เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด – บทที่ 101 ดินเนอร์ใต้แสงเทียน

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

“เดี๋ยวก่อน ฉันยังไม่ได้คิดบัญชีกับเธอ!” ไป๋มู่ชิงดึงตัวเธอไว้

เหยาเหม่ยหงุดหงิดแล้วมองบนให้ “ฉันคิดว่าเรื่องนี้ผ่านไปแล้ว พอแล้ว ฉันผิดไปแล้ว ฉันรับประกันว่าครั้งหน้าจะไม่ปากโป้งเรื่องเธออีกไม่ว่า เขาจะพูดยังไงก็จะไม่เด็ดขาด”

พอเห็นเธอไม่พูดอะไร เหยาเหม่ยก็ไม่รู้จะทำยังไงต่อ “งั้นเธอจะเอายังไง”

“คืนนี้เลี้ยงชาบูฉัน”

“ได้เลย ขอแค่เธอไม่กลัวร้อน”

“ฉันไม่กลัว” ไป๋มู่ชิงสายหัว เมื่อเช้านี้ได้ยินผู่เหลียนเหยาบอกว่าจะไปกินชาบู อยู่ๆเธอก็รู้สึกอยากกินขึ้นมา นี่ก็ไม่ได้กินมาเกือบครึ่งปีแล้ว

“ได้ ฉันก็กำลังอยากกินพอดี” เหยาเหม่ยยิ้มอย่างดีใจแล้วคล้องแขนเธอเดินออกจากร้านไป

เมื่อผู้ช่วยเหยียนทำธุระเสร็จก็กลับไปที่ออฟฟิศก็เที่ยงพอดี เมื่อเดินผ่านสำนักเลขา เลขาแต่ละคนก็ทักทายเธออย่างมีมารยาท

ผู้ช่วยเหยียนหันไปพยักหน้าตอบรับให้ แล้วเดินเข้าไปในห้องทำงานของตัวเอง แต่พอเดินได้ไม่กี่ก้าวก็ต้องหันเดินไปทางผู้หญิงอีกคนนึง

“ผู้ช่วยเหยียน มีอะไรหรือเปล่าคะ?” เลขาหลินเห็นว่าเธอเดินมาหา แล้วรีบลุกทักขึ้น

ในวันปกติถ้าไม่มีเรื่องอะไร เลขาเหยียนก็จะไม่พูดอะไรกับพวกเธอมาก ถึงจะเป็นเวลาพักเที่ยงก็เถอะ

ผู้ช่วยเหยียนเดินมายืนนิ่งต่อหน้าเธอแล้วยิ้มอ่อนกับเธอ “ฉันจำได้ว่าครั้งก่อนพวกเธอดูนิตยสารเกี่ยวกับคนท้อง นิตยสารยังอยู่หรือเปล่า?”

เลขาหลินไม่เข้าใจว่าทำไมอยู่อยู่เธอถึงถามขึ้นแล้วตอบไปเสียงเบาว่า “ยังอยู่ค่ะ……พวกเราดูแค่ตอนเวลาพักเที่ยง เวลาอื่นพวกเราไม่ได้ดูนะคะ”

“ยืมให้ฉันดูหน่อยได้ไหม?” ผู้ช่วยเหยียนพูด

เลขาอึ้งไป ผู้ช่วยเหยียนที่ไม่เคยเสียเวลาแม้แต่ดูหนังสือพิมพ์ในห้องทำงานแต่กลับยืมนิตยสารของเธอแถมยังเป็นนิตยสารเกี่ยวกับคนท้องด้วย?

“ได้ค่ะ เดี๋ยวฉันหาให้นะคะ” เลขาหลินรีบก้มลงไปหานิตยสารในลิ้นชักแล้วรีบหยิบขึ้นยื่นให้เธอไป

“ขอบใจ” ผู้ช่วยเหยียนรับนิตยสารไปแล้วกวาดมองไปที่ท้องน้อยที่นูนขึ้นเล็กน้อยของเธอแล้วเอ่ยว่า “ฉันจะพยายามขอให้คุณชายเฉินให้วันหยุดลาคลอดเธออีกสักสองเดือน”

“ขอบคุณนะคะผู้ช่วยเหยียน” เลขาหลินยิ้มอย่างดีใจแล้วเอ่ยตามหลังเธอไป

เดิมที่บริษัทหนานกงก็ให้วันหยุดมากกว่าบริษัทอื่นไปแล้วสามเดือนถ้าให้วันหยุดเธออีกสองเดือนก็แสดงว่าเธอก็สามารถกลับบ้านไปเตรียมคลอดได้ตั้งแต่ตอนนี้เลย

“ดูสีหน้าได้อกได้ใจของเธอสิ ไม่ใช่ว่าท้องลูกของคุณชายเฉินแล้วเตรียมตัวที่จะได้เป็นคุณหญิงหรอก?” เลขาหลิ่วที่ไม่ถูกกับผู้ช่วยเหยียนเอ่ยขึ้นตามมาด้วยสีหน้าเยาะเย้ย

“ระวังปากเธอด้วย” เลขาหลินใช้มือแตะไปที่หน้าเธอเบาๆ “ภัยออกจากปาก รู้หรือเปล่าว่าถ้าปล่อยข่าวลือผลกระทบที่ตามมาจะเป็นอะไร?”

