หนานกงเฉินชะงักหันกลับมาและจ้องไปที่เธอ: “คุณหวางรู้ได้ยังไง?”
“เขา…….”
สีหน้าของหนานกงเฉินเรียบเฉยมากขึ้น “คุณย่าเป็นคนจัดเตรียมงั้นเหรอ?”
“เอ่อ … ” พี่เหอยิ้มแห้ง “คุณชายใหญ่ อย่าโกรธเลยนะคะ คุณผู้หญิงก็แค่หวังดีกับคุณ เป็นห่วงคุณ … ว่าจะเกิดอะไรขึ้น”
“ทุกครั้งก็จะบอกว่าหวังดีกับฉัน!” หนานกงเฉินพูดขึ้น “ออกไปเดินเล่นซื้อของก็ส่งคนตามฉัน ฉันยังมีอิสระของตัวเองอยู่หรือเปล่า?”
“คุณชายใหญ่……”
“กลับไปบอกท่านซะ! ถ้าเป็นแบบนี้อีกต่อไป… ก็ … จะไม่ออกข้างนอกตลอดไปเลย” เขาทิ้งท้ายไว้ด้วยความโกรธ
พี่เหอเอาแต่พยักหน้าให้เขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า และหมุนตัวเดินออกมาจากสายตาของเขา
หนานกงเฉินมองดูร่างของพี่เหอที่เชื่อฟัง และสูดหายใจเบาๆ เขาเคยมีปัญหาเรื่องนี้กับคุณผู้หญิงมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ไม่ว่าเขาจะทำหรือประท้วงอย่างไร คุณผู้หญิงมักจะดึงดันและอ้างเหตุผลว่าหวังดีกับเขาเสมอ
เขารู้ว่าที่แท้สิ่งที่คุณย่าทำก็เพื่อประโยชน์ของตัวเขาเอง แต่ … ไม่มีใครชอบความรู้สึกของการถูกจับตามองหรอก!
หนานกงเฉินยืนอยู่ที่ปลายสุดของทางเดินและเงียบไปพักหนึ่ง แต่ไม่ได้เดินต่อไปทางของลิฟต์ แต่กลับไปที่ประตูวอร์ดของไป๋มู่ชิง
หลังจากมีเรื่องกันเมื่อครู่ ไป๋มู่ชิงโกรธจนน้ำตาไหล เธอลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินไปที่โต๊ะข้างเตียง
ถึงแม้ว่าจะไม่บาดเจ็บถึงกระดูก แต่เมื่อลุกขึ้นเดินก็ยังรู้สึกเจ็บแผลอยู่ หยุดพักที่ข้างโต๊ะสักเล็กน้อยเพื่อปรับตัว เธอถึงรู้สึกค่อยๆชิน จากนั้นหยิบขวดน้ำขึ้นมาแล้วรินน้ำให้ตัวเอง
หลังจากดื่มน้ำแล้วเธอต้องการกลับไปนอนพักผ่อน แต่ขาซ้ายที่ได้รับบาดเจ็บไม่สามารถยกขึ้นบนเตียงได้ ความเจ็บปวดทำให้เธอกัดฟันจนเหงื่อออก ….
ไป๋มู่ชิง เธออย่ากลัวความเจ็บปวดไม่ได้เหรอ เธอนึกชิงชังตัวเองอยู่ในใจ ทันทีหลังจากออกแรงก็รู้สึกเจ็บปวดที่บาดแผลทันที เธอล้มลงกับพื้นพร้อมกับร้องเสียงต่ำ
แต่เธอไม่ยอมแพ้ เตรงกันข้ามยิ่งผิดหวังจึงยิ่งกล้าหาญมากขึ้น เธอจับที่โครงเตียงพยายามยืนขึ้นอีกครั้ง เธอไม่เชื่อเลยว่าเธอจะไร้ประโยชน์ถึงขนาดไม่สามารถลุกขึ้นมาบนเตียงได้!
ในที่สุดหนานกงเฉินที่ยืนอยู่หน้าประตูก็ทนไม่ได้อีกต่อไป เปิดประตูแล้วเดินเข้าไป ก้าวไปหาเธอโดยไม่พูดอะไรสักคำและก้มตัวเพื่ออุ้มเธอจากพื้นขึ้นบนเตียง
ไป๋มู่ชิงสะดุ้งมองคนตรงหน้า เธอคิดว่ามันเป็นภาพลวงตา
ไม่ใช่ว่าเขาไปแล้วเหรอ? จะกลับมาอีกทำไมกัน?
หลังจากที่หนานกงเฉินวางเธอลงบนเตียง เขาเหลือบมองเธอและน้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความเยาะเย้ย “ไม่ใช่ว่าเธออดทนเก่งหรอกเหรอ แค่ขึ้นเตียงทำไมถึงขึ้นไม่ได้ล่ะ?”
