เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด – บทที่ 188 อุปสรรคตอนอายุ30

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

ภายในสำนักงานได้สงบลงทันที หนานกงเฉินยังคงยืนพิงอยู่กับโต๊ะข้างๆ เวียนหัวตาลาย ทรมานเหมือนอย่างกับจะเป็นจะตาย

เลขาเหยียนดูแลเขาอย่างเป็นห่วง “คุณชายเฉิน คุณเป็นอย่างไรบ้าง คุณอย่าพึ่งกังวล คุณพึ่งออกจากโรงพยาบาลเดียวอาการก็กำเริบอีกหรอ”

หนานกงเฉินรีบเก็บอาการที่เป็นอยู่ของตัวเอง เงยหน้าขึ้นมองเธอ “ ที่เธอพูดมาทั้งหมดเป็นความจริงหรือเปล่า เหยียนเยว คุณไม่เคยโกหกฉัน คุณบอกความจริงกับฉัน ……”

เลขาเหยียนไม่รู้ว่าจะพูดยังไงดี ในเวลานี้จะโกหกเขาต่อไปก็ดูเหมือนว่ามันเป็นไปไม่ได้ หนานกงเฉินก็คงไม่เชื่ออีกต่อไป

“วันนั้นที่อยู่โรงพยาบาลก่อนที่ฉันจะตื้นขึ้นมาฉันได้ฝันว่า มู่ชิงกำลังขอความช่วยเหลือจะฉัน เธอกลัวและหมดความหวัง ..… ฉันอยากช่วยเธอ แต่ฉันกลับทำอะไรไม่ได้ ราวกับว่ามีอะไรบางอย่างผูกมัดฉันอยู่ กว่าฉันจะหลุดพ้นมันมาได้ เธอก็ได้สูญหายไร้ร่องรอย ” เขาเงียบไปชั่วคราว แล้วพูดอย่างขมขื่น “ ฉันคิดว่ามันเป็นแค่ฝันร้าย แค่ความฝัน .. ”

“คุณชายเฉิน คุณอย่าโทษตัวเองเลย คุณไม่ได้ทำอะไรผิด ที่นายหญิงน้อยจากไปไม่ใช่เพราะผิดหวังจากคุณ เธอแค่เชื่อเรื่องข่าวลือ เธอคิดว่าถ้าเธอช่วยสงเคราะห๋ให้คุณกับคุณหนูจูโรคป่วยของคุณก็จะหายขาด ”

“ ข่าวลือ … ” หนานกงเฉิน ยิ้มเยาะ

เลขาเหยียนยังคงพูดไปเรื่อยๆ “ นายหญิงน้อยหวังอย่างยิ่งว่าคุณจะใช้ชีวิตให้ดี ถึงได้ตัดสินใจเลือกที่จะจากไป ดังนั้นคุณ.. …”

“ใครเป็นคนทำให้เธอประสบอุบัติเหตุรถยนต์ ” หนานกงเฉินได้ขัดเธอ น้ำเสียงของเธอเปลี่ยนจากขมขื่นเป็นความแค้น

เลขาเหยียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง กล่าวว่า “ ดูจากวิดีโอของคุณหนูจู เป็นเพราะนายหญิงน้อยขับรถด้วยความเร็วขณะเลี้ยวเข้าโค้งเลยชน ตำรวจก็สรุปแบบนั้น ดังนั้น..…”. เธอเงียบไปแป๊ปหนึ่ง แล้วพูดว่า “ แม้ว่าคุณหนูซูจะยืนยันว่าคุณหนูจูเป็นคนทำให้นายหญิงน้อยต้องตาย แต่ก็ไม่มีหลักฐานพิสูจน์เรื่องนี้ได้ ”

“แต่เรื่องมันเป็นมายังไง คุณชายเฉิน คุณสามารถไปถามคุณหนูจูดู เพราะตอนนั้นเธอเป็นคนเดียวที่อยู่ในเหตุการณ์ ” เลขาเหยียนกล่าว

หนานกงเฉิน ค่อยๆคลายมือของเขาที่กำไว้แน่น จากนั้นยื่นมือไปจับที่ขอบโต๊ะแล้วลุกขึ้นยืนบนพื้น

เลขาเหยียนรีบพยุงร่างที่สั่นเทาของเขา พูดว่า “ คุณชายเฉิน ถ้าคุณต้องการพบคุณหนูจูฉันไปเรียกเธอมาพบคุณเอง คุณไม่จำเป็นต้องไปด้วยตัวเอง ”

หนานกงเฉิน ส่ายหัวไปมา “ ไม่ ฉันจะไปหามู่ชิงที่อ่าว ”

“คุณชายเฉิน … ”เลขาเหยียนกังวลใจมาก “ ท่านอย่าไปเลย มีทีมดำน้ำมืออาชีพกำลังพยายามค้นหาตัวนายหญิงน้อยอยู่แล้ว ท่านไม่รู้อะไรเลย ไปแล้วจะทำให้ยุ่งวุ่นวายกันไปหมดเปล่าๆ”

ตอนนี้ดูเขาก็อึดอัดเจ็บปวดมากแล้ว ถ้าไปถึงที่อ่าวนั้นจริงๆเขาเห็นสถานการณ์นั้นแล้วโรคกำเริบอีก เขาต้องเข้าโรงพยาบาลอีกครั้ง แล้วต้องใช้เวลาอีกหลายวันกว่าจะตื่นขึ้นมา

หนานกงเฉินไม่ได้ฟังที่เธอพูด หันหลังแล้วตรงไปยังทางออกสำนักงาน เลขาเหยียนรีบเดินตามออกไป ขณะที่เดินตามหลังไปยังคงพยายามเกลี้ยกล่อมเขา “ คุณชายเฉิน ถ้าคุณอยากให้หาตัวนายหญิงน้อยเจอจริงๆ งั้นก็อยู่บ้านพักผ่อนให้ดีๆเถอะ ถ้าหากท่านเป็นลมหมดสติไปอีกจะให้ทำยังไง แล้วใครจะมาจัดการเรื่องงานศพให้นายหญิงน้อยล่ะ คุณชายเฉิน…”

ในขณะที่เธอกำลังปลอบใจเขา หนานกงเฉิน ได้ก้าวเท้าเข้าไปในลิฟต์แล้ว ดังนั้นเธอจึงต้องรีบเดินตามไป

ลิฟต์ได้ตรงลงไปที่ชั้นหนึ่ง เลขาเหยียนพูดขึ้นว่า “ คุณชายเฉิน คุณรอสักครู่ ฉันจะไปขับรถมา ”หลังจากพูดจบเธอก็ไปขับรถ

ก่อนที่จะถูกขับรถออกไปจากอาคารบริษัท เลขาเหยียนเหลือบตามองเขาที่กระจกหลังพูดอย่างระมัดระวัง “ คุณชายเฉิน……คุณจะไปตรงอ่าวนั้นจริงๆหรือ”

หนานกงเฉินไม่ได้สนใจเธอ เพราะยังคงมีอาการเวียนหัว ตาลายตัวสั่น

เลขาเหยียนไม่ได้ถามอะไรอีก ขับรถไปในทิศทางของอ่าว

เมื่อมาถึงเขตอ่าว เลขาเหยียนได้หันหน้ากลับไปมองหนานกงเฉิน พบว่าดวงตาของเขานั้นแดงไปหมด

ติดตามเขามาหลายปี เป็นครั้งแรกที่เธอได้เห็นเขาเป็นแบบนี้ ว่ากันว่าเกิดเป็นลูกผู้ชายไม่หยดน้ำตา นั้นอาจจะเป็นเพราะยังไม่ถึงที่สุด แต่ในเวลานี้เห็นได้ชัดว่าหนานกงเฉินกำลังร้องไห้