เมื่อเลขาหลิ่วเห็นว่าผู้ช่วยเหยียนมายืมนิตยสารคนท้องไปดู ก็ฟันธงเลยว่าเธอท้องลูกของคุณชายเฉินแน่แน่ ในใจก็ยิ่งอิจฉาเธอขึ้นไปกว่าเดิม แล้วพูดเสียงต่ำว่า “ทั้งบริษัทนี้ ไม่มีใครไม่รู้หรอกว่าผู้ช่วยเหยียนกับคุณชายเฉินเป็น……”

“ชู่ว……” เลขาหลินไม่อยากมีปัญหายเยอะ ก็รีบทำท่าทางให้เธอหยุดพูดไป “ถ้าเธอจะเม้าท์มอย เธอไปคุยกับคนอื่นเถอะ ฉันไม่อยากฟัง”

“อย่ามาหาฉันด้วย ฉันไม่อยากโดนไล่ออกหรอก” เลขาอีกสองคนก็รีบพูดขึ้นทันที

ไม่ว่าเจ้านายคนไหนก็คงมีอะไรบางอย่างกับเลขาไม่ก็ผู้ช่วยกันทั้งนั้น แถมผู้ช่วยเหยียนไม่ว่าจะการศึกษา หน้าตาหรือหุ่นก็ดีทั้งนั้น ถึงเธอจะมีอะไรกับคุณชายเฉินก็คงไม่แปลก

กว่าจะขึ้นมาจนถึงตำแหน่งนี้ได้ไม่ง่าย พวกเธอแค่อยากรักษาตำแหน่งของตัวเองไว้ แต่การรักษาตำแหน่งนี้ไว้สิ่งที่สำคัญที่สุดเลยก็คือทำให้เยอะแล้วพูดให้น้อย

ผู้ช่วยเหยียนเคาะประตูห้องทำงานของหนานกงเฉินแล้วเดินเข้าไป แล้วยื่นเอกสารในมือไปวางที่บนโต๊ะเขา “คุณชายเฉินคะ นี่เป็นสัญญาที่เพิ่งแก้ไขใหม่ คุณดูว่ามีปัญหาอะไรอีกหรือเปล่าคะ”

“วางไว้ก่อน” หนานกงเฉินกำลังก้มดูเอกสารอีกเรื่องตอบโดยที่ไม่ได้เงยหน้าขึ้น

หลังจากที่ผู้ช่วยเหยียนวางเอกสารลง แต่ไม่ได้เดินออกจากห้องไปเหมือนแต่ก่อนเธอกลับจ้องมองไปที่เขาแล้วเอ่ยขึ้น “คุณชายเฉิน ฉันรบกวนเวลาคุณสักนิดได้ไหมคะ?”

“เรื่องอะไร?” เขาก็ยังก้มหน้าเหมือนเดิม

“คุณดูนี่ก่อนสิคะ” ผู้ช่วยเหยียนยื่นนิตยสารในมือไปให้เขา น้ำเสียงและท่าทางก็ยังคงมีมารยาท

หนานกงเฉินวางเอกสารในมือลง ยื่นมือไปแล้วกวาดสายตาไปที่นิตยสารจากนั้นก็ขมวดคิ้วเข้มแถมยังประหลาดใจว่าทำไมเธอถึงดูนิตยสารแบบนี้ในบริษัทแถมยังเอามาให้เขาดูด้วย

“เธอจะให้ฉันช่วยเธอเลือกเสื้อผ้า?” เขาถามขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์

“คุณชายเฉินคะ เมื่อกี้ฉันเจอคุณหญิงน้อยที่ร้านกาแฟแต่ฉันกลับเห็นว่าเลขาหลินในสำนักงานเลขาใส่ชุดดูดีกว่าเธออีก คุณคิดว่าแบบนี้สมควรหรอคะ?” ผู้ช่วยเหยียนพูด

เมื่อกี้เธอเจอไป๋มู่ชิงที่ร้านกาแฟก็มองออกเลยว่าชุดที่เธอใส่นั้น ดูไม่พอดีตัวกับเธอแถมยังจับแต่งมั่วซั่วกันไปหมด

“คุณเจอเธอที่ร้านกาแฟ?”