“ใครให้คุณมาสนใจล่ะ!” ไป๋มู่ชิงมองเขาด้วยความโกรธ และยกมือขึ้นเพื่อสัมผัสเช็ดหมอกน้ำตาในดวงตาของเธออย่างรวดเร็ว เธอไม่สามารถปล่อยให้เขาเห็นน้ำตาและไม่ให้โอกาสเขามีโอกาสได้หัวเราะเยอะเย้ยได้
แต่ถึงอย่างไรหนานกงเฉินก็น้ำตาในดวงตาของเธอมานานแล้ว หนานกงเฉินได้เอ่ยอะไรเพียงแค่ดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมร่างของเธอ
รู้จักับเธอมาเนิ่นนาน แต่บางครั้งก็ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกโมโหซะจริงทำไมเขาถึงอ่านบุคลิกเธอไม่ออก แท้ที่จริงแล้วไม่ได้แข็งแกร่งขนาดนั้นแต่กลับเป็นคนดื้อรั้นเหมือนกระทิง
บุคลิกแบบนี้ บางครั้งก็เป็นเรื่องน่ารำคาญสำหรับผู้ชาย โดยเฉพาะผู้ชายที่มีหน้าตาและความนับถือตนเองแข็งแกร่งกว่าเธอ
ไป๋มู่ชิงมองเขา สีหน้าของเธอเรียบเฉยและพูดว่า: “กลับมาทำไม เมื่อครู่ทะเลาะกันไม่มากพอเหรอคะ”
แน่นอนว่าหนานกงเฉินจะไม่ยอมรับว่าเขาเข้าใจผิดที่ตำหนิเธอ และเขาจะไม่ยอมรับว่าเขารู้สึกผิดและเสียใจในใจ แต่เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจอย่างยิ่งว่า “ถ้าคุณย่าของฉันไม่บังคับให้ฉันอยู่ที่นี่และรับใช้เธอ ฉันก็คงไปนานแล้ว”
“คุณกำลังรับใช้ฉันอยู่งั้นเหรอ” ไป๋มู่ชิงทำเหมือนกำลังฟังเรื่องตลก
“หมายความว่าไง” หนานกงเฉินขมวดคิ้ว สีหน้าของเธอหมายความว่าอะไร? ไม่ชอบเขางั้นเหรอ?
“ฉันรู้สึกขอบคุณมากถ้าคุณจะประชดฉันให้น้อยลง” ไป๋มู่ชิงโบกมือและชี้ไปที่ประตู “คุณชายใหญ่ ถ้าคุณไม่อยากให้ตายอยู่ที่นี่ล่ะก็ ช่วยกรุณาออกไปตอนนี้เลยค่ะ”
ในตอนท้ายเธอไม่ลืมที่จะพูดอีกว่า “คุณวางใจได้ค่ะ ฉันจะจัดการเรื่องทางคุณย่าให้ชัดเจน”
“จัดการงั้นเหรอ?เธอจะจัดการอะไรต่อหน้าคุณย่าได้”หนานกงเฉินดูหมิ่น “อย่าคิดว่าทัศนคติของคุณย่าที่มีต่อจะดีขึ้นในเร็วๆนี้หรอกนะ เธอน่ะเอาใจคนแก่เก่งจริงๆเลยนะ จะบอกให้นะว่า ย่าน่ะใจแข็งเหมือนทำมาจากเหล็ก ชีวิตนี้ไม่เคยชอบใครจริงๆเลยสักคน ”
ไป๋มู่ชิงโดนเขาขัดจนเงียบไป แต่คำพูดของเขานั้นถูกทุกอย่าง
คุณผู้หญิงดีกับเธอ ไม่ใช่เพราะชอบเธอ แต่เป็นเพราะลูกในท้อง เธอรับรู้เรื่องนี้มาโดยตลอด
ไป๋มู่ชิงจึงไม่ต่อปากต่อคำกับเขาอีก หันหลังให้เขาและเริ่มเล่นโทรศัพท์
ด้านหนานกงเฉินก็ไม่ได้ดึงดันต่อ และเดินไปนั่งที่โซฟา
หลังจากอยู่ในวอร์ดได้สักพัก หนานกงเฉินก็ไม่สามารถอยู่นิ่งได้และลุกขึ้นจากโซฟาพร้อมพูดกับเธอว่า”ฉันจะออกไปหาอะไรกิน เธออยากกินอะไร?”
“อะไรก็ได้” ไป๋มู่ชิงไม่หันกลับมามองแม้แต่น้อย
หนานกงเฉินปฏิเสธที่จะยอมรับคำตอบของเธอและกล่าวว่า “ไม่มีอะไรก็ได้”
“ฉันอยากกินขนม” แม้ว่าเธอจะเพิ่งกิน แต่เธอก็ไม่ได้กินมากนักเพราะเธออารมณ์ไม่ดี ยังรู้สึกหิวอยู่นิดหน่อย
หนานกงเฉินออกจากโรงพยาบาล เจอร้านขายติ่มซำอยู่ใกล้ ๆจึงเดินเข้าไป มีติ่มซำหลายแบบ เขาซื้อมาทุกแบบ ก่อนที่จะออกไปสายตาของเขาก็ถูกไอศครีมในตู้ดึงดูด
เมื่อเห็นว่าเขาสนใจไอศกรีม พนักงานจึงยิ้มอย่างสุภาพแล้วพูดว่า “คุณคะ ไอศครีมที่นี่อร่อยมาก ลองซื้อไปชิมสักอันสิคะ”
หนานกงเฉินจำลูกไอศครีมที่ไป๋มู่ชิงโดนคนชนหล่นเมื่อเช้านี้ได้และถามพนักงานว่า “ใส่ถุงกลับบ้านได้ไหมครับ”
“ได้ค่ะ เรามีกล่องบรรจุพิเศษ แต่ไม่ควรนานเกินไป”
“ งั้นก็เอาให้นิดหนึ่งครับ”
“ได้ค่ะ คุณชอบรสไหนคะ”
หนานกงเฉินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาไม่รู้จริงๆว่าไป๋มู่ชิงชอบรสไหน เขาขยับแว่นกันแดดของเขาอย่างเขินอายเล็กน้อยแล้วถามพนักงานว่า “ขอถามหน่อย … ผู้หญิงชอบรสอะไรเหรอครับ”
“เอ่อ … ” พนักงานถามด้วยความอายเล็กน้อย “ผู้หญิงทุกคนชอบรสชาติที่แตกต่างกัน พูดยากน่ะค่ะ”
“ งั้นก็เอามาทุกรสอย่างละหนึ่งอันละกัน”
“อะไรนะคะ?”
“ทำไมเหรอครับ?”
“คุณคะ มัน … ไม่มากไปหน่อยเหรอ” ที่นี่มีรสชาติยี่สิบสี่ชนิดและราคาก็แพงไปหน่อย
“ไม่เป็นไร คนของฉันเป็นคนชอบกิน”
“โอเคค่ะ” พนักงานพยักหน้าก้มหัวลงในขณะที่ขุดหาลูกไอศกรีมและแอบอิจฉาความสุขของนักกินคนนี้!
หลังจากใส่ไอศกรีมและของว่างเข้าด้วยกันแล้ว พนักงานก็ยื่นถุงใหญ่สองถุงให้กับ หนานกงเฉิน และเตือนด้วยรอยยิ้มว่า “เมื่อคุณกลับไปแล้วอย่าลืมนำไอศครีมที่กินไม่หมดแช่ในตู้เย็นนะคะ”
“โอเค ขอบคุณครับ” หนานกงเฉินรับถุงใบใหญ่และหันไปออกจากร้านขายขนม
หนานกงเฉินกลับมาที่วอร์ดห้องพัก วางกระเป๋าถุงใหญ่สองใบไว้บนโต๊ะข้างเตียง
ไป๋มู่ชิงมองไปที่โต๊ะที่เต็มไปด้วยไอศกรีม จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างไม่เชื่อ“ คุณไม่เป็นไรใช่ไหม ซื้อไอศครีมมากมายขนาดนี้มาทำอะไร?”
“ฉันไม่รู้ว่าเธอชอบรสอะไร ดังนั้นฉันเลยซื้ออย่างละหนึ่งอย่าง” หนานกงเฉินไม่คิดว่าจะมีอะไร ดังนั้นเขาจึงหยิบขนมขึ้นมาและกินมัน เขารู้สึกหิวแล้วหลังจากที่ไม่ได้กินอะไรดีๆเลยทั้งวัน
“ หนานกงเฉิน คุณเป็นคนมหัศจรรย์ในวันธรรมดางั้นเหรอ?” ไป่มู่ชิงยังคงดูเหลือเชื่อ
“ทำงานเก็บเงินแล้วไม่ใช้จะให้เก็บไปยัดใส่โลงศพหรือไงกันล่ะ” หนานกงเฉินไม่เห็นด้วย
“ แต่จะสิ้นเปลืองแบบนี้ก็ไม่ได้นะ”
“ตกลงว่าเธอจะกินหรือไม่กิน”
“ฉัน … ” ไป๋มู่ชิงมองไปที่ลูกไอศครีมที่น่าลิ้มลองนั่น แต่ … เธอกินมันได้จริงหรือ? หากคุณผู้หญิงรู้ขึ้นมาว่าเธอกินของเย็น จะโดนดุด่าหรือเปล่านะ?
เธอมองไปที่หนานกงเฉิน จากนั้นก็มองไปที่ลูกไอศกรีมบนโต๊ะ และในที่สุดก็เลือกไอศกรีมรสช็อคโกแลตแล้วกัดมันลงไป
รสชาติของร้านนี้บริสุทธิ์ เข้มข้นเช่นเคยและน่ากินมาก
เธอกินช็อคโกแลตรสหนึ่งและอยากกินสตรอเบอร์รี่อีกรสหนึ่ง แต่เจิตใต้สำนึกของเธอบอกเธอว่าห้ามกินอีก ถ้าขืนยังกินอีกต้องรู้สึกผิดกับลูกในท้องากแน่ๆ
หนานกงเฉินมองไปที่เธอราวกับว่าเธออยากกินแต่ไม่กล้ากิน และเลิกคิ้วด้วยความสับสน”ทำไมล่ะ ไม่กล้ากินงั้นเหรอ จะเตือนอะไรเธออย่างนะ ในใจฉันเธอน่ะไม่ได้มีอะไรหรอกนะ ไม่ต้องเสแสร้งที่นี่หรอก”
“ ใครเสแสร้งต่อหน้าคุณกันล่ะ?” ไป๋มู่ชิงหยิบขนมขึ้นมาและกินมัน
“ แล้วทำไมเธอไม่กินล่ะ”
“เพราะ … ” ไป๋มู่ชิงลังเลอยู่ครู่หนึ่งและคิดข้ออ้างขึ้นมาว่า “เพราะฉันต้องการเก็บไว้ให้เด็กๆกินน่ะสิ ”
เดิมทีนี่เป็นข้ออ้างที่เธอคิดขึ้นมาด้วยความรีบร้อน แต่ข้ออ้างนี้ก็ดูดีทีเดียว สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ และเธอก็กินไม่ได้อยู่ดี มันน่าเสียดายที่จะทิ้งของแพง ๆ แบบนี้ไป คงจะดีกว่าถ้าให้เด็ก ๆ กิน.
หนานกงเฉินพูดไม่ออก“ ไม่ต้องทำเหมือนยิ่งใหญ่ขนาดนั้นได้ไหม ตัวไม่เองกินแต่จะเหลือไว้ให้เด็กๆกินอย่างนั้นสิ?”
“แน่นอนสิ คุณจะต้องเรียนรู้จากฉันเกี่ยวกับเรื่องนี้นะ”
หนานกงเฉินยิ้มอย่างดูถูกเหยียดหยาม มองลงไปที่โทรศัพท์และกินขนมในมือ
ไป๋มู่ชิงมองไปที่เขาแล้วพูดอย่างระมัดระวัง”คุณชายใหญ่ ช่วยอะไรฉันหน่อยได้ไหมคะ?”
“ไม่ได้”
“ คุณย่าขอให้คุณอยู่รับใช้ฉัน”
“ ใช่ แต่ถ้าจะให้ฉันส่งไอศครีมให้พวก … เด็กป่าพวกนั้นล่ะก็ โปรดยกโทษให้ฉันด้วยที่ทำไม่ได้”
“เปล่าค่ะ ฉันแค่อยากจะขอให้คุณช่วยพยุงฉันลงจากเตียง ฉันจะไปส่งด้วยตัวเอง” ไป๋มู่ชิงยิ้มให้เขาเล็กน้อย “เรื่องง่ายๆแค่นี้ หรือว่าคุณก็ช่วยฉันไม่ได้คะ?”
“เธอ … ” หนานกงเฉินโกรธและชี้ไปที่เธอ: “บังคับให้ฉันทำใช่ไหม?”
“ หมายความว่าไงเหรอคะ”
“อุตส่าห์ใจดีซื้อไอศครีมให้เธอ เธอยังจะกล้าหยิ่งผยองเรื่องนี้อีกเหรอ” หนานกงเฉินคว้าไอศกรีมด้วยความรำคาญ บีบกรามของเธอด้วยมืออีกข้างและยกขึ้นขู่: “เธอคิดว่าฉันไม่ดีพอสำหรับเธอหรือไง ตอนนี้ฉันดีกับเธอแล้ว แต่เธอกำลังเหยียบย่ำมันแบบนี้น่ะเหรอ วันนี้เธอต้องกินให้หมด … !”