คุณชายเฉิน ที่นี่พื้นถนนไม่ค่อยดี คุณนั่งอยู่ในรถดูก็พอแล้ว ” เลขาเหยียนกล่าวอย่างเป็นห่วง

หนานกงเฉินได้มองไปที่นอกหน้าต่างรถที่มีคลื่นทะเลปั่นป่วน และแล้วก็เข้าใจว่าทำไมเมื่อเช้าที่เขาผ่านมาแถวนี้ถึงรู้สึกเจ็บปวดที่หัวใจ ที่แท้..…

มู่ชิง เป็นเพราะคุณกำลังเรียกฉันใช่ไหม เขาถามอย่างเงียบ ๆ ในใจ

เขาผลักประตูลงจากรถ หันหน้าไปทางทะเล ภาพที่รถตกเหวลงไปด้านล่างได้ฉายซ้ำแล้วซ้ำเล่าในหัวสมองของเขา เขาเริ่มปวดหัวอีกครั้ง ความเจ็บนั้นรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

“คุณชายเฉิน คุณเป็นอะไรหรือเปล่า ” เลขาเหยียนรีบเดินขึ้นไปช่วยพยุงตัวเขากลับเข้ามาในรถ พูดอย่างเป็นห่วง “ ฉันบอกแล้วว่าคุณไม่ควรมา มาแล้วมันจะทำให้คุณเสียใจมากกว่าเดิม ”

หนานกงเฉินใช้มือข้างหนึ่งกุมหัวที่ปวดของต้วเองไว้ กัดฟันพูดว่า “ส่งฉันกลับโรงพยาบาล”

เลขาเหยียนตัวแข็งไปชั่วขณะ แล้วพยักหน้ารับ “ โอเค ฉันจะรีบพาคุณไปเดียวนี้เลย ” มันเป็นอะไรที่ดีสุดๆที่เขายอมกลับโรงพยาบาล เพราะอาการของเขาตอนนี้ดูน่าเป็นห่วงมาก

เลขาเหยียนกลับรถแล้วขับกลับไปยังโรงพยาบาล, หนานกงเฉินหลับตาแล้วพิงกับบ่อหลังรถ เลขาเหยียนพูดถูก เขาจะไม่ยอมปล่อยให้ตัวเองเป็นลมอีก มิฉะนั้นเขาไม่รู้ว่าอีกกี่วันเขาถึงจะตื่นขึ้นมา ถ้าเขาล้มลง ใครจะช่วยเขาจัดการเรื่องงานศพของมู่ชิง

ในคฤหัสถ์หลังเก่า จูจูมองไปบนโต๊ะที่จัดว่างชุดแต่งงานสีแดงฉ่ำด้วยความดีใจสุด เงยหน้าขึ้นมองคุณผู้หญิงคุณย่าค่ะ “ ตอนนี้คุณชายเฉินกำลังเสียใจอยู่ เขาจะยอมตกลงแต่งงานไหมคะ ”

คุณผู้หญิง*ยกถ้วยน้ำชาจิบแล้ว พูดว่า “ ฉันดูเขาเหมือนว่าจะคิดได้แล้ว ตัดสินใจที่จะยอมปล่อยวางไป๋มู่ชิงผู้หญิงคนนั้น เมื่อไม่มีไป่มู่ชิงแล้วเขาก็ไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธใช่ไหมล่ะ”

“นั่นก็จริงอยู่ แต่ฉันก็ยังรู้สึกว่า ..”

“เธอไม่จำเป็นต้องรู้สึกอะไรล่ะ ฉันรู้ดีว่าเธออยากแต่งงานกับเฉินมากแค่ไหน ” คุณผู้หญิง*ชำเลืองมองที่เธอ “เธอแค่ให้ความร่วมมือกับพี่เหอเพื่อเตรียมงานแต่งงานให้พร้อม รอให้แหวนแต่งงานส่งกลับมาเมื่อไรพวกเธอก็แต่งงานกันทันที ”

ทีแรกจูจูคิดว่าต้องถ่อมเนื้อถ่อมตัว แต่ในเมื่อคุณผู้ญิง*พูดแบบไม่อ้อมค้อม เธอจึงไม่จำเป็นต้องทำเป็นถ่อมเนื้อถ่อมตัวอีก ดังนั้นเธอจึงพยักหน้ารับอย่างน่าอินดู “ คุณย่าคะ ฉันทราบแล้วคะ ”

โทรศัพท์บนโต๊ะน้ำชาดังขึ้น พี่เหอเดินไปรับโทรศัพท์มาฟังแล้วต้องตกใจอย่างมาก สีหน้าของเธอดูแย่มาก เธอรีบวางสายโทรศัพท์บอกกับคุณผู้หญิงว่า “ คุณผู้หญิงคะ โรงพยาบาลโทรมาบอกว่าคุณชายเฉินเข้าโรงพยาบาลอีกแล้วค่ะ ”

“อะไรนะ เกิดอะไรขึ้น ” คุณผู้หญิงลุกขึ้นจากโซฟาอย่างกะทันหัน เมื่อจูจูได้ยินว่าหนานกงเฉินโรคกำเริบ ชุดแต่งงานที่เขาเพิ่งหยิบขึ้นมาก็ตกหล่นบนโต๊ะ หัวใจของเขาก็เต้นแรงไม่เป็นจังหวะ

ฉันหวังว่าอย่าเกิดอะไรขึ้นเลย

“คุณหมอจางบอกว่าคุณชายใหญ่ไปโรงพยาบาลด้วยตัวเอง บอกว่าเวียนหัวและเจ็บหน้าอก ” พี่เหอพูด

“ทำไมถึงเป็นแบบนี้วันนี้ตอนเช้าออกไปยังดีดีอยู่เลย”

“ไม่ทราบค่ะ คูณหมอจางไม่ได้อธิบายอย่างละเอียด”

“เมื่อได้รับข่าวว่าหนานกงเฉินเข้าโรงพยาบาลรักษาตัว คุณผู้หญิง*กระวนกระวายใจอย่างมาก รีบตรงไปยังโรงพยาบาลทันที

มีเพียงเลขาเหยียนเท่านั้นที่เฝ้าอยู่ด้านนอก เมื่อเห็นคุณผู้หญิง*วิ่งเข้ามา เธอจึงรีบลุกขึ้นมาต้อนรับเธอทันที

คุณผู้หญิง*ชลอฝีเท้าถามว่า “ เกิดอะไรขึ้น เฉินหายดีออกจากโรงพยาบาลแล้วไม่ใช่หรอ ทำไมถึงปวดหัวอีก”

เลขาเหยียนเหลือบมองจูจูที่อยู่ข้างๆคุณผู้หญิงแว่วนึ่ง พูดขึ้นว่า “ คุณชายเฉินรู้ข่าวเรื่องนายหญิงน้อยประสบอุบัติเหตุรถยนต์แล้วคะ”

“อะไรนะ เป็นไปได้ไง ”

“วันนี้หลังจากที่ถึงสำนักงานแล้ว ก็ทราบเรื่องเลยค่ะ คงเป็นเพราะได้รับการสะเทือนใจ ”

คุณผู้หญิงโมโหขึ้นมาทันทีด่าอย่างโกรธเกรี้ยว “ฉันบอกให้เธอเก็บเป็นความลับไม่ใช่เหรอ นี่ครึ่งวันยังไม่ถึงเธอปล่อยให้เขารู้เรื่องนี้ได้อย่างไร ”

เลขาเหยียนโดนเธอตะโกนจนได้แต่ก้มหน้า ตั้งสติได้ก็เงยหน้าขึ้นอีกครั้งมองไปที่คุณผู้หญิง*ด้วยความรู้สึกผิด “คุณผู้หญิงคะ คุณชายเฉินได้สั่งไว้ว่าเขาอยากอยู่เงียบๆคนเดียวสักพัก ไม่อยากเจอใคร รวมถึงท่านด้วยคะ”