“ใช่ค่ะ”

“เธออยู่กับใคร”

“คุณชายรองตระกูลหลิน” สีหน้าของหนานกงเฉินเปลี่ยนไปเลขาเหยียนเลยรีบยิ้มขึ้นที่มุมปาก “ดูสิ ตัวเองไม่เอ็นดูดีดียังไม่ให้ผู้ชายคนอื่นเอ็นดูอีก นี่เป็นนิสัยเสียของผู้ชายที่มีเงินอย่างพวกคุณ”

“สรุปเธออยู่กับใครกันแน่?”

“คนเดียวค่ะ เธอบอกว่านัดเพื่อนไว้” ผู้ช่วยเหยียนใช้นิ้วชี้ไปที่รูปภาพบนนิตยสาร “ฉันขีดชุดสวยๆในนั้นไว้หลายชุด ถ้าคุณดูแล้วไม่ติดไม่มีปัญหาอะไรเดี๋ยวฉันจะจองแทนคุณเองค่ะ”

หนานกงเฉินมองกวาดไปที่นิตยสารคนท้องอีกรอบ ในนั้นสวยทุกชุด แต่ว่า……เขาเงยหน้าขึ้นจ้องไปที่ผู้ช่วยเหยียน “นี่คุณกำลังบังคับให้ผมซื้อเสื้อผ้าให้เธอ?”

“คุณชายเฉินคะ นี่คือคำแนะนำ ไม่ใช่บังคับค่ะ”

“ไม่จำเป็น” หนานกงเฉินพูดพร้อมกับปิดนิตยสารลง แล้วพูดว่า “ในมือเธอมีบัตร ถ้าเธอขาดเสื้อผ้าเดี๋ยวคงไปซื้อเองได้”

ซื้อเสื้อผ้าให้เธองั้นหรอ? เรื่องตอนเช้าที่เขาโดนปฏิเสธเขายังเคืองอยู่ในใจ

อุตส่าห์ใจดีชวนเธอไปดินเนอร์ด้วยกันแต่เธอกับแสดงสีหน้าแล้วปฏิเสธเขา คนที่ยอมถอยก้าวคือเขา คนที่ใจดีกับเธอก่อนก็เป็นเขา เธอจะเอายังไงอีก?

“คุณชายเฉิน คุณแน่ใจว่าจะไม่เอาซื้อหรอคะ?” ผู้ช่วยเหยียนถามขึ้นอีกรอบ

“ผมแน่ใจ” หนานกงเฉินตอบอย่าหงุดหงิด

ผู้ช่วยเหยียนพยักหน้าไปแล้วหยิบนิตยสารหันหลังเดินออกจากห้องทำงานเขาไป

หนานกงเฉินคิดว่าตัวเองปฏิเสธได้ชัดเจนอย่างเด็ดขาด เขานึกมาตลอดว่าผู้ช่วยเหยียนเป็นคนที่ทำงานได้เด็ดขาด ไม่วอกแวกอะไรแถมยังเชื่อฟังเขาทุกอย่างด้วย

ทำไมครั้งนี้……

มองไปที่ถุงช้อปปิ้งที่วางอยู่หลังรถแล้วโลโก้ที่คุ้นเคยบนถุงเหล่านั้น เขาก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นกำลังจะโทรออก

“พี่ชาย กลับมาแล้วหรอ?” นิ้วของหนานกงเฉินที่กำลังจะกดโทรออกหยุดลงแล้วเก็บโทรศัพท์กลับไปแล้วหันหลังไปยิ้มกับเซิ่งซิน

“เอ๋ วันนี้เป็นวันอะไรเนี่ย? ทำไมพี่ชายถึงซื้อของเยอะขนาดนี้?” เซิ่งซินทำหน้าประหลาดใจแล้วเดินเข้าไปค้นดูถุงช้อปปิ้งที่หลังรถแล้วพูดว่า “เสื้อผ้าเยอะขนาดนี้ซื้อให้พี่สะใภ้หมดเลยหรอคะ? เสื้อผ้าแบรนด์นี้เหมือนจะแพงมากเลยนะคะ ใช่ไหมพี่สะใภ้”

เธอหยิบหนึ่งในถุงช้อปปิ้งนั้นขึ้นแล้วแกว่งไปที่ผู่เหลียนเหยาที่ยืนอยู่ข้างหลัง

ผู่เหลียนเหยาก็มองไปที่ถุงเหล่านั้น พอได้ยินเซิ่งซินพูดขึ้นก็รีบพยักหน้า “ใช่ค่ะ เสื้อผ้าแบรนด์นี้แพงมาก พี่ชายดีกับพี่สะใภ้จังเลย”

หนานกงเฉินเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋า ดูเหมือนว่าคงไม่ต้องโทรออกแล้ว แล้วของพวกนี้ก็คืนกลับไปไม่ได้ด้วย

“พี่ชายคะ เดี๋ยวพวกเราช่วยพี่ถือเข้าไป” เซิ่งซินพูดพร้อมขนถุงออกมาแล้วนำถุงบางส่วนยัดไปที่มือของผู่เหลียนเหยาส่วนตัวเองก็ถืออีกสองสามถุงในมือด้วย “ไปเถอะ เข้าไปกัน”

