มีเพียงกระดาษแผ่นเล็กๆ แต่เนื้อหาบนนั้นกลับทำให้เธอรู้สึกตกใจเป็นอย่างยิ่ง มันคือใบรับรองแพทย์ของเสี่ยวอี้
สำหรับเธอแล้วเมื่อเทียบกับเอกสารสามฉบับก่อนหน้านี้ นี่ถือเป็นสิ่งที่ร้ายแรงที่สุด!
“เสี่ยวอี้ … ” เธอจ้องมองเขาและถามด้วยเสียงต่ำ “เกิดอะไรขึ้นกับเสี่ยวอี้งั้นเหรอ?”
“กรี๊ด…!” เสียงกรีดร้องของไป๋ยิ่งอันดังกึกก้องไปทั่วห้องจัดงาน เธอมองดูเอกสารในมืออย่างใจจดใจจ่อและเริ่มโหวกเหวกโวยวาย”นี่มันอะไรกัน ทำไมถึงมีใบมรรณบัตรของพ่อฉัน พ่อของฉันเป็นอะไร”
เธอจับแขนของหนานกงเฉินและเขย่า”เฉิน นี่หมายความว่าไง ทำไมพ่อของฉันถึงตาย เมื่อครู่เขายังดีๆอยู่เลย”
“เมื่อครู่คุณไม่ได้ยินเหรอ” หนานกงเฉินยกมุมริมฝีปากของเขาขึ้นและโน้มตัวเข้าใกล้หูของเธอเล็กน้อย “เสียงดังโครมครามนั่น กระโดดลงมาจากชั้นบนสุดของโรงพยาบาล”
“คุณกำลังพูดถึงอะไร พ่อของฉันเพิ่งกระโดดลงตึก … ” ไป๋ยิ่งอันหน้าซีดทันที
ไป๋มู่ชิงตกใจมากจนเธอพูดอะไรไม่ออก เกือบจะถูกหลินอันหนานอุ้มกลับไปด้านใน แต่ยังไม่ทันที่จะเธอลงจะเวที หนานกงเฉินก็ปรี่เข้ามาจับข้อมือของเธอและใช้แรงดึงเธอออกจากอ้อมแขนของหลินอันหนาน
เวลาต่อมาเธอถูกหนานกงเฉินลากลงจากเวทีอย่างโซซัดโซเซ เดินผ่านท่ามกลางแขกเหรื่อในงานไปยังประตู ร่างกายของเธออ่อนแอมากจนไม่มีแรงจะต้านทาน เธอทำได้เพียงพยายามทรงตัวและไม่ปล่อยให้ตัวเองล้มลง
แขกในงานมองไม่เห็นเนื้อหาของเอกสารและไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเขาทั้งหมดนิ่งไม่ไหวติงต่อให้ไป๋มู่ชิงจะถูกหนานกงเฉินลากตัวไปก็ไม่มีใครกล้าห้ามแม้แต่คนเดียว
ทางด้านหลินอันหนานกลับโดนไป๋ยิ่งอันถามว่า “นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ หลินอันหนาน นายบอกฉันมาสิว่านี่เป็นความจริงหรอเปล่า?”
หลินอันหนานที่โดนเธอถามรู้สึกทั้งร้อนใจและโมโห เหวี่ยงร่างของเธอไปด้านข้างอย่างไร้ซึ่งความอดทน และรีบเร่งฝีเท้าตามไปยังหน้าประตูพลางตะโกนบอก”หนานกงเฉิน! ปล่อยเธอนะ! ปล่อย!”
เมื่อเห็นว่าหนานกงเฉินไม่สนใจตนเอง เขาจึงเปลี่ยนไปตะโกนใส่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ประตู”มัวเหม่ออะไรอยู่ รีบขัดขวางเขาสิ!”
ทันทีที่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหลายคนได้รับคำสั่ง พวกเขาก็รีบเข้าจับกุหนานกงเฉินทันที และเกือบจะในเวลาเดียวกันชายร่างกำยำในชุดดำสามหรือสี่คนก็ลงจากรถที่จอดอยู่ที่ประตู
ชายในชุดรัดกุมหยุดโดยเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยและยืนขวางทาง
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเห็นว่าพวกเขาดูเหมือนมืออาชีพที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี จึงกลัวมากจนไม่กล้าขยับตัว มีเพียงหลินอันหนานเท่านั้นที่ไม่เกรงกลัวที่จะไล่ตามเขา แต่ก่อนที่เขาจะตาไปทัน กลับถูกชายชุดดำโยนเขากลับมา
เมื่อเห็นหนานกงเฉินลากไป๋มู่ชิงออกจากโรงแรม คนขับรถเบนซ์อีกอื่นก็ลงจากรถทันทีและเปิดประตูหลัง
ไป๋มู่ชิงเห็นรถที่ประตูถูกเปิดออก ในที่สุดก็ฟื้นขึ้นมาและเริ่มดิ้น”ปล่อยฉันนะ … หนานกงเฉิน คุณจะทำอะไร … ”
หนานกงเฉินไม่ตอบเธอ แต่กลับโยนเธอเข้าไปในรถเบนซ์พร้อมกับชุดแต่งงานขนาดใหญ่บนตัวของเธอและกระแทกประตูใส่
ไป๋มู่ชิงตกตะลึงจากนั้นก็รีบลุกขึ้นจากที่นั่งหันไปรอบ ๆ และเริ่มทุบหน้าต่างอย่างกระวนกระวาย แต่การป้องกันเสียงของรถเบนซ์นั้นดีมาก ไม่มีใครรู้ว่าเธอกำลังตะโกนอะไร
หนานกงเฉินทำตัวสบายๆไม่รีบร้อนอะไร ในขณะที่กำลังเดินไปที่ฝั่งของคนขับ เขาหันไปมองแขกเหรื่อที่ยืนมุงดูและพบกับหลินเต้าหรานกับภรรยา คุณนายหลินถามอย่างรีบร้อนใจว่า”เฉิน คุณจะทำอะไร?”
หนานกงเฉินไม่ตอบเธอ แต่เดินต่อไปข้างหน้าจนถึงหลินอันหนานซึ่งถูกควบคุมโดยชายในชุดดำ พลางพูดอย่างไม่แยแสว่า”ฉันจะกลับมาคิดบัญชีกับแกทีหลัง”
“ คุณหมายความว่ายังไง บัญชีอะไร เกิดอะไรขึ้นกับอันหนาน” หลินเต้าหรานเดินมาถามอย่างใจจดใจจ่อ
ในที่สุดหนานกงเฉินก็หยุดมองไปที่ผู้อาวุโสทั้งสอง พลางพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาแบบเดียวกัน “ถามลูกชายสุดที่รักของคุณสิ”
หลังจากพูดจบก็ขึ้นรถไป
เมื่อรถสตาร์ท หลินอันหนานเฝ้าดูรถของเขาที่จากไปอย่างรวดเร็ว เขาโกรธจนกระทืบเท้าอยู่ตรงนั้น
เมื่อไป๋ยิ่งอันวิ่งออกมาจากโรงแรม รถของหนานกงเฉินก็ออกจากทางเข้าโรงแรมไปแล้ว เธอตะโกนอย่างกระวนกระวายขณะวิ่งไล่ตามรถ “เฉิน อย่าไป! คุณกลับมาหาฉันเดี๋ยวนี้นะ … ”
แต่ทว่ารถของหนานกงเฉินกลับไม่มีท่าทีว่าจะหยุดลง และวิ่งเข้าสู่ถนนใหญ่อย่างรวดเร็ว
“เฉิน … !” เธอนั่งยองๆบนพื้น ทรุดลงร้องไห้อย่างหมดสภาพ ในมือกำเอกสารที่ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่
เธอยังไม่เชื่อว่าหนานกงเฉินที่ยังคงจีบเธออยู่ในสำนักงานคือชายที่อยู่ตรงหน้าเธอ ที่มอบความประหลาดใจให้กับเธอ เธอไม่เชื่อว่าหนานกงเฉินจะรู้ความจริงแล้ว
เธอร้องไห้อยู่ครู่หนึ่ง ก้มลงมองแฟ้มในมือและร้องออกมาทั้งน้ำตา“ พ่อ แม่ … ” ในที่สุดก็ลุกขึ้นยืนและรีบไปที่โรงพยาบาล
เมื่อเทียบกับความตื่นตระหนกไป๋ยิ่งอันแล้วนั้น หลินอันหนานกลับดูเงียบกว่ามาก คนชุดดำออกไปแล้ว แต่เขายังคงยืนอยู่ที่นั่นไม่ขยับเป็นเวลานาน
คำพูดเมื่อครู่ของหนานกงเฉินชัดเจนมากว่าเขารู้ความจริงหมดแล้ว อีกทั้งยังรู้มาตั้งนานแล้วดังนั้นถึงเตรียมของขวัญเหล่านี้ไว้
แม้ว่าจะโกรธและเสียใจ แต่เขาก็รู้อยู่ในใจว่าเมื่อหนานกงเฉินรู้ความจริง เรื่องของเขากับไป๋มู่ชิงก็เป็นไปไม่ได้อีกต่อไป!
คุณนายหลินเขย่าแขนและถามว่า “เกิดอะไรขึ้น? อันหนาน รีบบอกมานะ!”
“ แม้แต่คนอย่างงหนานกงเฉินก็ยังกล้าไปยั่วโมโห เบื่อชีวิตหรือไงแก” หลินเจ้าหรานพูดอย่างรำคาญ“ ตกลงว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ พูดออกมา!”
หลินอันหนานได้สติกลับคืนมา หันมาทางเขาทั้งสองพร้อมพูดว่า “ผมขอโทษ … ”
ยกเว้นสามคำนี้ เขาไม่ต้องการพูดอะไรอีกแม้แต่คำเดียว
“เกิดอะไรขึ้นน่ะ” แขกที่วิ่งออกไปดูด้วยความตื่นเต้นถาม พิธีแต่งงานกลายเป็นแบบนี้ ผู้ใหญ่ตระกูลหลินจึงได้แต่ก้มหน้าขอโทษแขกผู้มีเกียรติที่มาร่วมงานทุกคน
หลังจากออกมาจากโรงแรม ไป๋มู่ชิงก็หันกลับมาจับแขนของหนานกงเฉินอย่างโกรธเกรี้ยว เธอถาม “เกิดอะไรขึ้นกับคุณพ่อของฉัน และคุณเอาเสี่ยวอี้ไปไว้ไหน?”
หนานกงเฉินเพียงจ้องมองเธออย่างเฉยเมย ดูเหมือนจะเพลิดเพลินไปกับความตื่นตระหนกบนใบหน้าของเธอ เพราะตอนนี้มันต่างจากภาพที่มีความสุขบนเวทีเมื่อครู่มากเหลือเกิน
แค่เพียงคิดถึงตอนที่เธอกับหลินอันหานแลกแหวนกันบนเวทีอย่างมีความสุข เขาก็คิดว่าตัวเองทำกับเธอน้องไป ควรจะหั่นคอเธอให้ขาดตั้งแต่บนเวทีด้วยซ้ำ
“ฉันกำลังถามคุณ! คุณเอาเสี่ยวอี้ไปไว้ที่ไหน คุณได้ยินฉันไหม?” ไป๋มู่ชิงตะคอกเสียงดังและน้ำตาก็ไหลออกมา “เสี่ยวอี้กำลังรอการผ่าตัด ถ้ารอต่อไปอีกคงไม่ทันแน่ คุณห้ามทำร้ายเขานะ คุณอยากจะด่าอยากจะฆ่าให้มาทำกับฉัน หนานกงเฉินคุณได้ยินไหม … ! ”
ไม่ว่าเธอจะเขย่าอะไร สีหน้าของหนานกงเฉินก็ยังคงเรียบเฉย จนกระทั้งไป๋มู่ชิงยกข้อมือของเขาขึ้นมาและกัดลงไป
“ ถ้าคุณคิดจะทำร้ายครอบครัวของฉัน ฉันก็จะสู้!” ไป๋มู่ชิงกัดฝ่ามืออย่างแรง กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่วทั้งปาก
หนานกงเฉินสบถและสะบัดอย่างแรงโดยสัญชาตญาณ ร่างของไป๋มู่ชิงกระแทกเข้ากับหน้าต่างกระจกด้านข้างอย่างจัง
แรงกระแทกนั้นรุนแรง หน้าผากของเธอเปลี่ยนเป็นสีแดงทันที และเธอก็เริ่มรู้สึกเวียนหัว เธอเห็นสีหน้าของหนานกงเฉินเย็นชาและเรียบเฉย เธอได้ยินเขาพูดด้วยน้ำเสียงที่น่ากลัว “พวกเขาจะไม่ได้ฝังศพเธอ ความโกรธแค้นในใจฉันยากที่จะหายไป ดังนั้น … ”
เขายิ้มอย่างแผ่วเบา “ฟังฉันให้ดี อย่าคิดว่าตระกูลไป๋จะได้อยู่อย่างสงบสุข”
“ ไม่ เสี่ยวอี้ไม่ใช่คนของตระกูลไป๋ เขาไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับตระกูลไป๋ เขายังเด็ก … ”
“ ใครใช้ให้เขามีพี่สาวแบบนี้ล่ะ?”
“ไม่ … คุณทำกับเขาแบบนี้ไม่ได้ คุณทำอะไรกับเขา พูดสิ” ไป๋มู่ชิงอดไม่ได้ที่จะผลักเขาอีกครั้ง
“เอามือสกปรกออกไปจากฉัน!” หนานกงเฉินผลักร่างของเธอออกไปด้วยความรังเกียจอย่างแรงจนไป๋มู่ชิงกระแทกกระจกรถอีกครั้ง
หลังจากถูกศีรษะทช๔ุกกระแทกถึงสองครั้ง บวกับจิตใจที่สับสนวุ่นวายในที่สุดไป๋มู่ชิงก็เป็นลมล้มฟุบไป
ไป๋ยิ่งอันไม่อยากจะเชื่อเลยว่าพ่อของเธอจะทิ้งไปแบบนี้ ในขณะที่เธอกำลังจะออกจากโรงพยาบาล นางพยาบาลก็รีบบอกว่า “คุณไป๋คะ เรพวกเราโทรหาคุณตั้งนานแล้ว ทำไมคุณไม่รับสายล่ะคะ? ”
เธอจับแขนนางพยาบาลอย่างรวดเร็ว “พ่อของฉันอยู่ที่ไหน เขาเป็นยังไงบ้าง”
นางพยาบาลกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม“ คุณไป๋กระโดดลงมาจากชั้นบนสุด เมื่อสองชั่วโมงก่อนและเสียชีวิตทันทีค่ะ”
“เป็นไปได้ยังไง !” ไป๋ยิ่งอันกรีดร้องและน้ำตาไหล
ป้าหงที่กลับมาหลังจากทำตามขั้นตอนของแพทย์ เห็นเธอนั่งยองๆอยู่ที่พื้นและร้องไห้อย่างขมขื่น เธอเดินไปหาและพยุงขึ้นจากพื้นแล้วพูดว่า “คุณหนูใหญ่ อย่าเสียใจไปเลยค่ะ”
“ป้าหง … ” ไป๋ยิ่งอันมองเธอแล้วส่ายหัวร้องไห้อย่างขมขื่น”พ่อของฉันจะกระโดดลงจากตึกได้ยังไง เขาโง่ขนาดนี้ได้ยังไง?”
“ ฉันก็สงสัยเหมือนกัน”
“พ่อฉันไม่มีทางตาย เขาไม่ได้โง่ขนาดนั้น”
ป้าหงถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้และปลอบว่า “คุณหนูใหญ่ ทำใจเถอะค่ะ งานศพของคุณผู้ชาย คุณหนูยังต้องเป็นคนจัดการนะคะ”
จู่ๆไป๋ยิ่งอันก็เงยหน้าขึ้น “ป้าหง แม่อยู่ไหน แม่อยู่ไหน”
เธอจำได้ว่าของขวัญที่หนานกงเฉินมอบให้พวกเขา มีการแจ้งเตือนเกี่ยวกับการกักขังแม่ของเธอ แต่เธอไม่เห็นว่าเกิดอะไรขึ้น
หลังจากเงียบไปสักพักป้าหงก็ถอนหายใจอีกครั้ง “ก่อนที่คุณผู้ชายจะกระโดดลงจากตึกจู่ๆเจ้าหน้าที่ตำรวจหลายคนก็มาที่บ้านโดยบอกว่าคุณผู้หญิงถูกสงสัยว่าพยายามฆ่าในเมืองหลิวและบังคับพาเธอออกไป”
ที่เมืองหลิว มันเกี่ยวกับผู่เลี่ยนเหยา … เป็นไปได้ยังไง?
เธอคิดเสมอว่าเหตุการณ์นี้จบลงแล้ว และทุกอย่างก็ดำเนินไปอย่างราบรื่น ในเวลานั้นแม้แต่รถก็ถูกไฟไหม้ จู่ๆตำรวจหลายคนจะพาแม่ของเธอไปได้อย่างไร?
หรือว่าจะเป็นเพราะหนานกงเฉิน? หนานกงเฉินได้ค้นพบความลับของพวกเขาตั้งแต่นั้นมาหรือเปล่า?เริ่มสงสัยตั้งแต่ตอนนั้นหรือเปล่า?
เมื่อนึกถึงสิ่งที่หนานกงเฉินทำในช่วงเวลาที่ผ่านมา เขาไม่เคยแตะต้องเธอและจงใจหลอกให้เธอออกจากบ้านของตระกูลหนานกง เห็นได้ชัดว่าเขากินยาของเธอ แต่วิ่งออกจากคฤหาสน์คนเดียวทิ้งเธอไว้กับผู้ชายแบบนั้น
เมื่อนึกถึงชายผิวดำที่น่ารังเกียจนั่น ไป๋ยิ่งหนานก็ปิดหูของเธอและกรีดร้องเสียงดัง
เธอนั่งยองๆบนพื้นและร้องไห้ สักพักหยิบโทรศัพท์มือถือของเธอออกมาและโทรออกไปยังหมายเลขโทรศัพท์ของหนานกงเฉิน ส่วนหนานกงเฉินที่อยู่อีกด้านหนึ่งของโทรศัพท์รับสายด้วยน้ำเสียงอันเรียบเฉย “มีอะไรเหรอคุณผู้หญิง?
“ หนานกงเฉิน! แกไม่ใช่มนุษย์! แกโหดร้ายแบบนี้ได้ยังไง แกต้องถูกลงโทษ! แกมันปีศาจ แกมันไม่ใช่คน … !”
เธอร้องไห้และด่าทอจนเหนื่อยและหยุดไปเอง
หนานกงเฉินที่ปลายอีกด้านของโทรศัพท์ไม่ได้รับผลกระทบจากการล่วงละเมิดของเธอเลยและน้ำเสียงยังเต็มไปด้วยรอยยิ้ม“ พ่อตาของฉันบอกว่าฉันไม่ใช่มนุษย์ มันแย่จริงๆ โดนพวกคุณว่าเยอะจนฉันเองไม่แน่ใจแล้วว่าตัวเองใช่มนุษย์หรอเปล่านะ ?”
“แกไม่ใช่มนุษย์ … ” ไป๋ยิ่งหนานเพียงพูดประโยคนี้ซ้ำด้วยความสิ้นหวัง
“ฉันเพิ่งค้นพบตอนนี้ว่าการเป็นคนที่ไม่ใช่มนุษย์เป็นเรื่องดีจริงๆ” หนานกงเฉินยิ้มเบา ๆ “ขอบคุณที่ให้โอกาสฉันนะคุณไป๋ วันนี้เป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันจะได้เจอเธอและพูดคุยกับเธอ จากนี้ไปโปรดอยู่ห่าง ๆ ฉัน ”
คำเตือนอีกประการหนึ่ง “ถ้าไม่ใช่เพราะพ่อของเธอยอมกระโดดลงจากตึกเพื่อขอร้องให้ฉันปล่อยพี่สาวของเธอไป ฉันจะไม่ปล่อยให้เธอมีชีวิตอยู่อย่างแน่นอน ดังนั้นโปรดทำใจให้ดี”
“แน่นอนฉันไม่คิดว่าเธอจะมีชีวิตอยู่ได้ดีไปกว่าการตาย ถ้าฉันเป็นเธอฉันจะไปที่ตึกสูงและตามพ่อไป” หลังจากที่หนานกงเฉินพูดจบเขาก็หยุดชั่วคราว “คุณไป๋โปรดดูแลตัวเอง ฉันวางล่ะ”
หนานกงเฉินไม่สนใจเสียงร้องของเธอและวางสายไป
ไป๋มู่ชิงตื่นขึ้นมาและพบว่าตัวเองนอนอยู่ในห้องนอนแปลก ๆ
สภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย ชุดแต่งงานขนาดใหญ่บนร่างกายของเธอ … ทันใดนั้นเธอก็ตื่นขึ้นจากความสับสนและพลิกตัวจากเตียงใหญ่ลงสู่พื้น เธอมองไปรอบ ๆ และรีบตรงไปที่ประตูไม้สีแดง
แต่ไม่ว่าเธอจะดึงแรงแค่ไหน ประตูก็ไม่สามารถเปิดได้
เธอตบประตูด้วยความรีบร้อนและตะโกนว่า “ปล่อยฉันออกไป!
มือของเธอบวมช้ำ ยังไม่มีการเคลื่อนไหวนอกประตูและไม่มีใครมาเปิดประตูให้ เธอค่อยๆเริ่มหมดหวังและล้มลงไปที่พื้นทีละนิด
ตอนนี้หนานกงเฉินรู้ความจริงแล้ว เขาไม่เพียงแต่จับตระกูลไป๋ แต่ยังจับเสี่ยวอี้ไป จะทำยังไงดี? เธอควรทำยังไง? เธอส่ายหัวน้ำตาไหลดั่งสายน้ำ
เธอเหนื่อยจากการร้องไห้น้ำตาจนน้ำตาเหือดแห้ง ทำได้เพียงแค่นั่งอยู่ที่มุมห้องและมองดูแสงนอกหน้าต่างเปลี่ยนจากสว่างเป็นมืด
จนกระทั่งตอนดึก ในที่สุดเสียงเครื่องยนต์ของรถก็ดังขึ้นที่ชั้นล่าง ตามด้วยเสียงฝีเท้าจากระยะไกล ที่หนักและทรงพลังเช่นเดียวกับฝีเท้าของเขา
ประตูห้องนอนเปิดออกและร่างของหนานกงเฉินก็ปรากฏตัวต่อหน้าเธอ ภายใต้แสงสลัวร่างของเขาสูงโปร่ง เผยให้เห็นออร่าของความร้ายกาจ
หลังจากครุ่นคิดมาทั้งวันเธอก็สงบลงมาก
หนานกงเฉินยกมือขึ้นและกดปุ่มบนโคมไฟแสงจากห้องก็พวยพุ่งออกมาไป๋มู่ชิง หลับตาลงโดยไม่รู้ตัวหลังจากที่เธอปรับเข้ากับแสงในร่มได้ ในที่สุดเธอก็ลืมตาขึ้นอีกครั้งเพื่อพบกับเขา
เธอยังคงสวมชุดแต่งงาน ผมยุ่งกระจัดกระจายและเครื่องสำอางค์บนใบหน้าของเธอเลอะคราบน้ำตาจนเละเหมือนกระทั่งจากสี ตอนนี้เธอที่นั่งอยู่ที่พื้น ดูแล้วช่างน่าสงสารยิ่งนัก
“ทำไมล่ะ ทนไม่ได้ที่จะถอดชุดแต่งงานของเธอหรือไง?” หนานกงเฉินมองไปที่ชุดแต่งงานของเธอ รู้สึกแค่ว่ามันขัดตามาก
ไป๋มู่ชิงไม่ได้ตอบคำถามของเขา แต่มองเขาทั้งน้ำตาและขอร้องว่า”นายน้อยเฉิน ฉันเป็นคนที่หลอกลวงคุณเสี่ยวอี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ได้โปรดปล่อยเขาไปได้ไหม”
“เธอไม่มีคุณสมบัติที่จะขอร้องฉัน” หนานกงเฉินส่ายหัวอย่างไม่แยแสจ้องมองไปที่เธอ“ ตอนที่เธอเลือกที่จะหลอกลวงฉันตั้งแต่แรก เธอควรจะคิดถึงผลที่ตามมาหากทำให้ฉันเจ็บใจ”
เขาก้าวไปข้างหน้าและโน้มตัวเข้าใกล้เธอ:”ฉันไม่เชื่อว่าเธอไม่เคยได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับฉันมาก่อน และเท่าที่ฉันรู้ข่าวลือเหล่านั้นแย่มาก ผู้ชายที่น่ากลัวขนาดนี้เธอยังจะกล้ามาหลอกปั่นหัวฉันเล่น แบบนี้ไม่เรียกว่ารนหาที่ตายหรือไง ?”
“ไม่ ฉันไม่ได้ตั้งใจ!” ไป๋มู่ชิงส่ายหัวและพูดอย่างกังวลว่า “ฉันถูกบังคับตั้งแต่แรก ฉันถูกบังคับโดยคุณนายไป๋และไป่ยิ่งอันฉัน ไม่ได้ตั้งใจจะโกหกคุณจริงๆ … ”
“ถูกบังคับงั้นเหรอ?” หนานกงเฉินยิ้มเยาะ”ถ้าเธอถูกบังคับจริงๆทำไมเธอไม่บอกฉัน ใครจะกล้าบังคับเธอ”
“ พวกเขาจับเสี่ยวอี้ไป ถ้าหากฉันบอกคุณ พวกเธอจะฆ่าเสี่ยวอี้ ฉันจะปล่อยให้เสี่ยวอี้ตายไม่ได้ ฉัน … ”
“พอแล้ว” หนานกงเฉินขัดจังหวะเธออย่างไม่สบอารมณ์และพูดว่า “วันนี้ฉันไม่ได้มาเพื่อฟังคำอธิบายของเธอ การหลอกลวงก็คือการหลอกลวง การหลอกลวงไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตามเป็นเรื่องที่ไม่สามารถให้อภัยได้ ดังนั้น … ”
เขายื่นมือไปบีบคางของเธอ บังคับให้เธอเงยหน้าขึ้น “ดังนั้นไม่ว่าเธอจะถูกบังคับหรือสมัครใจ มีทางเดียวคือต้องสูญเสียทุกอย่างและตายที่นี่อย่างช้าๆ”
หลังจากพูดจบเขาก็ปล่อยเธอและยืดตัวขึ้น
“ไม่!” ไป๋มู่ชิงคว้ากางเกงของเขาอย่างรีบร้อนและวิงวอนด้วยน้ำตานองหน้า “ฉันไม่คาดหวังว่าคุณจะยกโทษให้ ฉันเต็มใจที่จะตายที่นี่ แต่คุณอย่าทำร้ายเสี่ยวอี้เลยนะ เขากำลังป่วย ถ้าไม่ได้รับการผ่าตัดเขาก็จะตาย ฉันขอล่ะปล่อยเขาไปเถอะนะ ฉันขอร้อง … ”
“ เธออยากให้น้องชายของเธอรอดมากนักเหรอ”
“ใช่…….”
“แต่เธอกลับปล่อยให้ไป๋ยิ่งอันทำลูกของฉันตาย”
ไป๋มู่ชิงสะดุ้งน้ำตาไหลพราก
“ น้องชายของเธอสำคัญมาก ลูกชายของฉันก็ไม่สำคัญใช่ไหม เธอสามารถจับลูกชายของฉันไปสู่ความตายได้ ดังนั้นเธอจึงสามารถพูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่าให้ปล่อยเด็ก!”
“ไม่ มันไม่กี่ยวกับฉัน ฉันไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงฆ่าลูกของคุณ”
“แล้วเธอล่ะ” หนานกงเฉินจับเธอขึ้นมาจากพื้นและจ้องมองเธออย่างใกล้ชิด “นั่นก็คือลูกของเธอเหมือนกันเธอไม่เศร้าเลยเหรอที่ได้ยินว่าลูกตาย ไม่เสียใจสักนิดเลยเหรอ”
“ฉัน … ” ไป๋มู่ชิงส่ายหัวและถอยหลังทีละก้าวจนร่างของเธอพิงกำแพง
แน่นอนว่าเธอรู้สึกเป็นทุกข์แม้ว่าเธอจะไม่แน่ใจว่าเด็กคนนั้นเธอคลอดออกมาเองหรือไม่ แต่เธอก็ยังรู้สึกเป็นทุกข์เมื่อได้ยินการตายของเขา
เมื่อเห็นความเจ็บปวดและความเสียใจบนใบหน้าของหนานกงเฉิน เธอไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร
โอ้พระเจ้า เธอควรบอกเขาไหมว่าคนที่ตายไปนั้นอาจจะไม่ใช่ลูกชายของเขา ลูกของพวกเขาอาจยังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้
เธอควรบอกเขาไหม ถ้าบอกเขาไปแล้วเขาจะเชื่อหรือไม่ หรือจะบอกว่านี่เป็นแผนของเธอที่จะออกไปจากที่นี่?
“เธอไม่เสียใจเลยใช่ไหม ตอนแรกเธอสาบานว่ายังไงก็จะคลอดเด็กคนนี้ออกมาให้ได้ จุดประสงค์เพื่อจะออกไปจากตระกูลหนานกง และให้ไป๋ยิ่งอันพาลูกกลับมาที่ตระกูลหนานกงอีกครั้งใช่ไหม”
“มันไม่ใช่นะ…”
“ไม่งั้นเหรอ?” หนานกงเฉินหัวเราะเยาะ “เพื่อที่จะได้อยู่กับหลินอันหนาน เธอทุ่มเททั้งกายและใจ ปั่นหัวตระกูลหนานกง เธอนะเธอ”
“ไม่ใช่แบบนี้จริงๆ!” ไป๋มู่ชิงส่ายหัว “นายน้อยเฉิน ให้โอกาสฉันอธิบายได้ไหม ฉันอธิบายให้ฟังได้”
เธอไม่ได้หลอกลวงเขาเพียงเพื่อมาอยู่กับหลินอันหนาน ทำไมเขาถึงเข้าใจเป็นแบบนี้ไปได้ หากเขายังเข้าใจผิดอยู่แบบนี้ ทั้งชีวิตนี้เธอจะมีโอกาสได้ออกไปจากที่นี่หรือไม่
“ ถ้าเธอไม่ได้อยากอยู่กับหลินอันหนาน แล้วนี่คืออะไร?” ฝ่ามือของหนานกงเฉินคว้าชุดแต่งงานบนร่างของเธอแล้วดึงอย่างแรงจนผ้านั้นขาดออกจากกัน
ไป๋มู่ชิงรู้สึกเย็นที่หน้าอกและกระโปรงที่ขาดก็หลุดออกจากอกทันที เธอรีบดึงผ้าที่ขาดนั้นมาปิดหน้าอกของเธอ
“ เธอผิดหวังที่ไม่สามารถแต่งงานกับเขาได้สำเร็จสินะ?” สายตาของหนานกงเฉินกวาดมองไปทั่วหน้าอกของเธอด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
เมื่อเห็นเธอพูดไม่ออกความโกรธของหนานกงเฉินก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นพลางกัดฟันพูดว่า “จะให้ฉันปล่อยแม่กับน้องชายของเธอไปก็ได้นะ กระโดดลงไปสิ”
นิ้วของเขาชี้ไปทางระเบียง
ไป๋มู่ชิงเหลือบมองไปที่ระเบียงตามทิศทางของนิ้วมือ ใบหน้าของเธอซีดเซียว
“ นี่ชั้นสามถ้าตกลงไปจะตายถ้าหากเธอโชคดี ถ้าไม่โชคดีอาจพิการตลอดชีวิต กล้าไหมล่ะ”
แน่นอนว่าไป๋มู่ชิงไม่กล้า แต่ … ถ้าเธอกระโดดลงเขาจะปล่อยครอบครัวของเธอไปเธอก็เต็มใจ เธอจึงแทบไม่ต้องคิดเลย เธอหยิบกระโปรงตัวโคร่งขึ้นมาแล้วรีบตรงไปที่ระเบียง
จากนั้นเมื่อร่างของเธอกำลังจะกระโดดผ่านพ้นระเบียง หนานกงเฉินกลับใช้มือดึงเธอกลับมา เหวี่ยงเธอลงที่พื้น
“อา … !” ไป๋มู่ชิงถูกเหวี่ยงลงกับพื้น เธอรู้สึกเจ็บที่หัวเข่า
“เหมาะสมที่เป็นเธอจริงๆ!” หนานกงเฉินก้าวไปข้างหน้าและมองลงมาที่เธอ มีเพียงเธอเท่านั้นที่จะกระโดดลงมาอย่างหุนหันพลันแล่นเช่นเดียวกับการกระโดดบนสะพานลอย กลับกันถ้าเป็นไป๋ยิ่งอันล่ะก็ ต่อให้บังคับยังไงก็ไม่มีทางกล้ากระโดดแน่!
“แต่เธออย่าฝันหวานไปหน่อยเลย หากเธอตกลงไปตายขึ้นมาจะเป็นการเอาเปรียบเธอมากเกินไป” หนานกงเฉินยิ้มอย่างเย็นชา “สิ่งที่ฉันต้องการคือเธอจะต้องตายทั้งเป็น ตลอดชีวิต!”
เมื่อฟังคำพูดของเขา หัวใจของไป่มู่ชิงก็รู้สึกเหน็บหนาวขึ้นมา
เธอเข้าใจนิสัยของหนานกงเฉินดี เขาจะไม่มีวันปล่อยเธอไปง่ายๆ
เธอควรจะยอมแพ้ไหม แต่เธอไม่เต็มใจนี่นา!
หนานกงเฉินมองไปที่ผ้าคลุมบนร่างกายของเธอ ยิ่งเขามองดูมันก็ยิ่งทำให้รู้สึกขัดหูขัดตามากขึ้น ภายใต้แรงกระตุ้นเขาดึงเธอขึ้นจากพื้นและฉีกผ้าคลุมออกจากร่างกายของเธอ
ไป๋มู่ชิงส่งเสียงอุทานออกมา ภายในพริบตาร่างกายของเธอก็เปลือยเปล่าเหลือเพียงชุดชั้นใน
เธอกอดร่างที่เปลือยเปล่าของเธอด้วยความอับอายและหลบที่มุมห้อง จ้องมองเขาด้วยความหวาดกลัว
หนานกงเฉินรีบหยิบผ้าคลุมสีขาวบนพื้น จากนั้นหยิบไฟแช็กจากกระเป๋าของเขามาเผาผ้านั่น และโดยนออกไปนอกระเบียง
เส้นด้ายสีขาวหลวม ๆ ถูกกลืนหายไป เปลวไฟกระพือไฟอันน่าสะพรึงกลัวและในเวลาเดียวกันก็ส่องสว่างยามค่ำคืน
หลังจากนั้นกระโปรงก็ตกลงมาพร้อมกับเปลวไฟในสวนที่ชั้นหนึ่ง
ที่นี่ไม่มีเสื้อผ้า ไป๋มู่ชิงอยากจะหลบแต่ก็ไม่มีที่ให้หลบ เมื่อรู้สึกถึงสายตาเย็นชาที่หนานกงเฉินมองมอ เธอก็กอดตัวเองให้แน่นขึ้น
เดิมทีควรจะเป็นภาพที่ดูน่าสงสาร แต่ดวงตาของหนานกงเฉินกลับแพรวพราวราวกับผ้าคลุมสีขาวในตอนนี้ เขาก้าวไปข้างหน้าและดึงเธอออกจากมุม บังคับให้เธอเผชิญหน้ากับเขาอย่างสงบ น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความถากถาก “เสแสร้งทำเป็นไร้เดียงสาเหรอ ปิดอะไร ไม่ใช่ว่าเธอก็เคยทำกับหลินอันหนานหรือไง”
“ปล่อยฉัน … ” ไป๋มู่ชิงดิ้นทั้งน้ำตา
ผู้ชายคนนี้ร้ายกาจเหี้ยมโหดเขาจะทำแบบนั้นกับเธอที่นี่เหรอ?
เมื่อนึกถึงคืนสองสามวันก่อน เธอไม่สงสัยเลย ดูเหมือนว่าไม่มีอะไรที่ผู้ชายตรงหน้าทำไม่ได้ หลังจากที่เขาบีบบังคับให้พ่อของเธอตายและลักพาตัวน้องชายและแม่ของเธอ และยังเปลื้องผ้าเธอ บีบให้เธอเป็นแบบในตอนนี้ เขายังมีเรื่องอะไรที่ทำไม่ได้อีกล่ะ?
“ แม้แต่ความตายเธอยังไม่กลัวเลย จะกลัวอะไรกับเรื่องแบบนี้ล่ะ?” หนานกงเฉินลากเธอเข้าไปในบ้านแล้วกระแทกเธออย่างแรง ไป๋มู่ชิงล้มลงบนเตียงใหญ่
เธอร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดและโดยสัญชาตญาณอยากจะพลิกตัวและลุกขึ้น แต่ หนานกงเฉินกลับโน้มตัวไปข้างหน้าเขาหนึ่งก้าววางมือทั้งสองไว้ที่ข้างตัวเธอ ผู้ชายที่แข็งแรงบีบบังคับเธอ ทำให้เธอแทบจะหายใจไม่ออก
หนานกงเฉินมองไปที่ใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตาของเธอที่ดูเหมือนจานสี ขมวดคิ้วเล็กน้อยและสบถออกมาความรังเกียจ: “สกปรก!”
ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขากำลังพูดว่าใบหน้าของเธอสกปรกหรือร่างกายของเธอสกปรก ไป๋มู่ชิงไม่ได้คิดเรื่องนี้ เธอจ้องมองเขาที่อยู่เหนือร่างกายของเธออย่างนิ่ง ๆ ไม่กล้าที่จะพูดอะไรสักคำ
สุดท้ายหนานกงเฉินก็ไม่ทำอะไรเธอ เขาลุกขึ้นยืนตรงจากเธอถอยห่างออกไปและพูดอย่างเฉยเมยว่า“ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปชีวิตของเธอจะไม่เป็นของเธออีกต่อไป นอกจากว่าฉันจะเล่นจนเบื่อแล้ว”
หลังจากพูดจบเขาก็หันหลังเดินออกไปโดยไม่หันกลับมามอง
บนเตียงใหญ่ ไป๋มู่ชิงยังคงนอนอยู่เช่นเดิม หน้าอกยังคงสั่นสะเทือนเพราะการหายใจที่รุนแรง จนกระทั่งได้ยินเสียงรถขับออกไป เธอจึงลุกขึ้นอย่างช้าๆ
ห้องนอนใหญ่ที่แสนว่างเปล่า เธอห่อตัวเองด้วยผ้าห่มที่มุมเตียงพลางน้ำตาไหล
พ่อตายแล้ว ตระกูลไป๋สิ้นสุดลงแล้ว แม้แต่เสี่ยวอี้ก็ไม่รู้ไปอยู่ที่ไหน แล้วไหนจะลูกสาวที่น่าสงสารของเธออีก …
เธอไม่มีอะไรเหลือแล้ว ที่พูดมาทั้งหมดนั้นคือสิ่งที่เธอพบเจออยู่ ณ ขณะนี้!
นี่เป็นชะตากรรมของการทำให้หนานกงเฉินขุ่นเคือง เธอเดาได้ตั้งแต่เนิ่นๆแล้ว ดังนั้นเธอจึงไม่กล้าที่จะบอกอะไรกับเขา แค่ไม่คิดว่าเขาจะรู้เร็วขนาดนี้ และพวกเธอที่ทำกับเขาจะได้รับผลกรรมเร็วขนาดนี้เช่นกัน
เป็นเวลาหลายวันไป๋ยิ่งอันไม่เพียงแต่ต้องจัดการกับงานศพของพ่อเท่านั้น แต่ยังทำงานหนักเพื่องานของแม่อีกด้วย พ่อของเขาจากไปแล้วและไม่สามารถแก้ไขได้
อย่างไรก็ตามแม่ของเธอยังคงรอการพิจารณาคดีในเรือนจำ เธอต้องหาวิธีเคลียร์ความสัมพันธ์กับแม่ของเธอ โดยมองหาทนายความที่ดีที่สุดในทุกแห่ง
เป็นที่น่าเสียดายที่การสิ้นสุดลงของตระกูลไป๋ แม้แต่ความสัมพันธ์กับบุคคลต่างๆก่อนหน้านี้ก็ยุติลงไปด้วย ทุกคนต่างรู้สึกหวาดกลัว
เธอลากร่างที่อ่อนล้าของเธอกลับไปที่คฤหาสน์ เธอก็ต้องตะลึงกับบรรยากาศที่ผิดปกติทันทีที่เธอเข้ามาในห้อง เธอมองไปรอบ ๆ และมองเห็นใครบางคนอยู่กลางห้องนั่งเล่น