“เขาเป็นอะไรหรอ เขากำลังโทษฉันหรอ ” คุณผู้หญิง*เหลือบมองไปที่ประตูห้องผู้ป๋วย

“ไม่ใช่คะ บางทีเป็นเพราะเขาเสียใจมาก ไม่ต้องการสื่อสารกับใคร ” เลขาเหยียนยังคงอธิบายอย่างมีมารยาท

“ตอนนี้เขาเป็นยังไงบ้าง อาการหนักไหม”

“ดีขึ้นแล้วคะ กำลังพักผ่อนรับน้ำเกลืออยู่ ตอนนี้คงหลับไปแล้วคะ”

คุณผู้หญิง*ถอนหายใจด้วยความโล่งอก พยักหน้า “ถ้ายังไงก็ให้เขาพักผ่อนให้ดีๆ เลเขเหยียน นอกจากไป๋มู่ชิงแล้วก็มีแต่เธอเท่านั้นที่เขายังรับฟังบ้าง ยังไงก็ช่วยฉันเกี้ยวกล่อมดูแลปลอบใจเขาให้ดีๆล่ะ”

“คุณผู้หญิงไม่ต้องกังวลคะ ต่อให้ท่านไม่บอกฉันก็ต้องทำยังงั้นอยู่แล้วคะ”

“คุณย่าคะ ฉันอยากจะอยู่รอที่นี่จนกว่าคุณชายเฉินจะตื่นค่ะ” จูจูพูดขึ้นอย่างกะทันหัน

“ไม่ได้ยินที่เลขาเหยียนพูดหรอ ” ตอนนี้เขาไม่ต้องการเจอใคร ”

แต่ว่า … ฉันกลัวว่าเขาจะเข้าใจผิด ”

“งั้นก็ต้องรอจนกว่าเขาจะอาการดีขึ้นค่อยว่ากัน”คุณผู้หญิง พูดจบ ก็หันหลังเดินออกจากบริเวณห้องผู้ป่วย

หนานกงเฉินได้นอนพักผ่อนบนเตียงประมาณครึ่งวัน ทำให้ร่างกายของเขามีเรียวแรงขึ้นมามาก

ตามที่หนานกงเฉินได้สั่งไว้ เลขาเหยียนได้เชิญผู้รับผิดชอบคดีนั้นมาพบที่โรงพยาบาลตอนเวลาเที่ยง หนานกงเฉินรับได้รู้รายละเอียดทั้งหมดของอุบัติเหตุรถยนต์ที่เกิดขึ้นจากผู้รับผิดชอบคดี และเปิดดูวิดีโอทั้งหมดในขณะขับรถระหว่างทาง

หลังจากที่ส่งผู้รับผิดชอบคดีแล้ว เลขาเหยียนกลับมาที่ห้องผู้ป่วยพบว่าหนานกงเฉินยังคงดูได้แต่วิดีโอที่อยู่ในรถ เริ่มกังวลเล็กน้อยและพูดว่า “คุณชายเฉินคะ วิดีโอนี้ยิ่งดูก็ยิ่งเสียขวัญ ดังนั้นอย่าดูดีกว่า ”

เธอหยุดไปชั่วคราว พูดว่า “เมื่อคู่คุณตำรวจบอกว่า นายหญิงน้อยอาจตกใจเพราะหมาจรจัดที่วิ่งออกมาอย่างกะทันหันก็เป็นได้ทำให้ไม่สามารถควบคุมรถไว้ได้ ในบริเวณนั้นมีชาวประมงอาศัยอยู่ แถมพวกเขายังเลี้ยงหมากันทุกบ้าน อาจเป็นไปได้ว่าหมาของชาวประมงได้วิ่งออกมาบนทางหลวง ”

หนานกงเฉินได้ประกอบคอม จองไปที่เธอ “ซูซี่บอกว่ามู่ชิงนั้นโดนจูจูตั้งใจทำร้ายจนเสียชีวิต”

“อันนี่ ….เลขาเหยียนส่ายหัว “ฉันก็ไม่ทราบคะ เพราะดูวิดีโอนั้นไม่มีพิรุธอะไร ”

วิดีโอนั้นแสดงให้เห็นว่าจูจูขับรถไล่ตามหลังไป๋มู่ชิง ตลอดทางได้แต่ตะโกนให้มู่ชิงจอดรถฟังเธออธิบาย ระยะทางทั้งหมดแสดงให้เห็นว่ารถของเธอไม่เคยขับเข้าใกล้รถของไป๋มู่ชิงเลย แถมยังมีระยะความห่างห้าถึงหกเมตร

ขณะนั้นก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น เลขาเหยียนก็เหลือบมองไปที่ประตูแล้วกระซิบว่า “ ขณะที่คุณนอนหลับคุณหนูจูไม่ยอมกลับไป คุณอยากจะเจอเธอหน่อยไหม จะได้ถามเธอเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น”

เมื่อได้รับอนุญาตจากหนานกงเฉิน เลขาเหยียนจึงเดินไปเปิดประตูห้อง แน่นอนเป็นจูจูที่ยืนอยู่ตรงประตู ถามขึ้นด้วยสีหน้ารู้สึกผิด เลขาเหยียนคุณชายเฉินดีขึ้นบ้างยังคะ

“ ดีขึ้นมากแล้ว คุณเข้าไปสิ ” เลขาเหยียนขยับตัวออก จูจูจึงรีบเดินเข้าไปทันที เธอเดินมายืนที่ขอบเตียงยื่นไปกุมมือของหนานกงเฉินไว้ น้ำตาไหลอย่างกับเม็ดฝน “เฉิน ฉันขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะปกปิด เป็นเพราะคุณย่าห้ามให้ฉันบอกความจริงกับคุณ คุณย่ากลัวว่าคุณจะได้รับการสะเทือนใจจนทำให้อาการแย่ลงกว่าเดิม”

หนานกงเฉินได้ดึงมือของเขาออกจากมือของเธอ จ้องที่เธอพูดอย่างเย็นชา “มู่ชิงโดนเธอไล่ตามจนทำให้เกิดรถชน ”

จูจูผงะไปครู่หนึ่ง แล้วพยักหน้ารับ “ใช่ เป็นเพราะฉันไล่ตามเธอ … เฉิน … คุณฟังฉันอธิบาย ”

จูจูเช็ดน้ำตาบนใบหน้าออก ตั้งสติแล้วพูด “ เรื่องมันเป็นยังงี้ ในวันนั้นจู่ๆมู่ชิงก็ปรากฏตัวอยู่ในห้องผู้ป่วยของฉัน เธอบอกว่าเธอจะหย่ากับคุณ และยังยื่นสัญญาหย่าให้ฉันตรงหน้า ตอนนั้นฉันตกใจมาก ฉันคิดว่าเธอคงเข้าใจผิดความสัมพันธ์ระหว่างเราสองคน ดังนั้นก็เลยเริ่มอธิบายให้เธอฟัง แต่เธอไม่รับฟัง เธอบอกว่าเธอตัดสินใจแล้ว ยังบอกอีกว่าเธอจะไปจากเมืองซี จากนั้นเธอก็หันหลังวิ่งออกไป ฉันกังวลว่าเธอจะเข้าใจฉันผิดแล้วไปจากคุณจริง ๆ ไปจากเมืองซี ด้วยความกัลวลก็เลยขับรถตามเธอออกไป ไม่คาดคิดว่าเธอจะประสบอุบัติเหตุรถยนต์ตรงโค้งของอ่าว”

จูจูร้องไห้เสียใจหนักขึ้น มือหนึ่งปิดปากไว้ “ ฉันขอโทษ,มันเป็นความผิดของฉันทั้งหมด ฉันไม่ควรไล่ตามออกไป ตอนนั้นฉันกลัวว่าเธอจะจากไปเพราะความเข้าใจผิด กลัวคุณตื่นขึ้นมาแล้วไม่เจอเธอโรคจะกำเริบอีก”