เมื่อทั้งสองคนขึ้นไปถึงชั้นสองก็เห็นไป๋มู่ชิงกำลังแกว่งดินสอในมือไปมาอย่างเบื่อเบื่อ พอเห็นทั้งสองถือถุงเล็กถุงใหญ่เข้าไปก็รีบวางสมุดกับดินสอลงแล้วลุกขึ้น

“พี่สะใภ้ดูสิพี่ชายซื้อเสื้อผ้ามาให้พี่เยอะเลย” เซิ่งซินยื่นเสื้อผ้าไปวางไว้ต่อหน้าไป๋มู่ชิง

“ยังมีอีก” ผู่เหลียนเหยาก็วางถุงช้อปปิ้งในมือลงบนโซฟาแล้วพูดยิ้มยิ้มว่า “พี่สะใภ้ดูสิคะว่าพี่ชายดีกับพี่แค่ไหนพวกเราอิจฉาแย่เลย”

“พี่ก็อย่ามัวแต่อิจฉาพี่สะใภ้เลย พี่ชายหนูก็ดีกับพี่จะตายไป” เซิ่งซินพูดยิ้มยิ้ม

“แต่พี่ชายเธอไม่เคยซื้อเสื้อผ้าให้ฉันเยอะขนาดนี้มาก่อน” ผู่เหลียนเหยาพูดขึ้นพร้อมจัดเสื้อผ้าในมือไปด้วย “พี่สะใภ้คะ เสื้อผ้าพวกนี้ดูสวยมากเลย พี่รีบไปลองใส่ให้พวกเราดูหน่อยสิ”

มองไปที่ถุงช้อปปิ้งประมาณเจ็ดแปดถุงนั้น ใบหน้าก็ประหลาดใจเล็กน้อย เสื้อผ้าเยอะขนาดนี้……หนานกงเฉินซื้อให้หรอ? วันนี้เขาเป็นบ้าอะไรน่ะ?

ตอนเช้าอยู่อยู่ก็ชวนเธอไปดินเนอร์ด้วยกันแล้วตอนนี้ก็ยังมาซื้อเสื้อผ้าให้เยอะขนาดนี้อีก เขาเป็นอะไรของกันแน่?

“ร่างกายฉันไม่สะดวกพวกเธอก็อย่าทำให้ฉันลำบากเลย ไว้อีกหน่อยตอนฉันใส่พวกเธอค่อยดู” เธออย่างจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

ในเมื่อเธอพูดอย่างนี้แล้ว ผู่เหลียนเหยาก็ไม่อยากให้เธอลองอีกเลยยิ้มพร้อมกับเก็บเสื้อผ้ากลับไปในถุง “ก็ได้ งั้นไม่ลำบากพี่แล้วกัน”

เมื่อเซิ่งซินเห็นว่าหนานกงเฉินเดินเข้ามาจากประตูเลยกระตุกชายเสื้อของผู่เหลียนเหยา ทั้งสองมองหน้ากันแล้วผู่เหลียนเหยาก็รีบพูดขึ้นว่า “งั้นพี่สะใภ้คะพวกเราไม่รบกวนพี่แล้ว”

พูดจบทั้งสองก็เดินออกจากห้องนอนของไป๋มู่ชิงไป

ไป๋มู่ชิงไม่สังเกตุเห็นเลยว่าหนานกงเฉินเดินเข้ามา เธอนั่งอยู่บนโซฟาแล้วลื้อดูป้ายราคาของเสื้อผ้า เสื้อผ้าแต่ละตัวแพงจนทำให้เธอปวดใจ

ไม่พูดถึงราคา ทุกชุดดูดีแล้วสีสันสวยงาม จับไปก็นุ่มลื่นสบายมือนี่สินะที่ดรียกว่าคุณภาพสมกับราคาจริงๆ

“ไม่ชอบเหรอ?” หนานกงเฉินนั่งลงบนโซฟาตรงข้ามเธอแล้วมองสำรวจเสื้อผ้าบนตัวเธอ ก็ดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่

ไป๋มู่ชิงสะดุ้งถังตกใจไปแล้วรีบเก็บเสื้อผ้าในมือลงถุงแล้วพูดว่า “ความจริงไม่ต้องซื้อเสื้อผ้าให้ฉันเยอะขนาดนี้ก็ได้”

“ผู้ช่วยเหยียนเป็นคนเลือกซื้อให้” หนานกงเฉินรีบพูดขึ้นว่าไม่เกี่ยวกับเขา

เพราะว่าวันนี้เขาถูกปฏิเสธไปรอบหนึ่งแล้วเลยไม่อยากขายหน้าอีกจนเขาไม่กล้าที่จะเอ่ยด้วยซ้ำ

“ผู้ช่วยเหยียน?” ไป๋มู่ชิงหัวเราะอย่างมีเลศนัยขึ้นมา เธอเลือกเสื้อผ้าให้เองกับมือ? เธอต้องการจะสื่ออะไรกันแน่? กำลังจะสื่อฐานะที่อยู่ในใจของหนานกงเฉินหรอ?

