ดูเหมือนว่าทุกคนจะรู้ความลับนี้อยู่แล้ว หนานกงเฉินรู้ และจูจูเองก็รู้อยู่แก่ใจ แต่ในแต่ไรมาก็มีเพียงเเค่เธอเท่านั้นที่ไม่รู้อะไรเลย! จู่ๆเธอก็รู้สึกตลกเเละโศกเศร้าเล็กน้อย ไม่รู้ว่าทุกคนมีจุดประสงค์อะไรที่ต้องปกปิดเธอ!
ไม่ถูกต้อง ถ้าหากหนานกงเฉินรู้ว่า จูจูเป็นคู่รักที่ถูกลิขิตไว้ของตระกูลหนานกงที่ตามหามานานถึงสามสิบปี เธอคือผู้หญิงที่เขาควรจะแต่งงานด้วย เเล้วทำไมเขาถึงไม่หย่ากับเธอเเล้วไปเเต่งงานใหม่กับจูจูล่ะ?
ก็รู้ๆกันอยู่ว่าเป็นคู่รักที่ชะตาถูกลิขิตเอาไว้ เขายังคงเลือกภรรยาของเขา หรือว่านี่หมายความว่า …. เขารู้สึกกับเธอมากกว่าจูจู?
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ภายในใจของไป๋มู่ชิงนอกเหนือจากความรู้สึกที่ซาบซึ้งแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นก็คือความรู้สึกผิดและเสียใจ หนานกงเฉินปฏิบัติต่อเธอด้วยความจริงใจ แต่เธอกลับยังทำสิ่งผิดพลาดเล็กน้อย ทำให้จูจูทำลายโอกาสของตัวเอง!
มันเป็นความผิดของเธอที่ทำให้หนานกงเฉินล้มป่วย ทั้งหมดเป็นความผิดของเธอคนเดียว!
เธอยกมือขึ้นและเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาจากดวงตาของเธอ จากนั้นเธอก็ลุกขึ้นจากโซฟา
“คุณจะไปไหน?” คุณผู้หญิงจ้องมองเธอด้วยท่าทางอารมณ์เสีย
“ฉันจะไปโรงพยาบาลพร้อมกับคุณชายใหญ่ ” เธอพูด
คุณผู้หญิง ลุกขึ้นจากโซฟาอย่างกระทันหัน ตะโกนใส่เธอ:“คุณจงใจเผชิญหน้ากับฉันหรือเปล่า?”
“คุณย่า ฉันขอโทษ ฉันจำเป็นต้องรอคุณชายใหญ่ฟื้นขึ้นมาก่อนถึงสามารถตอบคุณได้” ไป๋มู่ชิงก้มศีรษะลงด้วยความรู้สึกผิด จากนั้นเธอหันหลังเดินไปที่ประตูห้องนอนอย่างรวดเร็ว
มองไปยังแผ่นหลังของเธอที่เดินจากไป คุณผู้หญิงก็รู้สึกหดหู่ พี่เหอจึงรีบคว้าเเขนของเธอมาปลอบ “คุณผู้หญิง อย่าโกรธเลย นายหญิงน้อย…..”
“เธอเป็นอะไรไป? ฉันคิดว่าเดิมทีจ้านเจอะเฉิ่นชอบเธอ และไม่มีฉันอยู่ในสายตา!” คุณผู้หญิงตะโกนด้วยอารมณ์ “ในตอนนั้นฉันไม่ยินยอมให้เธอเข้ามาภายในบ้านตั้งแต่แรกแล้ว ทั้งหมดนี้ต้องโทษท่านอาจารย์หวัง!”
“คุณผู้หญิง อย่าโกรธ นี่เป็นนิสัยของนายหญิงน้อย……” พี่เหอพูดอย่างจำใจ: “คุณเห็นเธอเพิ่งออกมาห้องโถงบรรพบุรุษ เธอคงตกใจและเสียสติไป ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เดี๋ยวเธอก็คงจะลืมเรื่องเหล่านั้นไป”
หากเป็นคนอื่นคงกลัวว่าจะตกใจจนเสียสติ มีแต่เธอเท่านั้นกล้าที่จะออกไปคนเดียวในคืนนั้น
คุณผู้หญิง รู้ว่าไป๋มู่ชิงค่อนข้างที่จะไม่เหมือนใคร นี้เป็นสิ่งที่ทำให้เธอปวดหัวมากที่สุด
เธอสูดลมหายใจเข้าและหายใจออกด้วยอาการปวดหัว:จากนั้นเธอก็กล่าวคำพูดออกมาว่า“โทรไปถามว่าเฉินตื่นแล้วหรือยัง”
พี่เหอพยักหน้าและหันหลังแล้วเดินออกไปโทรศัพท์
เมื่อไป๋มู่ชิงไปถึงโรงพยาบาล เธอเห็นหมอเดินออกจากห้องไอซียู เมื่อหมอจางออกจากห้องไอซียู บอกกล่าวนายหญิงน้อยด้วยความหวังดี เขากล่าวว่า “คุณนายเชามีพยาบาลพิเศษอยู่ในห้องไอซียูอยู่แล้ว ญาติไม่จำเป็นต้องมาเฝ้าก็ได้”
ไป๋มู่ชิงเหลือบมองไปที่ห้องคนไข้และถามว่า:“คุณชายเฉินยังไม่มีวี่แววที่จะฟื้นขึ้นมาเหรอ?”
