“อะไรนะ? เธอบังคับให้เขาทานยาแล้ว?” คุณย่าร้องตะโกนเสียงแหลม รีบก้าวเท้าเดินขึ้นมา ยื่นมือไปตบเบาๆที่หัวเขา “ในเมื่อเขาไม่อยากทานก็ช่างเขา ทำไมต้องบังคับเขาล่ะ? ครั้งหน้าทำแบบนี้อีกฉันจะจัดการเธอ”
หนานกงเฉินย่นคิ้ว เรียกอย่างหมดหนทางคัดค้าน:“คุณย่า……”
“ไม่มีอะไรก็ไม่ต้องอยู่ตรงนี้แล้ว รีบกลับไปที่ห้องของตัวเองซะ” คุณย่าพูดแทรกขึ้นมา
หนานกงเฉินหันกลับไปก็เจอกับคุณผู้หญิงที่ทำตัวลึกลับแปลกประหลาด เขาก็ไม่อยากอยู่ต่ออีกแล้ว ก่อนกลับมองไป๋มู่ชิงครั้งนึง แล้วเดินกลับเข้าไปทางประตูห้องนอนด้วยสีหน้าอึมครึม
พอหนานกงเฉินไป คุณผู้หญิงก็รีบเดินมา สังเกตไป๋มู่ชิงแล้วถามอย่างกระวนกระวายใจ:“สรุปทานยาแล้วหรือยัง?”
ไป๋มู่ชิงพยักหน้าอย่างระมัดระวัง:“ทานแล้วค่ะ”
พอคุณผู้หญิงได้ยินคำนี้ ก็โกรธจนหายใจฟึดฟัด
“คุณย่า ขอโทษค่ะ คุณชายใหญ่เขาแรงเยอะเกินไป ฉันต้านไม่ไหวเลยสักนิด” ระยะเริ่มแรกของการตั้งครรภ์ก็ทานยาแก้หวัดแล้ว ในใจไป๋มู่ชิงเองนั้นก็รู้สึกเป็นห่วงอยู่เหมือนกัน
เห็นคุณย่าท่าทางทั้งเป็นห่วงทั้งโมโหนั่นแล้ว เขาที่เดิมทีนั้นกลัวว่าจะเกิดเรื่องก็ยิ่งสับสนเข้าไปใหญ่
คุณผู้หญิงอึดอัดใจ:“เคยพูดกับเธอไปกี่ครั้งแล้ว ต้องดูแลร่างกายตัวเองให้ดีๆ ทำไมจู่ๆถึงเป็นหวัดล่ะ?”
ไป๋มู่ชิงก้มหน้าลงอย่างหวาดผวา ตัวเขาเองนั้นไม่กล้าบอกคุณผู้หญิงว่าเขาเป็นหวัดเพราะเมื่อวานไปตากลมที่ข้างแม่น้ำ
พี่เหอกวาดสายตามองไป๋มู่ชิง แล้วดึงมือคุณผู้หญิงขึ้นมาปลอบโยน:“คุณผู้หญิง เรื่องแบบนี้คุณโกรธไปก็ไม่มีประโยชน์หรอกค่ะ บางทีอาจจะไม่ได้แย่อย่างที่คุณคิด ยังไงก็ให้คุณหมอมาวินิจฉัยโรคให้นายหญิงน้อยก่อนเถอะ”
คุณผู้หญิงรู้ถึงจุดนี้ดี ทำได้แค่ให้พี่เหอโทรหาคุณหมอประจำตระกูลให้รีบมาที่นี่
ไม่นานคุณหมอประจำตระกูลก็มาถึง หลังจากดูยาที่ไป๋มู่ชิงทานเข้าไป ก็พูดปลอบโยนคุณผู้หญิง:“คุณผู้หญิงวางใจได้ครับ ยาแก้หวัดนี้มีผลกระทบกับทารกในครรภ์ไม่มาก อีกอย่างนายหญิงน้อยทานไปเพียงสามเม็ด ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร”
“ไม่น่า……?” มองเขาด้วยหางตา:“งั้นก็มีโอกาสมีน่ะสิ?”
“คุณผู้หญิง ยามีทั้งด้านดีและด้านลบ ถึงแม้ว่าเป็นคนธรรมดาทานเข้าไปก็มีผลกระทบ แค่ร่างกายแต่ละคนไม่เหมือนกันก็เท่านั้นเอง” คุณหมอพูดจบ เพิ่มอีกประโยคต่อ:“ผมว่าสุขภาพร่างกายของนายหญิงน้อยดีมาก สามารถทานได้ดื่มได้ ไม่ต่างจากคนทั่วไป เพราะฉะนั้นผมคิดว่าไม่มีผลกระทบครับ”
ได้ยินคุณหมอพูดแบบนี้ คุณผู้หญิงวางใจได้นิดหน่อย แต่ก็ยังคงเป็นห่วง:“ไม่มียาอะไรที่สามารถทานได้บ้างเหรอ?”