ถึงเสื้อผ้าพวกนี้จะดูสวยแต่ยังไงก็สวยไม่เท่าชุดยาวสีดำที่เธอใส่คืนนั้น

ไป๋มู่ชิงไม่ใช่เป็นคนที่มองคนอื่นในแง่ร้าย เธอแอบสูดหายใจเข้าเบาเบาแล้วเตือนตัวเองว่าอย่ามีชีวิตอย่างคนขี้อิจฉา เพราะมันไม่คุ้มค่า

“คุณหัวเราะอะไร?” หนานกงเฉินรู้สึกงง

“ไม่มีอะไร ขอบคุณเธอแทนฉันด้วย” ไป๋มู่ชิงตอบด้วยน้ำเสียงปกติ

“คุณยังเข้าใจผิดระหว่างผมกับเธออยู่เหรอ?” หนานกงเฉินขมวดคิ้ว เขาเกลียดการถูกเข้าใจผิดมากที่สุด

“เปล่า”

“คุณคิด” หนานกงเฉินเริ่มหงุดหงิด “คุณหนูไป๋ถึงตอนนี้คุณก็ไม่เข้าใจผมอีกเหรอ? ผมไม่เคยปฏิเสธว่าผมมีคนอื่นข้างนอกแล้วไม่คิดที่จะปฏิเสธด้วย ถ้าผมกับผู้ช่วยเหยียนมีอะไรจริง ผมคงไม่ต้องหลบๆซ่อนๆเพราะมันไม่ผิดกฎหมาย ไม่ได้ผิดกฎบริษัทแล้วไม่มีใครทำอะไรผมได้ด้วย”

ที่เขาพูดก็ถูก ผู้ชายที่มีอำนาจอย่างเขาจะมีอะไรกับลูกน้องก็คงไม่แปลกอะไร เพียงแค่……ไป๋มู่ชิงยังไม่สามารถปล่อยวางเรื่องยกบ้านสวนจูให้เลขาเหยียน

“ไม่เป็นไรถ้า คุณไม่อยากได้ก็เผามันทิ้งซะ” หนานกงเฉินพูดจบก็ขว้างถุงเหล่านั้นลงถังขยะ

ไป๋มู่ชิงรีบยื่นมือไปดึงขอบของถุงไว้แล้วพูดว่า “ฉันไม่ได้บอกว่าไม่อยากได้ อีกอย่างไม่ได้ใช้ตังของเธอสักหน่อยทำไมฉันจะไม่กล้าเอา?”

หนานกงเฉินมองไปที่มือเล็กที่จับถุงอยู่แล้วพูดเย้ยขึ้นว่า “ผมคิดว่าคุณจะแน่สักแค่ไหน ก็ได้แค่นี้เองหนิ”

สีหน้าของไป๋มู่ชิงนิ่งไปแล้วดึงถุงกลับมาก้มหน้ายิ้มให้เขา “ขอบใจ ฉันชอบมาก”

หนานกงเฉินกลับมานั่งลงที่โซฟาเหมือนเดิมแล้วเงียบไปครู่หนึ่งพร้อมเอ่ยว่า “ต่อไปถ้าจะออกบ้านก็แต่งตัวให้ดูดีหน่อยอย่าลืมฐานะของตัวเอง”

“ฉันรู้แล้ว” ไป๋มู่ชิงนำถุงเหล่านั้นไปจัดเรียงไว้ในห้องแต่งตัวแล้วมองถามเขาว่า “คุณชายยังมีอะไรหรือเปล่าคะ?”

“มี คุณมานี่”

ไป๋มู่ชิงไม่เข้าใจว่าเขาจะทำอะไร ลังเลครู่หนึ่งก่อนจะเดินไป พอเข้าใกล้เขาก็โดนดึงลงไปนั่งลงบนตักแล้วเขาก็ใช้ร่างกายทับให้เธอแนบกับโซฟา

“คุณกำลังไล่ผมเหรอ?” ริมฝีปากของเขาพูดถูไปกับริมฝีปากของเธอด้วยสีหน้าหงุดหงิด

สิ่งที่ทำให้ไป๋มู่ชิงรู้สึกวางใจก็คือเขาไม่ได้ทับเธอแน่นมาก ขณะที่เขาอารมณ์เสียแต่ก็ยังจำได้ว่าเธอเป็นคนท้อง นี้ก็แสดงว่าเขายังเป็นห่วงเธอกับลูกอยู่หรือเปล่า?

ตอนนี้เขาจะทำอะไร? เขาจะทำเรื่องอย่างนั้นกับเธอเหรอ?