ในขณะที่พูดเขายัดไอศกรีมเข้าไปในปากของไป๋มู่ชิง
“อื้อ … ” ไป๋มู่ชิงส่ายหัวและดิ้นรนและอุทานอย่างโกรธแค้นว่า”หนานกงเฉิน คุณมันบ้า! ฉันกินไม่ได้ … !”
เอาอีกแล้ว ไอ้โรคจิต!
ถ้าเธอกินได้ เขาต้องบังคับเธอด้วยหรือไง ไม่งั้นก็กินเองไปตั้งนานแล้วสิ
“ ทำไมถึงกินไม่ได้ เมื่อเช้ายังจะไปซื้อเองอยู่เลยไม่ใช่หรือไง”
“ฉัน … ออกไปนะ!” ไป๋มู่ชิงผลักอย่างแรงและมือของหนานกงเฉินที่ถือไอศกรีมหันไปรอบ ๆ แต่เขากลับทำเปื่้อนใบหน้าของเขาเอง
หนานกงเฉินแตะครีมบนใบหน้าของเขาและโกรธมากจนอยากจะจัดการเธออีกครั้ง ไป๋มู่ชิงตะโกนอย่างกระวนกระวาย “ถ้าคุณบังคับฉันอีกครั้ง ฉันจะโทรหาคุณย่า!”
อาจเป็นเพราะประโยคนี้ได้ผลจริงๆ หนานกงเฉินจึงหยุดบังคับ
ทันทีที่ไป๋มู่ชิงได้โอกาส เธอก็ดึงผ้านวมขึ้นมาคลุมหัวทันที จากนั้นก็แอบมองใบหน้าเขาที่เปื้อนไปด้วยไอศกรีม ทั้งๆที่กำลังโกรธแต่เธอเธอกลับอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
“คุณรู้ไหมว่าตอนไหนที่คุณน่ารักที่สุด” ไป๋มู่ชิงยิ้มและพูดว่า “ตอนที่คุณถูกคุณย่าตีและตอนนี้ … ”
หนานกงเฉินรู้สึกอายมากที่เธอล้อเลียน ในขณะที่เขากำลังจะละเลงไอศครีมที่เหลืออยู่ในมือ ไป๋มู่ชิงรีบหดตัวกลับเข้าไปในผ้าห่มพลางตะโกน “คุณกำลังเปลืองอาหารพระเจ้าจะถูกประณาม! เอาไปให้เด็กที่นั่าสงสารพวกนั้นกินซะยังดีกว่านะ!”
“เฮ้อ ทำไมคุณถึงเจ้าคิดเจ้าแค้นนักนะ เด็กๆก็แค่เคยทำคุณเปื่อนไปทั้งตัว คุณกลับแค้นจนถึงตอนนี้ คิดเล็กคิดน้อยแบบนี้ยังเป็นผู้ชายอยู่หรือเปล่า หรือคุณไม่ว่าผู้ชายที่มีน้ำใจน่ะมีสเน่ห์น่าดึงดูดที่สุดแล้ว”
หนานกงเฉินไม่สามารถหาคำที่จะอธิบายอารมณ์ของตัวเองได้ในขณะนี้และเขาแค่เกลียดที่ตัวเองซื้อไอศครีมให้กับเธอ
ไป๋มู่ชิงไม่ได้ยินคำตอบและตระหนักว่าเขาต้องโกรธ เธอจึงเปลี่ยนคำพูด “อย่าโกรธฉันเลยนะคะ แค่พูดความจริง คุณดูสิว่าจ้าวเฟยหยางมีน้ำใจแค่ไหน แม้ว่าพ่อแม่จะไม่หล่อเท่าคุณ ไม่รวยเท่าคุณ แต่ก็มีผู้หญิงจำนวนมากที่ชอบเขาและแม้แต่สาวสวยอย่างหยวนกุ้ยก็ยังทุ่มเทให้กับเขา”
ยังคงไม่มีการตอบสนองใด ๆ ไป๋มู่ชิงจึงต้องเปลี่ยนคำพูดของเธอต่อไป“ อืม คุณค่อนข้างเหมือนผู้หญิง แต่ถ้าคุณมีอารมณ์ดีขึ้นและมีความเมตตามากขึ้นคุณจะทำให้ผู้หญิงพอใจมากขึ้นแน่นอน”
“เฮ้ … ฉันพูดมาตั้งเยอะ คุณจะไม่ตอบโต้อะไรหน่อยเหรอ ไม่ใช่ว่าโกรธจนพูดไม่ออกหรอกนะ?” ไป๋มู่ชิงไม่สามารถรอได้อีกต่อไปและเปิดมุมของผ้าห่มและมองออกไป
แต่ทว่าในวอร์ดห้องพักกลับไม่มีแม้แต่เงาของหนานกงเฉิน อย่าพูดถึงหนานกงเฉินเล แม้แต่ไอศครมกับขนมบนโต๊ะก็หายไปพร้อมกับเขาด้วย
“คนขี้งก!” ไป๋มู่ชิงพึมพำอย่างเงียบ ๆ เธอไม่ได้ขนมเหล่านั้นด้วยซ้ำ แต่กลับถูกเขาเอาออกไปแล้ว
หลังจากที่หนานกงเฉินจากไป ไป๋มู่ชิงก็เอนกายลงข้างเตียงและพลิกดูนิตยสาร ทำให้รู้สึกดีขึ้นกว่าเดิมมาก
แม้ว่าเธอจะไม่รู้ว่าทำไมหนานกงเฉินผู้หยิ่งผยองจึงกลับมาและซื้อไอศกรีม แต่เธอก็บอกได้ว่านี่เป็นสัมปทานเงียบ
แม้ว่าพฤติกรรมของเขาในเช้านี้จะน่าผิดหวัง แต่การได้รับสัมปทานก็เป็นการปรับปรุงอยู่แล้วและเธอก็ไม่กล้าถามเขามากขึ้น
หลังจากพลิกดูนิตยสารสักพักไป๋มู่ชิงรู้สึกโล่งใจที่โทรศัพท์บนโต๊ะทำงานของเธอดังขึ้นและเป็นจ้าวเฟยหยางที่โทรมา
เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและกดปุ่มรับสายและได้ยินเสียงเชียร์ของเด็ก ๆ จากอีกด้านหนึ่งของโทรศัพท์จ้าวเฟยหยางยิ้มและพูดว่า “คุณไป๋ ขอบคุณสำหรับไอศกรีมและของว่าง นะครับเด็ก ๆ ทุกคนมีความสุข”
“อะไรนะคะ” ไป๋มู่ชิงได้ยินไม่ค่อยชัด ไอศกรีมและของว่าง? เรื่องมันเป็นยังไงกันแน่?
“เมื่อครู่คนในห้องรักษาความปลอดภัยเพิ่งเอาไอศกรีมและขนมมาให้ และบอกว่าครูไป๋เอามาให้น่ะครับ คุณไม่รู้เหรอ?” จ้าวเฟยหยางรู้สึกงงกับคำถามของเธอ
“อ๋อ … อ้อ ฉันขอให้คนไปส่งให้เองค่ะ” ไป๋มู่ชิงพูดอย่างรีบร้อน
ปรากฎว่าหนานกงเฉินไม่ได้ทิ้งไอศครีมและของว่างเหล่านี้แต่อย่างใด แต่ถูกส่งไปยังสถานเลี้ยงเด็กกำพร้างั้นเหรอ? เห็นได้ชัดว่าเขาปฏิเสธเธอก่อนที่เธอจะขอให้เขาส่ง ทำไมถึงยังส่งของไปกันนะ?
หลังจากวางสายโทรศัพท์ ไป๋มู่ชิงครุ่นคิดเรื่องนี้ตลอดเวลา
เธอบอกว่าเธอจะไปส่งด้วยตนเอง งั้นเพราะเหตุผลอะไรกันแน่ที่ทำให้เขาเปลี่ยนใจ
เธอถือโทรศัพท์มือถือของเธอและครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ งจากนั้นก็ลังเลที่จะกดเบอร์ของ หนานกงเฉิน
โทรศัพท์ดังขึ้นเป็นเวลานานก่อนหนานกงเฉินจะตอบรับสาย ในอีกด้านหนึ่งของโทรศัพท์ น้ำเสียงของเขาเรียบเฉยเช่นเคย “เป็นอะไร เธอต้องการให้ฉันทำอะไรอีก?”
“เปล่าค่ะ … ” ไป๋มู่ชิงอ้าปากพูดอย่างซาบซึ้ง “ขอบคุณนะคะ ฉันได้ยินมาว่าเด็ก ๆ มีความสุขมาก”
“ ไม่ต้องขอบคุณฉัน ฉันไปเพราะกังวลว่าความใจดีของฉันไม่เพียงพอที่จะรับผลกรรม” ฟังออกเลยว่าน้ำเสียงของเขายังโกรธและไม่พอใจอยู่เป็นแน่
ไป่มู่ชิงอดไม่ได้ที่จะยิ้มและพูดว่า “วางใจค่ะ ฉันอายุยืนแน่นอน”
“ขอบคุณ”
ไป๋มู่ชิงรู้สึกว่าเขากำลังจะวางสายจึงรีบพูดว่า “แล้วตอนนี้คุณจะไปไหนคะ”
“ ทำไมล่ะ อยากให้ฉันไปค้างคืนเป็นเพื่อนเธอเหรอ”
“ ไม่กล้าหรอค่ะ ฉันแค่สงสัยว่าคุณ … จะไปดื่มอีกหรือเปล่า”
ในความเป็นจริง สิ่งที่เธอต้องการถามก็คือเขาได้ไปเจอคุณหนูจูหรือเปล่าหรือไม่คืนนี้เขาจะอยู่กับเธอหรือไม่ หรือก็ดื่มไปหาไป
อีกด้านหนึ่งของโทรศัพท์หนานกงเฉินก็เงียบในที่สุดและใช้เวลานานในกว่าจะพูดออกมา “ฉันขอโทษเรื่องเมื่อเช้านี้ แต่ฉันสัญญากับเธอนะว่าจะไม่มีครั้งต่อไปอีก”
หลังจากพูดจบหนานกงเฉินก็วางสายโทรศัพท์ไป
ไป๋มู่ชิงตกใจมาก มือของเธอที่ถือโทรศัพท์มือถือไม่ได้ขยับมาเป็นเวลานาน
เธอฟังผิดหรือเปล่า? หรือเขาพูดผิด? เขาขอโทษเธอจริงๆเหรอ? แถมยังสัญญากับเธอว่าจะไม่มีครั้งต่อไปอีก เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน!
งั้นสรุปแล้ววันนี้เขาพบเธอแล้วหรือยัง? ทำไมอยู่ๆถึงพูดกับเธอแบบนี้?
“หนานกงเฉิน พูดให้ชัดๆสิ !” ทั้งๆที่รู้ว่าวางสายโทรศัพท์ไปแล้ว แต่เธอก็ยังอดไม่ได้ที่จะถาม เสียงตอบรับเธอมีแค่เสียง“ปิ๊บ”จากโทรศัพท์เพียงเท่านั้น
ช่างเป็นคำที่หายากและมีค่าเช่นนี้ ทำไมคุณไม่พูดอะไรสักสองสามคำก่อนจะวางสายไปล่ะ
เมื่อมีคำสัญญาของหนานกงเฉิน ไป๋มู่ชิงก็อารมณ์ดีขึ้นมา ไม่รู้สึกเบื่อหรือเศร้าเมื่อต้องอยู่คนเดียวในโรงพยาบาล
แม้ว่าหนานกงเฉินจะไม่มาเยี่ยมเธออีกเลยทั้งวันทั้งคืน แต่ก็ไม่ส่งผลใดๆต่ออารมณ์ของเธอ
เธอรู้ดีว่าหนานกงเฉินเป็นคนที่แสดงความรู้สึกได้ไม่ดี การทำเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ นอกจากนี้งานของเขายุ่งมากและบริษัทอยู่ห่างจากที่นี่อีกด้วย
สรุปคือเมื่อเวลาที่ชอบใครสักคน เขาทำอะไรก็ถูกต้องไปเสียหมด ควรแก่การให้อภัย!
เมื่อเห็นไป๋มู่ชิงอารมณ์ดีเหยาเหม่ยก็พูดติดตลกด้วยการแสดงออกที่คลุมเครือ“ ดูเหมือนว่าคุณจะเข้ากับครอบครัวได้ดี ริมฝีปากสีแดงและฟันสีขาวเหมือนดอกท้อ”
“ก็ไม่เท่าไหร่หรอก” ไป๋มู่ชิงหัวเราะเบา ๆ
“แล้วเขารู้เรื่องที่คุณท้องหรือเปล่า” เหยาเหม่ยถามอย่างสงสัย
พูดเพียงคำเดียวความอารมณ์ดีของไป๋มู่ชิงก็ตกลงไปด้านล่างทันที ทำไมฉันต้องพูดถึงเรื่องนี้มันน่าผิดหวังจริงๆ
นี่เป็นคำถามที่เธอไม่กล้าคิดและเธอไม่มีความกล้าที่จะเดาว่าหนานกงเฉินจะตอบอย่างไร เมื่อเธอรู้ความลับนี้ และเขาจะจัดการเธอสองแม่ลูกยังไง
“ยังไม่รู้” เธอเหลือบมองไปที่ประตูของวอร์ดและทำท่าทางนิ่งเฉยใส่เหยาเหม่ย
คุณผู้หญิงบอกหมอที่นี่เป็นพิเศษว่าอย่าให้คนอื่นรู้เรื่องการตั้งครรภ์ของเธอ ถ้าเหยาเหม่ย
เผลอพูดล่ะก็ จะต้องได้ยินถึงหูหนานกงเฉิน ต้องแย่แน่ๆ
“นานขนาดนี้ยังไม่รู้อีกเหรอ?” เหยาเหม่ยลดเสียงของเธอด้วยความประหลาดใจ “แล้วปกติตอนกลางคืนเขาไม่ไมาหาเธอเหรอ ไม่กลัวว่าจะทำร้ายถึงเด็กเหรอ?”
“ฉันมีวิธี” ไป่มู่ชิงยิ้มอย่างมีชัย
ตอนนี้เธอเรียนรู้แล้วว่าเมื่อหนานกงเฉินต้องการเธอ เธอจะแสร้งทำเป็นหลับและทำยังไงก็จะไม่ยอมตื่น หนานกงเฉินเป็นคนที่มีความอดทนน้อย ไม่นานเขาก็จะก็ถอยหนีไปอย่างเบื่อๆ
แต่หนานกงเฉินมาหาเธอไม่บ่อยนัก และทุกครั้งที่มาก็จะเป็นช่วงที่เขาเลิกงาน แม้แต่ตัวเขาเองก็รู้สึกเหนื่อยมากแล้ว
“ แต่ถ้าคุณปรนนิบัติเขาไม่ดี ไม่กลัวเหรอว่าเขาจะไปหาผู้หญิงข้างนอกน่ะ?” เหยาเหม่ยเป็นห่วงเธอ
ไป๋มู่ชิงไม่ได้คิดเกี่ยวกับปัญหานี้จริงๆ เธอคิดถึงเรื่องนี้และพูดอย่างหมดหนทาง “เสื้อผู้หญิงอย่างเขา จะเป็นไปได้เหรอว่าข้างนอกนั่นจะไม่มีสักคนสองคนน่ะ”
“ คุณไป๋ คุณกำลังปลอบใจตัวเองอยู่หรือเปล่า?”
“ ไม่งั้นจะให้ฉันทำยังไง กักบริเวณเขางั้นเหรอ?” ไป๋มู่ชิงเงียบ คนป่าเถื่อนอย่างหนานกงเฉิน จะยอมให้ผู้หญิงมาควบคุมงั้นเหรอ คงแปลกน่าดู!
“ผู้ชายที่ร่ำรวยทุกคนเรียนไม่เก่ง มันยากจริงๆที่จะรับมือ” เหยาเหม่ยคิดสักพักแล้วเหลือบมองไปที่หน้าท้องแบนราบของเธอ “ปัญหาคือคุณมีกลอุบายที่จะจัดการกับเขา แต่อีกสองเดือนหลังจากนี้ คุณจะทำอย่างไรเมื่อท้องของคุณโตขึ้น ”
ไป๋มู่ชิงสูดหายใจและพูดว่า “คำถามนี้ … ฉันยังไม่ได้คิด”
เธอไม่ได้บอกแผนไป๋ยิ่งอันกับเหยาเหม่ย ท้ายที่สุดเรื่องแบบนี้จะอันตรายกว่าถ้ามีคนรู้
เหยาเหม่ยส่ายหัวอย่างเห็นอกเห็นใจ “เฮ้อ ฉันร้อนใจแทนคุณจริงๆ”
“โอเค ไม่ต้องพูดถึง พูดเรื่องอื่นกันเถอะ” ไป๋มู่ชิงไม่ต้องการจะพูดเรื่องนี้ต่อไปอีกแล้ว
“พูดว่าอะไรนะ?”
“ก็คุยเรื่อง … จ้าวเฟยหยางกับหยวนกุ้ย ฉันได้ยินมาว่าพวกเขากำลังจะหมั้นกัน” เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ใบหน้าของไป๋มู่ชิงก็เปื้อนไปด้วยรอยยิ้มอีกครั้ง
“อืม ในที่สุดจ้าวเฟยหยางคนนั้นก็ได้เปิดโลกสักที”
“ คนรักกันได้แต่งงานกัน ดีจังเลยนะ” ไป๋มู่ชิงพูดด้วยความอิจฉา
“ฟังน้ำเสียงของคุณราวกับว่าตัวเองไม่ดีอย่างนั้นแหละ” เหยาเหม่ยมองเธอด้วยสายตาที่พูดไม่ออ “ถึงมันจะแย่ แต่คุณก็ต้องอดทนต่อไปนะแล้วก็ … ”
เมื่อเห็นใบหน้าของไป๋มู่ชิงเปลี่ยนไป และเธอยังขยิบตาตัวเองให้เหยาเหม่ยหยุดการสนทนานี้
เมื่อเธอเห็นหนานกงเฉินที่ยืนอยู่ข้างหลัง เธอก็ถึงกับผงะ จากนั้นเธอก็เอามือปิดปากของเธอ พระเจ้า … เขาเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่? ทำไมเดินมาแบบเงียบๆล่ะ?