณ์โกรธหรือโมโหมาก ถึงขนาดต้องมานอนโรงพยาบาลแบบนี้แล้ว เธอคิดว่าครั้งนี้เขาคงจะโกรธเกลียดเธอมากจริงๆ
น้ำเกลือหมดพอดี ไป๋มู่ชิงกำลังจะกดกริ่งเรียกพยาบาล แต่หนานกงเฉินกลับแกะผ้าเทปที่ติดอยู่หลังมือแล้วดึงเข็มออกทันที
“เฮ้ย……คุณดึงเข็มออกทำไม?” ไป๋มู่ชิงตกใจ รีบเอามือกดตรงรอยเข็มอย่างรนๆ ร้องว่าเขาด้วยสีหน้าตกใจ “เคาน์เตอร์พยาบาลอยู่ใกล้ๆแค่นี้เอง ดึงเข็มออกเองแบบนี้ถ้าเกิดเส้นเลือดฉีกขาดขึ้นมาทำไง ? เจ็บแย่ ”
“อ้าว…คุณจะลงจากเตียงทำไม? คุณหมอบอกคุณต้องพักผ่อนเยอะ……. “ไป๋มู่ชิงยังไม่ทันพูดจบ หนานกงเฉินก็ยืนอยู่บนพื้นแล้ว
“ไม่เห็นเหรอว่าฉันไม่เป็นอะไรแล้ว ?” หนานกงเฉินมองเธอที่ดูตื่นๆแวบหนึ่ง “ไปช่วยฉันเอาเสื้อผ้าในตู้ออกมา”
“คุณจะทำอะไร?”
“ทำอะไร? ก็จะออกจากโรงพยาบาล”
“ไม่ได้นะ คุณหมอบอกว่าคุณต้องอยู่โรงพยาบาลอย่างน้อยสามวัน…”
ทันใดนั้นก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น เซิ่งซินเดินเข้ามาในห้องแล้วพบว่าหนานกงเฉินยืนอยู่ก็ตกใจ รีบเดินเข้าไปประคองเขา ” พี่เฉิน ลุกขึ้นมาทำไมคะ?”
“ที่บริษัทฯมีเรื่องนิดหน่อย พี่ต้องเข้าไปจัดการ” หนานกงเฉินมองเธอ
เรื่องอะไรถึงสำคัญมากขนาดนั้น ให้พี่ชายไปจัดการแทนไม่ได้เหรอ? เซิ่งซินพูดอย่างเป็นห่วงและจ้องมองเขาด้วยแววตาที่อ่อนโยน
หนานกงเฉินยิ้มเล็กน้อย “ไม่ใช่เซิ่งเคอจะทำแทนฉันได้ทุกเรื่อง วางใจเถอะ ฉันไม่ได้เป็นอะไรแล้ว”
ไป๋มู่ชิงเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าเขา มันไม่ง่ายเลยที่จะได้เห็นรอยยิ้มของเขา คงมีแต่ผู้หญิงที่อ่อนโยนน่ารักอย่างเซิ่งซินละมั้งที่ทำให้เขายิ้มได้
แต่งกับเขามานานขนาดนี้ ยังไม่เคยเห็นเขายิ้มให้เธอแบบนี้เลย
พี่เฉิน พี่เชื่อฟังคุณหมอหน่อยเถอะนะคะ เรื่องที่บริษัทฯเอาไว้ก่อนได้มั้ย ถ้าสุขภาพร่างกายมีปัญหาขึ้นมาจะแย่เอานะคะ
“เซิ่งซิน เธอเคยรับปากฉันแล้วนะว่าจะไม่เซ้าซี้ฉันเหมือนคุณย่า” หนานกงเฉินยิ้มบางให้เธอ พร้อมยกมือตบเบาๆบนไหล่เธอ แล้วหันไปมองทางไป๋มู่ชิง
แต่….เธออยู่ไหน?
เขาใช้สายตามองไปรอบๆห้อง เห็นเธอถือเสื้อผ้าเขายืนอยู่ตรงระเบียง
เขาย่นคิ้วอย่างเคยชิน จ้องมองเธอก่อนถาม “ให้เธอไปเอาเสื้อผ้าฉันมา เธอไปทำอะไรที่ระเบียง?”
“อุ้ย! ขอโทษค่ะ เสื้อตกน้ำไปแล้ว” ตอนแรกยังเห็นเธอถือเสื้อไว้กับอกดีๆอยู่เลย จู่ๆก็ทำหลุดมือตกลงไปในกระมังที่มีน้ำเต็มล้น
แต่ดูคุณหนูแห่งกระกูลไป๋เธอทำหน้าไร้เดียงสาเหมือนไม่ได้ตั้งใจ
หนานกงเฉินหรือจะดูไม่ออก เขาโกรธจนกลั้นหายใจ ก่อนจะเรียกชื่อเธอ “ไป๋ ยิ่ง อัน!”
“ขอโทษค่ะ ขอโทษค่ะ ฉันไม่ได้ตั้งใจจริงๆ ” ไป๋มู่ชิงรีบยกมือไหว้ขอโทษขอโพย ” คุณชายใหญ่ รบกวนกลับไปนอนพักที่เตียงก่อนนะ เสื้อผ้าน่าจะแห้งก่อนค่ำแน่นอน”
หนานกงเฉินกลับไปนอนลงบนเตียง แต่ไม่ได้นอนพัก เขายิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาด้วยใบหน้าบูดบึ้งกดโทรฯหาเลขาเหยียน สั่งให้เธอส่งเสื้อผ้าชุดใหม่มาให้
ไป๋มู่ชิงหันไปหาเซิ่งซิน แอบส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ ด้วยสายตาให้เธอ
แต่เซิ่งซินแค่มองเธอด้วยแววตาเรียบเฉยแวบเดียว เห็นได้ชัดว่าเธอไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เธอทำ
หลังหนานกงเฉินวางสาย เขาก็พูดขึ้น “เธอสองคนกลับไปก่อน”
”
“พี่เฉิน ฉัน……..”
“คุณสามี ให้ฉันอยู่รอเสื้อผ้าเป็นเพื่อนคุณนะ” ไป๋มู่ชิงหันไปมองเซิ่งซินที่กำลังจะเปิดประตูออกไป ด้วยใบหน้าที่ยิ้มกว้าง”เซิ่งซิน เธอยังมีเรียนก็กลับไปก่อนเถอะนะ วางใจได้ ฉันจะดูแลคุณชายใหญ่เอง”
“ให้เธอดูแลยิ่งไม่น่าวางใจ” เซิ่งซินบ่นอย่างไม่เห็นด้วย
ไป๋มู่ชิงหน้าตึง ” เธอหมายความว่าไง ฉันแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ?”
ในสายตาของคนบ้านตระกูลหนานกง เธอไม่ได้เรื่องขนาดนั้นเลย? เรื่องอื่นจะกันไม่ให้เธอยุ่งก็ช่างเถอะ แต่นี่คุณชายใหญ่ เขาไม่สบายก็ยังกันไม่ให้เธอดูแลได้ยังไง เธอเป็นภรรอยู่ที่ถูกต้องทั้งพฤตินัยและนิตินัยนะ
ไม่สิ ลืมไป แค่ในทางพฤตินัย ส่วนนิตินัยเป็นชื่อไป๋ยิ่งอัน
เซิ่งซินไม่ได้ว่าอะไรต่อ เธอแค่เตือนให้หนานกงเฉินดูแลตัวเองด้วย ก่อนออกไป
หลังจากเซิ่งซินออกไปแล้ว ในห้องก็เงียบลงทันที หนานกงเฉินมองเธอแล้วพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เซิ่งซินเป็นลูกสาวของป้าฉัน อย่าหึงไม่เป็นเรื่อง
“ฉัน……เปล่า” ไป๋มู่ชิงรีบตอบอย่างไม่ค่อยมีความมั่นใจนะ ก่อนจะรีบแสดงความใจกว้างของตัวเองว่า “ผู้ชายที่ข้างกายมีแต่สาวสวยอย่างคุณ แม้แต่เลขายังสวยกว่าดารายอดนิยมอีก ถ้าฉันเอาแต่ตามหึง ก็คงได้ตายกันพอดี”
นึกไปถึงเลขาเหยียนที่สวยขนาดผู้ชายทุกคนเหลียวมอง ได้ทำงานอยู่เคียงข้างหนานกงเฉินทุกเมื่อเชื่อวันแล้ว เธอก็รู้สึกเหมือนไม่พอใจขึ้นมาเล็กน้อย
ไม่ทันหนานกงเฉินจะตอบอะไร เธอก็เดินออกไปที่ระเบียงทันทีและเริ่มลงมือซักผ้าที่อยู่ในกระมัง
เสื้อผ้าของหนานกงเฉินเป็นแบรนด์ดังทั้งหมด ไม่เหมาะที่ให้ใช้น้ำ หรือขยี้ เธอจึงแค่นำขึ้นจะกระมังแล้วแขวนตากไว้แทน
ตากผ้าเสร็จเธอก็นั่งดูวิวอยู่ตรงระเบียง ซึ่งก็มีแต่ตึกสูงและอากาศที่ไม่ดีอย่างอื่นก็ไม่มีอะไรน่าดู
หนานกงเฉินที่นอนอยู่บนเตียงใช้รีโมทโทรทัศน์กดเลือกช่องไปเรื่อย ขณะเดียวกันก็คอยดูนาฬิกาตลอดเวลา ดูเขารู้สึกหงุดหงิกที่เลขาเหยียนยังไม่มาซักที
ระหว่างรออย่างเบื่อหน่าย เขามองไป๋มู่ชิงที่อยู่ตรงระเบียงแล้วพูด “เธอช่วยไปดูให้หน่อยว่าเลขาเหยียนถึงหรือยัง”
“อ้อ ได้ค่ะ “ไป๋มู่ชิงลุกขึ้นแล้วเดินไปทางประตู
“ฟังนะ อย่าเล่นลูกไม้อะไรอีก ไม่งั้นฉันฆ่าเธอแน่”
” ค่ะ ” ไป๋มู่ชิงตอบรับก่อนดึกประตูปิดเข้าหากัน
คนทำงานเร็วอย่างเลขาเหยียนไม่น่าจะช้าขนาดนี้นะ หรือว่าจะเป็นแผนของเซิ่งซินที่ต้องการจะช่วยเธอ? เธอนึกสงสัยขณะที่เดินตามทางที่จะไปขึ้นลิฟต์
มาถึงหน้าลิฟต์เธอก็เจอเข้ากับเลขาเหยียนที่เพิ่งก้าวออกจากลิฟต์
ผมที่สรวยเงางาม ชุดทำงานที่เข้ากับรูปร่างพอดีแปะ ใบหน้าที่แต่งแต้มอย่างสวยหรู……ไป๋มู่ชิงแอบถอนหายใจ นี่สินะผู้หญิง
เมื่อพบไป๋มู่ชิง เลขาเหยียนก็มีรอยยิ้มเล็กน้อยขึ้นบนใบหน้าที่แลจริงจัง ” นายหญิงน้อย คุณชายเฉินบอกต้องการเสื้อ แต่ตอนหลังคุณหนูเซิ่งก็บอกว่าไม่ต้องการแล้ว ดิฉันไม่อยากโทรฯมารบกวนคุณชายเฉิน จึงนำเสื้อส่งมาให้ก่อน เผื่อได้ใช้”
เธอยื่นถุงในมือให้ไป๋มูนชิง
ไป๋มู่ชิรับถุงมาแล้วยิ้มให้เธอเล็กน้อย “คุณชายเฉินหลับไปแล้ว ไม่ควรรบกวนเขาในเวลานี้จริง ยังไงเสื้อก็ฝากฉันไว้แล้วกัน”
ไม่นึกว่าเซิ่งซินจะยื่นมือเข้าช่วยจริง เพราะก็มีแต่เซิ่งซินเท่านั้นที่จะมีเบอร์ของเลขาเหยียน
” งั้นฉันไม่เข้าไม่ไปแล้วนะคะ” เลขาเหยียนโค้งให้เธออย่างมีมารยาทเล็กน้อย ก่อนจะหันไปกดลิฟต์ลง
ไป๋มู่ชิงเปิดถุงกระดาษดู เห็นเป็นชุดสุทและเสื้อแบนด์ดังจากอิตาลี ดูท่าช่วงบ่ายหนานกงเฉินมีธุระต้องไปจริง ไม่รู้ว่าเป็นธุระของบริษัทฯจริงหรือเป็นธุระเรื่องเธอกับหลินอันหนานกัน? แต่ถ้าเป็นอย่างหลังยังไงเธอก็ต้องหาทางไม่ให้เขาออกจากโรงพยาบาลให้ได้
” เลขาเหยียนคะ” ไป๋มู่ชิงเรียกเธอไว้ก่อนเธอจะก้าวขึ้นลิฟต์ ไม่ทราบว่าช่วงบ่ายคุณชายเฉินจะไปพบใครคะ?
เลขาเหยียนมองเธออย่างลังเลเล็กน้อยก่อนตอบ “ผู้อำนวยการศูนย์วัฒนธรรมเมืองซี ค่ะ”
โดยปกติตารางนัดหมายต่างๆของเจ้านาย เธอไม่มีทางบอกใครให้ได้รู้เด็ดขาด แต่ที่เธอยอมบอกไป๋มู่ชิงเพรากต้องการตำหนิเธอทางอ้อมด้วย
ขนาดเลขาเหยียนยังตำหนิว่าเธอสร้างปัญหาเลย ไป๋มู่ชิงยิ้มขื่นอย่างระอายใจ
เธออยู่หน้าห้องลิฟต์พักใหญ่ ก่อนจะหมุนตัวกลับเข้าไปทางห้องพักผู้ป่วยที่หนานกงเฉินนอนอยู่ ผ่านห้องทำงานคุณหมอ ได้เจอผู่เหลียนเหยาพอดี
ผู่เหลียนเหยายิ้มให้เธอและถามขึ้น “พี่เฉินเป็นยังไงบ้าง?”
“ยังสบายดี” ไป๋มู่ชิงจ้องมองเธอในหัวเริ่มคิดถึงเรื่องราวที่เธอคิดวกวนมานาน “เหลียนเหยาเธอว่างมั้ย? ฉันอยากขอคุยกับเธอหน่อย”
ผู่เหลียนเหยาได้ยินเธอพูดแบบนี้ สีหน้าดูแปลกใจเล็กน้อย ก่อนพยักหน้าตอบ “ผ่าตัดเสร็จพอดีเลย ไม่ยุ่งอะไร มาทางนี้เถอะ ”
ผู่เหลียนเหยายิ้มน้อยๆก่อนพาเธอเดินไปทางสวนลอยฟ้า
ไป๋มู่ชิงไม่รู้เลยว่าที่โรงพยาบาลหงเอินยังมีสวนดอกไม้ลอยฟ้าที่ใหญ่ขนาดนี้ มองไปรอบๆ ดอกไม้ในสวนล้วนสีสันสวยงาม แต่เธอไม่มีกะจิตกะใจจะชมสวนตอนนี้ เธอจึงถามขึ้นตรงๆ ” เหลียนเหยา เธอเป็นหมอก็ต้องรู้เรื่องอาการป่วยของคุณชายเฉินใช่มั้ย? ตกลงเขาเป็นโรคอะไร?”
เธอไม่มีทางเชื่องเรื่องคำสาป ไม่มีทาง!
แต่ที่หนานกงเฉินเดี๋ยวดีเดี๋ยวแย่ ควบคุมตัวเองไม่ได้ทำร้ายผู้อื่น ละก็อ้วกเป็นเลือดมันเกิดจากอะไรกันแน่
รอยยิ้มบนใบหน้าผู่เหลียนเหยาค่อยๆจางหาย เปลี่ยนเป็นสีหน้าเห็นใจและจนใจ “อันที่จริงทางการแพทย์ก็ไม่สามารถระบุได้ว่าพี่เฉินเป็นโรคอะไร ไม่เฉพาะแพทย์ที่โรงพยาบาลหงเอินเท่านั้น แพทย์ในต่างประเทศด้วย”
“เป็นแบบนี้ได้ยังไง…..”
“ทุกคนก็อยากรู้ว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้ ” ผู่เหลียนเหยายิ้มฝืนก่อนสบตาเธอแล้วถาม “พี่เชื่อเรื่องที่เขาเล่าลือกันมั้ย? เชื่อเรื่องคำสาปจากชาติก่อนมั้ย? ถ้าเชื่อ ก็เข้าใจไปตามทุกคนเถอะ”
“เธอล่ะ? เธอเชื่อมั้ย ?”คนเป็นหมอและหมอในยุคปัจจุบัน อย่างผู่เหลียนเหยาน่าจะเชื่อในวิทยาศาสตร์มากกว่าความเชื่องมงายถึงจะถูก
“ฉัน……เชื่อนะ” ผู่เหลียนเหยาลังเลนิดหนึ่งก่อนตอบ “ในบางครั้ง บางเรื่องก็ชัดเจนอยู่ตรงหน้า ยากที่จะไม่เชื่อ”
” หมายความว่าเธอเชื่อเรื่องคนรักที่ชะตากำหนดเหรอ? เธอเชื่อว่าแค่คุณชายเฉินหาคนรักชะตากำหนดเจอเขาก็จะผ่านพ้นอายุ30ไปได้ด้วยดี? ”
” ฉันเชื่อ”
เธอก็ยังเชื่อ? ไป๋มู่ชิงรู้สึกปวดที่หัวใจ ขนาดผู่เหลียนเหยาที่เป็นหมอยังเชื่อ แล้วเธอจะมีเหตุผลอะไรไม่เชื่ออีก
หรือเธอต้องคืนหนานกงเฉินให้ไป๋ยิ่งอันจริงๆ เขาถึงมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ ความรู้สึกเจ็บแปลบที่หัวใจเกิดขึ้นอีกครั้ง
หลังออกจากสวนดอกไม้ลอยฟ้ากลับถึงห้องเธอก็เห็นหนานกงเฉินพิงหัวเตียงหลับไปแล้ว
เธอเอาเสื้อที่เลขาเหยียนนำมาให้ใส่ไว้ในตู้ แล้วย่องเบาๆไปห่มผ้าให้เขา แล้วเก็บรีโมทโทรทัศน์ในมือเขาไปวางบนโต๊ะตรงหัวเตียง
เมื่อคืนก็ไม่สบาย วันนี้ก็ตื่นแต่เช้าเพื่อไปจัดการปัญหาข่าวในหนังสือพิมพ์ เขาคงเหนื่อยมากจริงๆถึงได้พิงหัวเตียงหลับไปแบบนี้
เพื่อให้เขาได้นอนหลับเต็มที่ ไป๋มู่ชิงเลยปิดเสียงเรียกเข้าในโทรศัพท์มือถือของเขา ดึงผ้าม่านปิด หรี่แสงไฟในห้องลง แล้วเดินมานั่งข้างเตียง เฝ้ามองใบหน้าที่นอนหลับไหลของเขา
มีแค่ตอนเขานอนหลับท่านั้นที่เธอจะกล้ามองสำรวจเขาได้ใกล้ชิดขนาดนี้ แค่มองหน้าก็ไม่อาจถอนสายตาจากเขาได้เลย
เธอนั่งมองเขาซักพักใหญ่ ตาก็เริ่มปรือ หัวเธอค่อยแอนลงบนเตียงแล้วหลับไป
ค่ำคืนค่อยๆคืบคลานเข้ามา ไป๋มู่ชิงยังคงหลับไม่ตื่น แต่หนานกงเฉินที่นอนอยู่บนเตียงตื่นแล้ว เขาค่อยๆลืมตาขึ้น มองไปรอบๆสายตามองตามแสงที่ส่องลอดผ้าม่านเข้ามา เห็นเข้ากับไป๋มู่ชิงที่นอนหลับอยู่ข้างเตียง
ไป๋มู่ชิงนอนหันหน้ามาทางเขา ใช้แขนหนุนหัว นอนหลับไหลอยู่
เธอไม่ได้มีใบหน้าที่สวยมาก แต่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยเฉพาะดวงตาคู่นั้น ดูน่ารักสดใส
ทุกครั้งที่สบตาเธอ ในหัวเขาจะมีใบหน้าของเธอคนนั้นขึ้นมา นี่ก็เป็นจุดที่ไป๋มู่ชิงคล้ายคลึงกับเธอ
เขาค่อยๆยื่นมือไปสัมผัสใบหน้าและดาวตาเธออย่างลืมตัว
เธอรู้สึกเหมือนมีอะไรมารบกวน ทำเสียงรำคาญในลำคอก่อนจะใช้มือปัดไปที่ใบหน้า เมื่อมือเธอปัดโดนเข้ากับนิ้วมือของหนานกงเฉินเธอก็กุมมันเอาไว้ก่อนพูดเสียงงัวเงีย “เสี่ยงหวี่ ไม่เอาอย่าซนสิ………”
ในความทรงจำเธอ นอกจากเสี่ยวหยี่ที่ชอบแกล้งเธอเวลานอนแล้ว ก็ไม่มีคนอื่นทำอะไรแบบนี้กับเธออีก
หนานกงเฉินได้สติ ก็รีบดึงมือกลับแต่เธอกลับกุมมือเขาแน่ขึ้นกว่าเดิม
“ถ้าทำแบบนี้อีกฉันจะไม่สนใจเธอแล้วนะ” ไป๋มูนชิงพูดงัวเงียแล้วลุกขึ้นนั่ง
พอเธอเห็นว่าคนตรงหน้าเป็นหนานกงเฉินไม่ใช่เสี่ยวหยี่ เธอตกใจจนเกือบจะกระโดดลุกจากเก้าอี้ แต่แล้วก็ตั้งสติได้ รีบใช้มือเช็คไปที่มุมปาก
ยังดีนะ ที่เธอไม่ได้น้ำลายไหลย้อย
“คือว่า………ขอโทษค่ะ ฉันเผลอหลับไป “เธอยิ้มพูดอย่างเกรงใจ
ตอนแรกหนานกงเฉินก็อยากถามเธอว่าเสี่ยวหยี่คือใคร แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ถาม เขาหุบตามองมือที่เธอยังกุมไว้แน่ไม่ปล่อย แล้วพูดเสียเรียบเฉย “ปล่อยฉันได้หรือยัง?”
ไป๋มู่ชิงมองตามสายตาของเขา ก่อนจะพบว่ามืออีกข้างของตัวเองยังจับฝามือใหญ่ของเขาไว้แน่ เธอจึงรีบปล่อยมือเขาอย่างรนราน
พอปล่อยมือแล้ว เธอเพิ่งนึกขึ้นได้ แล้วใครกันที่แกล้งเธอ? เขาเหรอ? เขาเอามือจับหน้าเธอเหรอ?
“เมื่อกี้นี้คุณทำอะไร?” ไป๋มู่ชิงถามเขาพร้อมเอามือแตะไปที่ใบหน้าตัวเอง
เขารู้สึกได้ถึงความสงสัยในแววตาเธอ หนานกงเฉินอึดอัดขึ้นมาเล็กน้อยจึงเอามือสอดเข้าใต้ผ้าห่ม แต่เขายังคงพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย ” ไม่มีอะไร เห็นเธอหลับลึกปลุกยังไงก็ไม่ตื่น ฉันเลยว่าจะหยิกเธอให้ตื่น”
“เป็นไปได้ไง” ไป๋มู่ชิงไม่เชื่อ เธอไม่ใช่คนหลับเป็นตยาซะหน่อย
หนานกงเฉินหลบตาก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง “เสื้อฉันล่ะ? ส่งมาหรือยัง?”
“เสื้อเหรอ……”ไป๋มู่ชิงชะงัก ก่อนจะส่ายหัว “ยังเลย เห็นว่าถนนเส้นที่มาจากบริษัทฯ เกิดอุบัติเหตุ การจราจรเลยติดขัด เลขาเหยียนก็น่าจะยังติดอยู่บนถนน”
หนานกงเฉินไม่เชื่อในสิ่งที่เธอพูด เขายิมโทรศัพท์มือถือขึ้นมา จะกดโทรฯออก
พอมองบนหน้าจอพบว่ามีสายไม่ได้รับเป็นสิบสาย ทุกสายล้วนเป็นคนสำคัญทั้งสิ้น เขาวางมือถือลง มองมาที่ไป๋มู่ชิงด้วยสายตาดุเข้ม “ใครให้เธอแตะมือถือฉัน?”
“ฉัน……….” ไป๋มู่ชิงตกใจจนใบ้กิน มองหน้าเขาที่กำลังโมโหถึงขีดสุด ก่อนจะค่อยๆพูดขึ้นอย่างระมัดระวัง “ขอโทษค่ะ ฉันแค่อยากให้คุณได้นอนหลับพักผ่อนเต็มที่ ไม่อยากให้ใครมารบกวน”
“ยุ่งไม่เข้าเรื่อง ” หนานกงเฉินว่าเธอ โทรศัพท์ที่โทรฯออกมีคนรับสายพอดี เลขาเหยียนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงให้ความเคารพ “คุณชายเฉิน เรื่องนัดพบผู้อำนวยการเหอ ดิฉันได้ไปพบท่านแทนคุณชายเรียบร้อยแล้วนะคะ ท่านผู้อำนวยการเหอให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี รับปากว่าบนสื่อจะไม่มีข่าวฉาวของบ้านตระกูลหนานกงอีก แล้วก็………..”
“เสื้อผมทำไมยังไม่ส่งมา” หนานกงเฉินขัดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นกระด้าง “เลขาเหยียน ถ้าเรื่องแค่นี้คุณยังทำไม่ได้ คุณก็พิจารณาลาออกได้เลย ”
เลขาเหยียนนิ่งเงียบไป ก่อนจะรีบตอบ “คุณชายเฉิน เรื่องเสื้อของคุณ หลังจากที่ได้รับโทรศัพท์ ไม่เกินสิบห้านาทีดิฉันก็นำไปส่งให้นายหญิงน้อยแล้วค่ะ
สายตาเย็นกระด้างของหนานกงเฉินมองไปที่ไป๋มู่ชิงในทันที