หลังจากที่รู้ว่าเธอท้อง หนึ่งเดือนที่ผ่านมาเขาไม่เคยแตะเธอเลย ความต้องการบางอย่างคงปลดปล่อยข้างนอกบ้านแล้วมั้ง แล้วทำไมคืนนี้เขาไม่ไปจัดการข้างนอก? เขาควรจะไปทำข้างนอก……

เธอเอนหลบหน้าเพื่อที่จะหลบริมฝีปากเขา

เธอหลงกลิ่นอายของเขาหัวปักหัวปำ ถ้าเขาจูบลงมา เธอคงรู้สึกบาปหนาคงรู้สึกผิดกับคุณย่าที่เสียไป

เมื่อรู้สึกถึงความไม่สบอารมณ์ของเขาเธอรีบเอ่ยขึ้น “ขอโทษ ฉันท้อง”

“ท้อง? จะเธอนึกถึงเด็กจริง ก็ควรบอกผมแต่แรก” หนานกงเฉินยันตัวขึ้นเล็กน้อยพร้อมจ้องไปที่เธอ “ระยะอันตรายสามเดือนแรก เหมือนผมจะทำอะไรคุณไปไม่น้อย ถ้าครั้งไหนผมเกิดทับโดนลูกล่ะจะทำยังไง?”

พอพูดถึงเรื่องนี้ เขาก็อดนึกย้อนการกระทำกี่เดือนที่ผ่านมาที่ตัวเองทำกับเธอไว้

เหมือนทุกครั้งที่เขาต้องการเธอ เธอก็จะหาข้ออ้างมาปฏิเสธตลอด จนทุกครั้งเขาคิดว่าเธอรังเกียจถึงปฏิเสธเขาจนเขาโมโหร้ายใส่เธอตลอด

พอมาลองคิดดูดีๆ ยังดีที่เขาไม่ได้โรคจิตในเรื่องนี้เกินไป ไม่งั้นเด็กคงโดนเขาทับจนแบนไปแล้ว

เขาแอบสูดหายใจเข้า “ตอนระยะอันตรายไม่เห็นว่าเด็กเป็นอะไรเลยหนิ? ตอนนี้เด็กเริ่มโตแล้วก็คงไม่ต้องระวังอะไรมากหรอกมั้ง?”

เมื่อเขาพูดออกมาแบบนี้ ไป๋มู่ชิงกลับหาเหตุผลอะไรมาอ้างไม่ได้ เมื่อริมฝีปากของเขาก้มลงมาอีกครั้ง เธอก็ทำได้แค่หลับตาลง แล้วฝืนใจตัวเองไว้ ปล่อยให้ริมฝีปากของเขาทำตามใจชอบ

ความจริงหนานกงเฉินไม่ได้ต้องการเธอตอนนี้หรอก แค่ไม่พอใจกับการที่เธอไล่ เขาอยากให้เธอรู้ว่าเธอเป็นภรรยาเขา เขาอยากให้เธอรู้ ว่าเขาเป็นโลกของเธอ เป็นสามีของเธอ ไม่ใช่คาที่เธอจะมาชักสีหน้าใส่ได้

แต่การกระทำที่ทั้งกอดทั้งจูบนี้ ทำให้เขาเปลี่ยนความคิดไป ร่างกายเริ่มร้อนลนขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้

ณ เวลานี้ เขาอยากได้เธอ

เขาจมอยู่กับภวังค์ที่เขาสร้างขึ้นจนกระทั่งฝ่ามือลูบผ่านหน้าอกของเธอค่อยได้สติกลับมา แล้วยันตัวออกจากตัวเธอ พยายามหักห้ามอารมณ์แล้วหลับมานั่งตัวตรง

ไป๋มู่ชิงประหลาดใจไปแล้วค่อยๆลืมตาขึ้นก็เห็นหนานกงเฉินผลักออกจากตัวเองแล้ว เป็นไปได้ยังไง? เธอคิดว่าเขาคงไม่เห็นใจเธอแล้วเอาตัวเธอไปแล้ว

หนานกงเฉินดึงเน็กไทตัวเองแล้วลุกขึ้น “เห็นว่าคุณเป็นคนท้อง วันนี้ผมปล่อยคุณไปก่อน”

ไป๋มู่ชิงก็ยันตัวนั่งขึ้น สีหน้าก็ยังมีความระแวงอยู่

หนานกงเฉินไม่มีทีท่าที่จะออกไป ไป๋มู่ชิงก็นั่งอยู่อย่างนั้นไม่กล้าทำอะไรมาก เอาแต่เงียบแบบนี้ก็รู้สึกอึดอัด จะคุยกันก็คงเป็นไปได้ยากเพราะไม่มีอะไรจะคุยกับเขาจริงๆ

ผ่านไปครู่หนึ่งก่อนที่ไป๋มู่ชิงจะเอ่ยว่า “ทำไมคุณกลับมาเร็วขนาดนี้?”