“ยังไม่ใช่ตอนนี้” คุณหมอจางพูดขึ้นมาทันที “แต่คุณสามารถมั่นใจได้ แม้ว่าสัญญาณชีพของคุณชายใหญ่ยังไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไหร่แต่ค่อนข้างคงที่”
สัญญาณชีพยังไม่แข็งแรง? ยังไม่พ้นขีดอันตรายอีกเหรอ?
หลังจากคุณหมอจางเดินจากไป ไป๋มู่ชิงเดินไปหาเซิ่งซินและนั่งลงข้างๆ เซิ่งซินมองเธอและถามว่า:“พี่สะใภ้ ทำไมคุณถึงมาโรงพยาบาลอีก?หมอบอกว่าไม่จำเป็นที่ต้องมา”
“ฉันไม่รู้ อยู่บ้านหัวใจของฉันเต็มไปด้วยความวุ่นวาย” ไป๋มู่ชิงใช้มือสัมผัสบนใบหน้าที่แห้งกร้านและถามไปว่า:”เซินเค่อล่ะ?”
“ หลายวันมานี้ลูกพี่ลูกน้องไม่สามารถไปที่บริษัทได้ ภาระงานของพี่ชายฉันเพิ่มขึ้นมาก ฉันก็เลยบอกให้เขากลับไปพักผ่อน”
“โอ้.” ไป๋มู่ชิงพยักหน้า
และภาพฉากนั้นบรรยากาศก็เงียบลง ไป๋มู่ชิงนึกถึงเรื่องที่เพิ่งเห็นในห้องโถงของบรรพบุรุษซึ่งเป็นเหมือนฝันร้ายของเธอ
เธอหันศีรษะและจ้องมองไปที่เซิ่งซินจากนั้นถามเซิ่งซินว่า “คุณรู้ความลับในห้องโถงบรรพบุรุษหรือไม่? คุณเคยมาที่นี่? ”
เซิ่งซินรู้สึกตกใจเล็กน้อยจากนั้นส่ายหน้า “ฉันไม่เคยไปที่ห้องโถงบรรพบุรุษของตระกูลหนานกง”
“ แล้วเธอรู้เรื่องราวของคนรักในชาติก่อนหรือเปล่า?”
“พี่สะใภ้ ฉันเป็นแค่คนนอกสำหรับตระกูลหนานกง ฉันไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น” เซิ่งซินหัวเราะกับตนเอง
“คุณเชื่ออย่างนั้นเหรอ?” ไป๋มู่ชิงถามอีกครั้ง
เซิ่งซินมองไปที่เธอ หลังจากนั้นก็กล่าวว่า “ทุกครั้งที่เห็นลูกพี่ลูกน้องป่วย ฉันก็เชื่อ”
“คุณเชื่อได้ยังไงกัน?” ไป๋มู่ชิงพูดอย่างไม่น่าเชื่อ เธอคิดว่าคนอย่างเซิ่งซินที่มีการศึกษาสูง คงไม่มีทางเชื่อเรื่องเหล่านี้ แต่คาดไม่ถึงเลยว่าเธอจะเชื่อ
โรคของหนานกงเฉิน ดูเหมือนจะแปลกประหลาดมาก
เซิ่งซินพูดว่า “พี่สะใภ้ พวกเรากลับบ้านเถอะ หากมีอะไรคืบหน้าหมอจางก็จะแจ้งพวกเราทันที”
ไป๋มู่ชิงส่ายหน้า เธอไม่คิดที่จะกลับบ้าน
“พี่สะใภ้……”
“เซิ่งซิน คุณกลับบ้านไปก่อนเถอะ” ไป๋มู่ชิงมองไปที่เธอ “ถึงแม้พวกคุณทั้งหมดนั้นนึกว่าฉันและหลินอันหนานจะมีความสัมพันธ์กัน แต่ฉันก็ยังจะอยากบอกว่า คนที่ฉันรักก็คือคุณชายใหญ่ฉันอยากอยู่เป็นเพื่อนเขาที่โรงพยาบาล หวังว่าพวกคุณจะเข้าใจฉัน”
ได้ยินเธอพูดแบบนั้น เซิ่งซินก็ไม่อะไรจะพูดแล้ว เธอพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “งั้นก็ได้ ถ้าคุณง่วงก็ให้หมอจางจัดห้องพักไว้ให้แล้วกัน อย่าหักโหมร่างกายมากนัก”
“เข้าใจแล้ว ขอบใจมาก”
หลังจากเซิ่งซินออกไป ในทางเดินก็เหลือแค่ไป๋มู่ชิงเพียงคนเดียว ทันทีที่บรรยากาศเงียบสงบลง เธอก็เริ่มคิดมาก ภายในสมองของเธอนั้นคิดวุ่นวาย ชั่วขณะหนึ่งผู้หญิงคนนั้นนอนพักในโรงคริสตัล บางครั้งใบหน้าเป็นจูจู บางครั้งเป็นคุณผู้หญิงที่มีใบหน้าแน่วแน่
เธอสูดหายใจเข้าลึกๆและบังคับตัวเองไม่ให้ไปคิดเรื่องแปลกๆเหล่านั้น
หนานกงเฉินมารับการรักษาในโรงพยาบาลนี่ คุณหมอจางไม่กล้าแม้แต่จะกลับบ้าน ในตอนท้ายคุณหมอจางเห็นไป๋มู่ชิงยังคงนั่งอยู่ที่ประตูห้องผู้ป่วยเขาถามด้วยความกังวล: “คุณผู้หญิงทำไมคุณถึงยังไม่กลับบ้านไปพักผ่อน?”
“ฉันไม่ง่วง” ไป๋มู่ชิงสูดลมหายใจ
“คืนนี้อีกยาวนาน ไปหาห้องพัก นอนพักเสียหน่อยก็ดีนะ”
ไป๋มู่ชิงไม่ได้สนใจในความหวังดีของเขา และเธอยังคว้าแขนของเขาไว้พร้อมด้วยสีหน้าร้องขอ “หมอจาง ให้ฉันเข้าไปดูเขาได้หรือเปล่า? ฉันรับรองว่าฉันจะแค่เข้าไปดูเพียงเท่านั้นและจะรีบออกมาอย่างรวดเร็ว”
คุณหมอจาง ครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ด้วยความลำบากใจ ท้ายที่สุดไม่อาจแข็งใจที่จะปฏิเสธเธอ พูดกับเธอ:“ตามผมมา”
“ขอบคุณหมอจาง” ไป๋มู่ชิงรู้สึกตื้นตันใจและเดินตามฝีเท้าของเขาไป
คุณหมอจางขอให้พยาบาลเวรพาไป่มู่ชิงสวมชุดป้องกันก่อนจะพาเธอเข้าไปในห้องฉุกเฉินที่หนานกงเฉินอยู่
มีเครื่องมือต่างๆมากมายที่อยูในห้องฉุกเฉินล้อมรอบเตียงของหนานกงเฉิน ไป๋มู่ชิงแทบรอไม่ไหวที่จะเดินไปที่เตียง ในที่สุดเธอก็เห็นหนานกงเฉิน แต่หนานกงเฉินไม่สามารถเห็นเธอได้
ใบหน้าของเขายังคงซีด รอยแผลที่หน้าเขายังเป็นรอยฟกช้ำและบวม เขาใส่เครื่องช่วยหายใจทางปาก ฉันมองเขาอย่างไรก็ไม่เหมือนเดิม เพียงแค่เหลือบมองไป๋มู่ชิงรู้สึกเจ็บปวดจนน้ำตาไหลออกมา
เธอก้าวเท้าเดินไปข้างหน้า คิดอยากที่จะสัมผัสเขาด้วยมือของเธอ แต่กลัวว่าเธอจะทำให้เขาเจ็บปวด สุดท้ายเธอก็ทำได้เพียงแค่ดึงมือกลับมาและกระซิบที่ข้างหูเขาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง: “เฉิน คุณรีบตื่นขึ้นมา ถ้าคุณยังไม่ตื่นขึ้นมาอีกฉันจะทิ้งคุณไปจริงๆนะ”
เธอไม่รู้ว่าเมื่อไหร่คุณผู้หญิงจะกำจัดเธอทิ้งไป แต่เธอรู้ว่ามันจะเกิดขึ้นไม่ช้าก็เร็ว
วันนี้คุณผู้หญิงได้บอกเธออย่างชัดเจนว่าไม่ว่าเธอจะต้องการหรือไม่ หนานกงเฉินจะต้องแต่งงานกับจูจู และเขาจะแต่งงานกับเธอ
คุณหมอจางเตือนว่า: “คุณผู้หญิง ฉันคิดว่าคุณชายเฉินจะต้องรู้สึกถึงการมาถึงของคุณได้อย่างแน่นอน แต่คุณไม่สามารถรบกวนเขาได้ ดังนั้นคุณควรที่จะออกไปก่อน”
ไป๋มู่ชิงพยักหน้า และสุดท้ายเธอก็เหลือบมองไปที่หนานกงเฉิน จากนั้นเธอก็หันหลังออกมาและเดินตามคุณหมอจางออกจากห้องไอซียู
เมื่อคืนเธอไม่ได้นอนตลอดทั้งคืน วันนี้เป็นอีกวันที่อยู่ในโรงพยาบาล ไป๋มู่ชิงนั่งอยู่ที่หน้าประตูห้องผู้ป่วยฉุกเฉินสองชั่วโมงจากนั้นเธอเธอก็อดไม่ได้ที่จะนอนหลับไป
เธอหลับไปจนกระทั่งท้องฟ้าสว่าง เมื่อเธอลืมตาขึ้น เธอรู้สึกมึนงงเล็กน้อยสายตาสัมผัสได้ถึงคนแปลกหน้ารอบๆตัวพร้อมด้วยสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย หลังจากเธอนั่งนิ่งๆอยู่ชั่วขณะ เธอก็ได้ตื่นขึ้นมาจากความมึนงง
อย่างไรก็ตามสิ่งแรกที่เธอนึกถึงคือหนานกงเฉิน ไม่รู้ว่าเขาจะตื่นขึ้นมาแล้วหรือยัง?
เธอลุกขึ้นและมองไปที่ประตูห้องฉุกเฉินของหนานกงเฉิน จากนั้นหันมองไปรอบๆแล้วรีบตรงไปที่ห้องทำงานของคุณหมอจาง ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาทำงานของคุณหมอจาง เธอเห็นเขายังหลับอยู่พร้อมกับเสื้อผ้าของเขา ไป๋มู่ชิงไม่อยากที่จะรบกวนเขา
เธอหันไปหาพยาบาลที่ปฏิบัติหน้าที่และจ้องมองพวกเขาอย่างใจจดใจจ่อพร้อมกับถามว่า: “คุณชายเฉิน ฟื้นขึ้นมาหรือยัง?”
นางพยาบาลส่ายหน้า “เมื่อกี้ฉันไปตรวจเขามา แต่คุณชายเฉินยังไม่มีวี่แววว่าจะตื่น”
หัวใจของไป๋มู่ชิงที่มีความหวังเพียงน้อยนิดก็เหมือนกับถูกราดด้วยน้ำเย็นในชั่วพริบตาและมันก็เย็นสนิท
วันและคืนผ่านไป หนานกงเฉินก็ยังไม่ฟื้นขึ้นมา!
เขาเคยป่วยตอนกลางคืนและตื่นขึ้นมาในตอนเช้า แล้วตอนนี้เป็นอะไรกันแน่? หรือว่าเขาไม่คิดจะฟื้นขึ้นมาแล้วจริงๆ?
หัวใจของไป๋มู่ชิงนั้นรู้สึกถูกบีบแน่น เธอค่อยๆเดินออกมาจากห้องทำงานของแพทย์อย่างอ่อนแรง เมื่อเธอออกมาตรงทางเดิน เธอมองเห็นจูจูที่เดินออกมาจากลิฟต์ในระยะไกล
ในชั่วขณะนั้นเธอได้หยุดนิ่งและกัดฟัน จากนั้นเธอก็ได้เดินตรงเข้าไป
“เธอมาทำอะไรที่นี่?” เธอเริ่มกล่าวคำถามด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง
จูจูจ้องมองเธอด้วยสีหน้าที่โศกเศร้า “มู่ชิง ฉันมาดูอาการคุณชายเฉิน”
“เธอทำให้เขาเป็นแบบนี้ เธอยังมีหน้าที่จะมาดูอาการเขาอีกเหรอ?” ไป๋มู่ชิงพูดพลางใช้มือผลักร่างกายของเธอ เธอทั้งผลักและดุด่าเธอ “ออกไป ไสหัวไป….!”
เธอไม่สนใจว่าเธอนั้นจะมีชะตาชีวิตคนรักอย่างไร เธอรู้เพียงแค่ถ้าหากไม่ใช่หญิงสาวคนนี้สมรู้ร่วมคิดกับหลินอันหนาน หนานกงเฉินก็จะไม่เป็นแบบนี้ หากว่าไม่ใช่ว่าเธอวางแผนที่จะไปที่คอนโดเพื่อดื่มฉลองกับหนานกงเฉิน หนานกงเฉินอาจจะไม่ได้บาดเจ็บหนักเช่นนี้ก็ได้
ในชั่วพริบตาหนานกงเฉินต้องกลายมาเป็นเช่นนี้ ทั้งหมดนี้เป็นเพราะผู้หญิงคนนี้และหลินอันหนาน!
“มู่ชิง เธออย่าเป็นแบบนี้ ฉันเพียงแค่อยากจะมาดูอาการของคุณชายเฉิน ไม่ได้มีเจตนาอื่นใด…”
“ตอนนี้คุณชายเฉินยังไม่ได้ฟื้นขึ้นมา อย่างไรเขาก็ไม่เห็นเธอ เธอทำการแสดงละครเหล่านี้ให้ใครดู? ให้ฉันเหรอ?” ไป๋มู่ชิงจ้องมองเธอด้วยความขุ่นเคืองที่เพิ่มมากขึ้น “ในเวลา ณ ตอนนี้ เธอยังจะมีกะจิตกะใจแสดงละครอีกเหรอ?”
“ฉันไม่เข้าใจว่าเธอกำลังพูดอะไร…”
“เธอเข้าใจดี!” ไป๋มู่ชิงจ้องมองเธอ “ฉันไม่เข้าใจ ในเมื่อเธอเองก็รู้ว่าคุณผู้หญิงจะต้องให้เธอแต่งงานกับคุณชายใหญ่อยู่แล้ว ทำไมเธอถึงยังพยายามทำร้ายฉันอยู่อีก”
“ฉันไปทำร้ายอะไรเธอ?”
“ฉันเข้าใจแล้ว เธอไม่เพียงแต่อยากเป็นคนของหนานกงเฉินเท่านั้น เธอนั้นยังอยากได้หัวใจของเขาอีกด้วยสินะ ใช่ไหม? เธอนี่ช่างเป็นคนทะเยอะทะยานเสียจริง”
“ฉัน….”
“ฉันไม่อยากฟังคำพูดของเธอแล้ว ไสหัวไปให้พ้น!” ไป๋มู่ชิงนั้นหมดความอดทนที่จะฟังเธอกล่าว
“ฉันว่าคนที่ต้องไสหัวไปก็คือเธอ!” ทันใดนั้นก็มีเสียงเย็นชาดังขึ้นมาจากอีกมุมทางเดิน ไป๋มู่ชิงนิ่งงัน เธอหันกลับไปมองด้วยท่าทีตกใจ ที่แท้เธอก็เข้าใจว่าต่อให้หนานกงเฉินไม่อยู่ที่นั่น และนางสาวจูคนนี้ยังคงทำการแสดงที่น่าสางสาร ที่แท้เธอก็แสดงให้กับคุณผู้หญิงได้รับชม
เธอถอนหายใจเบาๆและเปลี่ยนเสียงคุยกับคุณผู้หญิงในทันที “คุณย่า”
“ที่นี่คือโรงพยาบาล พวกเธอเอะอะเสียงดังโวยวายอะไรกัน?” คุณผู้หญิงชำเลืองมองทั้งสองคน จากนั้นเธอก็หยุดสายตาไว้ที่ใบหน้าของไป๋มู่ชิง “คุณหนูไป๋ คุณหนูจูคือคนที่จะตบแต่งกับเฉิน เธอมีคุณสมบัติมากกว่าคุณที่จะอยู่ในโรงพยาบาลนี้”
ไป๋มู่ชิงเหลือบมองจูจู ภายในใจของเธอนั้นชาราวกับน้ำแข็ง ช่วงเวลานี้และแล้วก็มาถึง จูจูเข้ามาแทนที่เธออย่างรวดเร็ว
จูจูพูดคุยกับคุณผู้หญิงอย่างน่าเอ็นดู “คุณย่า คุณอย่าเพิ่งพูดอะไรเลย ฉันเคยบอกไปแล้ว ฉันจะเคารพการตัดสินใจของคุณชายเฉิน ถ้าหากว่าเขาไม่ยอมหย่า ถ้าอย่างนั้น…”
“จะหย่าหรือไม่หย่า ใครพูดก็ไม่สำคัญเท่ากับฉัน” คุณผู้หญิงตัดบทสนทนาของเธออย่างแข็งกร้าว
จูจูไม่กล่าวอะไรอีก เธอยืนก้มหน้าอยู่เช่นนั้น
คุณผู้หญิงหันมามองไป๋มู่ชิง ในสายตาของเธอนั้นแสดงถึงความไม่พอใจ “คุณหนูไป๋ มาถึงขนาดนี้แล้ว คุณยังคงไม่เชื่อในเรื่องของชะตาลิขิตคนรักอีกงั้นเหรอ?”
ไป๋มู่ชิงนั้นสะอึกกับคำพูดของเธอ
“คุณจะรอจนกว่าเฉินตายอย่างนั้นถึงจะยอมแพ้ถึงจะพอใจหรือไง? ”
“ไม่ ต้องไม่ใช่แบบนั้น”
“ในเมื่อไม่ใช่ คุณยังจะมาทำอะไรอยู่ที่นี่?” คุณผู้หญิงยกมือขึ้นและชี้นิ้วมือไปทางลิฟต์ “ถ้าคุณไม่อยากให้เฉินตายไป ถ้าอย่างนั้นเชิญคุณออกไปในตอนนี้ ตระกูลหนานกงไม่ต้อนรับคุณและโรงพยาบาลนี้ก็ไม่ต้อนรับคุณเช่นกัน!”
“คุณย่า คุณอย่าทำเช่นนี้” จูจูเหลือบมองไป๋มู่ชิงและกล่าว “คุณหนูไป๋ เธอนั้นเป็นห่วงคุณชายเฉินเธอจึงอยู่ที่นี่ เธอไม่ได้มีเจตนาร้ายใดๆ”
“หากว่าเธอไม่มีเจตนาร้าย เธอคงไม่เพิกเฉยต่อความเป็นความตายของเฉิน คงไม่ใช่ขี้เกียจตัวเป็นขนไม่ยอมไปจากตระกูลหนานกงเสียที” คุณผู้หญิงกล่าวอย่างโกรธเคืองและเหลือบมองไป๋มู่ชิง
ไป๋มู่ชิงมองไปยังคุณผู้หญิงด้วยท่าทางที่เกินกว่าจะรับได้ จ้องมองสีหน้าปลอมๆของจูจู ท้ายที่สุดเธอก็อดไม่ได้ที่จะหันหลังกลับและเดินตรงไปยังลิฟต์
แม้ว่าเธอนั้นจะเป็นห่วงหนานกงเฉิน อยากจะอยู่ที่นี่และรอจนกระทั่งเขาตื่น แต่คุณผู้หญิงนั้นไม่เปิดโอกาสให้เธอเลยและยังดูถูกเธอด้วยคำพูดที่น่าอับอายเช่นนี้ ถ้าหากว่าไม่ใช่เพราะภายในใจของเธอรักหนานกงเฉิน เธอคงจะทิ้งทุกอย่างและจากไป
เมื่อเธอเดินออกจากโรงพยาบาล แสงแดดอันอบอุ่นสาดลงบนศีรษะทำให้ร่างกายที่รู้สึกหนาวของเธออบอุ่นขึ้นเล็กน้อย เมื่อเธอเงยหน้าขึ้น สายตาของเธอก็พบกับแสงแดด แสงนั้นพร่ามัวจากนั้นต่อมน้ำตาของเธอก็พังทลาย
ท้ายที่สุดเธอก็อดไม่ได้ที่จะร้องไห้ออกมา
“มู่ชิง เธอโอเคหรือเปล่า?” ทันทีที่ซูซี่มาถึงโรงพยาบาล เธอก็เห็นว่าเธอกำลังยืนร้องไห้อยู่ตรงประตูทางเข้า เธอเดินเข้ามาและถามเธอ “คุณชายเฉินยังไม่ฟื้นอีกเหรอ?”
ไป๋มู่ชิงพยักหน้า จ้องมองเธอด้วยน้ำตา “ซูซี่ ฉันทนไม่ได้หากเขาตาย แต่ฉันไม่สามารถช่วยเขาได้เลย”
ซูซี่กอดเธอ ลูบไหล่เธอและปลอบเธอ “พอแล้ว พอแล้ว ฉันรู้ว่าในใจของเธอนั้นกำลังเป็นกังวล พวกเราก็แค่ต้องรออีกหน่อย บางทีในช่วงบ่ายเขาอาจจะตื่นขึ้นมาก็ได้ ใช่ไหม?”
น้ำตาไหลลงมาอย่างพรั่งพรู ไป๋มู่ชิงส่ายหน้าและคร่ำครวญ “คุณผู้หญิงไม่ให้โอกาสฉันเลย เธอให้ฉันออกจากตระกูลหนานกง เธอหาคนมาแทนที่ฉันไว้แล้ว”
ซูซี่ตกตะลึงเมื่อได้ยินสิ่งที่เธอพูด จากนั้นเธอก็คว้าแขนของเธอและกล่าว “พวกเรากลับบ้านแล้วค่อยคุยกัน”
ไป๋มู่ชิงเป็นเหมือนหุ่นเชิดที่สูญเสียจิตวิญญาณ ร่างของเธอขึ้นรถไปตามแรงชักจูงจากซูซี่
หลังจากกลับถึงที่พัก ซูซี่ก็ผลักเธอเข้าไปในห้องนอนรับแขกและจ้องมองเธอพร้อมกับกล่าวว่า “ฉันว่าสิ่งที่เธอต้องการมากที่สุดในเวลานี้คือการไปอาบน้ำและนอนหลับพักผ่อนซะ เธอดูสภาพตัวเอง เสื้อผ้ายับยู่ยี่ ผมกระเซอะกระเซิง ขอบตาดำจนจะกลายเป็นสัตว์ประจำชาติแล้ว”
ไป๋มู่ชิงเดินเข้าไปในห้องน้ำอย่างเชื่อฟัง หลังจากเธออาบน้ำเสร็จ เธอก็นอนเอนกายอยู่บนเตียงแต่เธอกลับนอนไม่หลับ ซูซี่รู้ว่าเธอนั้นนอนไม่หลับจึงเดินเข้าไปและถามเธอ “มู่ชิง กินอะไรสักหน่อยแล้วค่อยมานอนเถอะ เสียวเหม่ยเอาแซนด์วิชที่เธอชอบมาให้”
“ใช่แล้ว ท้องร้องจะต้องนอนไม่หลับอย่างแน่นอน” เหยาเหม่ยเดินเข้ามาจากด้านนอก
ไป๋มู่ชิงลุกขึ้นจากเตียง แต่ไม่ได้ลงไปบนพื้น เธอขดตัวเป็นลูกบอลและส่ายหน้า: “ฉันไม่หิว”
“วันนี้เธอยังไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เช้าใช่ไหม? จะไม่หิวได้ไงกัน?” ซู่ซีมองเธอและในสายตามีความขุ่นเคือง “มู่ชิง ผู้ชายคนหนึ่งที่ไม่มีแม้แต่ความไว้ใจให้กัน มันคุ้มค่าแล้วเหรอที่เธอจะยอมเป็นแบบนี้เพื่อเขา?”
ไป๋มู่ชิงส่ายหน้าและยิ้มอย่างโศกเศร้า “เขาโกรธ เขาทำร้ายตัวเอง เป็นเพราะว่าเขาแคร์ฉันไม่ใช่เหรอ?”
“ถ้าเขาแคร์เธอ เขาควรสงบสติอารมณ์และตรวจสอบความจริงของเรื่อง ไม่ใช่มาเข้าใจผิดกันแล้วจากนั้นก็ทำร้ายกัน”
ทันใดนั้นไป๋มู่ชิงก็เงยหน้าขึ้นและจ้องมองทั้งสองพร้อมกับถามว่า “พวกเธอเชื่อในเรื่องชะตาลิขิตคนรักไหม? พวกเธอเชื่อไหมว่าหากคุณชายเฉินแต่งงานกับคนรักที่มีชะตาต้องกัน ชีวิตของเขาก็จะปราศจากความทุกข์ทั้งหมด?”
“เชื่อก็บ้าแล้ว ฉันไม่เชื่อ” ซูซี่กล่าวอย่างอารมณ์ร้อน
เหยาเหม่ยหยักไหล่และกล่าว “ฉันก็ไม่เชื่อ”
“แต่คุณผู้หญิงเชื่อและเธอตามหาคนที่มีชะตาต้องกับคุณชายเฉินแล้วด้วย” ไป๋มู่ชิงยิ้มอย่างขมขื่น “แล้วพวกเธอรู้ไหมว่าใครคือคนที่ชะตาต้องกัน? คนนั้นก็คือจูจู”
“จูจู?” เหยาเหม่ยตื่นตะลึงและโพล่งคำพูดออกมาในทันใด “เป็นไปได้อย่างไร? เรื่องโกหกหรือเปล่า?”
“ฉันก็ไม่รู้ แต่คุณผู้หญิงมั่นใจว่าคือเธอจริงๆ” ในความจริงแล้วไป๋มู่ชิงเองก็คิดเรื่องนี้มาแล้วเช่นกัน จูจูเป็นคนที่เก่งในการใช้เล่ห์เหลี่ยม การทำให้ตนเองเป็นคู่รักที่ต้องชะตากับหนานกงเฉินได้นั้นไม่น่าแปลกใจเลย แต่เมื่อได้คิดแล้ว ตระกูลหนานกงเองก็รู้จักตัวตนของจูจูเป็นอย่างดี จูจูเองก็ไม่น่าที่จะปลอมแปลงอะไรได้
“ไม่ว่ามันจะจริงหรือเท็จ แต่คุณผู้หญิงก็มั่นใจแล้วว่าเป็นเธอ” ซูซี่ถอนหายใจอย่างอดไม่ได้และกล่าวกับไป๋มู่ชิง “ถ้าอย่างนั้นมู่ชิงเธอจะทำอย่างไรต่อ? ถ้าหากว่าถูกนังจิ้งจอกนั้นมาแทนที่? เธอจะยอมเหรอ?”
เหยาเหม่ยยกมือขึ้นและสัมผัสหน้าผากของเธอ เธอมีสีหน้าราวกับว่าหมดคำจะพูด “พระเจ้า นี่มันเรียกว่าเรื่องอะไร?”
ไป๋มู่ชิงเงียบไปครู่หนึ่งจากนั้นเธอกล่าวว่า “เอาจริงๆฉันก็ไม่ยอม หากว่าคุณชายเฉินไม่ตื่นขึ้นมา ฉันไม่ได้ยินคำว่าหย่าจากปากของเขา ฉันก็ไม่ยอม หากว่าจำเป็นต้องไปจริงๆตอนนี้ก็ไม่ใช่เวลาที่จะต้องจากไป จากไปด้วยความเข้าใจผิดแบบนี้นั่นก็หมายถึงการยืนยันเรื่องระหว่างฉันกับหลินอันหนานงั้นสิ?” เธอกอดเข่าแน่นและน้ำตาก็ยังคงไหลเช่นเดิม “แต่หากว่าฉันไม่ยอมเชื่อข่าวนั้น ไม่ยอมจากเขาไป ฉันก็จะเป็นคนร้ายที่ทำให้เขานั้นต้องบาดเจ็บ ฉันไม่รู้จริงๆว่าฉันควรจะทำอย่างไร”
แม้ว่าเธอจะไม่เคยเชื่อเรื่องนั้น แต่เมื่อเธอได้เห็นภาพฉากในห้องโถงบรรพบุรุษแล้วและได้ยินคำดุด่าจากคุณผู้หญิงซ้ำแล้วซ้ำเล่า จิตใจของเธอก็ค่อยๆสั่นคลอนและเริ่มเชื่อขึ้นมาบ้าง
หากว่าสามารถทำให้กงหนานเฉินมีชีวิตที่ดีได้ เธอก็เต็มใจที่จะมอบโอกาสในหมื่นนั้นให้กับเขา!
“ในเมื่อไม่เต็มใจ งั้นก็รอให้หนานกงเฉินตื่นขึ้นมาแล้วค่อยคุยกัน” ซูซี่กล่าว
“ใช่ ฉันคิดว่าหนานกงเฉินจะไม่พูดว่าเลิก พวกเธอเลิกกันไม่ได้หรอก” เหยาเหม่ยตบไหล่เธอและปลอบใจ “หากว่าหนานกงเฉินอยากจะเลิกกับเธอ เขาเลิกไปนานแล้ว ไม่ต้องรอจนกระทั่งตอนนี้หรอก”
ไป๋มู่ชิงพยักหน้าและยิ้มอย่างเศร้าๆให้กับทั้งสองคน “ขอโทษด้วย ในช่วงนี้ทำให้พวกเธอต้องมาอยู่เป็นเพื่อนในเวลาที่ฉันกำลังเศร้าใจ”
“พูดอะไรแบบนั้น หากว่าเธออยากจะขอโทษฉันจริงๆเธอก็ไปรีบหาอะไรกินได้แล้ว แล้วก็รีบนอนพักผ่อน อย่าให้คนอื่นเขาเป็นห่วงมากนัก” ซูซี่หยิบแซนด์วิชบนโต๊ะมาให้เธอ
ไป๋มู่ชิงกินแซนด์วิชอย่างเชื่อฟัง จากนั้นเธอก็เอนกายลงบนเตียงนอน ไม่ง่ายเลยกว่าที่เธอจะหลับไป
อาจเป็นเพราะเหนื่อยเกินไป เธอหลับจนกระทั่งหกโมงเย็นและเธอก็ตื่นขึ้นมาเพราะเสียงเรียกให้ไปทานข้าวเย็นของซูซี่
ซูซี่ถามด้วยความเป็นห่วง “เธออยากกินอะไร? ร้านอาหารยุโรปเฉียวเฟิงเป็นไง? ไปครั้งที่แล้วก็ไม่ได้กิน”
ไป๋มู่ชิงได้ยิน เฉียวเฟิง เพียงสองคำก็รีบส่ายหน้าทันที “ไม่ พวกเรากินอะไรง่ายๆที่บ้านกันเถอะ”
“ทำอาหารที่บ้านมันวุ่นวาย ร้านอาหารยุโรปทั้งใกล้แล้วก็อร่อยด้วย”
“หนานกงเฉินไม่ชอบให้ฉันพบเจอกับคุณชายรองตระกูลเฉียว”
“ให้ตายเถอะ ตอนนี้เธอยังสนใจอยู่อีกว่าเขาจะชอบหรือว่าไม่ชอบ? เดี๋ยวเขาก็จะไปแต่งงานกับคนอื่นแล้ว เธอ….”
“เฉินจะไม่แต่งกับจูจู” ไป๋มู่ชิงเองก็ไม่รู้ว่าเธอมั่นใจมาจากไหน
ไม่มีเหตุผลอะไร เธอแค่เชื่อในหนานกงเฉินและเชื่อว่าเขานั้นรักเธอมากกว่าจูจูอย่างแน่นอน ไม่งั้นเขาก็คงจะรีบหย่ากับเธอแล้วไปแต่งงานกับจูจูแล้วสิ ใช่ไหม?
ซูซี่ยักไหล่ “เอาเถอะ งั้นก็อยู่บ้านทำอาหารกินกันก็แล้วกัน” ซูซี่พลางหมุนตัวกลับไปพลางพูดและถอนหายใจ “ใช้เวลากับผู้หญิงที่อกหักนี่มันเหนื่อยจริงๆ”
ในเวลาไม่นานซูซี่ก็ทำอาหารง่ายๆเสร็จเรียบร้อย แม้ว่าไป๋มู่ชิงจะไม่อยากทานอาหารแต่ก็ไม่อยากทำให้เธอนั้นกังวลใจ จึงทำได้เพียงนั่งลงที่โต๊ะกินข้าวและทานอาหารกับเธอ
อาหารเย็นทานไปถึงครึ่งทาง โทรศัพท์ของไป๋มู่ชิงก็ดังขึ้นเพื่อที่จะได้รู้ข่าวของหนานเฉินกงเป็นคนแรก ในช่วงเวลานั้นโทรศัพท์ไม่ได้ห่างจากร่างกายของเธอเลย เมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นเธอก็รีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาบนโต๊ะ
สายจากหน้าจอโทรศัพท์เป็นชื่อของ เซิ่งซิน น้ำตาของไป๋มู่ชิงก็เอ่อล้นขึ้นในเวลานั้นเธอไม่กล้ารับสาย
“เป็นอะไรไป?” ซูซี่ถาม
“เป็นข่าวคราวของหนานกงเฉิน ฉันกังวลใจ…” สีหน้าของไป๋มู่ชิงนั้นเป็นกังวล เธอกล่าวอย่างสะอึกสะอื้นด เธอกลัวที่จะได้ยินข่าวร้าย จะเกิดอะไรขึ้นถ้าหากเซิ่งซินบอกเธอหนานกงเฉินจากไปแล้ว?แน่นอนว่าเธอคงยอมรับมันไม่ได้!
เมื่อเห็นว่าเธอตกใจมากจนมือของเธอสั่น ซูซี่ก็ขยับตัวเข้ามาใกล้ๆและพูดอย่างใจเย็น: “มู่ชิง ” อย่าไปคิดถึงเรื่องร้ายๆ บางทีอาจตรงกันข้ามคุณชายเฉินอาจฟื้นขึ้นมาแแล้วก็ได้นะ ?”
ไป๋มู่ชิงกำโทรศัพท์ไว้แน่น จนกระทั่งสายกำลังจะตัดไป เธอจึงรีบรับสาย
น้ำเสียงจากปลายสายนั้นเป็นเสียงที่ดีใจจากเซิ่งซิน “พี่สะใภ้ ลูกพี่ลูกน้องของฉันฟื้นแล้ว”
“จริงใช่ไหม?” ไป๋มู่ชิงถามอย่างตื่นเต้น
“แน่นอนว่าเป็นเรื่องจริง เขาเพิ่งฟื้นเมื่อครู่”
หัวใจที่บีบแน่นของไป๋มู่ชิงในที่สุดก็ได้ผ่อนคลายลงแล้ว เธอไม่คิดแม้แต่จะทานข้าวอีกต่อไป เธอลุกจาเก้าอี้และกล่าว “ฉันจะไปโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้”
ซูซี่ได้ยินว่าหนานกงเฉินนั้นฟื้นขึ้นมาแล้วเธอเองก็โล่งใจ เธอมองไปที่ไป๋มู่ชิงที่กำลังตื่นเต้น เธอยิ้มพร้อมกับส่ายหน้าเบาๆ