“มีครับ สักครู่ผมจะเขียนใบสั่งยาให้นายหญิงน้อย” คุณหมอกล่าว
หลังจากที่คุณหมอไปแล้ว พี่เหอเห็นคุณผู้หญิงยังคงมีท่าทางหนักใจ ยิ้มแล้วพูดว่า:”คุณผู้หญิง โบราณว่าไว้แพ้ท้องไม่รุนแรงจะได้ลูกชาย ฉันเดาว่าทารกในครรภ์ครั้งนี้ของนายหญิงน้อยต้องเป็นลูกชายอย่างแน่นอนค่ะ”
คุณผู้หญิงถอนหายใจเสียงเบา พูดว่า:”งั้นสุขภาพก็ต้องแข็งแรงสิถึงจะได้”
“แข็งแรงสิคะ คุณหมอบอกก็บอกแล้วว่าแข็งแรง คุณอย่าได้กังวลเลยค่ะ”
คุณผู้หญิงพยักหน้า ทันใดนั้นก็มองไปทางไป๋มู่ชิงที่อยู่บนเตียงแล้วพูดเสียงเข้ม:”ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปใส่เสื้อผ้าให้หนาๆ อากาศเย็นลงแล้วก็ต้องทำให้ร่างกายอบอุ่นเข้าไว้ ห้ามป่วยอีก”
“หนูทราบแล้วค่ะ คุณย่า” ไป๋มู่ชิงตอบรับอย่างว่านอนสอนง่าย
โชคดีที่หวัดครั้งนี้ไม่รุนแรง หลังจากที่ทานผงยาจีนที่คุณหมอเขียนใบสั่งยาให้ อาการหวัดของไป๋มู่ชิงก็ดีขึ้นเรื่อยๆ
ตกเย็น หนานกงเฉินสังเกตเธอด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัย ในที่สุดก็ถามสิ่งอยู่ในใจออกมา:”ช่วงนี้เธอกับคุณย่าสนิทกันดี?”
ไป๋มู่ชิงยังโกรธเรื่องเมื่อตอนเช้าอยู่ เลยไม่สนใจเขา
เขานั่งลงที่ข้างหน้าขาตั้งภาพ ใช้ดินสอบรรยายลักษณะของเสี่ยวลี่โดยไม่เอ่ยเสียงใดๆออกมา เขาเคยให้สัญญาว่าจะร่างภาพสเก็ตช์ให้กับเสี่ยวลี่หนึ่งภาพ แต่ทว่าจนถึงวันนั้นที่เสี่ยวลี่จากไปเขาก็ไม่ได้ทำความปรารถนาเล็กๆให้เป็นจริง คิดแล้วก็รู้สึกละอายใจเป็นที่สุด
พรุ่งนี้ก็เป็นวันที่เจ็ดแล้วที่เสี่ยวลี่ลาจากโลกนี้ไป เธอต้องการร่างภาพสเก็ตช์นี้ให้เสร็จแล้วส่งไปให้เขา เพื่อให้เขาไม่ต้องรู้สึกโดดเดี่ยว
เสี่ยวลี่เคยพูดไว้ ขอแค่ภาพที่เธอวาดอยู่กับเขา เขาก็จะไม่รู้สึกโดดเดี่ยว
หนานกงเฉินยืนอยู่ข้างๆเธอ มองเธอที่วาดภาพเสี่ยวลี่อย่างไม่ละสายตาแต่กลับไม่สนใจตนเอง บางทีจะจากไปอย่างโกรธแค้นก็ไม่ใช่อยู่ต่อก็ไม่ใช่
นี่เป็นครั้งแรกที่มีผู้หญิงที่กล้าทำหน้าประชดประชันใส่เขา ผู้หญิงตรงหน้าคนนี้ทำสถิติว่าด้วยครั้งแรกของเขาไว้เยอะมาก ถึงแม้ว่าจะนึกได้ถึงจุดนี้ แต่เขากลับไม่โกรธ แต่เป็นการถามประโยคใหม่ว่า:“เมื่อไหร่จะวาดให้ฉันสักรูป?”
นี่เขากำลังชวนคุยเหรอ? หนานกงเฉินถามตัวเองอย่างสงสัย นี่เขาหลุดไปถึงสถานการณ์ที่ต้องเอาใจผู้หญิงคนหนึ่งตั้งแต่เมื่อไหร่? ไม่มีศักดิ์ศรีสุดๆ
เพื่อเก็บศักดิ์ศรีของตัวเองที่เกือบจะหายไปคืนกลับมา เขารีบเปลี่ยนคำพูด:“ไปเตรียมน้ำอุ่นให้ฉัน ฉันจะอาบน้ำ”
ไป๋มู่ชิงถูกความคิดเขาโยงไปมาจนรู้สึกหมดคำพูด แต่เธอก็ไม่ได้เชื่อฟังและปรนนิบัติเขาเหมือนที่เคยทำมา ในมือยังคงแกว่งพู่กันวาดรูปแล้วพูดอย่างใจเย็น:“ขอโทษนะ ฉันไม่ว่าง”
“ไป๋ยิ่งอันเธอหมายความว่ายังไง?” หนานกงเฉินถูกเธอยั่วโมโหเข้าแล้ว เขาคว้าดินสอในมือเธอไว้แน่นแล้วจ้องเธอ:“เธอจะเล่นไม้นี้กับฉันใช่ไหม? ฉันว่าเธอคิดให้ดีดีกว่าว่าจะเล่นแบบนี้ต่อไปหรือเปล่า”
“ฉันคิดดีแล้ว! ” ไป๋มู่ชิงยื่นมือออกไปจะหยิบดินสอจากในมือเขากลับมา:“คุณชายใหญ่หนานกง ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปคุณเดินทางที่สวยงามของคุณ ฉันจะข้ามสะพานที่แสนอันตรายของฉัน พวกเราจะไม่ข้ามเขตของกันและกัน”
“เธอแน่ใจ?”
“แน่ใจ! ”
“เธอ……”
“ฉันทำไม? คุณจะเอายายัดใส่ปากฉันอีกเหรอ?” ไป๋มู่ชิงมองด้วยความโมโห
หนานกงเฉินกวาดสายตาไปมองเขาหนึ่งครั้ง หัวเราะเยาะ:“ถ้าไม่ใช่เพราะฉันเอายายัดปากเธอ อาการหวัดของเธอจะดีขึ้นเร็วขนาดนี้?”
ไป๋มู่ชิงหมดคำจะพูดแล้ว ผู้ชายคนนี้เข้าใจหาคุณงามความดีเข้าตัวเองจริงๆ!
แต่ว่าที่เขาพูดก็เหมือนจะมีเหตุผลอยู่นิดหน่อย ถ้าไม่ใช่เขาบังคับให้เธอทานยาสามเม็ดนั่น พึ่งแค่ผงยาจีนจากใบสั่งยาที่คุณหมอเขียนให้ อาการหวัดของเธอคงไม่ดีขึ้นได้เร็วขนาดนั้นอย่างแน่นอน
อีกอย่างเขาไม่รู้ว่าเธอท้อง บังคับให้เธอทานยาก็เพื่อให้เธอรีบหายจากอาการป่วย ถ้าคิดแบบนี้ถึงแม้ว่าเขาจะเผด็จการไปหน่อย แต่ก็ไม่ได้อยู่ในจุดที่ให้อภัยไม่ได้
เดี๋ยวนะ ทำไมเธอเริ่มยืดหยุ่นความคิดตัวเองอีกแล้วล่ะ? ทำไมตัวเองถึงหาข้ออ้างในการให้อภัยเขาล่ะ? นี่ถ้าเกิดว่าเขาบังคับให้ยาที่ตัวเองทานเข้าไปนั้นคือยาฆ่าเชื้อ งั้นเธอก็คงไม่ต้องรีบไปล้างท้องที่โรงพยาบาลเลยเหรอ?
“คุณชายใหญ่ คุณออกไปได้แล้ว” ไป๋มู่ชิงทิ้งประโยคให้เขาอย่างไม่แสดงความรู้สึกสีหน้าใดๆ ก้มหน้าวาดรูปของตัวเองต่อ
หนานกงเฉินก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องชักช้าอยู่ที่นี่ หันไปทางห้องหนังสือและเดินจากไป
วันที่สอง ไป๋มู่ชิงมาที่หน้าหลุมฝังศพของเสี่ยวลี่ ภาพสเก็ตช์ที่วาดเสร็จแล้วเธอก็เอามันมาด้วย
“ขอโทษนะ ภาพรูปนี้เสร็จช้าไปหน่อย” เขาหายใจเบาๆทางจมูก พยายามเผยรอยยิ้มบนใบหน้า:”เสี่ยวลี่คงไม่โทษคุณครูไป๋หรอกใช่ไหม?”
สำหรับเสี่ยวลี่แล้ว นอกจากความรู้สึกละอายใจที่เธอมีนั้น ยังมีความรู้สึกเสียดายอีกด้วย เสียดายที่ไม่ได้ส่งรูปนี้ให้เขาตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่
อยู่เป็นเพื่อนเสี่ยวลี่ที่สุสานอยู่ครู่หนึ่ง ไป๋มู่ชิงก็เดินกลับไปทางประตูของสุสาน
ตรงประตูสุสานเธอเห็นรถคันหนึ่งที่คุ้นตา สายตามองไปด้วยความประหลาดใจ เธอก็เดินเลี้ยวไปอีกเส้นทาง
“มู่ชิง……” หลินอันหนานเปิดประตูรถลงมา รีบเดินตาม:”เธออย่าเพิ่งไป”
ไป๋มู่ชิงมองบนในใจ เจอเขาทุกที่จริงๆ ดูแล้วจะทำเป็นไม่เห็นเขาก็คงยาก
เธอหันกลับมา รอยยิ้มเสแสร้งปรากฏขึ้นบนใบหน้า:”คุณชายหลิน บังเอิญจัง มีธุระอะไรคะ?”
“เมื่อกี้ฉันไปหาเธอที่สถานที่เลี้ยงเด็กกำพร้า ได้ยินเด็กๆพูดว่าเธอมาที่สุสานแล้ว ก็เลยรีบตามมาที่นี่” หลินอันหนานพูดไปด้วยยิ้มไปด้วย
ไป๋มู่ชิงพอได้ยินเขาพูดก็มีโทสะ ขนาดรอยยิ้มเสแสร้งยังแกล้งทำไม่ลง จ้องเขาอย่างเอาเรื่อง:”คุณชายหลิน! คุณตามหาฉันทำไม? ฉันไม่ได้เคยพูดไปแล้วเหรอ? ฉันไม่ได้สนใจในตัวคุณ อีกอย่าง ถ้าคุณยังไม่ได้ทำให้หนานกงเฉินโมโหจนถึงที่สุด คุณก็จะไม่เลิกคิดอะไรแบบนี้ใช่ไหม?”
“มู่ชิง……”
“ฉันเตือนคุณหนึ่งประโยคนะ ยั่วโมโหหนานกงเฉินไม่มีทางที่จะมีจุดจบที่ดีหรอก คุณคิดเอาเองแล้วกัน! ” มู่ไป๋ชิงพูดจบก็หันหลังจากไป
หลินอันหนานพุ่งไปทางด้านหลังของเธอแล้วพูดว่า:”ฉันมาหาเธอเพราะมีเรื่องสำคัญ”
ไป๋มู่ชิงหยุดชะงัก หันกลับมามองเขา:”เรื่องอะไร? ฉันให้เวลาสามนาทีพูดให้ชัดเจน”
หลินอันหนานก้าวเท้าขึ้นมาข้างหน้า ตอนยืนต่อหน้าเธอไม่ยอมพูดว่าเรื่องสำคัญ ตอนนี้กลับจ้องเธอพูดอย่างเอาจริงเอาจัง:”ฉันไม่อยากยั่วโมโหหนานกงเฉิน และไม่เคยคิดจะแย่งผู้หญิงกับเขา ถ้าเธอกับเขาสามารถรักกันได้ชั่วชีวิต งั้นฉันก็จะไม่ไปทำลายพวกเธออย่างแน่นอน แต่ตอนนี้สถานการณ์ระหว่างเธอกับเขาเป็นยังไงใจเธอรู้ดี รอตอนที่สถานะเธอกับยิ่งอันสลับกัน เธอกับเขาก็ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆกันอีก”
ไป๋มู่ชิงบีบมือทั้งสองข้าง ทวนซ้ำเรื่องนี้กับเธออีกแล้ว เรื่องนี้เธอไม่อยากเผชิญหน้า กลับเป็นเรื่องที่ต้องเผชิญหน้า!
“ฉันเคยพูดแล้ว ต่อให้หลังจากนั้นฉันกับเขาไม่มีความเกี่ยวข้องกัน ก็ไม่มีทางเกี่ยวข้องกับคุณเหมือนกัน ระหว่างฉันกับคุณ มันจบไปตั้งแต่คุณเปลี่ยนไปมีใจให้กับไป๋ยิ่งอันแล้ว ถ้านี่เป็นเรื่องสำคัญที่คุณจะพูด ขอโทษนะ ฉันรู้สึกว่าเรื่องสำคัญนี้ ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมาถกเถียงกับคนที่ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆกับคนอย่างคุณ”
“มู่ชิง” หลินอันหนานเห็นเธอจะเดินจากไปอีก ก็รีบยื่นมือดึงเธอไว้อย่างกระวนกระวายใจ
ไป๋มู่ชิงจ้องมือเขาที่จับแขนตัวเองอย่างไม่สบอารมณ์ พูดด้วยความโกรธ:”คุณชายหลิน คุณคิดว่าจะโดนคนไม่หวังดีถ่ายรูปลงหนังสือพิมพ์เหมือนคราวที่แล้วเหรอ?”
“ถ่ายก็ถ่ายไปสิ อย่างมากก็แค่ให้ยิ่งอันแก้ข่าวให้” หลินอันหนานไม่คิดเหมือนไป๋มู่ชิง
“คุณ……”
“ฉันทำไม?” หลินอันหนานหัวเราะเยาะ:”ไป๋ยิ่งอันตอนนี้ทั้งวันเพ้อฝันถึงการได้เป็นคุณหญิงหนานกงของเขา แบบนี้มีผลดีต่อเขา เขาคงยินดีอย่างมาก”
“คุณชายหลิน รบกวนปล่อยมือด้วย” ไป๋มู่ชิงตัดสินใจในใจว่าถ้าเขายังไม่ปล่อยมือ เธอก็จะกัดมือเขา
อย่างที่คิด หลินอันหนานปล่อยมือแล้ว กลับยังคงขวางทางเธออยู่:”โอเค ฉันจะพูดเรื่องสำคัญกับเธอหน่อย ได้ยินมาว่าเมื่อไม่กี่วันก่อนเธอกลับไปที่เมืองหยาน?”
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับคุณไม่ใช่เหรอ?”
“ใช่ ไม่เกี่ยวกับฉัน แต่ฉันจำได้ว่าเธอสืบหาเหตุผลการตายของคุณยายเธอมาโดยตลอด ช่วงนี้ฉันว่างพอดี สามารถช่วยเธอตรวจสอบเรื่องนี้ได้”
ไป๋มู่ชิงใจหล่บฮวบ รู้สึกประหลาดใจนิดหน่อย เรื่องนี้เธอเคยพูดกับหลินอันหนานก็จริง แต่ตอนนั้นหลินอันหนานไม่ได้เก็บมาใส่ใจ ยังไงซะการรื้อฟื้นเรื่องเกี่ยวกับคนตายถือว่าเป็นเรื่องปกติ ไม่มีใครรู้สึกว่าแปลกหรอก
“ไม่จำเป็น ฉันไปตรวจสอบด้วยตัวเองได้” ไป๋มู่ชิงพูดอย่างเย็นชา เธอไม่อยากยื้อความสัมพันธ์กับหลินอันหนานเพราะเรื่องนี้
ครั้งนี้ เธอใช้มือผลักร่างเขาออกด้วยตัวเอง เดินไปยังด้านนอกของสุสาน
หลินอันหนานมองด้านหลังเธอค่อยๆจากไป รู้สึกถึงความห่างเหินของเธอ ในใจอดไม่ได้ที่จะรู้สึกถึงความพ่ายแพ้
ไป๋มู่ชิงยิ่งตีตัวออกห่างจากเขา เขากลับยิ่งอยากเอาชนะเธอ นี่น่าจะเป็นความอยากเอาชนะของผู้ชายล่ะมั้ง
แต่ว่าเขาก็ไม่ได้กังวล ผู้หญิงเป็นสิ่งมีชีวิตแบบไหนเขาทะลุปรุโปร่งเรื่องนี้ตั้งนานแล้ว ล้วนต้องรดน้ำ เขาไม่เชื่อว่าความพยายามและความไม่ยอมแพ้ของตัวเองจะทำให้เธอไม่สนใจเขา
รถของหลินอันหนานจอดอยู่ข้างไป๋มู่ชิง กระจกรถค่อยๆลดระดับลง เขาตะโกนใส่ไป๋มู่ชิงว่า:”ที่นี่ห่างจากตัวเมืองไกลมาก ไม่มีรถแท็กซีผ่านมาหรอก”
“แล้วยังไง?”
“ฉันจะไปส่งเธอเอง”
“ไม่จำเป็น ฉันเรียกคนขับรถมาแล้ว” หลังจากที่ไป๋มู่ชิงหันกลับไปทิ้งให้เขาหนึ่งประโยค ก็ยกมือขึ้นมาปิดหูของตัวเองทั้งสองข้าง ไม่อยากจะฟังเขาพูดอะไรอีก
หลินอันหนานตามเธอไปสักพัก สุดท้ายก็ไม่ได้บังคับเธอ เร่งความเร็วรถขับออกไปไกล
ถึงแม้ว่าจะปฏิเสธความหวังดีของหลินอันหนาน แต่ถูกเขาพูดขึ้นมาแบบนี้ ในใจไป๋มู่ชิงก็คิดถึงเรื่องที่คุณยายโดนบังคับขู่เข็ญจนตายขึ้นมา
เธอนั่งบนดาดฟ้า ถือแก้วน้ำด้วยมือทั้งสองข้าง แล้วครุ่นคิดอย่างเงียบๆ
ความจริงแล้วก่อนหน้านี้เธอเคยคิดจะตรวจสอบเรื่องนี้ แต่คุณแม่จูฮุ่ยกลับโมโหต่อว่าเธออยู่พักใหญ่ ประมาณว่าขนาดลุงตัวเองยังไม่ซักถามเรื่องนี้เลย เธอจะไปยุ่งเรื่องคนอื่นทำไม
ถูกคุณแม่ห้ามไว้อย่างนี้ แล้วยังเจอเรื่องใหญ่ขนาดนี้อีก เธอทำได้แค่ปล่อยเรื่องนี้ไป
ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้คนที่ซื้อบ้านสวนจูไปคือใครเธอยังไม่รู้เลย ไม่รู้เลยสักนิดว่าต้องไปสำรวจหาจากที่ไหน
โทรศัพท์บนโต๊ะมีเสียงข้อความดังขึ้น ส่งมาจากเบอร์พิเศษของไป๋ยิ่งอัน ข้อความมีคำสั้นๆคำว่า’บันทึกประจำวัน’ แค่คำสั้นๆเธอก็สามารถเข้าใจได้
เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาส่งข้อความกลับไป:”ฉันรู้แล้ว”
เขียนบันทึกชีวิตประจำวันกลายมาเป็นการบ้านที่เธอต้องเตรียมในทุกๆวัน หนึ่งวันก็ห้ามตกหล่น
เธอวางแก้วน้ำลงกลับไปที่ห้องนอนแล้วหยิบโน้ตบุ๊คออกมา เปิดเครื่อง หลังจากนั้นก็บันทึกรายละเอียดเล็กๆน้อยๆของตัวเองช่วงสองวันนี้
คิดๆแล้วเธอกับไป๋ยิ่งอันก็ไม่ได้เจอกันนานแล้ว ไม่รู้ว่าเขาเตรียมงานไปถึงไหนแล้ว ระยะเวลาสามเดือน ราวกับว่าอีกไม่นานก็ใกล้จะมาถึงแล้ว
“ดูไม่ออกจริงๆ เธอเขียนบันทึกประจำวันเป็นงานอดิเรกด้วย” ด้านหลังจู่ๆก็มีเสียงพูดหยอกล้อดังขึ้นมา ไป๋มู่ชิงถูกทำให้ตกใจ ปิดโน้ตบุ๊คทันทีตามสัญชาตญาณ หลังจากนั้นก็หันกลับมาถลึงตาใส่เขาอย่างไม่สบอารมณ์
“ทำไมต้องลนลานขนาดนั้น? ก็แค่พูดตามน้ำไปไม่กี่ประโยคเอง?” หนานกงเฉินที่มองด้วยท่าทางโอหังถูกเธอปิดโน้ตบุ๊คใส่
ไม่ใช่เขียนจดหมายรักสักหน่อย จำเป็นต้องมีปฏิกิริยาใหญ่ขนาดนี้เลย?
ไป๋มู่ชิงแอบถอนหายใจ คิดในใจโชคดีที่เขาเห็นแค่ไฟล์เขียนบันทึกประจำวันของตนเอง ไม่ได้ถูกเขาเห็นส่งไฟล์บันทึกประจำวันในอีกหน้า
เธอตั้งใจทำหน้าทำตา ตำหนิเขา:”คุณชายใหญ่! ครั้งหน้าจะเข้าห้องฉันกรุณาช่วยเคาะประตูก่อนได้ไหมคะ?”
“ฉันเคาะหลายรอบแล้ว เธอเองต่างหากที่ไม่ได้ยิน” หนานกงเฉินพูดอย่างไม่มีความผิด:”อีกอย่าง ฉันเข้าห้องของตัวเอง จำเป็นต้องเคาะประตูด้วยเหรอ?”
“ตอนนี้ห้องนี้คือห้องที่ฉันพักอยู่ เพราะฉะนั้นทุกครั้งที่คุณเข้ามาต้องเคาะประตู”
“โอเค ครั้งหน้าฉันจะเคาะดังๆ” เขาเดินไปนั่งลงตรงเก้าอี้อีกตัว
ไป๋มู่ชิงพิงไปทางด้านข้างอย่าไม่ตั้งใจ กวาดสายตาดูเขา:”คุณทำอะไร? มีธุระเหรอ?”
“คุณย่าโทษฉันว่าไม่หาเวลามาอยู่กับเธอ ฉันทำได้แค่ขึ้นมา” หนานกงเฉินใช้สายตามองกลับไป:”ทำไม? ไม่ต้อนรับ?”
“ยังต้องถามอีกเหรอ? ไม่ต้อนรับร้อยเปอร์เซ็นต์”
“ได้ งั้นฉันไปละ” หนานกงเฉินพูดพลางยืนขึ้นจากเก้าอี้
ไป๋มู่ชิงเห็นว่าเขาจะไปจริงๆ ในใจกลับเกิดความอาลัยอาวรณ์ขึ้นมา ทันใดนั้นก็รีบยื่นมือออกไปดึงข้อมือเขาไว้
พอดึงเขาแล้วก็ตื่นตระหนกอย่างกับหาเรื่องใส่ตัว เธอทำอะไรอยู่? ไม่อยากให้เขาไปเหรอ? จะไปอาลัยอาวรณ์ผู้ชายที่ไม่เคยเห็นเธอในสายตาเลยสักนิดทำไม?
“คือว่า……รบกวนเทน้ำให้ฉันสักแก้ว” เธอใช้ปากชี้ไปทางแก้วน้ำที่วางอยู่บนโต๊ะ
เหตุผลนี้……น่าจะใช้ได้นะ?
หนานกงเฉินมองไปทางที่เธอชี้ แก้วน้ำของเธอก็ว่างไปครึ่งแก้วแล้วจริงๆนั่นแหละ แต่ว่า……
“เธอกำลังให้ฉันเทน้ำให้เธอ?” เขาย่นคิ้วถาม
น้ำเสียงยิ่งใหญ่ดีนี่
ไป๋มู่ชิงก็รู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ คำพูดนี้เดิมทีพูดออกไปไม่ได้ผ่านการคัดกรองจากสมอง ตอนนี้ถูกเขาถามกลับอย่างนี้ก็รู้สึกว่าตนเองนั้นได้เสนอเงื่อนไขที่ยากจะเชื่อออกไป
“ทำไม……ไม่ได้เหรอ?” เธอยังฝืนที่จะถามต่อ
“เธอว่ายังไงล่ะ?” หนานกงเฉินยิ้มเยาะ:”ทั้งชีวิตนี้นอกจากคุณย่า ฉันยังไม่เคยเทน้ำให้ใครเลยนะ”
“เทน้ำสักแก้วก็ไม่ใช่เรื่องลำบากยากเย็นอะไร ก็เทให้เขาสักแก้วสิ” คนที่พูดคำพูดนี้ไม่ใช่ไป๋มู่ชิง เธอก็คงไม่มีความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญที่จะพูดประโยคนี้เหมือนกัน
ทั้งสองคนหันกลับไปดู เห็นว่าคุณผู้หญิงเดินเข้ามากับพี่เหออย่างช้าๆ
“คุณย่า” ไป๋มู่ชิงลุกขึ้นจากที่นั่ง พยักหน้าไปทางเขาอย่างมีมารยาท
คุณผู้หญิงชำเลืองตามอง มองที่หนานกงเฉิน:”ถึงแม้ว่าจะทำเรื่องอะไรต้องมีหลักการ แต่บางครั้งทำลายหลักการนั้นไปบ้างก็คงไม่เป็นไร ยึดเหตุผลเกินไปกลับรู้สึกเหนื่อยเสียด้วยซ้ำไป”
ถึงแม้ว่าตระกูลหนานกงไม่เคยมีผู้ชายคอยปรนนิบัติให้ผู้หญิงมาก่อน แต่ว่านะใครใช้ให้สถานะของไป๋มู่ชิงตอนนี้อยู่ในระดับสมบัติล้ำค่าของชาติล่ะ? แถมเธอยังมีทายาทตระกูลหนานกงอยู่ในอ้อมแขนอีกด้วย
หนานกงเฉินสังเกตคุณผู้หญิงอย่างแปลกใจ คำพูดนี้ไม่เหมือนกับคำพูดของเขาเลย? ช่วงนี้คุณย่าผิดปกติเกินไปจริงๆ
ถึงแม้ว่าไป๋มู่ชิงนิสัยดี ไม่กลัวว่าใครจะบ่นอะไรใส่ ปรนนิบัติรับใช้ได้ทั่วถึง แต่ก็ไม่น่าจะใช้ระยะเวลาสั้นๆในการเอาชนะใจคุณย่าได้นะ?
เสน่ห์ของผู้หญิงคนนี้มากขนาดนี้เลย? หนานกงเฉินจู่ๆก็นึกขึ้นได้ว่ามีหลายเรื่อง เหมือนว่าจะได้รับผลกระทบจากผู้หญิงคนนี้
ไม่ยอมรับไม่ได้ ว่าเธอมีความสามารถนี้จริงๆ!
คุณผู้หญิงตั้งใจหันไปหาไป๋มู่ชิง ใช้น้ำเสียงตำหนิพูดกับเธอ:”เธอก็เหมือนกัน ทั้งวันอุดอู้อยู่แต่ในห้อง คุณชายใหญ่แต่งงานกับเธอไม่ได้ให้เธอมาเป็นของที่จัดวางตั้งไว้นะ”
ไป๋มู่ชิงที่ถูกเรียกชื่อนั้นมึนๆงงๆ มองไปที่เขา:”คุณย่าหมายถึง……”
“คุณชายใหญ่ทำงานหนึ่งสัปดาห์ก็เหนื่อยมากแล้ว วันหยุดสุดสัปดาห์เธอไม่ควรจะไปอยู่เป็นเพื่อนเขา เดินเล่นบ้างผ่อนคลายจิตใจบ้างงั้นสิ?” ดูภายนอกคุณผู้หญิงเหมือนจะเป็นห่วงหนานกงเฉิน ความจริงคือเป็นห่วงไป๋มู่ชิง
หลังจากที่กลับมาจากเมืองหยาน ไป๋มู่ชิงนอกจากไปเข้าร่วมงานเลี้ยงครั้งนึง แล้วไปดูเสี่ยวลี่ครั้งนึง ที่เหลือก็หมกตัวอยู่แต่ในห้อง ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป ไม่กลัดกลุ้มจนป่วยก็คงจะแปลก
ไป๋มู่ชิงสามารถฟังออกว่าคุณผู้หญิงต้องการจะสื่ออะไร เขาแอบกวาดสายตาไปทางหนานกงเฉิน ไม่ส่งเสียงอะไร
หนานกงเฉินกังวลว่าคุณผู้หญิงจะบังคับให้เขาออกไปข้างนอกกับไป๋มู่ชิง รีบพูด:”คุณย่า วันนี้ผมไม่คิดจะออกไปไหนแล้ว อยากจะพักผ่อนที่บ้านสักหน่อย”
“คุณหมอพูดไว้ เธอต้องออกไปข้างนอก หากิจกรรมทำ โรคจะได้ไม่กำเริบเอาง่ายๆ” คุณผู้หญิงพูด
นี่เป็นความจริง คุณหมอเคยเกลี้ยกล่อมให้หนานกงเฉินอย่าทำให้ตัวเองเหนื่อยเกินไปจริงๆ ต้องออกไปข้างนอกบ่อยๆผ่อนคลายจิตใจ แต่หนานกงเฉินนั้นสนใจแต่งาน น้อยมากที่จะได้ออกไปข้างนอกหากิจกรรมอะไรทำ
เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเพื่อไป๋มู่ชิงหรือทารกในครรภ์ก็ดี หรือเพื่อหนานกงเฉินก็ดี ล้วนมีความจำเป็นที่จะให้ออกไปข้างนอกบ้านบ้าง
“ไปเถอะ ให้คุณหวางส่งพวกเธอไปช๊อปปิ้ง” คุณผู้หญิงเพิ่มไปหนึ่งประโยค
คุณผู้หญิงพูดไม่ขาดปากทั้งหมดก็เพราะหวังดีกับเขา หนานกงเฉินอยากจะปฏิเสธก็คงไม่ได้แล้ว เขาไม่คัดค้านสักเสียง หันกลับไปทางประตูห้องนอนแล้วเดินออกไป
คุณผู้หญิงหันไปทางไป๋มู่ชิง ใช้แววตาพุ่งไปทางเขา:”รีบไป”
ไป๋มู่ชิงลุกขึ้นแล้วเดินตามหลังหนานกงเฉินออกไปจากห้องนอน
หนานกงเฉินไม่มีความสนใจในการช๊อปปิ้งสักนิด ดังนั้นตอนที่คุณหวางถามเขาว่าอยากช๊อปปิ้งที่ไหน เขาแค่พูดทิ้งไปหนึ่งประโยค:”เรื่องนี้ไม่ต้องถามฉัน”
คุณหวางก็เลยเปลี่ยนไปถามไป๋มู่ชิง ไป๋มู่ชิงครุ่นคิด ช๊อปปิ้งมันไม่น่าสนใจจริงๆ อีกอย่างก็ไม่รู้ว่าจะซื้ออะไรดี
“หรือว่าจะไปเดินเล่นที่สวนน้ำกันดี” เธอพูด
ที่นั่นเธอเคยไปกับหลินอันหนาน เป็นสถานที่ที่เหมาะแก่การพักผ่อน
เห็นว่าหนานกงเฉินไม่ได้คัดค้าน คุณหวางก็ออกรถขับไปยังสวนน้ำ
สวนน้ำอยู่ข้างชายฝั่งตะวันตก ด้านในมีเครื่องเล่นและสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน อาหารก็เช่นกัน ส่วนมากที่มาเล่นที่นี่ก็จะเป็นคู่รัก ทุกคู่ล้วนแต่จับมือกัน เคียงบ่าเคียงไหล่ ทำให้ไป๋มู่ชิงที่ดูอยู่รู้สึกอิจฉาขึ้นมา
ความสัมพันธ์ของเธอกับหนานกงเฉิน ไม่ควรมารวมตัวอยู่ที่นี่ตั้งแต่แรก
แต่ว่าในเมื่อมาถึงแล้ว ก็ไม่ควรจะกลับไปทั้งแบบนี้ รอบด้านมีผู้หญิงไม่น้อยเลยที่ให้ความสนใจกับหนานกงเฉิน ไม่รู้ว่ารู้สถานะของเขากันหรือเปล่า
เพื่อให้ผู้หญิงพวกนั้นเลิกคิด ไป๋มู่ชิงรีบเดินตามให้ทันกับจังหวะการก้าวเท้าของหนานกงเฉิน ยื่นมือออกไปจับที่ข้อพับแขนของเขา
หนานกงเฉินก้มมองเธอ ไม่ได้สลัดทิ้งแต่อย่างใด
ไป๋มู่ชิงเหมือนจะวางใจ ถามด้วยรอยยิ้มสดใส:”พวกเราไปเล่นอะไรกันดีนะ? นั่งเรือ? ไม่ได้ ฉันกลัวฉันอาเจียน หรือไม่ก็ไปดูวิวทะเลก็ดีนะ”
เธอยังคงวางแผนอยู่ หนานกงเฉินก็ยังคงไม่มีท่าทีว่าคัดค้าน ยังไงซะเขาไม่ได้สนใจที่นี่อยู่แล้ว เธอจะทำอะไรก็แล้วแต่เธอแล้วกัน
ทั้งสองคนเพิ่งผ่านถนนเส้นเล็กๆมา ขณะที่มาถึงลานเล็กๆของสวนน้ำนั้น ฝีเท้าของไป๋มู่ชืงก็หยุดลง
หนานกงเฉินรู้สึกได้ถึงการหยุดของเธอ หันกลับมาดู ก็เห็นว่าเธอกำลังยืนน้ำลายไหลเพราะมองของหวานอย่างหนึ่งอยู่
นานมากแล้วที่ไป๋มู่ชิงไม่ได้ทานไอศครีม อีกอย่างนี่เป็นยี่ห้อที่เธอชอบมากที่สุด เธอกำลังชั่งใจอยู่ว่าจะซื้อดีไหม
ก็แค่ไอศครีมหนึ่งอัน ไม่น่าจะมีผลกระทบอะไรกับลูกนะ? เธอพูดเกลี้ยกล่อมตัวเองในใจ แต่ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา เธอก็คงจะเกลียดความตะกละของตัวเองไปตลอดชีวิต
“สรุปเธอจะไปซื้อไหม?” หนานกงเฉินชายตามองเธอ ไม่เข้าใจแค่ไอศครีมอันเดียวจำเป็นต้องครุ่นคิดนานขนาดนั้นเลยเหรอ
ไป๋มู่ชิงเลียริมฝีปาก ตัดสินใจว่าจะอดกลั้นไว้
ช่วงเวลานี้พอดี ผู้หญิงตั้งครรภ์คนหนึ่งเดินออกมาจากของหวานฝั่งนั้นกับสามีของเขา พร้อมกับเลียไอศครีมในมืออย่างมีความสุข
คนอื่นยังกล้าทาน ตัวเองทานแค่อันเดียวไม่เป็นไรหรอก ในที่สุดก็หาเหตุผลมาปลอบใจตัวเองได้ ไป๋มู่ชิงพยักหน้า:”ฉันอยากกิน”