หนานกงเฉินหลับตาลง อันที่จริงเขาเพิ่งได้ฟังคำพูดเหล่านี้จากผู้รับผิดชอบคดีนี้แล้ว ผู้ดูแลคดีได้ถ่ายทอดคำสารภาพของจูจูให้เขาฟังทั้งหมด

“เฉิน,นี่คือสัญญาใบหย่าที่มู่ชิงทิ้งไว้ให้ฉันในวันนั้น,ฉันกลัวว่าคุณจะเสียใจก็เลยไม่กล้าบอกให้คุณรู้ ” จูจูหยิบสัญญาการหย่าออกจากกระเป๋าและยื่นให้เขา

หนานกงเฉินยื่นมือขึ้นไปรับมันมา สัญญาใบหย่ามีเพียงสั้น ๆหน้าเดียวเท่านั้น แต่ด้านล่างมีลายมือที่ชัดเจนและคุ้นเคยของไป๋มู่ชิงอยู่

เมื่อเห็นลายมือชื่อของเธอในนั้น หัวใจของเขาเจ็บปวดทรมาณมาก

“เฉิน ที่จริงแล้วมู่ชิงรักคุณมาก ที่เธอยอมเซ็นสัญญาใบหย่านี้ก็เพราะเธอโดนบังคับให้ทำ คุณย่าบังคับเธอมาโดยตลอด” จูจูเสแสร้งทำเป็นพูดดี

เพราะเธอคิดว่า ไม่ว่าคุณผู้หญิง*จะอย่างไรก็ตาม ท่านยังคงเป็นคุณย่าของหนานกงเฉินอยู่ดี หนานกงเฉินไม่อาจขับไล่ท่านออกจากบ้านนี้ ต่อให้เป็นท่านที่บังคับให้ไป๋มู่ชิงหย่า จุดเริ่มต้นของท่านคือหวังดีต่อหนานกงเฉิน หนานกงเฉินไม่อาจที่ตำหนิท่าน

“คุณออกไปได้แล้ว” หนานกงเฉินพูดขึ้้นอย่างไม่สบอารมณ์

“เฉิน …จูจูยังอยากอธิบายอะไรบางอย่าง หนานกงเฉินได้ขัดเธอไว้ “ต่อให้คุณไม่ได้ชนมู่ชิงลงหน้าผา แต่เรื่องนี้ต้องเกี่ยวข้องกับคุณแน่นอน”

“ฉันรู้ … ”ฉันรู้ว่าคุณจะพูดแบบนี้ … ”จูจูร้องไห้ออกมาอย่างเสียงดัง “ขอโทษคะ ฉันรู้ว่าฉันผิดไปแล้ว หวังว่าคุณจะให้อภัยฉัน หวังว่ามู่ชิงจะให้อภัยฉัน .. …”

หลังจากเกลี้ยกล่อมให้จูจูกลับไป เลขาเหยียนได้จัดว่างอาหารเย็นบนโต๊ะ สังเกตเห็นหนานกงเฉินยังคงนั่งเหม่อลอยอยู่บนเตียง “คุณชายเฉิน อย่ามั่วแต่คิดเรื่องพวกนี้เลย ทานอะไรหน่อยนะ ”

หนานกงเฉินไม่ได้ยื่นมือไปรับถ้วยตะเกียบที่เธอยื่นให้ แต่พูดอย่างแผ่วเบา “ เธอว่าเป็นไปได้ไหมที่มู่ชิงยังไม่ตาย ทั้งหมดนี้เป็นแผนการของคุณย่า คุณย่าหวังอยากให้ฉันตัดใจจากมู่ชิง ที่วางแผนการใหญ่ขนาดนี้ ใช่ว่าคุณย่าจะทำไม่ได้ ”

หวังอย่างยิ่งว่ามันจะเป็นแบบนี้จริงๆ หวังว่ามู่ชิงยังไม่ตาย

เมื่อเห็นหน้าของเขาจริงจังมาก เลขาเหยียนไม่รู้จะพูดอย่างไรดี คิดในใจว่าเขาคิดออกมาได้อย่างไง

“แต่ว่าวิดีโอในรถได้การยืนยันแล้วว่า ไม่มีการปลอมแปลงหรือตัดต่อใดๆ ” เลขาเหยียนครุ่นคิดอยู่สักพัก พูดขึ้นอย่างระมัดระวัง “รออีกหน่อย……รอให้เขาพบร่างของนายหญิงน้อย ก็จะสามารถรู้ว่าจริงหรือปลอม ”

ร่างของนายหญิงน้อย … หนานกงเฉินสูดลมหายใจลึกๆแล้วถอนหายใจ เย็นจนถึงก้นหัวใจ

เพื่อหลอกตัวเอง เขาพยายามคิดทุกวิถีทางที่เป็นไปได้ เขาเริ่มคาดหวังว่าร่างของไป๋มู่ชิงจะไม่ถูกหาเจอตลอดไป อย่างน้อยก็ยังมีโอกาสต่อให้จะน้อยนิดก็ตาม

ถึงจะรู้ว่าเป็นความหวังที่บ้าบอ เขาก็ยังอดคิดไม่ได้ เพ้อฝัน

หนึ่งอาทิตย์ผ่านไป ในที่สุดคุณผู้หญิงก็อดใจไม่ได้ โผล่มายังอพาร์ตเมนต์ของหนานกงเฉิน

เธอกวาดมองไปรอบๆภายในห้องที่รกรุงรัง สุดท้ายสายตาก็ต้องหยุดและจ้องมองไปทางหนานกงเฉินที่อยู่หลังหน้าต่าง เห็นร่างกายที่ผอมซูบ ใบหน้าหมองคล้ำ รู้สึกเจ็บปวดหัวใจขึ้นมาทันที แต่เธออดตำหนิไม่ได้ “เธอกักขังตัวเองแบบนี้ทุกวัน บริษัทก็ไม่เอา ครอบครัวก็ไม่เอาแล้วหรอ”

หนานกงเฉินที่นั่งอยู่ข้างในมุมห้องไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองแต่พูดว่า “ฉันกำลังรอมู่ชิงกลับมา ”

“มู่ชิงได้ตายไปสิบกว่าวันแล้ว เธอยังยอมรับความจริงนี้ไม่ได้หรือ ”คุณผู้หญิงพูดอย่างหมดหนทาง “ เธอดูสภาพของเธอตอนนี้ ยังอยากมีชีวิตอยู่ต่ออีกไหม ”

หนานกงเฉินยิ้มอย่างขมขื่น แน่นอนเขายังอยากมีชีวิตต่อ หลายวันนี้เขาไม่กล้าสูบบุหรี่ไม่กล้าดื่มเหล้า เพราะเขากังวลว่าถ้าไป่มู่ชิงกลับมาแล้วเขากลับล้มปวด

“เป็นก็ต้องเจอคน ตายก็ต้องเจอร่าง ตราบใดที่ยังไม่เจอเธอฉันรู้สึกว่าเธอยังมีชีวิตอยู่ ”หนานกงเฉินเหลือบตาจ้องไปที่คุณผู้หญิง “คุณย่าครับ ถ้าเธอกลับมาโปรดให้ทางเลือกแก่เธอด้วยเถอะ อย่าบังคับเธอ ด่าว่าเธอ ดูถูกเธอ ได้ไหมครับ ”

คุณผู้หญิงอึ่งจนเป็นใบ้ ได้แต่พยักหน้ารับ “แล้วรีบพูดตาม ว่างใจเถอะฉันจะดูแลเธออย่างดี ”