“คุณก็เหมือนกัน?” หนานกงเฉินมองไปที่เธอ “ไหนบอกว่าจะทานข้าวข้างนอกกับเพื่อน?”

โกหกเขาอีกแล้วเหรอ?

“กินกลับมาแล้ว”

“กินอะไร?”

“ชาบู” ไป๋มู่ชิงตอบตามความจริง

อาหารธรรมดาขนาดนี้ เขาคงไม่คิดที่จะไปกินหรอก

ว่าละ เขาเอนตัวมองถามเธอ “เหรอ? ผมสงสัยมาตลอดว่าชาบูรสชาติยังไง” พูดจบ เขาก็จุมพิตปากเธอ

ไป๋มู่ชิงยกมือขึ้นบังริมฝีปากเขาไว้ “เมื่อกี้ฉันเพิ่งแปลงฟัน”

“แปลงฟันเร็วขนาดนี้ เสียดาย……” หนานกงเฉินทำท่าเสียใจแล้วเอนตัวกลับไป

การพูดคุยเป็นไปได้ด้วยความลำบาก ไป๋มู่ชิงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรพูดอะไรต่อเลยจ้องไปที่เขา “คุณยังไม่ไปอาบน้ำเหรอ?”

หนานกงเฉินพยักหน้าแล้วลุกขึ้นเดินไปทางห้องอาบน้ำ

วันรุ่งขึ้น ไป๋มู่ชิงค้นเสื้อในตู้สุดท้ายก็เลือกจากโซนเสื้อผ้าใหม่มาใส่ ไซส์กำลังพอดี ใส่แล้วรู้สึกสบายตัวมาก

อย่างเดียวที่ทำให้เธอรู้สึกไม่พอใจก็เพราะเป็นชุดที่ผู้ช่วยเหยียนเลือก ใส่แล้วก็รู้สึกแปลกๆ

พอเธอเดินลงมาถึงฉันล่าง ผู่เหลียนเหยาก็ชมเสื้อผ้าเธออย่างยิ้มๆ แล้วบอกว่าหนานกงเฉินเลือกได้ดีมาก

หนานกงเฉินหันไปมองที่ไป๋มู่ชิง ก็ไม่เลวเลยหันไปพูดกับผู่เหลียนเหยาว่า “ขอบใจ”

“หนูพูดความจริงจะขอบใจทำไม” ผู่เหลียนเหยาเอนตัวไปยิ้มยิ้มต่อหน้าไป๋มู่ชิง “พี่สะใภ้ พี่ชายก็นิ่งเงียบแบบนี้แหละ ถึงจะดีกับคนอื่นก็ไม่ยอมพูดออกมา”

ไป๋มู่ชิงยิ้มแห่งๆ แต่ไม่ได้พูดอะไร

หลังจากที่รับประทานอาหารเช้าเสร็จทุกคนต่างก็ไปยุ่งเรื่องของตัวเองมีแต่ไป๋มู่ชิงที่ว่างอยู่บ้านอย่างเบื่อๆ หลังจากตื่นนอนกลางวันก็ออกจากบ้านหนานกงไปที่สถานรับเลี้ยงเด็กไปเล่นกับเด็กๆ พอใกล้ถึงเวลาอาหารเย็นก็ได้รับข้อความจากหนานกงเฉินชวนเธอดินเนอร์ด้วยกัน

เมื่อไป๋มู่ชิงได้รับข้อความนี้ก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ไม่รู้ว่าทำไมช่วงนี้เขาถึงทำดีกับเธอขนาดนี้หรือว่าจะเหมือนในหนังสือว่า ทำดีเพื่อที่จะหวังผลอะไรหรือเปล่า?

เมื่อวานเพิ่งปฏิเสธเขาไปถ้าวันนี้ปฏิเสธอีกก็คงไม่ดีเธอเลยมาตามที่อยู่ที่หนานกงเฉินนัดไว้

นี่เป็นร้านอาหารตะวันตกหรูหราแห่งหนึ่ง ข้างในตกแต่งได้อย่างโรแมนติก แว๊บแรกก็มองออกว่านี่ทำขึ้นเพื่อคู่รักโดยเฉพาะ

เธอเดินเข้ามาในห้องวีไอพีตามที่หนานกงเฉินจองไว้แต่เขายังไม่มา ในห้องตกแต่งด้วยความโรแมนติกเป็นหลัก มีดอกกุหลาบมีเทียนหอมมีไวน์อีก

พนักงานเสิร์ฟน้ำมะนาวให้เธออย่างมีมารยาท เธอเพิ่งยกแก้วขึ้นจิบก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น จากนั้นหนานกงเฉินเดินตามพนักงานบริการเข้ามา

พอเห็นไป๋มู่ชิงในห้องสีหน้าของหนานกงเฉินก็ประหลาดใจเล็กน้อย ไป๋มู่ชิงรู้สึกได้ แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร

ทำไมเขาต้องประหลาดใจ? เขาเป็นคนนัดเธอมาไม่ใช่เหรอ?

เธอรีบลุกขึ้นแล้วถามเขาว่า: “ฉันมาผิดที่หรอ? หรือว่าคุณมาผิด?”

“ในเมื่อมาแล้วก็ช่างเถอะ” หนานกงเฉินกดเธอนั่งลงเก้าอี้เหมือนเดิมแล้วพูดคุยกับพนักงานครู่หนึ่งแล้วบอกกับว่า “ผมไปห้องน้ำก่อน”

พูดจบก็เดินไปทางห้องน้ำ ในห้องน้ำเก็บเสียงได้ดี หนานกงเฉินพูดโดยที่ไม่ต้องกั๊กเสียงตัวเองไว้แล้วใส่อารมณ์ใส่มือถือ “เหยียนเยว่! นี่คุณจะทำอะไรกันแน่?”

ผู้ช่วยเหยียนที่อยู่ในสายก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงปกติ “ซ่อมแซมความรู้สึกระหว่างคุณกับคุณหญิงน้อย”

“นี่ไม่ใช่ขอบเขตการเงินของคุณ” หนานกงเฉินไม่พอใจ

เขาไม่ได้ต่อต้านที่จะทานข้าวกับไป๋มู่ชิง แต่เขาไม่ชอบวิธีการแบบนี้ นั่นจะทำให้ไป๋มู่ชิงรู้สึกว่าถ้าไม่มีเธอ เขาคงอยู่ไม่ได้เลยเอาแต่คิดเอาอกเอาใจเธอ

“ฉันเป็นคนที่ทำให้คุณหญิงน้อยเข้าใจคุณชายเฉินผิด ฉันต้องรับผิดชอบ”

“จะเข้าใจผิดก็เข้าใจผิดสิ” หนานกงเฉินพูดอย่างหงุดหงิด ความจริงเขารู้สึกได้ ไป๋มู่ชิงทำตัวเหินห่างกับเขาไม่ใช่เพราะผู้ช่วยเหยียนหรอก เธอไม่ได้ใจแคบขนาดนั้น

“คุณชายเฉินคะ ฉันไม่สนหรอกว่าคนในบริษัทจะพูดยังไง แต่ฉันไม่อยากให้มันกระทบความรู้สึกระหว่างคุณกับคุณหญิงน้อย” ผู้ช่วยเหยียนพูดจบแล้วเอ่ยว่า “คุณชายคะ งั้นคุณก็หักเงินเดือนฉันก็ได้ ขอให้รับประทานอย่างอร่อยนะคะ”

เมื่อผู้ช่วยเหยียนพูดจบแต่ก็ไม่กล้าตัดสายทันทีเพียงแต่นิ่งเงียบแล้วรอหนานกงเฉินวางสายก่อนเพราะนี่เป็นมารยาทการโทรคุยกับเจ้านาย

หนานกงเฉินพูดกัดฟัน “เมื่อวานกับวันนี้ รวมเป็นเงินสองเดือนคุณไปแจ้งกับฝ่ายบัญชีเลย”

“ได้ค่ะ คุณชาย” ผู้ช่วยเหยียนไม่รู้จะพูดยังไงต่อ แต่เมื่อเธอพูดคำนี้ออกมาหนานกงเฉินก็วางสายไปแล้ว

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

Status: Ongoing
ไป๋มู่ชิงเคยได้ยินเรื่องเล่าตั้งแต่เด็กว่า ตระกูลหนานกงในเมืองซีเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุด แต่น่าเสียดายที่คุณชายใหญ่ของตระกูลกลับป่วยเป็นโรคประหลาด โรคที่เขาเป็นจะทำให้เขามีอายุอยู่ได้ไม่ถึงอายุ30ปี ไป๋มู่ชิงยังได้ยินมาอีกว่า คุณชายหนานกงเฉินแต่งงานใหม่ทุกๆปี แต่เจ้าสาวของเขากลับมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงวันต่อมาหลังคืนเข้าหอ แต่ไม่ทราบสาเหตุของการแต่งงานและยังไม่ทราบถึงสาเหตุการเสียชีวิตของเจ้าสาวด้วย เมื่อตระกูลหนานกงได้ส่งของหมั้นมาให้ตระกูลไป๋ ไป๋มู่ชิงก็คิดไม่ถึงว่าพ่อของเธออยากจะปกป้องชีวิตพี่ของเธอไว้ถึงขนาดผลักเธอเข้าไปในประตูนรกอย่างโหดร้าย บังคับให้เธอแต่งงานกับหนานกงเฉินเป็นเจ้าสาวคนที่เจ็ดของเขา แทนพี่สาวของเธอ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท