เมื่อไป๋มู่ชิงขึ้นไปบนรถแล้วคาดเข็มขัดนิรภัยเสร็จก็พึมพำว่า “อยู่ที่บ้าอะไรเนี่ย แค่โบกแท็กซี่ยังลำบากขนาดนี้……”
หนานกงเฉินไม่ได้สตาร์ทรถทันทีแต่กลับหันไปจองที่เธอ “ไปที่ไหนมา?”
“ช้อปปิ้ง” ไป๋มู่ชิงตอบไปสั้นๆ
“ทำไมถึงปิดเครื่อง?”
“ไม่ทำไม ตั้งใจปิดเอง” ใช่ เธอจงใจปิดเครื่อง
แต่หนานกงเฉินกลับโมโห สายตาที่จ้องมองเธอก็เยือกเย็นไป “เธอไม่รู้เหรอว่าตัวเองกลับบ้านดึกขนาดนี้ คนในครอบครัวจะเป็นห่วง?”
คนในครอบครัว……
ไป๋มู่ชิงทอดมองไปที่เขา ทำไมรู้สึกฟังคำนี้แล้วรู้สึกอุ่นใจ แต่ว่า……ตอนนี้เขาเป็นคนในครอบครัวของเธอแล้วคนในครอบครัวของคุณหนูจูด้วย เธอไม่อยากรู้สึกตื้นตันเลย!
แต่ก็ไม่อยากทะเลาะกับเขาเวลานี้ เพราะกี่วันนี้ก็ทะเลาะจนเหนื่อยแล้ว พอแล้ว
“คุณรู้หรือเปล่าว่าผมวนอยู่ข้างนอกนานแค่ไหนค่อยหาคุณเจอ?” หนานกงเฉินเอนตัวมาแล้วใช้มือจับท้ายทอยเธอให้ใกล้ขึ้น “คุณรู้หรือเปล่าว่าผมเกลียดคนแบบไหนมากที่สุด? เกลียดคนที่อะไรนิดหน่อยก็หนีออกจากบ้าน หายตัวไปไม่ก็จะเป็นจะตาย ถ้าคุณโกรธก็ระบายออกมากับผมตรงๆ แต่ไม่กลับบ้านตอนดึกดึกนี่มันเรื่องอะไรกัน?”
เขาด่าอย่างไม่เกรงใจ ไป๋มู่ชิงมองไปที่ใบหน้าที่หงุดหงิดของเขา ฟังคำพูดของเขากลับรู้สึกตื้นตันใจขึ้นมา
“คุณออกมาหาฉันโดยเฉพาะเลยหรอ?” เธอถาม
“ไม่งั้นล่ะ?”
“ไม่พารักแรกของคุณไปกินมูสเค้กเหรอ?”
“……”
หนานกงเฉินกัดฟันแน่นแล้วทนไป
เช้าวันต่อมา ไป๋มู่ชิงตื่นสาย พอเธอวิ่งลงมาถึงชั้นล่างก็เห็นหนานกงเฉินทานอาหารเช้าเสร็จกำลังเดินไปทางประตู เหมือนกำลังจะไปทำงานพอดี
พอคิดถึงจุดนี้ ถ้าตัวเองไปรอรถเมล์ต้องสายแน่ๆ แล้วเดือนนี้ตัวเองสายไปแล้วสองครั้ง ถ้าวันนี้เธอสายอีกอาจจะถูกจ้างออกทันที
กว่าเธอจะขอร้องหนานกงเฉินให้เธอมีโอกาสทำงานนี้ได้ ถ้าทิ้งไปอย่างนี้คงน่าเสียดายน่าดู
สุดท้ายเธอเลยวิ่งตามไปโดยที่ไม่สนว่าตัวเองจะเสียหน้า ก่อนที่หนานกงเฉินจะสตาร์ทรถก็เปิดประตูแล้วนั่งเข้าไปในที่นั่งข้างคนขับแล้ว
หนานกงเฉินไม่รู้สึกประหลาดใจ พอเดาได้ว่าเธอต้องวิ่งตามมาแน่นอน
“อรุณสวัสดิ์มู่ชิง” จูจูที่นั่งอยู่ข้างหลังเอ่ยทักทายขึ้นด้วยรอยยิ้ม
ไป๋มู่ชิงยิ้มกลับให้เธอแห้งๆ “อรุณสวัสดิ์”
หนานกงเฉินมองไปที่เธอแล้วยิ้มอย่างเยาะเย้ย “คิดว่าคุณจะอวดเก่งสักแค่ไหน ก็แค่นี้เอง”
สีหน้าของไป๋มู่ชิงเปลี่ยนไป เดิมคิดอยากจะเปิดประตูลงไป แต่พอคิดไปคิดมาคงทำให้คนที่นั่งอยู่ข้างหลังสะใจ ก็เลยหันกลับไปคล้องคอของหนานกงเฉินไว้แล้วจุมพิตลงที่ริมฝีปากเขา “ดูจากเมื่อวานที่คุณหาฉันทั้งคืน ฉันเลยให้หน้าคุณ ขับรถเถอะ”
พูดจบ ก็ไม่ได้สนใจสีหน้าของคุณหนูจูที่นั่งอยู่ข้างหลัง แล้วกลับมานั่งที่ของตัวเอง
หนานกงเฉินก็ใช้ลิ้มแตะบนริมฝีปากที่เธอจูบ แต่ไม่ได้อารมณ์เสีย
ในรถเงียบสงัด ไม่มีใครเอ่ยปากพูดอะไร
จนกระทั่งรถแล่นไปถึงครึ่งทางจูจูก็เอ่ยขึ้นมาว่า” ใช่สิมู่ชิง คืนนี้เธอจะเข้าร่วมงานประจำปีไหม?”
ไป๋มู่ชิงตอบอย่างไม่คิดเลยว่า “ไม่เข้าร่วม”
“ทำไม? เฉินยังเข้าร่วมเลย” จูจูยิ้มไปทางหนานกงเฉิน “พนักงานทั้งบริษัทก็จะเข้าร่วม คงสนุกน่าดู เธอก็ไปด้วยกันสิ”
ไป๋มู่ชิงมองไปทางหนานกงเฉินด้วยสายตาประหลาดใจ เขาจะร่วมงานประจำปี? เป็นไปได้ยังไง? เขาไม่เคยไปร่วมงานไม่ใช่หรอ?
ไม่ใช่เป็นเพราะคุณหนูจูจะขึ้นเวทีแสดงหรอกมั้ง? ไป๋มู่ชิงรู้สึกว่าตัวเองตกกับดักของที่คุณหนูจูวางแผนไว้ ในใจก็ลนลานขึ้นมา
แล้วน้ำเสียงของเธอนี่ยังไงกัน? พูดเหมือนงานประจำปีเป็นงานของบ้านตัวเองแล้วเชิญเธอไปเข้าร่วม
ไป๋มู่ชิงสูดหายใจเข้าแล้วยิ้มอ่อนไปทางหนานกงเฉิน “อารมณ์คุณสามีไม่เลวเลยนะ ไปเข้าร่วมงานประจำปีทั้งที่ไม่เคยคิดที่จะไป”
หนานกงเฉินมองมาที่เธอด้วยหางตาแต่ไม่เอ่ยอะไรขึ้น
เมื่อเขาไม่เอ่ยอะไรออกมา ไป๋มู่ชิงก็รู้สึกอึดอัดในใจ จนสุดท้ายก็ต้องเบี่ยงหน้าออกไป
เมื่อถึงเวลาเลิกงาน เพื่อนร่วมงานต่างก็วิ่งไปเปลี่ยนชุดที่จะเข้าร่วมงานคืนนี้แล้วช่วยกันแต่งตัว
ในห้องทำงานเปลี่ยนเป็นห้องแต่งตัวทันที ไป๋มู่ชิงหันมองไปที่เพื่อนร่วมงานที่กำลังยุ่งอยู่แล้วรู้สึกว่าตัวเองไม่เข้าพวก
เธอเก็บของบนโต๊ะกำลังจะลุกขึ้นออกไป แต่เสี่ยวเถียนก็พูดขึ้นว่า “มู่ชิง เธออย่าเพิ่งไป ช่วยเขียนขอบตาล่างให้ฉันหน่อย”
“แต่ว่าฉันเขียนไม่ค่อยเป็น” ไป๋มู่ชิงที่ไม่ค่อยแต่งหน้าอยู่แล้ว แต่ก่อนที่เคยเรียนแต่งหน้ากับซูซี่แต่ก็ไม่ได้มีฝีมืออะไรมากนัก
“ไม่เป็นไร วาดตามขอบตาก็พอแล้ว” เสี่ยวเถียนยื่นดินสอมาให้เธอ
ไป๋มู่ชิงรับดินสอที่เสี่ยวเถียนยื่นมาแล้วช่วยเธอแต่งหน้า แต่แล้วก็มีเสียงอันน่าหวาดกลัวดังขึ้นจากเพื่อนร่วมงาน “ผู้ช่วยเหยียนมาแล้ว รีบเก็บอุปกรณ์เดี๋ยวนี้”
“ผู้ช่วยเหยียน?” เมื่อเสี่ยวเถียนได้ยินว่าผู้ช่วยเหยียนมาก็รีบดึงดินสอในมือไป๋มู่ชิงกลับไป โยนเข้าลิ้นชักแล้วแสร้งทำเป็นดูเอกสาร
ผู้ช่วยเหยียนไม่ใช่ไม่เห็นว่าทุกคนกำลังทำอะไรอยู่ เธอมองตาขวางใส่ทุกคนแล้วแสร้งทำเป็นไม่เห็นแล้วเดินตรงมาทางไป๋มู่ชิง มีผู้หญิงสองคนถือกล่องเล็กๆตามมาด้วย
ไป๋มู่ชิงก็มองไปที่ทุกคน เมื่อเห็นว่าผู้ช่วยเหยียนเดินตรงมาหาตัวเองก็เลยลุกขึ้นทักทายกับเธอ
ผู้ช่วยเหยียนหยุดนิ่งต่อหน้าเธอแล้วชี้ไปที่ผู้หญิงที่เดินตามหลังมาทั้งสองคนแล้วยิ้มอ่อนให้เธอ “สองคนนี้เป็นสไตล์ลิสต์มาจากขวยลี้ พวกเธอจะเป็นคนที่แต่งตัวให้คุณหญิงน้อยคืนนี้ค่ะ คุณหญิงน้อยเข้าร่วมงานพร้อมกับคุณชายเฉินตอนหนึ่งทุ่มก็พอแล้วค่ะ”
เสียงผู้หญิงด้านหลังพึมพำขึ้น “สไตล์ลิสต์ของขวยลี้ ว้าว……”
“ได้ข่าวว่าแพงมากๆ”
“ใช่ ต้องเป็นระดับคุณนายเท่านั้นถึงจะจ้างพวกเขาได้”
ไป๋มู่ชิงไม่เคยได้ยินชื่อขวยลี้มาก่อนเลย แล้วก็ไม่รู้สึกประหลาดใจอะไรด้วย แต่แค่มองกวาดไปที่คนทั้งสองต่อหน้า “แต่ฉันไม่คิดที่จะร่วมงานประจำปีนี้นะ”
ผู้ช่วยเหยียนยิ้มอ่อนให้ “คุณหญิงน้อยอย่าพูดเล่นสิคะ คุณชายเฉินเข้าร่วมแล้วคุณมีเหตุผลอะไรจะไม่เข้าร่วมคะ”
“เขาก็ส่วนเขา ฉันก็ส่วนฉัน ฉันไม่ได้สนใจงานประจำปีนี้เลย” ไป๋มู่ชิงคิดอย่างหงุดหงิด เขาจะไปดูการแสดงของรักแรกของเขา เธอจะไปทำไม ไปดูพวกเขาสวีทกันงั้นหรอ? เธอไม่อยากทารุณตัวเองอย่างนั้นหรอก
“คุณหญิงน้อยคะ คุณหญิงให้คุณชายเข้าร่วมมีเหตุผลนะคะ คุณชายมีครอบครัวแล้วเคยเผยหน้าต่อหน้าสถานสาธารณะชนแล้ว ไม่มีข้ออ้างอะไรให้คุณเซิ่งเคอออกงานบริษัทแทนอีก แล้วงานประจำปีเป็นงานสำคัญขนาดนี้ เป็นถึงภรรยาของบอส คุณก็ต้องเข้าร่วมงานพร้อมกับคุณชายเฉินสิคะ”
ไป๋มู่ชิงมองไปที่เธอ ในใจก็รู้สึกประหลาดใจ “คุณพูดอะไรนะ? คุณหญิงให้เข้าร่วมงั้นเหรอ?”
“ไม่อย่างนั้นแล้วใครจะสั่งเขาได้คะ?”
ไป๋มู่ชิงมองไปที่หน้าของผู้ช่วยเหยียนที่มีรอยยิ้มแล้วแอบ’หึ’ในใจ ผู้ช่วยเหยียนเข้าข้างหนานกงเฉินทุกอย่าง เธอก็ต้องพูดในสิ่งที่น่าฟังสิ
แต่เธอไม่ได้เอ่ยอะไรก็แสดงว่ายอมรับไปปริยายแล้ว
ผู้ช่วยเหยียนบอกให้สไตล์ลิสต์ทั้งสองแต่งตัวให้ไป๋มู่ชิง จากนั้นก็เดินออกจากห้องทำงาน
เมื่อผู้ช่วยเหยียนเดินออกไป เพื่อนพนักงานผู้หญิงก็มาขอให้สไตล์ลิสต์ช่วยเหลือ ในห้องทำงานก็ครึกครื้นขึ้นมาอีกครั้ง
ไป๋มู่ชิงรับกล่องชุดราตรีมาพอเปิดดู ข้างในเป็นชุดราตรีสีเหลืองนวลยาว ทั้งสีทั้งการออกแบบผสมผสานกันดูดีมาก เธอชอบมาก ผู้ช่วยเหยียนเป็นผู้หญิงที่มีความสามารถจริงๆ ทำอะไรทุกอย่างได้ถูกใจเธอมาก เธอคิดอย่างนั้น
หลังจากที่เธอเปลี่ยนชุดราตรีก็ทำให้เพื่อนร่วมงานฮือฮาขึ้น เสี่ยวเถียนจับไปที่ชุดราตรีของเธอแล้วพูดอย่างสงสัย “ทำไมเมื่อคืนเราเดินทั้งคืน แต่ไม่เห็นชุดสวยๆนี้เลย?”
“นี่เป็นชุดจากดีไซเนอร์ชื่อดัง ในห้างจะซื้อได้ยังไง ใช่ไหม คุณหวง” เพื่อนร่วมงานหญิงคนหนึ่งถาม
สไตล์ลิสต์พยักหน้าให้แล้วยิ้มอ่อน “ใช่ค่ะ รสนิยมของคุณชายเฉินพวกคุณดีมาก ตอนดูรูปภาพก็ถูกใจชุดนี้เลย”
“คุณชายเฉินรสนิยมดีจริงๆ!” เสี่ยวเถียนพูดด้วยใบหน้าอิจฉา “ถ้าคุณชายช่วยเราเลือกของขวัญก็ดีล่ะสิ”
“ถ้าช่วยเธอเลือกอาจจะไม่ได้ดูดีแบบนี้ก็ได้ เพราะว่าคุณชายไม่รู้จักเธอด้วยซ้ำ”
“ใช่น่ะสิ ฝันไปเถอะ”
“พวกเธอก็ ฉันก็แค่จินตนาการหน่อยไม่ได้หรอ”
“……”
ไป๋มู่ชิงไม่คิดเลยว่าชุดราตรีนี้หนานกงเฉินจะเป็นคนที่เลือกให้เองกับมือ ในใจก็รู้สึกตื้นตันขึ้นมาเล็กน้อย
เพื่อนร่วมงานที่ตื่นเต้นไปงานตั้งแต่หกโมงเย็นกว่าแล้ว มีแต่ไป๋มู่ชิงคนเดียวที่ทำงานอยู่ในห้องทำงานแล้วรอคำสั่งจากหนานกงเฉินด้วย
พอใกล้จะหนึ่งทุ่ม หนานกงเฉินก็ลงมาจากชั้นบน เพราะว่าเพื่อนร่วมงานคนอื่นไม่อยู่แล้ว โซนทำงานก็เลยเงียบสงัด มองผ่านกระจกที่ใส หนานกงเฉินก็เห็นไป๋มู่ชิงที่สวมชุดราตรีกำลังตั้งใจทำงานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์
ทีแรกคิดว่าเธอขอทำงานนี้เพื่อที่จะหลุดพ้นจากการกักขังของเขา ไม่คิดเลยว่าเธอจะตั้งใจขนาดนี้ แล้วผลงานก็ดีขึ้นด้วย
เมื่อเห็นท่าทางที่ตั้งใจของเธอ หนานกงเฉินก็ไม่อยากจะเข้าไปรบกวนเธอ เขาก้าวเท้าเสียงเบาแล้วค่อยๆเข้าใกล้เธอ จากนั้นก็ยืนหน้าลงไปดูผลงานเธอ
แต่ว่าพอเขาดูได้แว็บเดียวก็ทนดูต่อไม่ไหว สีหน้าก็เข้มขึ้นทันที
เธอกำลังตั้งใจวาดรูปก็จริง แต่ว่าไม่ได้เกี่ยวกับงานที่ทำ แต่ว่าเกี่ยวกับเขา บนกระดาษเขากำลังโดนลูกศรแทงทะลุหัวใจ สีหน้าดูเจ็บปวดมากแล้วตรงหน้าเขาเป็นเธอที่ถือธนูอย่างสง่างาม
อาจจะเป็นเพราะพอใจกับผลงานของตัวเองมาก เธอเลยใช้มือปิดปากแล้วหัวเราะยิ้มออกมา
“คุณอยากให้ผมโดนลูกธนูแทงจนตายขนาดนั้นเลยหรอ?” เสียงทุ่มต่ำของหนานกงเฉินดังขึ้น ไป๋มู่ชิงก็สะดุ้งตกใจไป แล้วรีบลุกขึ้นจากเก้าอี้หันหน้าไปมองเขาอย่างประหลาดใจ “คุณมาตั้งแต่เมื่อไหร่?”
จริงๆเลย มาทุกครั้งไม่ให้ซุ่มไม่ให้เสียงตกใจหมด
หนานกงเฉินมองไปที่ภาพวาดข้างหลังตัวเธอ ไป๋มู่ชิงก็รีบใช้มือพลิกภาพวาดแล้วใช้มืออีกข้างปิดไว้
“ผมมาตั้งนานแล้ว คุณแค่ตั้งใจว่าเกินไป” หนานกงเฉินยื่นมือออกไปจับมือข้างที่เธอปิดกระดาษขึ้น
ไป๋มู่ชิงก็ใช้แรงกดลงไป ไม่ยอมปล่อยมือตัวเองเด็ดขาด
เธอกลัวว่าถ้าเขาเห็นรูปที่ตัวเองวาด คงจะโกรธมาก แต่ไม่รู้เลยว่าเขาเห็นตั้งนานแล้ว
แรงของเธอก็สู้แรงของหนานกงเฉินไม่ได้ ครู่เดียวเขาก็ดึงมือเธอขึ้นแล้วกระดาษก็ตกอยู่ในมือเขา
ไป๋มู่ชิงรีบใช้มือปิดหน้าตัวเองไว้ อยากจะหารูมุดหัวเข้าไป เมื่อกี้หลังจากแต่งตัวเสร็จก็คิดจะวาดผลงานที่เกี่ยวกับบริษัท แต่กลับวาดอะไรแบบนี้ จะเสียใจทีหลังก็ไม่ทันแล้ว
ก็ต้องยอมรับว่าฝีมือในการวาดรูปของเธอนั้นไม่เลวเลย วาดสีหน้าของเขาได้ตลกมากแต่ก็ดูสมจริงน่ารักมาก ตัวเองในรูปก็น่ารักจนทำให้คนอื่นอยากยิ้ม เป็นท่าทางของนางมารร้ายชัดๆ
เขาขยับริมฝีปากแล้วเอ่ยขึ้นกับเธอ “นี่เป็นภาพที่คุณวาดฝันไว้หรอ?”
“คุณอยากฟังความจริงไหมล่ะ?” ไป๋มู่ชิงก็ยังใช้มือปิดหน้าตัวเองไว้
“อื้อ”
“ใช่ นี่เป็นภาพที่ฉันวาดฝันไว้” เธอวางมือลงทั้งสองข้างแล้วพูดกับเขา “ความจริงฉันยังวาดไม่เสร็จ ในอ้อมกอดคุณควรจะมีคุณหนูจูของคุณด้วย”
หนานกงเฉินมองไปที่รูปวาด สีหน้าก็ยิ่งแย่ไปกว่าเดิม
แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรมาก วางกระดาษลงแล้วพูดว่า “ไปเถอะ” พูดจบเขาก็หันหลังเดินนำหน้าไปทางลิฟท์
ไป๋มู่ชิงมองไปที่แผ่นหลังเขาอย่างประหลาดใจ เขาไม่โมโหจนฉีกภาพวาดแล้วโยนใส่ตัวเธอหรอ?
เธอไม่มีเวลาคิดมากนักแล้วรีบเดินตามเขาไป
ในงานประจำปีมีแขกมาเข้าร่วมหนาแน่น เมื่อหนานกงเฉินกับไป๋มู่ชิงไปถึง แขกที่รับเชิญกับพนักงานก็มากันพร้อมหน้าแล้ว
ไป๋มู่ชิงมองไปที่หนานกงเฉิน จากนั้นก็คล้องแขนเขาแล้วเดินเข้าไปในงานช้าๆพร้อมกับเขา
“ดูสิ มู่ชิงกับคุณชายเฉินก็ดูเหมาะสมกัน ก็ดูรักกันดี” เสี่ยวเถียนที่อยู่ท่ามกลางผู้คนก็ชี้ไปที่ทั้งสองที่กำลังเดินเข้ามาตรงกลาง
“แสงไฟส่องไปที่เสื้อผ้าของมู่ชิงดูสวยกว่าเดิมอีก”
“ใช่ ดูสวยกว่าตอนที่อยู่ห้องทำงานอีก”
“ไม่คิดเลยว่าคุณชายเข้าร่วมงานประจำปีครั้งแรกจะมาพร้อมกับภรรยา” คนอื่นพูด
จูจูที่ยืนอยู่หลังผู้คน เมื่อได้ยินผู้คนต่างพูดชมหนานกงเฉินกับไป๋มู่ชิง เธอก็อดไม่ได้จนต้องมองชุดบนตัวไป๋มู่ชิง ชุดราตรีบนตัวสวยจริง เรียบง่ายแต่ดูดี โดยเฉพาะยืนอยู่กับหนานกงเฉินที่หล่อเหลา ดูเหมือนกับเจ้าชายกับเจ้าหญิงชัดๆ
ถึงแม้จะไม่อยากยอมรับ แต่เวลานี้ไป๋มู่ชิงสวยจริงๆ!
เธอ’หึ’อย่างไม่แยแสแล้วเก็บสายตาที่มองไปที่ทั้งสองกลับ
ไป๋มู่ชิงคิดไม่ถึงเลยว่าตอนที่หนานกงเฉินออกงานจะได้รับความสนใจมากขนาดนี้ คนทั้งงานกำลังสนใจเขา……แล้วก็เธอด้วย!
เธอแอบมองไปทางหนานกงเฉิน ไม่คิดเลยว่าเขาจะจูงมือเธอเดินเข้ามาอย่างเปิดเผยอย่างนี้ เขาไม่กลัวว่าทุกคนจะเห็นเธอหรอ? ไม่กลัวว่ารักแรกของเขาจะโกรธหรอ?
มีคำพูดหนึ่งที่นิยมพูดกัน ผู้ชายกล้าที่จะพาผู้หญิงที่ไม่เพอร์เฟคมาเปิดเผยต่อหน้าสาธารณะชน โดยเฉพาะต่อหน้าแฟนเก่าเป็นผู้ชายที่รักคุณจริงๆ
หรือว่าเขา……
ไป๋มู่ชิงกอดแขนเขาแน่นขึ้นอย่างไม่รู้ตัว แล้วรอยยิ้มบนใบหน้าก็เบ่งบานขึ้น
ขณะที่หนานกงเฉินกำลังกล่าวอยู่บนเวที ไป๋มู่ชิงก็แอบไปหลบอยู่ที่ห้องรับรองชั้นสอง เพราะว่าเธอเข้าสังคมไม่เก่ง แล้วตัวแทนจากบริษัทต่างๆก็อยากใช้โอกาสนี้ประจบประแจกับตระกูลหนานกงด้วย
เธอคิดว่าตัวเองมันหลบอยู่ในห้องรับรองก็จะรู้สึกสบายหูสบายตาปลอดภัยแล้ว ไม่คิดเลยว่าจะเจอคนที่ทำให้ตัวเองรู้สึกหงุดหงิด
เธอยืนอยู่ข้างประตูแล้วมองเข้าไปที่จูจูที่อยู่ในห้อง ไม่รู้ว่าตัวเองควรเข้าไปหรือควรถอยออกมา ถ้าเข้าไปก็ต้องพูดคุยกับเธอ แต่ถ้าถอยออกมา……ก็ดูเหมือนเธอกำลังกลัว
ซูซี่พูดถูก เธอเป็นภรรยาของหนานกงเฉิน ก็ควรจะแสดงตัวให้ชัดเจน จะถอยเพราะมือที่สามไม่ได้!
เธอเปิดประตูห้องรับรองแล้วเดินเข้าไป เมื่อจูจูได้ยินเสียงเปิดประตูก็หันกลับไปมอง พอเห็นหน้าเธอก็เผยรอยยิ้มอันหวานออกมา “มู่ชิงชุดของเธอสวยจังเลย”
ไป๋มู่ชิงกวาดมองไปที่เธอ “ขอบใจ ของเธอก็สวยเหมือนกัน”
จูจูใส่ชุดเดรสสีขาวยาวแล้วปล่อยผมยาวสีดำลงมา บวกกับใบหน้าที่ใสซื่อของเธอบอกได้เลยว่าเหมือนนางฟ้าตัวน้อยๆ ไป๋มู่ชิงจินตนาการได้ ภาพที่เธอสวมชุดกระโปรงสีขาวแล้วกำลังเล่นเปียโนอยู่ คงทำให้ผู้ชายในงานต่างหลงใหล
แล้วผู้ชายในงาน……ก็รวมถึงหนานกงเฉินสุดที่รักของคุณหนูจูด้วย!
จูจูเทน้ำผลไม้ให้เธอแล้วยิ้ม “ฉันจะเทียบกับเธอได้ไง เธอเป็นภรรยาของหนานกงเฉินนี่ ชุดที่เลือกให้เธอยังสวยกว่าฉันเลย”
สีหน้าของไป๋มู่ชิงเปลี่ยนไป
จูจูพูดต่อ “ความจริงฉันไม่ชอบสีขาวหรอก สีแดงสวยกว่า อยู่บนเวทีก็เหมือนดอกกุหลาบ แต่ว่าเฉินบอกว่าฉันใส่สีขาวแล้วสวยเหมือนนางฟ้า เขาพูดอย่างนี้ ฉันก็รู้สึกชอบชุดนี้ขึ้นมาทันที”
ไป๋มู่ชิงมองกวาดไปที่ชุดบนตัวเธอแล้วพยักหน้า “ก็เหมือนนางฟ้าจริง เดี๋ยวแสดงดีๆแล้วกัน อย่าทำให้กระโปรงชุดนี้ผิดหวังล่ะ”
“ฉันรู้ ฉันจะทำสุดความสามารถ” จูจูยิ้มอย่างมีเลศนัย
ไป๋มู่ชิงสูดหายใจเข้าเบาๆ ร่างกายที่แข็งคือก็หันหลังเดินออกจากห้องรับรองไป
เธอเพิ่งเดินออกจากห้องรับรองโทรศัพท์ก็ดังขึ้น พอหยิบโทรศัพท์จากกระเป๋าออกมาดูเป็นเบอร์ซูซี่ก็เลยกดรับสาย
ซูซี่ถามว่าเธออยู่ที่ไหน เธอมองไปรอบๆ “ฉันอยู่ชั้นสอง ไม่ใช่ว่าเธอก็อยู่ที่นี่เหมือนกันใช่มั้ย?”
“ฉันถูกไอ้บ้าเฉียวซือเหิงนั่นจับมา” ซูซี่พูด “น่าเบื่อจะตาย รีบมาอยู่กับฉันเดี๋ยวนี้”
“เธอขึ้นมาเลย ฉันก็รู้สึกเบื่อเหมือนกัน” ไป๋มู่ชิงพูด
พอซูซี่เห็นชุดบนตัวของไป๋มู่ชิงก็รีบชมขึ้น “ชุดสวยมากเลย ใครเป็นคนเลือก?”
“ได้ข่าวว่าเป็นหนานกงเฉิน” ไป๋มู่ชิงพูด
“รสนิยมของหมอนั่นไม่เลวเลย”
“ก็ดีจริง ถ้าเธอเห็นชุดที่คุณหนูจูใส่คงชื่นชมเขามากกว่านี้”
“ไม่ใช่หรอกมั้ง? เขายังซื้อชุดให้นังหน้าไม่อายนั่นอีกหรอ?”
“ก็แหงนล่ะสิ”
“เธอใส่ชุดที่เขาซื้อให้แล้วขึ้นไปแสดง……แล้วนางเอกคืนนี้สรุปเป็นเธอเป็นหรือยัยนั่นกันแน่?”
“ดูเหมือนจะเป็นฉัน แต่ความจริงก็เป็นเธอ” ไป๋มู่ชิงยิ้มอย่างเยาะเย้ย “เสียดายที่ตอนที่ฉันได้ชุดมายังรู้สึกตื้นตันใจ แกคิดว่าฉันโรคจิตไปไหม?”
“ไม่ใช่แค่คิด แต่โรคจิตมาก” ซูซี่ยิ้มเยือกเย็น “ผู้ชายก็ชอบแบบนี้แหละ ตบหน้าเธอแล้วก็ให้ขนมเธอ กับคนแบบเธอที่พอได้ขนมแล้วก็ลืมความเจ็บ พูดไม่น่าฟังหน่อยกก็โง่!”
“อย่าพูดให้มันน่ารังเกียจขนาดนั้นเลย”
“พอละ ฉันไม่พูดละ” ซูซี่ยักไหล่ขึ้นจากนั้นก็พูดกัดฟันแน่น “นังหน้าไม่อายนั่น ฉันอยากจะดูจริงๆว่าเดี๋ยวเธอจะทำอะไรกันแน่”
โทรศัพท์ไป๋มู่ชิงดังขึ้นอีก พอเธอมองไปที่หน้าจอก็เงยหน้าพูดกับว่าซูซี่ “เขาอาจจะหาตัวฉันไม่เจอ ฉันอาจจะต้องลงไปก่อน”
“ได้ ไปเถอะ” ซูซี่ยกไวน์แดงขึ้นจิบ
เมื่อไป๋มู่ชิงลงไปถึงชั้นล่าง ก็เห็นหนานกงเฉินเลยว่ากำลังหาตัวเธอ เธอเดินไปแล้วพูดเสียงเบาว่า “มีอะไร?”
“มานี่” หนานกงเฉินดึงเอวเธอแล้วพาเธอไปทักทายกับสามีภรรยาที่ดูมีอายุคู่หนึ่ง ทั้งสองก็พูดชมไป๋มู่ชิง เธอไปก็ยิ้มตอบกลับให้พวกเขา พอเสร็จจากสามีภรรยาคู่นี้ก็ไปต่ออีกคู่
บนเวทีมีคนกำลังแสดง แต่หนานกงเฉินไม่ได้มองขึ้นไปบนเวทีเลย
จนกระทั่งถึงเวลาที่จูจูออกมา หนานกงเฉินค่อยมองไปทางเวทีแล้วยกแก้วในมือขึ้นยิ้มอ่อนกับเธอ
สายตาของจูจูก็ต้องมองมาที่เขาอยู่ แล้วสายตาของพวกเขามองกันไปไม่กี่วิผ่านผู้คนที่กั้นอยู่ จากนั้นจูจูค่อยๆนั่งลงเริ่มการแสดง
ไป๋มู่ชิงนึกถึงภาพตอนนี้ที่จูจูใส่ชุดยาวสีขาวนั่งอยู่ต่อหน้าเปียโน แสงไฟก็ส่องลงมาแล้วทำให้เธอดูสวยมาก ไป๋มู่ชิงเงยไปมองหนานกงเฉินแล้วพูดเสียดสี “รสนิยมดีหนิ ที่เลือกชุดนี้ให้เธอเหมาะกับเธอมาก”
หนานกงเฉินหันมามองเธอ “ทำไม? หึงอีกแล้วหรอ?”
เขาพาเธอมาให้ทุกคนรู้จักขนาดนี้แต่เธอกลับอารมณ์เสียเพราะกระโปรงตัวเดียวหรอ?
“พูดอย่างนี้ ชุดนี้คุณเป็นคนเลือกให้เธอจริงหละสิ?” ไป๋มู่ชิงจ้องไปที่เขา
ตอนแรกยังลังเลสงสัยว่าจูจูอาจจะอยากจงใจทำให้เธอหงุดหงิดถึงได้พูดอย่างงั้น ไม่คิดเลยว่าเป็นเขาจริงๆ
หนานกงเฉินไม่ได้ตอบเธอ แต่กลับโดนผู้ชายวัยกลางคนลาก ไปชนแก้วด้วย ไป๋มู่ชิงเก็บความไม่พอใจในใจไว้แล้วเลิกมุมปากขึ้นยิ้มแล้วชนแก้วพร้อมเขา
เดิมทีที่จูจูขึ้นแสดงในงานก็เงียบทันที แต่อยู่ๆก็มีเสียงดังขึ้น มีคนกำลังซุบซิบ “เหมือนเพลงนี้จะไม่อยู่บนคีย์เลย”
ไป๋มู่ชิงที่ไม่ใช่นักดนตรียังฟังออกว่าเพลงที่เล่นอยู่ไม่อยู่บนคีย์ เธอเงยหน้ามองไปทางจูจูที่อยู่บนเวที เธออาจจะรีบร้อนเกินไป มือทั้งสองข้างลนลานไปหมด
มือฝั่งขวาของเธอยังมีผ้าพันแผลอยู่ ไป๋มู่ชิงคิดอย่างใจแคบว่านี่เป็นแผนของเธออีกหรือเปล่า? แล้วโยนความผิดที่เล่นเปียโนได้ไม่ดีให้เธอ? เพราะว่าเธอเป็นคนทำให้มือเธอบาดเจ็บเลยเล่นได้ไม่ดี?
เธอมองไปทางหนานกงเฉินก็เห็นว่าเขาก็ฟังออกเหมือนกัน แล้วกำลังมองไปบนเวทีอย่างสงสัยเหมือนกับทุกคน
เพลงเริ่มเพี้ยนจนเล่นต่อไม่ได้ จูจูเลยลุกขึ้นจากเก้าอี้
เธอหันกลับมาโค้งตัวให้ทุกคนจากนั้นก็พูดสะอึกสะอื้นออกมาว่า “ขอโทษค่ะ……”
พอเธอเงยหน้าขึ้นใบหน้าเธอก็เต็มไปด้วยน้ำตา จากนั้นก็ถือกระโปรงขึ้นแล้ววิ่งออกไป
ไป๋มู่ชิงยังไม่รู้ว่าเรื่องมันเป็นยังไงกันแน่ แต่รู้สึกถึงเงาข้างกายขยับเธอก็หันหน้าไปก็เห็นหนานกงเฉินกำลังเดินก้าวใหญ่ๆผ่านผู้คนไปหลังเวที
เมื่อหนานกงเฉินไปถึงหลังเวที ก็เห็นจูจูนอนร้องไห้อยู่บนโซฟาในห้องรับรองอย่างเสียใจ แล้วเพื่อนของเธอขึ้นอย่างเป็นห่วงว่าเกิดอะไรขึ้น
พอเห็นหนานกงเฉินเดินเข้ามา คนอื่นๆก็ถอยหลังออกไปทางประตู
หนานกงเฉินเห็นจูจูร้องไห้เสียใจขนาดนี้ ก็นั่งลงข้างกายเธอแล้วใช้มือตบบ่าปลอบใจเธอเบาๆ “จูจู ขึ้นแสดงครั้งแรกก็อาจจะผิดพลาดได้ แถมคุณยังมีบาดเจ็บอยู่อีก อย่าร้องไห้เลย”
เมื่อจูจูได้ยินเสียงเขาก็หันตัวกลับมามองเขาพร้อมนัยน์ตามีแต่น้ำตา “เฉิน ไม่รู้ว่าใครทำอะไรกับเปียโน”
“คุณพูดอะไรนะ? มีคนทำอะไรบนเปียโนคุณหรอ?” หนานกงเฉินขมวดคิ้ว “เป็นไปได้ยังไง?”
“ฉันมาก่อนเวลาหนึ่งชั่วโมงก็เพื่อที่จะได้คุ้นชินกับเปียโน เมื่อกี้ยังดีอยู่เลย แต่พอฉันขึ้นแสดงมันก็เสีย ต้องมีคนทำอะไรกับเปียโนแน่ๆ”
หนานกงเฉินเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้น “เปียโนอาจจะเสียเองก็ได้?”
“เป็นไปไม่ได้ ก่อนที่จะแสดงฉันเรียกพนักงานมาตรวจสอบแล้ว” จูจูจ้องไปที่เขาแล้วน้ำตาก็ไหลเยอะออกมา “ต้องเป็นเธอแน่ๆ เมื่อกี้เธอถามฉันว่าใครเลือกชุดให้ ฉันก็บอกเธอไปว่าคุณเลือกให้ เธอก็เลยโกรธ”
“คุณหมายถึงมู่ชิง?”
“ใช่……” จูจูเอ่ยด้วยสีหน้าลำบากใจ “ฉันรู้ว่าเธอต้องโกรธแน่ๆ แต่เธอล้อเล่นกับฉันแบบนี้ได้ยังไง? คนทั้งบริษัทเห็นฉันหน้าแตก? ฉันขายหน้าหมด พรุ่งนี้ฉันจะเอาหน้าไปทำงานได้ยังไง……”
“ไม่ได้รุนแรงขนาดนั้น ไม่มีใครกล้าว่าคุณหรอก” หนานกงเฉินปลอบใจ
“เฉิน ฉันสัญญากับเธอหลายรอบแล้วว่าฉันจะไม่มีทางทำลายความรักของพวกคุณ แต่ทำไมเธอไม่เชื่อฉันล่ะ? ทำไม?” รู้สึกจูจูน่าสงสารไปกว่าเดิม “ฉันอดทนมากแล้ว ไม่ว่าเธอจะแสดงสีหน้ากับฉันยังไง พูดกับฉันยังไงทำกับฉันยังไงฉันก็ทนไว้หมด ทำไมเธอยังจะทำแบบนี้กับฉันอีก? เป็นเพราะว่ากี่นี้ฉันเอาแต่อยู่ที่บ้านพวกคุณหรอ?”
ไป๋มู่ชิงที่ยืนอยู่หน้าประตูทนฟังไม่ได้ โกรธจนสั่นไปทั้งตัว
เธอหันกลับไปทางประตูแล้วสูดหายใจเข้าลึกๆ เพิ่งจะทรงตัวตัวเองไว้จากนั้นก็ก้าวเดินไปทางหน้าเวที
ขณะที่เธอเดินไปก็เจอซูซี่ที่กำลังหาเธอ พอเห็นเธอซูซี่ก็รีบยิ้มอย่างสะใจแล้วพูดเสียงเบา “ได้ยินหรือยัง? ยัยนั่นทำผิดพลาด ช่างล้มเหลวเหลือเกิน!”
ไป๋มู่ชิงเงยหน้าขึ้นช้าๆแล้วมองไปที่ใบหน้าที่สะใจของเธอ
ซูซี่มองไปที่สีหน้าที่เข้มงวดของเธอแล้วถามขึ้นอย่างสงสัย “เป็นอะไร? ฉันดีใจแทนเธอจะบ้า เธอไม่ดีใจหรอ?”
ไป๋มู่ชิงจ้องมองไปเธอสักพักแล้วค่อยถาม “ซูซี่ เธอเป็นคนทำหรือเปล่า?”
“อะไร? อะไรฉันเป็นคนทำ?” ซูซี่ไม่เข้าใจ
“ยัยนั่นบอกว่ามีคนทำอะไรกับเปียโนของเธอ ก็เลยผิดคีย์”
ซูซี่อึ้งไป จากนั้นก็กัดฟันพูด “ฉันไม่ได้เลวเหมือนยัยนั่น! ไม่ได้ต่ำต้อยขนาดนั้นด้วย!”
“ไม่ใช่เธอทำจริงหรอ?”
“ฉันจะโกหกเธอทำไม?” ซูซี่มองบนใส่เธอจากนั้นก็ยกนิ้วขึ้นมาดันไปที่หน้าผากเธอ “เธอนี่โง่จนจะไม่มีเพื่อนอยู่แล้ว ตกหลุมแผนของคนอื่นอีกแล้วล่ะสิ”
ซูซี่ไม่ใช่คนทำ งั้นก็แสดงว่าจูจูเป็นคนวางแผนทำเอง?
ไป๋มู่ชิงกัดริมฝีปากล่างแน่น โกรธจนสมองมัวไปหมด ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองควรจะทำยังไงต่อ
ซูซี่ดึงมือเธอแล้วเดินกลับไป ไป๋มู่ชิงถูกเธอลากกลับไปในห้องรับรองเหมือนหุ่นยนต์ บนโซฟาจูจูร้องไห้จะเป็นจะตาย จนถึงขั้นเอนไปในอ้อมกอดของหนานกงเฉินแล้ว หนานกงเฉินก็ใช้มือตบบ่าปลอบใจเธอ
เห็นการกระทำที่สนิทสนมขนาดนั้น ทำให้ซูซี่ที่เดินเข้ามาอารมณ์จะระเบิด
ซูซี่ดึงจูจูออกมาจากอ้อมแขนของหนานกงเฉิน แล้วพูดอย่างโมโห “นังหน้าไม่อาย! แกจะเสแสร้งถึงเมื่อไหร่? วิธีการปัญญาอ่อนขนาดนี้แกก็ทำออกมาได้ไม่รู้สึกอยากอ้วกหรอ?”
จูจูถูกเธอลากดึงออกมาจากอ้อมกอดของหนานกงเฉินก็ตกใจจนสีหน้าเสีย จากนั้นก็พูดอย่างน่าสงสารกลับ “ทำไมทุกครั้งลงมือกับฉันแล้วยังจะมาใส่ร้ายฉันอีก? ฉันทำให้พวกคุณเกลียดขนาดนั้นเลยหรอ? พวกคุณอยากจะไล่ฉันไปขนาดนั้นเลยหรอ
“แก……”
“พอแล้ว!” หนานกงเฉินพูดตัดซูซี่ แล้วจ้องเธอด้วยสายตาเยือกเย็น “คุณหญิงเฉียว ผมบอกกับคุณกี่รอบแล้วเรื่องของผมกับไป๋มู่ชิงคุณไม่ต้องมายุ่ง!”
“ถ้าฉันไม่ยุ่งอีกมู่ชิงก็โดนยัยนี่รังแกจนตายไปแล้ว!”
“ถึงเธอจะโดนรังแกจนตายก็เป็นเรื่องระหว่างผมกับเธอ!” หนานกงเฉินมองกวาดไปที่ไป๋มู่ชิงด้วยสายตาเยือกเย็นแล้วเอ่ยขึ้นว่า “คุณเป็นคนทำหรือเปล่า?”
เดิมทีที่ไป๋มู่ชิงโกรธจนจะระเบิดแล้วถูกเขาสงสัยแบบนี้อีกก็ยิ่งจะระเบิดออกมามากขึ้น เธอสูดหายใจเข้าแล้วจ้องไปที่เขา “ต่อไปถ้าเธอจะฟ้องใส่ร้ายเกี่ยวกับฉันอีก ก็ไม่ต้องมาถามฉัน ความโง่ของไม่มีขอบเขตได้ แต่ความอดทนของคนมันมีจำกัด!”
ไป๋มู่ชิงพูดคำนี้จบก็ลากซูซี่แล้วเดินออกไปจากห้องรับรอง
เมื่อทั้งสองเดินมาถึงประตูหน้าโรงแรม ไป๋มู่ชิงค่อยปล่อยมือซูซี่แล้วร่างกายทรุดลงไปนั่งกับบันได
ทำไมเธอคิดไม่ถึงเลยว่าคุณหนูจูจะใส่ร้ายเธอในงานประจำปีด้วยวิธีนี้ จนไม่ได้ป้องกันอะไรไว้เลย
ซูซี่หันมาดึงแขนเธอ “ที่รัก อย่านั่งที่นี่ให้คนอื่นมามุงดูเลย ไป เราเปลี่ยนที่กันเถอะ”
ไม่รอให้ไป๋มู่ชิงตกลง ซูซี่ก็ดึงเธอเดินไปทางรถยนต์จากนั้นก็ยัดเธอเข้าในรถแล้วพาเธอไปจากที่เกิดเหตุนี้
เหยาเหม่ยฟังซูซี่เล่าจบ ก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ “คุณหนูซู คุณบอกว่าที่ไปร่วมงานประจำปีก็เพื่อที่จะช่วยมู่ชิงไม่ใช่หรอ? ทำไมไม่เห็นฤทธิ์เดชอะไรของคุณเลยคะ?”
“อย่าพูดถึงเลย ฉันไม่ได้เลวขนาดนั้น”
“ก็จริง” เหยาเหม่ยตบบ่าปลอบใจไป๋มู่ชิง “มู่ชิง เธอก็อย่าเสียใจไปเลย หนานกงเฉินคงไม่ได้โง่ขนาดนั้น คงไม่เชื่อคำพูดของนังนั่นหรอก”
ไป๋มู่ชิงเงยหน้าขึ้นแล้วจ้องไปที่เธอ “ฉันก็รู้สึกว่าหนานกงเฉินไม่ได้โง่ขนาดนั้น ถ้ารู้อยู่แล้วว่าเธอจงใจทำแล้วยังปกป้องเธอล่ะ เธอไม่รู้สึกว่ามันน่ากลัวกว่าหรอ?”
“งั้น……ก็แสดงว่าหนานกงเฉินรักเธอหัวปักหัวปำ”
“ฉันก็คิดว่าอย่างงั้น” ไป๋มู่ชิงพยักหน้าแล้วยกแก้วน้ำผลไม้ขึ้นดื่ม
ซูซี่หันไปทางเหยาเหม่ย “ฉันกับมู่ชิงโกรธจนจะบ้าอยู่แล้ว จนสมองไม่แล่นแล้ว เธอคิดว่ายัยนั่นจะทำอะไรต่อ?”
เธอมองไปทางทั้งสอง “ในละครก็แสดงแบบนี้ไม่ใช่หรอ? ถึงแม้ครั้งนี้จะไม่ท้อง เธอก็อาจจะไปหาไปท้องกับผู้ชายคนอื่นแล้วพอได้ตำแหน่งมาแล้วก็ทำว่าอุบัติเหตุหกล้มแท้งไป แล้วทำลายหลักฐาน!”
“ใช่สิ คุณชายเฉียวของเธอก็ทำแบบนี้เหมือนกันไม่ใช่หรอ?” เหยาเหม่ยหันไปทางซูซี่
“เลวมาก!” ซูซี่ยืดตัวขึ้นตรง “ไม่ได้ จะให้มู่ชิงมาซ้ำรอยของฉันไม่ได้”
“เพราะฉะนั้น……เราต้องรีบหาวิธีเพื่อที่จะหยุดยั้งพวกเขา”
“วิธีอะไร?”
“รีบแยกแล้วมู่ชิงก็รีบกลับบ้าน” เหยาเหม่ยเห็นไป๋มู่ชิงมัวแต่กินของกินเลยใช้มือสะกิดที่แขนเธอ “เธอยังมีอารมณ์กินอีกหรอ? รีบกลับไปสิ!”
ไป๋มู่ชิงมัวแต่กินอาหารในจานแล้วพูดว่า “ฉันหิวแล้ว”
“สามีตัวเองจะโดนคนอื่นแย่งแล้วถ้ายังไม่กลับไปอีกเธอคงหิวไปทั้งชาติแน่!” เหยาเหม่ยอยากจะรีบโยนเธอกลับบ้านไป
ไป๋มู่ชิงแค่ยิ้มอ่อนให้ “ช่างเถอะ ฉันเหนื่อยแล้ว ไม่อยากไปแย่งอะไรแล้ว”
“จริงหรอ?”
“ถ้ายังจะวางแผนกันไปมาแบบนี้ สามีคนนี้ไม่เอาก็ได้ ฉันยอมรับว่าฉันไม่ใช่คู่แข่งของคุณหนูจู ฉันทำเรื่องที่น่าอายแบบนั้นไม่ได้” ไป๋มู่ชิงพูดจบก็ก้มลงกินอาหารในจานต่อ
ซูซี่กับเหยาเหม่ยมองสบตากันแล้วซูซี่ก็ถามว่า “ทำยังไงดี?”
เหยาเหม่ยคิดไปคิดมาแล้วเอนตัวไปพูดข้างหูเธอ “มอมเธอจนเมาแล้วให้ไปสู้กับนังหน้าไม่อายนั่น!”
หนานกงเฉินไปทักทายกับแขกที่มาสักพัก พอกลับมาก็ไม่เห็นเงาของจูจูแล้ว เขาถามพนักงานที่รับผิดชอบดูแลเธอค่อยรู้ว่าเธอไปดื่มเหล้ากับเพื่อนร่วมงานที่สวน
เขาเดินออกไปที่สวนก็เห็นท่าทางเธอเอนไปเอนมาแล้วยิ้มอยู่ท่ามกลางเพื่อนร่วมงาน ในมือยังถือขวดเหล้าอยู่
เธอจับไหล่ของเพื่อนร่วมงานหญิงแล้วพูดขึ้น” พรุ่งนี้……พวกเธออย่าหัวเราะเยาะฉันล่ะ ฝีมือฉัน……ไม่ได้แย่ขนาดนั้น ก็โทษที่……ที่ฉันไม่ได้ฝึกซ้อมมาดี……ครั้งหน้าจะไม่ผิดพลาดแบบนี้อีก พวกเธอ……พวกเธอให้อภัยฉันครั้งนี้ได้ไหม?”
“จูจู คนเราก็ต้องมีเวลาที่ผิดพลาดบ้าง เธออย่าเสียใจเลย”เพื่อนร่วมงานอีกคนตบบ่าปลอบใจเธอ
จูจูพยักหน้าให้แล้วเงยหน้าขึ้นดื่ม “ใช่……คนเราก็ต้องมีเวลาผิดพลาด ฉันไม่เสียใจ……”
“ไม่เสียใจก็ดีแล้ว” เพื่อนร่วมงานยิ้มอ่อนให้
หนานกงเฉินเดินก้าวไปแล้วจับแขนเธอแล้วให้หันมา “จูจู ควรจะกลับได้แล้ว”
จูจูลืมตาที่มองไปที่เขา จากนั้นก็ยิ้มให้เขา “คุณชายเฉิน……ทำไมคุณยังไม่กลับอีก?”
พูดจบ เธอก็แนะนำกับทุกคน “คุณชายเฉินเป็นเพื่อนที่ฉันรู้จักตั้งแต่เด็ก แต่พวกเธออย่าเข้าใจผิดนะ ความสัมพันธ์ระหว่างเราใสสะอาดมาก ใสสะอาดเหมือนน้ำเปล่าเลย”
พอพูดจบเธอก็หัวเราะยิ้มแล้วกอดแขนหนานกงเฉินไว้