อย่างไรก็ตามไป่มู่ชิงตายไปแล้ว ดังนั้นเธอจึงรับปากไปอย่างเรื่อยเปื่อยไปก่อน

เธอเหลือบมองเขาตำหนิว่า “ลูกผู้ชายอกสามศอกหลงผู้หญิงคนหนึ่งขนาดนี้ ให้ใครมาเห็นเข้าไม่หัวเราะจนฟันร่วง”

“คุณย่าคะ ท่านอย่าตำหนิคุณชายเฉินอีกเลย ” จูจูพูดจบ เดินไปข้างๆของหนานกงเฉิน เอนตัวไปจับแขนของเขาพูดว่า “เฉิน คุณอย่าทำแบบนี้ คุณเป็นแบบนี้คุณย่าทุกข์ทรมาณใจมาก ท่านเป็นห่วงคุณจนกินไม่ได้นอนไม่หลับเหมือนกัน ”

“พอได้แล้ว ”หนานกงเฉินสลัดมือของเธอออกทันที ลุกขึ้นยืนจากพื้นมองจ้องไปที่คุณผู้หญิงพูดขึ้นว่า “ถ้าท่านเป็นห่วงฉันจริงๆ คำนึ่งถึงความรู้สึกของฉัน แล้วทำไมถึงทำร้ายคนที่ฉันรักครั้งแล้วครั้งเล่าได้อย่างไร ทุกครั้งท่านก็ให้เหตุผลว่าหวังดีกับฉัน แต่ท่านดูสิตอนนี้ฉันดีอย่างที่ท่านหวังหรือเปล่า ท่านบังคับจนทำให้มู่ชิงตายแล้วฉันจะดีขึ้นจริงๆหรอ”

คุณผู้หญิงหน้าเปลี่ยนสี ท่านชี้มาที่ตัวเอง “ ถ้าไม่ใช่หวังดีกับเธอ มันจะเป็นการหวังดีเพื่อตัวฉันเองหรอ ”

“ฉันเคยบอกท่านไปแล้วว่า ท่านไม่จำเป็นต้องทำอะไรเพื่อฉัน ท่านแค่ใช้ชีวิตอย่างคุณผู้เหญิงทั่วไปอย่างมีความสุขก็พอแล้ว ฉันอายุสามสิบแล้ว เรื่องการงานและชีวิตคู่ของฉันฉันสามารถวางแผนจัดการเองได้ แต่ไม่ใช่ท่านกับท่านอาจารย์หวังที่เที่ยวหลอกลวงคนอื่นคนนั้นมาวางแผนจัดการเอาเอง…”

‘เสียงดัง พ่า ฝ่ามือของคุณผู้หญิงถูกเหวี่ยงลงบนใบหน้าของเขา ไม่เบาไม่หนักเกินไป แต่สามารถทำให้เขาหุบปากลงได้

จูจูถึงกับตกใจผงะ เธอรีบคว้าแขนของคุณผู้หญิงไว้แล้วเกลี้ยกล่อมท่าน “คุณย่า ท่านพึ่งอย่าโกรธนะค่ะ ”

คุณผู้หญิงยังคงจ้องไปที่หนานกงเฉิน “ ก็แค่ผู้หญิงคนหนึ่งไม่ใช่หรอ เธออยากได้ผู้หญิงแบบไหนไม่มี เพื่อผู้หญิงคนหนึ่งถึงกับเป็นศัตรูกับฉันตลอดเวลา แต่ก่อนที่จูจูจากไปเธอก็เป็นแบบนี้ไม่ใช่หรอ เหมือนกับว่าโลกทั้งใบพังทลาย อย่างกับโลกจะมรณะ แต่แค่พริบตาก็ผ่านมันไปได้ ลืมมันได้ ความรัก เธอสามารถรักพวกเขาได้กี่วัน ตอนแรกรักจูจูจะเป็นจะตาย ตอนนี้ส่งถึงตรงหน้าก็ยังไม่เหลียวมองแม้แต่นิด หลังจะหนึ่งปี ถึงเวลานั้นไป๋มู่ชิงคือใครก็คงจะจำไม่ได้ด้วยซ้ำ เห็นหรือยัง ความรักที่เธอว่าเป็นอย่างนี่สินะ รีบตื่นจะความเพ้อฝันนั้นสักที ”

“ถ้าเธอยังอยากเดินหน้าต่อไป ก็ช่วยรีบเข้มแข็งขึ้นมา ดูแลการงานให้ดี สุขภาพให้ดี แต่ไม่ใช่ปล่อยให้ตัวเองดูเหมือนคนไม่ใช่คนผีไม่ใช่ผี ”หยุดทำร้ายตัวเองแบบนี้คุณผู้หญิงพูดจบ หายใจเข้าลึก ๆ อย่างหนักใจ

เมื่อได้ยินคำพูดของคุณผู้หญิงแล้ว จูจูรู้สึกไม่สบายใจอย่างมาก น้ำตาล้นออกมาไหลไม่หยุด

คุณผู้หญิงพูดถูก ในหัวใจของหนานกงเฉินไม่มีที่สำหรับเธอตั้งนานแล้ว แม้ว่าไป๋มู่ชิงจะตายจากไปแล้ว เขาก็ไม่เคยเหลียวมองเธอเลย

หนานกงเฉินที่เคยรักเธอมาก ในตอนนี้ไม่อยากแม้แต่จะมองเธอ

ในขณะที่ย่าหลานทั้งสองยังเขม่งกันอยู่ พี่เหอได้ถือโทรศัพท์เข้ามา ตาลุกเป็นไฟกล่าวว่า“ คุณผู้หญิง คุณชายใหญ่คะ เมื่อครู่มีโทรศัพท์โทรเข้ามาว่าร่างของนายหญิงน้อยค้นหาเจอแล้ว”

ทุกคนที่อยู่ในนี้ตกตะลึงไปครู่หนึ่ง หนานกงเฉินตกตะลึงจนสติหาย กว่าจะดึงสติกลับมาได้ถามขึ้นอย่างเสียงสั่น “คุณพูดอะไรนะ”

“พบร่างของนายหญิงน้อยแล้ว อยู่ในห้องดับจิตรอการชันสูตรศพ” พี่เหอพูดขึ้นอีกครั้ง

หนานกงเฉินขาอ่อนไปหมด จนต้องค่อยๆพยุงตัวขึ้นจะโซฟาข้างๆ คล้ายๆกับเส้นประสาทจะระเบิด

แม้ว่าตอนนี้จะไม่คาดหวังใดๆแล้ว แต่เมื่อได้ยินข่าวนี้หัวใจเขาเจ็บปวดอย่างมาก ความหวังสุดท้ายของเขา……ได้ถูกทำลายลง

“คุณชายเฉิน คุณยังโอเคไหมคะ ” จูจูเดินเข้าไปจับแขนของเขาและพูดด้วยความห่วงใย

“อย่าแตะต้องตัวฉัน ”หนานกงเฉินสะบัดมือทั้งสองข้างของเขาออก จากนั้นจึงประคองตัวให้นิ่งก้าวเดินออกไปทางประตูอย่างรวดเร็ว。

คุณผู้หญิง*รีบเดินตามไป ระหว่างนั้นบอกให้พี่เหอที่อยู่ข้างๆว่า “ ให้คุณหมอจางรีบไปที่ห้องดับจิตด่วน เร็วเข้า ”

ท่านกังวลว่าถ้าหนานกงเฉินถึงที่นั้นแลัวเสียใจมากจนเกินไป ได้รับการสะเทือนใจจนเป็นลมหมดสติ โรคจะกำเริบอีก…

“ได้คะ คุณผู้หญิง” พี่เหอรีบกดเบอร์โทรศัพท์โทรออกในขณะที่เดินตามหลัง เพื่อเลี่ยงสิ่งไม่คาดคิด เธอยังโทรเรียกเซิ่งเคอให้ไปที่ห้องดับจิตด้วย。

เมื่อทุกคนถึงที่ห้องดับจิต เซิ่งเคอก็มาถึงพอดี หนานกงเฉินลงจะรถรีบวิ่งตรงเข้าไปข้างใน แต่เขากลับโดนเซิ่งเคอดึงกลับมาแล้วพูดว่า “พี่ชาย พี่อย่าพึ่งรีบร้อน ต้องทำการลงบัญทึกข้อมูลก่อนถึงจากเข้าไปรับศพได้”

หนานกงเฉินโกรธมากจนตะโกนใส่เจ้าหน้าที่ที่อยู่รอบ ๆ ตัวเขา “จะให้รอถึงเมื่อไหร่”

เจ้าหน้าที่ที่โดนเขาตะโกนใส่ ไม่กล้าออกเสียง ได้แต่เร่งดำเนินการอย่างเงียบ ๆ หลังจากกรอกข้อมูลต่างๆเสร็จสิ้น ในที่สุดทุกคนก็มาถึงหน้าประตูห้องเก็บศพ คุณผู้หญิงไม่กล้าดูจึงเลือกที่จะรออยู่ที่หน้าประตู จูจูก็กล้าที่จะเข้าไป

เจ้าหน้าที่มองไปที่หนานกงเฉินและเซิ่งเคอรีบเตือนขึ้นด้วยความหวังดี “ ศพของผู้เสียชีวิตค่อนข้างน่าเกลียด พวกคุณแน่ใจหรือไม่ว่าจะกล้าดู”

หนานกงเฉินกลื่นลูกกระเดือกเล็กน้อย ขาทั้งสองข้างอ่อนแรงจนยืนนิ่งอยู่กับที่ไม่ได้

เมื่อเซิ่งเคอเห็นใบหน้าที่ซีดขาวของเขา มีความกังวลมากเลยพูดว่า “พี่ชาย ให้ฉันเข้าไปดูศพว่าใช่หรือไม่ก็พอแล้ว”

หนานกงเฉินกลับส่ายหัว แม้ว่าตอนนี้เขากลัวที่จะเห็นร่างของไป๋มู่ชิง แต่ถ้าเขาไม่ได้เห็นกับตาตัวเองเขาจะไม่มีวันตายใจเป็นแน่ ไม่มีวัน

เจ้าหน้าที่เปิดประตูห้องเก็บศพ พาทั้งสองไปยังตู้แช่แข็ง จากนั้นดึงตู้แช่แข็งตู้หนึ่งออกมาให้ทั้งสองคนดู

นี่คือร่างของผู้หญิงที่ถูกไฟเผาและเริ่มเน่าเปื่อยแล้ว ใบหน้าก็ดูไม่ชัดเจนแล้ว แต่ลักษณะรูปร่างและความสูงของเธอดูแล้วเหมือนไป๋มู่ชิงมาก สมองของหนานกงเฉินนั้นอย่างกับภูเขาไฟระเบิด มึนไปหมด……

แต่ว่าเขาดูใบหน้าของเธอไม่ชัด เขายังคงไม่เชื่อว่าคนๆนี้เป็นไป๋มู่ชิง เขาเอื้อมมือไปจะจับข้อมือเธอ แต่เซิ่งเคอคว้ามือเขาไว้ “พี่ชาย”

“พี่ชายอย่าแตะต้อง” เซิ่งเคอหน้าซีดออกขาว มือของคนๆถูกไฟเผาจนแห้งและกำลังเน่าเปื่อย เธอแค่ดูก็รู้สึกจะคลื่นไส้อาเจียน หนานกงเฉินยังจะไปคว้าข้อมือของเธออีก

หนานกงเฉินไม่ได้สนใจ เขาผละมือของเซิ่งเคอออก เอื้อมมือไปจับข้อมือของเธอ กระดูกข้อมือของเธอแข็งมาก แต่ยังโดนเขาดึงมันออกมาข้างกาย

พฤติกรรมของหนานกงเฉินสร้างความหวาดกลัวให้กับเซิ่งเคอและเจ้าหน้าที่เป็นอย่างมาก ไม่มีใครรู้ว่าเขาทำแบบนี้เพื่ออะไร ทุกคนคิดว่าเขาบ้าไปแล้ว

มีเพียงเขาเท่านั้นที่รู้ว่า ในข้อมือของไป๋มู่ชิงมีเอกลักษณ์ของเขา นิ้วมือนางของเธอมีแหวนของเขา เป็นเพียง เพราะถูกเผาจนไหม้และถูกแช่น้ำ ข้อมือของเธอกำลังเน่าเปื่อย ทำให้ดูอะไรไม่ออก

ฝ่ามือของเขาเลื่อนไปที่ข้อมือของเธอ จับฝ่ามือของเธอ เมื่อเขาได้เห็นแหวนหยกฝังทองที่นิ้วนางของเธอในที่สุดแรงสุดท้ายของเขาก็พังทลายลง ขาทั้งสองข้างของเขาไม่อาจรองรับร่างกายของเขาไว้ได้ เป็นลมไปเลย

‘เสียงดัง ปัง เขาล้มลงกับพื้น

“พี่ชาย”เซิ่งเคอรีบโน้มตัวไปประคองร่างเขา จากนั้นพร้อมกับเจ้าหน้าที่ช่วยกันพาเขาออกจากห้องเก็บศพ

คุณผู้หญิงเห็นหนานกงเฉินเป็นลมหมดสติ หัวใจของเธอกระวนกระวาย โชคดีนะที่คุณหมอจางอยู่ในห้องโถงเก็บศพด้วย แถมใช้เวลาอันสั้นสุดส่งเขาไปยังรถพยาบาล

หลังจากที่หนานกงเฉินถูกส่งไปที่ห้องฉุกเฉิน คุณผู้หญิง*ก็ล้มตัวนั่งบนเก้าอี้ จูจูอ้อมกอดแขนของท่านไว้เพื่อปลอบใจ “คุณย่า คุณชายเฉินต้องตื่นขึ้นมาค่ะ ต้องตื่นขึ้นมา…”

คุณผู้หญิง*เช็ดน้ำตาที่ใบหน้าออก เงยหน้าขึ้นมองเซิ่งเคอถามว่า “ เป็นยังไง ใช่เธอไหม”

จูจูที่อยากรู้คำตอบมากอยู่แล้ว ก็เงยหน้าขึ้นมองเซิ่งเคอ

เซิ่งเคอพยักหน้ารับ “ใช่เธอคะ”

คุณผู้หญิง*อึงไปครู่หนึ่งแล้ว ถามว่า “แหวนยังอยู่หรือเปล่า”

“ยังอยู่คะ”

เมื่อได้ยินว่าแหวนยังอยู่นั้น คุณผู้หญิง*รู้สึกโล่งใจเล็กน้อย

คราวนี้หนานกงเฉินไม่ได้หมดสตินาน แต่อาการตื่นขึ้นมากลับอาการหมดสติไม่ต่างกันเท่าไร ยังคงนอนอยู่บนเตียง ตื่นๆหลับๆ, ไม่สื่อสารกับใคร, ไม่ยอมทานอะไรเลย。

เมื่อจัดการงานศพของไป๋มู่ชิงเสร็จเรียบร้อยแล้ว แหวนได้ถูกส่งกลับมาอยู่ตรงหน้าของคุณผู้หญิง

คุณผู้หญิงมองแหวนจากระยะไกล พูดอย่างดูแคลนเล็กน้อย“เป็นวงนี้ ไม่ผิดพลาดใช่ไหม”

พี่เหอดูแหวนอย่างละเอียดพูดว่า “ แหวนถูกต้องไม่ผิดพลาดคะ อาจเป็นเพราะตอนรถระเบิดเลยทำให้แหวนถูกเผาจนผิดรูปทรงจะเดิม เอาไปซ่อมก็ได้แล้วคะ ”

“ถ้างั้นก็รีบส่งไปซ่อมสิ”

“ได้คะ คุณผู้หญิง ”พี่เหอเอาแหวนแล้วเดินออกไป

คุณผู้หญิงเงยหน้าขึ้นสังเกตเห็นใบหน้าของจูจูซีดขาวเล็กน้อย ส่งรอยยิ้มไปยังเธอ “ ทำไม กลัวหรอ

จูจูรีบละสายตาจากพี่เหอที่เดินออกไป ยิ้มพร้อมกับส่ายหัว “ ไม่ ไม่กล้วคะ”

จะไม่กลัวได้ยังไง นั้นมันถอนมาจากมือคนตาย และไป่มู่ชิงก็ตายเพราะเธอ

“ไม่กลัวก็ดีแล้ว”คุณผู้หญิง*ยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาดื่ม แล้วพูดว่า “เมื่อมีเวลาว่างก็ขึ้นไปอยู่เป็นเพื่อนกับเฉิน ตอนนี้เขาอยู่ในช่วงเวลาเศร้าเสียใจ”

“คุณย่าคะ แน่นอนคะฉันเต็มใจที่จะอยู่เป็นเพื่อนของเฉิน แต่เขาไม่ต้องการเห็นหน้าฉัน” จูจูพูดขึ้นอย่างทำอะไรถูก หากเป็นไปได้ เธอหวังอยากใช้โอกาสนี้ช่วยดึงหัวใจของหนานกงเฉินกลับมา แต่ว่าตอนนี้หนานกงเฉินไม่ยอมพบใคร แม้แต่เธอก็ไม่มีข้อยกเว้น

“กับเธอก็ไม่อยากเจอ” คุณผู้หญิงถาม

“ใช่ค่ะ… ฉันคิดว่าเขาคงโทษฉันแน่ ๆ เพราะที่มู่ชิงประสบอุบัติเหตุรถยนต์เป็นเพราะฉันไล่ตามไป”

คุณผู้หญิงส่ายหัวอย่างช่วยอะไรไม่ได้ เสียใดมากเพราะแต่ก่อนนั้นเฉินชอบเธอมาก เป็นต้อง ยอมแพ้

จูจูบีบมือของเธอเบา ๆ ใช่แล้ว เธอก็ยังรู้สึกว่าเธอล้มเหลวอย่างมาก เธอพลาดโอกาสดีๆแบบนั้นไปโดยเปล่าประโยชน์ ตอนนี้เธอมองย้อนกลับไป .. อย่างที่คุณผู้หญิงพูด ตอนนี้หนานกงเฉินแค่มองเธอเขายังขี้เกียจมองเธอเลย

ตอนนี้เธอหวังเพียงว่าในห้าหกปีนี้หนานกงเฉินจะลืมไป๋มู่ชิงเหมือนที่ลืมเธอ แล้วตกหลุมรักเธออีกครั้ง และยอมรับเธอ

เธอสูบลมหายใจลึกๆแล้วพูดกับคุณผู้หญิงว่า “ คุณย่าคะ ฉันขึ้นไปดู คุณชายเฉินหน่อยนะคะ”

คุณผู้หญิงพยักหน้ารับ “ ไปสิ”

จูจูมาถึงหน้าประตูห้องนอนของหนานกงเฉิน ยกมือขึ้นเคาะประตูก่อนจะผลักประตูเดินเข้าไป

แม้ว่าหนานกงเฉินจะไม่ออกไปข้างนอก แต่เขาก็ไม่ได้ขังตัวเอง จูจูเดินเข้ามาที่เตียงของเขาอย่างลังเลถามขึ้นอย่างกังวล “ เฉิน คุณดีขึ้นหรือยัง

หนานกงเฉินที่เอนกายพิงอยู่หัวเตียง หลังจากที่ได้ยินเสียงข้างหลัง เขาเงยหน้าขึ้นมองเธอ สีหน้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ คุณมาทำอะไร”

“เฉิน ฉันเป็นห่วงคุณ จึงขึ้นมาดูคุณ” จูจูยื่นมือไปอย่างไม่เป็นห่วง อยากยืนมือไปจับข้อมือเขาแต่ก็ต้องถอยมือกลับมา เขาในตอนนี้ทำให้เธอรู้สึกกลัว รู้สึกกัลวล แม้กระทั่งแค่จับมือเขาก็กลัวว่าเขาจะไม่พอใจ

“คุณไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงฉัน” หนานกงเฉินยังคงไม่แยแส

จูจู”ลองพยายามที่จะอธิบายอะไรบางอย่างลังเลอยู่พักหนึ่งถึงพูดว่า“ มู่ชิงเขา…”

“จูจู ในที่สุดหนานกงเฉินก็ไปคนเริ่มพูดขึ้นมาก่อน ขัดจังหวะเธอพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองเธอ “ คุณแตกต่างกับจูจูคนเดิมที่ฉันเคยรู้จักเมื่อก่อนมาก่อน แตกต่างกันจริงๆ … …”

จูจูรู้สึกหัวใจเธอหนาวเย็นขึ้นมาทันที่ สิ่งที่เธอกลัวและกังวลมากที่สุดก็คือหนานกงเฉินจะรู้สึกแบบนี้กับเธอ

“จูจูคนเดิมเป็นคนจืตใจดีและกล้าหาญ แค่จิ้งจกตัวเดียวที่อยู่ใต้เตียงก็ไม่อาจเหยียบได้ลงคอ ยิ่งไม่มีอุบายใดๆวางแผนร้ายด้วยทุกวีถีทาง”

“เฉิน” จูจูรีบขัดจังหวะเขา ส่ายหัวพูดขึ้นว่า “ คนเราต้องเติบโตพัณนา นิสัยก็ต้องเปลี่ยนตาม ในตอนนั้นฉันไม่มีอะไรต้องกังวล แต่ระหว่างที่เติบโต ก็มีอุปสรรคในชีวิตเข้ามาเรื่อยๆ ฉันไม่อาจเหมือนตอนเด็กๆที่ยังคงใส่ซื่อใจดีใช่ไหม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องเผชิญหน้ากับเรื่องความรัก ในโลกนี้มีแค่หนานกงเฉินคนเดียว ถ้าหากฉันยอมแพ้ ในชีวิตนี้ก็จะไม่มีวันได้มันอีก ฉันไม่อยากให้มันเป็นแบบนั้น…”

“ดังนั้นเธอจึงสามารถใส่ร้ายมู่ชิงครั้งแล้วครั้งเล่า”

“นั่นไม่ใช่การใส่ร้าย” จูจูส่ายหัว “ฉันแค่ไม่เชื่อว่าคุณจะตกหลุมรักไป๋มู่ชิงในช่วงเวลาสั้น ๆ ฉันคิดว่าที่คุณปล่อยว่างเธอไม่ได้เพราะความรับผิดชอบ ฉันหวังว่าคุณจะตกหลุมรักฉันอีกครั้ง ดังนั้นจึงหาทุกวิถีทาง”

“แต่ว่า ..…”. จูจูรีบพูดอีกครั้ง “ อุบัติเหตุรถยนต์ของมู่ชิงไม่ใช่สิ่งที่ฉันอยากให้มันเกิดจริงๆนะ ฉันก็เสียใจไม่น้อยไปกว่าคุณเหมือนกัน”

“คนมันตายไปแล้ว พูดเยอะก็ไม่อาจทำให้อะไรดีขึ้นมาได้ ” หนานกงเฉินพูด “ คุณออกไปเถอะ”

“แต่ถ้าฉันไม่พูด คุณก็จะโทษฉันไปตลอด ” จูจูเช็คน้ำตาที่ไหลออกมาด้วยความรู้สึกเสียใจ “ เฉิน แต่ก่อนตอนมู่ชิงอยู่คุณก็ไม่ได้รักฉัน ตอนนี้มู่ชิงไม่อยู่แล้วคุณก็เกลียดฉัน ฉันในตอนนี้มันน่ารังเกลียดมากขนาดนั้นเลยเหรอ แตกต่างจากจูจูคนก่อนมากจริงๆหรอ ”

หนานกงเฉินตื่นตาเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าเขาไม่อยากพูดอะไรมากไปกว่านี้

“เฉิน คุณไม่ได้รักฉันแล้วจริงๆหรอ” จูจูกุมข้อมือเขาแล้วถามอย่างยังไม่ยอมตายใจ

“ในเวลาแบบนี้อย่ามาถามเรื่องพวกนี้กับฉันได้ไหม” หนานกงเฉินยังคงหลับตาแน่น

ในที่สุดจูจูก็หุบปาก กัดริมฝีปากของเธอ น้ำตาไหลร่วงลงพื้น

อาจเป็นเพราะตายใจแล้วจริงๆ

หลังจากผ่านไปหลายวัน, หนานกงเฉินยังคงไม่ยอมออกมาจากห้องนอน และไม่มีวี่แววว่าจะลุกขึ้นเข้มแข็งเลย

ในที่สุดคุณผู้หญิงก็อดใจไม่ได้ ขึ้นมาดูที่ห้องนอนของเขา ในห้องนอนยังคงมืดหมอง ท่านส่งสายตาให้พี่เหอเปิดม่านหน้าต่างของเขา

พี่เหอพยักหน้ารับแล้วเดินไปทางม่านหน้าต่างที่สูงจากพื้นจรดเพดาน ดึงม่านหน้าต่างออก แสงส่องเข้ามาเต็มห้องนอนทั้งห้องสว่างขึ้น

หนานกงเฉินที่อยู่บนโซฟาลืมตาขึ้นกระพริบสองสามที เพราะยังไม่สามารถปรับตัวกับแสงได้ในชั่วขณะ

คุณผู้หญิงสังเกตดูเขา ไม่อาจเชื่อสายตาว่าบุคคลที่อยู่ตรงหน้าตัวเองนี้เคยเป็นเด็กชายที่หล่อเหลา มีเสน่ห์ร่าเริงของเธอ แค่ช่วงเวลาสั้นๆหนึ่งเดือน เขาเหมือนว่าเปลี่ยนไปเป็นอีกคน จนคนใกล้ชิดที่สุดอย่างเธอก็แทบจะจำไม่ได้

แม้ว่าในเวลานี้เขาจะไม่ได้อยู่บนเตียง แต่เขาก็นอนขดตัวอยู่บนโซฟาเหมือนคนไร้วิญญาณ ได้แต่ใช้มือเลื่อนหน้าจอโทรศัพท์ในมืออย่างช้าๆ สองสามวันนี้เขาได้แต่ดูรูปสวีทของเขาที่ถ่ายกับไป๋มู่ชิงในทุ้งดอกลาเวนเดอร์หรือรูปตอนที่เธอถูกชนเข้าอย่างจัง ระหว่างความสุขกับความสูญเสีย ความรู้สึกทั้งสองนี้กำลังสู้กันในหัวสมองเขาจนจะเส้นประสาทจะแตก

สถานการณ์แบบนี้เขาจะไม่บ้าคลั่งได้ยังไง

คุณผู้หญิง*เดินเข้าไป หยิบโทรศัพท์ออกจากมือเขาพูดอย่างอ่อนโยนว่า “ เฉิน อย่าดูอีกเลย เรื่องมันผ่านไปแล้วก็ลืมมันสักเถอะ”

หนานกงเฉินเกร็งมือแข็ง แต่ไม่ได้พูดอะไร

คุณผู้หญิงถอนหายใจ “ ฉันรู้ว่าเธอเกลียดฉัน โทษฉัน แต่ไม่ว่าเธอจะเกลียดฉันอย่างไงฉันยังคงเป็นคุณย่าของเธอ เป็นคนที่ใกล้ชิดเธอที่สุด นอกจากนี้ยังเป็นคนเดียวที่รักเธอจริงๆ คนที่หวังดีกับเธอจริงๆ เรื่องมันเกิดขึ้นมาถึงจุดนี้แล้ว เกลียดก็ไม่มีประโยชน์ เสียใจก็ไม่มีประโยชน์ เรายังคงต้องใช้ชีวิตให้ดีขึ้นไปเรื่อยๆไม่ใช่หรอ ”

เมื่อเห็นว่าเขาไม่พูดอะไรสักคำ คุณผู้หญิง*จึงพูดต่อ “แม้ว่ามู่ชิงจะจากไปแล้ว แต่ยังมีจูจูอยู่เคียงข้างเธอไม่ใช่หรอ เธอลืมไปแล้วหรอว่าแต่ก่อนนั้นเธอรักเธอมาก เคยสัญญากับเธออย่างไร เธอสัญญากับเธอว่าชีวิตนี้จะรักเธอแค่คนเดียว ยังสัญญาว่าจะแต่งงานกับเธอ ถึงเวลาที่เธอต้องทำตามสัญญาที่เคยให้ไว้แล้ว ส่วนมู่ชิง …ก็ให้ถือว่าเธอเป็นคนสำคัญคนหนึ่งที่เคยผ่านเข้ามาในชีวิตของเธอก็พอ ”

“ฉันดูความรู้สึกที่จูจูมีต่อเธอก็ไม่น้อยไปกว่ามู่ชิง เพื่อเธอแล้วกระโดดตึกเธอก็ทำมาแล้ว เธอเป็นผู้หญิงที่ดื้อรั้นพอสมควร ” คุณผู้หญิงมองเขา พูดอย่างลังเล “เฉิน ย่าได้กำหนดฤกษ์แต่งงานของพวกเธอแล้วนะ กำหนดเป็นเดือนหน้าวันที่หก จัดงานแต่งก่อนวันครบรอบอายุ31ปีของเธอ ”

ในที่สุดหนานกงเฉินก็ขยับตัว เงยหน้าขึ้นอย่างแผ่วเบาและจองมองไปที่คุณผู้หญิง

คุณผู้หญิงรีบกล่าวขึ้นอย่างกังวล “ท่านอาจารย์หวังบอกว่า ภายในอายุ30ของเธอจะมีอุปสรรคอันใหญ่ผ่านเข้ามา ฉันเป็นห่วง ..…”.

หนานกงเฉินยิ้มอย่างขมขื่น อุปสรรคตอนอายุ30ของเขา ไม่ใช่การจากไปของมู่ชิงหรอ

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

Status: Ongoing
ไป๋มู่ชิงเคยได้ยินเรื่องเล่าตั้งแต่เด็กว่า ตระกูลหนานกงในเมืองซีเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุด แต่น่าเสียดายที่คุณชายใหญ่ของตระกูลกลับป่วยเป็นโรคประหลาด โรคที่เขาเป็นจะทำให้เขามีอายุอยู่ได้ไม่ถึงอายุ30ปี ไป๋มู่ชิงยังได้ยินมาอีกว่า คุณชายหนานกงเฉินแต่งงานใหม่ทุกๆปี แต่เจ้าสาวของเขากลับมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงวันต่อมาหลังคืนเข้าหอ แต่ไม่ทราบสาเหตุของการแต่งงานและยังไม่ทราบถึงสาเหตุการเสียชีวิตของเจ้าสาวด้วย เมื่อตระกูลหนานกงได้ส่งของหมั้นมาให้ตระกูลไป๋ ไป๋มู่ชิงก็คิดไม่ถึงว่าพ่อของเธออยากจะปกป้องชีวิตพี่ของเธอไว้ถึงขนาดผลักเธอเข้าไปในประตูนรกอย่างโหดร้าย บังคับให้เธอแต่งงานกับหนานกงเฉินเป็นเจ้าสาวคนที่เจ็ดของเขา แทนพี่สาวของเธอ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท