สองปีต่อมา
ในช่วงต้นฤดูร้อนวันนี้อากาศอบอ้าวเล็กน้อย แต่ลมในตอนกลางคืนกลับเย็นสบายเป็นพิเศษเค้กก้อนเล็กๆ วางอยู่ในสวนดอกไม้เล็กๆ มีหญิงสาววัยแรกรุ่นคนหนึ่งกำลังนั่งยองๆ อยู่ที่ข้างโต๊ะพลางวางหัวใจไว้บนเค้ก ปักเทียนหลากสี
หญิงสาวผู้มีใบหน้าที่สวยงาม รอยยิ้มเจือจางบนใบหน้า ปอยผมของเธอห้อยลงมาที่แก้มปิดครึ่งหนึ่งของใบหน้า
“แม่ หนูเปลี่ยนชุดใหม่แล้วนะ! ” เสียงหวาน ๆ ของเด็กน้อยดังขึ้นในท้องฟ้ายามค่ำคืนที่เงียบสงบแล้วเด็กหญิงตัวน้อยในชุดเจ้าหญิงก็กระโดดออกมาจากห้อง
เป็นเด็กสาวตัวน้อย อายุประมาณสามขวบ ซึ่งมีลักษณะความละม้ายคล้ายคลึงกับหญิงสาวเป็นอย่างยิ่ง ผิวที่ขาวราวกับหิมะ ดวงตาที่กลมโต
เด็กสาวตัวน้อยวิ่งไปข้างหน้าหญิงสาวคนนั้นและหมุนตัวอวดชุดเจ้าหญิงสีชมพูของเธอ เสียงหัวเราะของเธอดังขึ้นไพเราะราวกับกระดิ่งสีเงิน
“ชอบไหมจ๊ะ” หญิงสาวนั่งยองๆ ตรงหน้าเธอจับมือและมองไปที่ชุดใหม่ของเธอ
“ชอบค่ะ ชุดที่คุณพ่อกับคุณแม่ซื้อให้สวยที่สุดในโลกเลยค่ะ” เด็กสาวตัวน้อยพูดพร้อมกับโน้มตัวไปจูบใบหน้าของหญิงสาวแล้วหันกลับมาจูบใบหน้าของชายนั่งอยู่บนรถเข็น
เฉียวเฟิงอุ้มเธอขึ้นนั่งบนตักของเขาพลางลูบศีรษะของเธอด้วยรอยยิ้ม “ดูสิ เสียวหว่านชิงของพวกเราเอาอกเอาใจพ่อกับแม่เป็นแล้ว”
“เพราะหนูชอบพ่อกับแม่มากที่สุดเลยค่ะ” เสียวหว่านชิงพูดด้วยรอยยิ้ม
“พ่อกับแม่ก็ชอบหนูมากที่สุดเหมือนกันจ้ะ”หญิงสาวเดินมาและอุ้มเธอขึ้นจากตักของเฉียวเฟิง “ไปเถอะ ไปเป่าเทียนกัน”
เธอลุกขึ้นเพื่อเข็นเฉียวเฟิงไปที่โต๊ะ แต่เฉียวเฟิงคว้ามือของเธอไว้และพูดด้วยรอยยิ้ม “หลิน ผมทำเองได้”
เธอมองไปที่เฉียวเฟิงจากนั้นพยักหน้าและปล่อยให้เขาเข็นรถไปที่โต๊ะด้วยตัวเอง
เธอรู้จักนิสัยของเฉียงเฟิงดี เพื่อที่จะไม่ทำให้เธอรู้สึกเหมือนคนพิการ เขามักจะทำงานหนักเพื่อทำให้ตัวเองเป็นคนธรรมดา
เฉียวเฟิงใช้ไฟแช็กจุดเทียนบนเค้กจากนั้นก็ยิ้มเบาๆ “ลูกรัก อธิษฐานสิ”
เสียวหว่านชิงหลับตาลงและอธิษฐานขอพรครอบครัว ทั้งสามเป่าเทียนบนเค้ก เฉียวเฟิงลูบที่หัวของเสียวหว่านชิงและพูดว่า “วันนี้ลูกน้อยของเราอายุครบสามขวบอย่างเป็นทางการแล้ว พ่อขอให้หนูมีสุขภาพที่ดีและมีความสุขตลอดไปนะ”
“ขอบคุณค่ะพ่อ”
“มาถ่ายรูปกันเถอะ” ไป๋มู่ชิงหยิบกล้องขึ้นมาแล้วชี้ไปที่พ่อและลูกสาว เสียวหว่านชิงโน้มตัวในอ้อมแขนของเฉียวเฟิงทันทีพร้อมกับยิ้มอย่างสดใส
“อยากให้ฉันถ่ายรูปครอบครัวให้ไหม” ทันใดนั้นเสียงชายคนหนึ่งดังขึ้นจากทางด้านหลังพร้อมกับรอยยิ้ม ทุกคนหันไปมอง เสียวหว่านชิงรีบลงจะตักของเฉียวเฟิง วิ่งไปทางชายผู้นั้นด้วยความดีใจ! “คุณลุง คิดถึงจังเลยค่ะ! ”
“ลุงก็คิดถึงเสียวหว่านชิง! ” เฉียวซือเหิงจับร่างเล็กของเธอแล้วยกขึ้นสูงพลางยิ้มและหอมแก้มเธอ “สุขสันต์วันเกิดนะเสี่ยวชิงเอ๋อร์ ลุงเอาของขวัญมาให้หนูด้วย”
“ขอบคุณค่ะ หนูชอบของขวัญของคุณลุงค่ะ”
“ดูสิ รีบประจบเอาใจเลยเชียว” ไป๋มู่ชิงยิ้มและมองไปที่เฉียวเฟิงจากนั้นก็ส่ายหัว
“แน่นอน ฉันเฝ้าดูเสียวหว่านชิงของเราตั้งแต่เกิด”
ใบหน้าของเฉียวเฟิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย
เฉียวซือเหิงวางเสียวหว่านชิงลงบนเก้าอี้และมองไปที่คู่หนุ่มสาว “เป็นไงบ้าง คุ้นเคยกับการอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้หรือยัง?”
“ดีค่ะ” ไป๋มู่ชิงตอบ “ขอบคุณนะคะพี่”
“ดีก็ดีแล้วล่ะ” เฉียวซือเหิงพูดจบแลอุ้มเสียวหว่านชิงไปที่ประตูเพื่อหยิบของขวัญ
ไป๋มู่ชิงมองไปที่เฉียวซือเหิง แล้วมองไปที่เฉียวเฟิง เธอรู้ว่าเฉียวเฟิงมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับพี่ชายของเขาตั้งแต่เธอจำความได้ แม้ว่าเธอจะไม่รู้เหตุผล แต่เธอก็อดไม่ได้ที่จะเตือนว่า “เฟิง พี่มาที่นี่เพื่อฉลองวันเกิดของเสียวหว่านชิงนะ อย่าทำหน้าบึ้งตึงสิ”
เฉียวเฟิงจับมือของเธอและยิ้ม เธอไม่เข้าใจหลาย ๆ และแน่นอนว่าเขาไม่สามารถพูดได้
หลังจากกินเค้กและเล่นรอบ ๆ ในสวนสักพักไป๋มู่ชิงก็พาเสียวหว่านชิงกลับไปที่บ้านเพื่ออาบน้ำ
เหลือเพียงพี่น้องสองคนของตระกูลเฉียวที่อยู่ในสวน เฉียวเฟิงเก็บโต๊ะและเตรียมจะกลับบ้าน
“เดี๋ยวก่อน” เฉียวซือเหิงกล่าว
เฉียวเฟิงขยับรถเข็นจากนั้นก็หันกลับมาและจ้องมองเขาและพูดว่า “มู่ชิง ชอบสวนนี้มากขอบคุณ”
เฉียวซือเหิงเย้ยหยัน “ถ้าแกอยากของคุณฉันจริงๆ ก็ต้องไม่ใช้ท่าทีน้ำเสียงแบบนี้พูดกับฉัน”
“แล้วฉันควรจะมีท่าทีแบบไหน รู้สึกขอบคุณและปลื้มปิติงั้นเหรอ?”
“คุณชายรองเฉียว ถ้าหากว่าแกไม่พอชีวิตในตอนนี้ละก็สามารถคืนไป๋มู่ชิงกับเสียวหว่านชิงมาให้ฉัน ฉันจะรีบเอาสองแม่ลูกส่งคือหนานกงเฉิน”เฉียวซือเหิงจ้องที่เขาและพูด
เฉียวเฟิงเงียบไม่พูดอะไร
เฉียวซือเหิงยิ้ม “ดูสิ เห็นอยู่ชัดๆ ว่าชอบน่ะ แต่กลับไม่บอกความจริงกับฉัน”เฉียวซือเหิง ลุกขึ้นจากเก้าอี้เดินขึ้นไปหาเขาและมองลงไปที่เขา “พี่ชายของแกเป็นห่วงแกจากใจจริง แต่แกกลับทำท่าทีแบบนี้ มันดีแล้วหรือไง น้องชายสุดที่รักของฉัน”
“อย่าพูดดูดีนักเลย พี่ก็แค่ตอบสนองความทะเยอทะยานของตัวเอง” เฉียวเฟิงจ้องมองเขา “ถ้าพี่ทำเพื่อผมจริง แล้วทำไมถึงปล่อยให้มู่ชิงประสบอุบัติเหตุ พี่ไม่กลัวเธอตายเพราะอุบัติเหตุทางรถยนต์เลยงั้นเหรอ?”
“อาเฟิง แกพูดไม่นี้ไม่ถูกนะ นอกจากขโมยลูกของมู่ชิงมาหนึ่งคน ฉันก็ไม่ได้ทำอะไรเกินเลย เรื่องเกี่ยวกับไป๋ยิ่งอัน จูจู หลินอันหนาน ฉันไม่ได้เข้าไปแทรกแซงเสียหน่อย”
“พี่ไม่ได้แทรกแซง แต่พี่กำลังนั่งดูพวกเขาผลักมู่ชิงไปสู่ความตายทีละน้อย” เมื่อนึกถึงว่าเขามองไปยังไป๋มู่ชิงเมื่อสองปีที่แล้ว วันนี้เฉียวเฟิงก็ยังคงรู้สึกกลัวอยู่
เมื่อเฉียวซือเหิงพาเขาไปโรงพยาบาลในวันนั้น ชี้ไปที่ผู้ป่วยอาการสาหัสบนเตียงและบอกเขาว่าเป็นไป๋มู่ชิง เขาแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง
ตอนนั้นไป๋มู่ชิงรู้สึกสิ้นหวังและสับสน เธอไม่รู้ว่าเธอเป็นใครหรือทำไมเธอถึงกลายเป็นแบบนี้ เธอร้องไห้และกรีดร้องตลอดทั้งวัน
จนกระทั่งเฉียวซือเหิงพา เฉียวเฟิงและเสียวหว่านชิงมาหาเธอ และบอกเธอว่านี่คือครอบครัวของเธอ ในที่สุดเธอก็สงบลงและก็พบความกล้าหาญและความหวังที่จะมีชีวิตอยู่
จากวันนั้นภรรยาที่รักและลูกสาวที่น่ารักก็ปรากฏตัวข้างๆ เฉียวเฟิง
เขาเปลี่ยนชื่อไป๋มู่ชิงเป็นอีหลิน ซึ่งเป็นชื่อใหม่เช่นเดียวกับชีวิตของเธอซึ่งใหม่
และชีวิตของเขาค่อยๆ ดีขึ้นเรื่อยๆ เพราะสองแม่ลูกได้เข้ามาเติมเต็มสีสันในชีวิตของเขา ทำให้ชีวิตของเราไม่เหงาและโดดเดียวอีกต่อไป
เฉียวซือเหิงยังคงทำหน้าไร้เดียงสา “มีหมาป่าและเสือจำนวนมากอยู่รอบ ๆ ตัวไป๋มู่ชิง แกคิดว่าเธอจะรอดพ้นจากอุบัติเหตุทางรถยนต์และอันตรายอื่น ๆ ได้เหรอ แกคิดว่าจูจูจะปล่อยเธอไปเหรอ แล้วหลินอันหนานอีกล่ะ? ถ้าลองคิดดูแกจะรู้ว่าอุบัติเหตุทางรถยนต์ของเธอนั้นเป็นโชคชะตาที่พลิกผัน จริงๆ มันเป็นอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่ทำให้เธอพ้นจากอันตราย ”
“อีกอย่างเด็กคนนั้น ถ้าฉันไม่พาไปด้วยก็คงถูกไป๋ยิ่งอันทรมานจนตายไปนานแล้ว จะมีโอกาสให้แกฉลองวันเกิดครบสามขวบของเธอหรือไง?
เฉียวซือเหิงมองไปที่เฉียวเฟิง และเมื่อเห็นว่าไม่มีการตอบรับใดๆ เขาก็หัวเราะขึ้นเบา ๆ “อาเฟิง ฉันรู้ว่าแกชอบมู่ชิง ตอนที่แกอยู่ในมหาวิทยาลัยแกด้อยกว่าที่จะไล่ตามเธอ ดังนั้นแกจึงเลือกที่จะติดตามเธอในเกมการแต่งงาน เรื่องพวกนี้พี่แกเห็นมันทั้งหมด ถึงแม้ว่าแกจะไม่ชอบฉันตั้งแต่เด็กๆ แต่ในวาระสุดท้ายของพ่อได้ฝากแกไว้กับฉัน ฉันจึงพยายามช่วยเหลือแกอย่างสุดกำลัง ตอบสนองทุกสิ่งที่แกต้องการ”
“ใช่ ฉันชอบมู่ชิง แต่ฉันไม่เคยอยากได้เธอเลย และไม่อยากได้เธอมาด้วยวิธีนี้ มันไม่ต่างอะไรจากโจรเลยไม่ใช่หรือไง ไม่ต่างอะไรกับจูจูและไป๋ยิ่งอัน” เฉียวเฟิงไม่เห็นด้วยกับเขา
เขาชอบมู่ชิงมาก ถ้าไม่ใช่เพราะขาทั้งสองข้างของเขา เขาคงกลับตามที่มหาวิทยาลัยนานแล้ว
“ทำไมถึงไม่อยากได้เธอล่ะ”เฉียวซือเหิงไม่อยากจะเชื่อหูของตัวเอง
“เพราะฉันปล่อยให้เธอแต่งงานกับคนพิการไม่ได้” น้ำเสียงเด็ดเดี่ยวของเขาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด
เฉียวซือเหิงขยับตัวเล็กน้อยและยื่นมือออกไปตบไหล่ “อาเฟิง มองโลกในแง่ดีหน่อยสิ ลองคิดดูสิว่เมื่อก่อนแกมีผู้หญิงมากมายมาจีบ แกเลือกหยิบดอกไม้มือสองขึ้นมากจากหมู่มวลดอกไม้นับพัน เธอต้องรู้สึกโชคดีสิถึงจะถูก …”
เฉียวซือเหิงสัมผัสถึงความโกรธของเฉียวเฟิงได้และรีบพูดว่า “ขอโทษควรเป็นไป๋มู่ชิงผู้หญิงคนนี้ ”
แม้จะแก้ไขคำพูดแล้วแต่ในใจกลับยังคิดว่าเป็นขสินค้ามือสองจริงๆ และยังเป็นสินค้ามือสองที่มีของแถมมาอีก
เพราะผู้หญิงคนนี้เพียงคนเดียว น้องชายคนนี้ของเขาปฏิบัติกับเธอเหมือนเป็นเด็กน้อย
“ถ้าพี่คิดว่าหนานกงเฉินเป็นเพื่อนจริงๆ ก็ควรจะบอกความจริงทุกอย่างกับเขา แต่ไม่นั่งเฝ้ารอผลประโยชน์อยู่แบบนี้” เฉียวเฟิงกัดฟันของเขาและพูดว่า “เห็นได้ชัดว่ากำลังแก้แค้นเขาเป็นเพราะเรื่องของพี่สะใภ้ พี่ไม่รักเธอ แต่กลับไม่ให้เธอมองคนอื่นบ้างพี่มันน่ากลัวเกินไป!”
มุมปากของเฉียวซือเหิงกระตุก เขาไม่อยากโกรธเฉียวเฟิง ดังนั้นเขาจึงยกนาฬิกาขึ้นเพื่อตรวจสอบเวลาและลุกขึ้นจากเก้าอี้ “ดึกแล้ว ฉันขอตัวกลับก่อน”
เฉียวเฟิงไม่ได้พูดอะไร เฉียวซือเหิงจึงหมุนตัวกลับออกไป
ดูรถของเฉียวซือเหิงที่ขับออกไปไกล เฉียวเฟิงดสูดลมหายใจในความมืด เขาไม่ได้กลับไปที่บ้าน แต่นั่งเงียบ ๆ ในสวน
ยังมีเค้กที่ยังกินไม่หมดเหลืออยู่บนโต๊ะอีกครึ่งหนึ่ง และเทียนยังละลายไม่หมด เขามองดูทั้งหมดนี้ฟังเสียงหัวเราะของเสียวหว่านชินที่ดังก้องราวกับสายฝนกระทบกระดิ่งเงินที่ดังมาจากในบ้าน มันให้ความรู้สึกเหมือนฝัน เขาไม่เคยฝันว่าวันหนึ่งเขาจะได้อยู่กับผู้หญิงที่เขาชอบ
เนื่องจากเขาเกิดมาจากพ่อเฉียวกับผู้หญิงข้างนอก แม่ของเขาเสียชีวิตตั้งแต่เขายังเด็ก เขาจึงอาศัยอยู่กับพี่เลี้ยง ไม่ได้รับความรักความเอาใจใส่ จนกระทั่งเขาประสบอุบัติเหตุ พ่อจึงพาเขากลับไปดูที่ตระกูลเฉียวตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
โดยปกติแล้วคุณนายเฉียวไม่สามารถทนกับลูกชายนอกกฎหมายของเขาได้ แม้ว่าเฉียวซือเหิงจะไม่ได้มีความรักที่ดีต่อเขามากนัก แต่ก็ปฏิบัติต่อเขาอย่างดีเป็นส่วนตัว โดยทั่วไปแล้วเขาสามารถให้อะไรก็ได้ที่เขาต้องการ
แม้แต่ผู้หญิงที่รัก เขาก็ยังทำให้มาอยู่ข้างกายได้!
เฉียวเฟิงนั่งอยู่คนเดียวในสวนเป็นเวลายี่สิบนาทีก่อนที่จะกลับไปที่บ้าน
เมื่อเขาเข้าไป ไป๋มู่ชิงที่เพิ่งกล่อมเสียวหว่านชิงนอนหลับ เธอเหลือบมองไปที่เฉียวเฟิงและถามว่า “พี่ล่ะ กลับไปแล้วเหรอ? ”
“อืม ไปแล้ว” เฉียวเฟิงเหลือบมองไปที่ห้องนอน “เสียวหว่านชิงหลับไปแล้วเหรอ?
“เล่นเยอะเกินไปหน่อยน่ะ กว่าจะนอนหลับ” ไป๋มู่ชิงยิ้มแล้วหันเดินไปที่ห้องน้ำเพื่อซักผ้าขนหนูอุ่น ๆ แล้วยื่นให้เขา “เช็ดหน้าก่อนเข้านอนกันเถอะ”
หลังจากเฉียวเฟิงหยิบผ้าขนหนูเช็ดหน้าและมือแล้วเขาก็เข็นรถเข็นไปที่ด้านข้างของเตียงช่วยเสียวหว่านชิงดึงผ้าห่มขึ้นเบา ๆ และดูใบหน้าที่หลับใหลของเธอ หันไปทางไป๋มู่ชิงและยิ้ม “คงเหนื่อยมาก หลับสนิทเชียว”
ไป๋มู่ชิงยิ้มและเดินไปช่วยเขาไปที่เตียง
เฉียวเฟิงกอดเธอไว้ในอ้อมแขนและขอให้เธอไปนอนกับเขา
ไป๋มู่ชิงยิ้มและกอดอก”ที่รัก ฉันต้องทำความสะอาดสวนก่อนถึงจะนอนได้”
“พรุ่งนี้ค่อยเก็บเถอะ วันนี้ดึกแล้ว” เฉียวเฟิงยกมือขึ้นเพื่อปิดไฟ ห้องมดลงทันทีและไป่มู่ชิงก็ต้องยอมแพ้ เธอเพียงแค่พิงแขนของเฉียวเฟิงและกอดเขาไว้
ห้องนอนเงียบสงัด เฉียวเฟิงลูบหลังของไป๋มู่ชิงและพูดออกมาเบา ๆ “หลิน ผมขอถามอะไรหน่อยได้ไหม? ”
“ถามมาสิ”
“ตอนนี้คุณมีความสุขไหม? ”
“แน่นอนว่าฉันมีความสุขสิคะ” ไป๋มู่ชิงเงยหน้าขึ้นและจ้องเขา “ทำไมจู่ๆ คุณถามแบบนี้ล่ะ? ”
“เปล่า… ผมแค่กังวลว่าคุณจะไม่ชินหลังจากกลับมาที่จีน”
“ทำไมล่ะ ฉันคิดว่าชีวิตในประเทศจีนดีกว่าในต่างประเทศมาก ฉันชอบประเทศจีนค่ะ” ไป๋มู่ชิงยิ้ม “ที่จริงมันไม่สำคัญว่าเราจะอยู่ที่ไหนสิ่งที่สำคัญที่สุดคือพวกเราสามคนพ่อแม่ลูกอยู่ได้กันอย่างมีความสุขในทุกๆ วันก็เพียงพอแล้ว”
“คุณคิดอย่างนั้นจริงๆ เหรอ?” เมื่อเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของเธอ ความรู้สึกผิดในใจของเฉียวเฟิงก็จางลงเล็กน้อย
ตลอดสองปีที่ผ่านมา เขาได้รับความทุกข์ทรมานจากบาป ในขณะที่มีความสุขเขารู้สึกเสมอว่าความสุขที่ขโมยมาเช่นนี้จะอยู่ไม่นานและสวรรค์ก็คงไม่ให้อภัยเขา
“คุณเป็นอะไรหรือเปล่า คุณคิดมากอีกแล้วใช่ไหม” ไป๋มู่ชิงมองเขาและพูดว่า “ฉันบอกคุณแล้วไม่ใช่เหรอคะว่าไม่ว่าขาทั้งสองข้างคุณจะเป็นยังไงฉันไม่แคร์ ฉันชอบคุณ เพราะคุณคือสามีของฉัน คือพ่อของหว่านชิง”
แม้ว่าเธอจะลืมอดีตไปแล้วว่าเธอและเฉียวเฟิงพบและรักกันได้อย่างไร แต่เธอจะไม่มีวันลืมสิ่งเล็กน้อยที่เขาทำให้เธอในช่วงสองปีที่ผ่านมา เมื่อสองปีก่อนเธอสูญเสียความทรงจำและรูปลักษณ์ของเธอ ในขณะที่ไม่สามารถหาทางออกได้ด้วยความสิ้นหวัง เขาคือคนที่ช่วยเธอจากความสิ้นหวังโดยไม่รังเกียจแม้แต่น้อย เขาเป็นคนที่ให้กำลังใจเธอ ไปรักษาพยาบาลในต่างประเทศกับเธอและช่วยให้เธอก้าวเดินอย่างยากลำบากบนเส้นทางสู่การฟื้นตัว …
หากไม่มีเขา เธอคงไม่มีชีวิตรอดและมีชีวิตที่ดีเช่นนี้ในวันนี้
ดังนั้นอย่าพูดว่าเขาพิการขา แม้ว่าเขาจะพิการจนเหลือเพียงลมหายใจ เธอก็จะไม่มีวันทอดทิ้งเขาอย่างแน่นอน
ในตอนเช้าไป๋มู่ชิงขับรถของเฉียวเฟิงไปที่โรงเรียนอนุบาล
ที่เบาะหลัง เฉียวเฟิงกำลังเล่าเสียวหว่านชิงเกี่ยวกับสโนโวท์ เสียวหว่านชิงที่นั่งอยู่ข้างๆ เฉียวเฟิงและถามอย่างสงสัย “พ่อคะ ทำไม สโนไวท์ถึงตายล่ะคะ? ”
“เพราะเธอกินแอปเปิลอาบยาพิษจากคนแปลกหน้า”
“น่าสงสารจังเลยค่ะ”
“งั้นเสียวหว่านชิงอย่ากินของจากคนแปลกหน้านะ อย่าคุยกับคนแปลกหน้ารู้ไหม?”
“รู้แล้วค่ะ หนูจะเป็นเจ้าหญิงที่ฉลาด”
“อืม เด็กดี”
ไป๋มู่ชิงเหลือบมองพ่อและลูกสาวที่เบาะหลังจากกระจกมองหลังและมุมริมฝีปากของเธอก็มีรอยยิ้มเล็ก ๆ ออกมาโดยไม่รู้ตัว
เธออาจหลงใหลในเทพนิยายของสโนว์ไวท์มากเกินไป จึงไม่สังเกตว่ามีไฟสีแดงอยู่ข้างหน้า เธอจึงรีบเบรกรถอย่างกะทันหัน
“โอ๊ย! ” แม้ว่าเสียวหว่านชิงจะใช้เก้าอี้นิรภัย แต่เธอก็ยังโดนกระแทกอย่างแรงและคิ้วของเธอขมวด “แม่ พ่อพูดหลายครั้งแล้วว่าให้ขับรถด้วยความระมัดระวังนะคะ”
“รู้แล้วจ้ะ แม่มองไม่เห็นไฟแดงน่ะ คราวหน้าจะระวังนะจ๊ะ”
“ก็ได้ค่ะ ครั้งนี้หนูกับพ่อจะยกโทษให้นะคะ แต่คราวหน้าระวังหน่อยนะคะ”
“เพคะ รู้แล้วค่ะ เจ้าหญิง …”
เฉียวเฟิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและกล่าวว่า “ที่รัก รถคันนี้ไม่เหมาะให้คุณขับ วันหลังผมจะไปซื้อรถอีกคันกับคุณนะ”
“ไม่เป็นไร ไม่ต้องเสียเงินหรอกค่ะ”
“การซื้อรถที่เหมาะกับคุณ เป็นสิ่งที่ดีสำหรับคุณและเสียวหว่านชิง ถือว่าเป็นของขวัญวันเกิดสำหรับคุณด้วย”
เมื่อนึกถึงเสียวหว่านชิง ไป๋มู่ชิงก็ไม่ปฏิเสธอีกต่อไปและพยักหน้า “ก็ได้ค่ะ วันหลังไปดูกันนะคะ”
รถหยุดที่ทางเข้าโรงเรียนอนุบาลเสียวหว่านชิงกระโดดลงจากรถแล้วหันกลับไปหาเฉียวเฟิงและพูดว่า “บ๊ายบายค่ะคุณพ่อ เลิกเรียนตอนบ่ายอย่าลืมมารับหนูนะคะ”
“พ่อจะมากับแม่นะ” เฉียวเฟิงยิ้มและโบกมือให้เธอ “บ๊ายบาย เจ้าหญิงน้อย”
ไป๋มู่ชิงพาเสียวหว่านชิงเข้าไปในชั้นเรียนเล็ก ๆ ของโรงเรียนอนุบาล เสียวหว่านชิงเริ่มทักทายครูจากระยะไกล ครูฟางทักทายเธอด้วยรอยยิ้มและจับมือน้อย ๆ ของเธอและถามว่า “เมื่อคืนกลับไปกินเค้กหรือยังจ๊ะ?”
“กินแล้วค่ะ วันนี้หนูใส่กระโปรงที่พ่อกับแม่ซื้อให้ด้วยค่ะ” เสี่ยวหว่านชิงหมุนตัวไปมาเพื่ออวดชุดกระโปรง
“อ๊ะ กระโปรงใหม่สวยจัง” ครูฟางชื่นชม
“ขอบคุณค่ะ คุณครู! ”
“เด็กดี เข้าไปสิจ๊ะ”
เสียวหว่านชิงเดินเข้าไปในห้องเรียนอย่างมีความสุข ครูฟางหันไปหาไป๋มู่ชิงและยิ้ม “คุณผู้หญิงเฉียวไม่ต้องกังวลเรื่องหว่านชิงแล้วนะคะ ฉันคิดว่าเธอค่อนข้างชินกับโรงเรียนใหม่ของเธอแล้วค่ะ”
“จริงเหรอคะ งั้นฉันก็โล่งใจค่ะ” ไป๋มู่ชิงเหลือบมองเสียวหว่านชิงในห้องเรียน “งั้นฉันจะออกไปก่อน โปรดรบกวนครูฟางดูแลหว่านชิงหน่อยนะคะ”
“แน่นอนค่ะ ไม่ต้องกังวล”
ไป๋มู่ชิงพยักหน้าและเมื่อเธอหันมาและกำลังจะจากไปครูฟางก็เรียกเธอว่า “จริงสิ คุณผู้หญิงเฉียว… ”
ไป๋มู่ชิงหันกลับมาและพูดว่า “มีอะไรอีกไหมคะ?ครูฟาง”
ครูฟางยิ้มและพูดว่า “คือแบบนี้ค่ะ สัปดาห์ที่แล้วหว่านชิงให้ภาพวาดกับฉันรูปหนึ่ง บอกว่าคุณเป็นคนวาดเอง ผู้อำนวยการโรงเรียนเราชอบมาก อยากถามคุณว่าสามารถยกให้โรงเรียนอนุบาลได้ไหมคะ? ”
“รูปหว่านชิงน่ะเหรอคะ? ”
“ใช่ค่ะ ทุกคนคิดว่ามันดูดีและชอบมันมาก”
ไป๋มู่ชิงคิดสักพักแล้วพยักหน้า “ได้ค่ะ ฝากขอบคุณผู้อำนวยการแทนฉันด้วยนะคะ ”
ครูฟางพยักหน้าอย่างมีความสุข “ได้ค่ะ”
ไป๋มู่ชิงยิ้มหันและเดินไปทางเข้าโรงเรียนอนุบาล
ในคฤหาสน์ตระกูลหนานกง ที่นั่งบนโต๊ะอาหารของไป๋มู่ชิงถูกแทนที่ด้วยจูจูในปัจจุบัน
เธอรินนมหนึ่งแก้วให้หนานกงเฉินอย่างตั้งใจและพูดเบา ๆ “เฉิน การดื่มนมมากขึ้นจะดีต่อสุขภาพของคุณนะคะ”
หนานกงเฉินไม่ได้พูดอะไร ในช่วงสองปีที่ผ่านมา เขาซึ่งเดิมเป็นคนไม่พูดเก่งอยู่แล้วกลับเงียบมากขึ้น เมื่อรับประทานอาหารกับทุกคนและการแสดงออกที่เย็นชาของเขาไม่ได้แสดงถึงความสุขความโกรธ ความเศร้าโศกและความสุข
จูจูเติมนมครึ่งแก้วให้กับคุณหญิงและยิ้ม “คุณย่าดื่มเยอะๆ หน่อยนะคะ”
คุณหญิงมองไปเห็นนิ้วนางข้างขวาของเธอซึ่งเปล่าเปลือยไม่มีแหวนอ ใบหน้าของเธอจมลงทันทีจ้องมองเขาและถามอย่างเย็นชาว่า “แหวนอยู่ที่ไหน เธอยังไม่สวมมันอีกเหรอ?”
จูจูตัวแข็งและรีบหดมือขวาและพูดอย่างรู้สึกผิด “ฉันขอโทษค่ะคุณย่า ฉันลืมมันไว้ที่อ่างล้างหน้า”
ในความเป็นจริงเธอไม่ได้ลืม แต่ทุกครั้งที่สวมแหวนเธอจะรู้สึกลุกลี้ลุกลน ฝันร้ายในตอนกลางคืนฝันว่าไป๋มู่ชิงจะล้างแค้นและทวงแหวนกลับคืน เธอเคยฝันแบบนี้มาแล้วมากกว่าหนึ่งครั้งและรู้สึกกลัวจนเหงื่อแตกทุกครั้ง
เธอกลัวแหวนวงนี้จึงซ่อนมันไว้ไกล ๆ ตอนนอนตอนกลางคืน และจะไม่สวมมันไว้ที่มือจนกว่าเธอจะต้องการมันจริงๆ!
“ฉันบอกเธอกี่ครั้งแล้วว่านี่คือแหวนแต่งงานที่ไม่สามารถถอดออกได้ ครั้งต่อไปถ้ายังทำแบบนี้อีกฉันจะโยนเธออกไปจากที่นี่! ” คุณหญิงขู่เตือน
จูจูรีบพยักหน้าและเห็นด้วย “ฉันทราบแล้วค่ะคุณย่า ครั้งหน้าฉันจะไม่ลืมค่ะ”
หนานกงเฉินกินอาหารไม่กี่คำก็ออกจากห้องอาหารขึ้นชั้นบนไป จูจูเห็นว่าเขาออกไปจึงรีบตามออกไปทันที
เธอเห็นหนานกงเฉิน เดินเข้าห้องนอนไป ขณะที่เธอกำลังจะเดินตามเข้าไปก็ก้มลงไปมองนิ้วที่เปลือยเปล่าไร้ซึ่งแหวนของเธอ จากนั้นจะกลับไปที่ห้องของตัวเอง หยิบแหวนออกมาจากลิ้นชักแล้วสวมไปที่นิ้ว พลางหวีผมที่หน้ากระจก จากนั้นจะออกไปที่ประตูห้อง
เธอเปิดประตูและเห็นหนานกงเฉินออกมาจากห้องนอนพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า เธอก้าวไปข้างหน้าและจับแขนของหนานกงเฉินพลางถามว่า “เฉิน วันนี้วันหยุด คุณ … ”
หนานกงเฉินยกนาฬิกาขึ้นและมองไปที่เวลานั้น จากนั้นเธอก็ขัดจังหวะและพูดว่า “วันนี้ฉันต้องไปพบลูกค้าคนสำคัญ”
“แล้วบ่ายนี้ล่ะ?”
“เล่นกอล์ฟกับลูกค้าตอนบ่าย” หนานกงเฉินมองไปที่เธอ “มีอะไรเหรอ? ”
“ไม่เป็นไรฉันแค่อยากไปเที่ยวกับคุณ” จูจูกะพริบตาและน้ำตาก็เริ่มเอ่อล้นขึ้นมา
ต้องไปเล่นกอล์ฟกับลูกค้าเนี่ยนะ นี่มันเป็นหน้าที่ของบอสใหญ่หรือไงกัน?
ตั้งแต่เกิดเรื่องกับไป๋มู่ชิง ถึงแม้ว่าเขาจะแต่งงานตามคำขอของคุณหญิง แต่เขาก็ยังคงเมินเฉยใส่เธอ เธอรู้ดีว่าหนานกงเฉินคิดว่าการตายของไป๋มู่ชิงเป็นความผิดของเธอ ไม่ว่าเธออธิบายหรือสัญญาอะไร ก็มิอาจเปลี่ยนแปลงความคิดทัศนคติของเขาที่มีต่อเธอได้เลย
แน่นอนว่าเขายังไม่เห็นด้วยกับคำขอของเธอในครั้งนี้ แต่พูดกับเธอว่า “คุณกับเสี่ยวหยวนสนิทกันไม่ใช่เหรอ ให้เขาพาไปซื้อของสิ”
เขามองลงไปที่มือเล็ก ๆ ที่เธอจับอยู่บนแขนของเขา และดวงตาของเขาก็มองลงไปที่แหวนหยกทองคำ
เขาเอื้อมมือไปบีบมือเล็ก ๆ ของเธอและเล่นกับแหวนเบา ๆ นิ้วของจูจูหนากว่าไป๋มู่ชิงแหวนนี้เต็มกว่าเมื่อสวมระหว่างนิ้วของเธอ แต่เธอสามารถสวมใส่และถอดได้ทุกเมื่อ แต่ไป๋มู่ชิงไม่สามารถถอดออกได้
จูจูเห็นเขาจ้องไปที่แหวนของเธอ เธอรู้ได้ทันทีว่าเขาต้องคิดถึงไป๋มู่ชิงอย่างแน่นอนและความรู้สึกอิจฉาก็พลุ่งพล่านในใจ เธอดึงนิ้วของเธอกลับจากฝ่ามือของเขาและยิ้ม”ถ้ารีบก็ไปเถอะค่ะ อย่าปล่อยให้ลูกค้ารอ ”
หนานกงเฉินได้สติกลับมาจึงยกมือขึ้นตบไหล่เธอ “การ์ดอยู่ที่เธอไม่ใช่เหรอ อยากซื้ออะไรก็เลือกเลย ฉันไปบริษัทก่อน”
หลังจากพูดเสร็จเขาก็หันหลังและเดินลงไปชั้นล่างอย่างรวดเร็ว
เมื่อดูหลังของเขาหายไปอย่างรวดเร็วในทางเดิน จูจูก็ถอดแหวนออกจากนิ้วนางอย่างหงุดหงิดและหันกลับไปที่ห้องนอน
หนานกงเฉินอยู่ในบริษัทเป็นเวลาหนึ่งวัน แต่ก็ยังไม่มีแผนที่จะออกไปเมื่อถึงเวลาเลิกงาน
ในช่วงสองปีที่ผ่านมาเลขาเหยียนเริ่มคุ้นเคยกับการไม่มีวันหยุดสุดสัปดาห์ไม่มีกลางวันและกลางคืน เธอรู้ว่าหนานกงเฉินจงใจหลบหนีจากผู้คนและสิ่งของในคฤหาสน์หลังเก่า แต่ในฐานะเลขา เธอไม่มีทางอื่นที่จะช่วยเขาได้นอกจากความเห็นอกเห็นใจ
เธอถอนหายใจเบา ๆ ยกมือขึ้นเคาะประตู “คุณชายเฉิน ถึงเวลาเลิกงาน แล้วก็ได้เวลากลับแล้วค่ะ”
หนานกงเฉินพยักหน้าลุกขึ้นปิดคอมพิวเตอร์และเดินไปที่ลิฟต์พร้อมกับเลขาเหยียน
เลขาเหยียนขับรถช้ามากในขณะที่มองเขาในกระจกมองหลังและถามว่า “คุณชายเฉิน คุณต้องการกลับไปที่คฤหาสน์หลังเก่าเพื่อทานอาหารเย็นหรือทานอาหารข้างนอกคะ? ”
“ข้างนอก”
“แล้วคุณอยากทานอะไรคะ ร้านอาหารฝรั่งเศสไหมคะ”
หนานกงเฉินจ้องมองออกไปนอกหน้าต่างและตกลงไปที่ร้านสุกี้ข้างโถงจัดกิจกรรมเยาวชนพลางพูดว่า “กินสุกี้ดีไหม? ”
เลขาเหยียนผงะไปครู่หนึ่งและมองเขาด้วยความประหลาดใจหนานกงเฉินไม่เคยกินสุกี้และอากาศก็ไม่เหมาะที่จะกินสุกี้ด้วย!
“คุณชายเฉิน สุกี้ควรกินในหน้าหนาวมากกว่านะคะ”
“งั้นกินร้านข้างๆ ก็ได้”
เลขาเหยียนเหลือบมองออกไปนอกหน้าต่าง ไม่มีร้านอาหารอื่นใดนอกจากโถงจัดกิจกรรมเยาวชน ซึ่งไม่ถือว่าเป็นร้านอาหารสุกี้ระดับไฮเอนด์ เธอลังเลและพูดว่า “คุณชายเฉิน มีร้านที่ดีกว่านี้อยู่ ให้ฉันไปกินเป็นเพื่อนไหมคะ”
“มู่ชิงบอกว่าร้านนี้อร่อย” หนานกงเฉินพูดออกมาอย่างเงียบ ๆ
เมื่อเลขาเหยียนได้ยินเขาพูดแบบนี้ ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก เพียงขับรถไปทางร้านสุกี้
แม้ในช่วงฤดูร้อนก็ยังมีคนจำนวนมากกินสุกี้ ดึงดูดสายตาผู้คนสองข้างทางให้มองเขาเลขาเหยียนเหลือบมองไปที่หนานกงเฉินคิดว่าเขาจะถอยหนี แต่เขาไม่คาดคิดว่าเขาจะไม่สนใจเลยราวกับว่าเขามองไม่เห็นสายตาแปลก ๆ ของทุกคนเขาก้าวไปยังที่นั่งว่าง ข้างใน
บังเอิญที่ครั้งนี้พวกเขานั่งที่ซึ่งเขาและไป๋มู่ชิงเคยนั่งด้วยกัน เมื่อเขาหลับตาลงเขาก็นึกถึงฉากกินสุกี้กับไป๋มู่ชิง นั่นเป็นครั้งแรกที่เขาได้กินสุกี้และเป็นครั้งแรกที่คิดว่าสุกี้ก็อร่อยอยู่เหมือนกัน
ทั้งๆ ที่เป็นสุกี้ที่อร่อย แต่คืนนี้กินแล้วไม่อร่อยเหมือนกันวันนั้น เขาจึงหยุดกิน
เลขาเหยียนมองไปที่เขาและถามว่า “คุณชายเฉินบอกว่าสุกี้ร้านนี้อร่อย แล้วทำไมไม่ทานต่อล่ะคะ?”
“บางทีอาจจะเปลี่ยนเจ้าของร้านแล้ว รสชาติไม่เหมือนเดิม” เขาวางตะเกียบลง
เลขาเหยียนมองไปที่สุกี้บนโต๊ะที่รสชาติดีมาก เธอเข้าใจดีว่าหนานกงเฉินกำลังคิดอะไรอยู่ เธอจึงวางตะเกียบลงแล้วพูดว่า “งั้นเปลี่ยนร้านเถอะค่ะ”
“ฉันอิ่มแล้ว เธอค่อยๆ กินเถอะ”
“ช่วงนี้ฉันลดน้ำหนักค่ะ” เลขาเหยียนหยิบทิชชู่เช็ดปากพลางยกมือขึ้นเพื่อเชิญบริกรจ่ายเงิน
หลังจะคิดเงินเสร็จ ทั้งสองก็เดินออกจากร้านสุกี้ หน้าประตูมีรถบรรทุกกำลังขนของลงอยู่ เลขาเหยียนมองดูรถของพวกเราที่ไม่สามารถขับออกไปได้ จึงทำได้เพียงบอกกับพนักงานขนของสองคนว่า “รบกวนพี่ทั้งสองขยับหน่อยได้ไหมคะ ฉันจะกลับรถ”
้
พนักงานขนของมองไปที่เธอจากนั้นก็พยักหน้าอย่างรีบร้อน “ขอโทษนะ โปรดรอสักครู่พวกเราจะเสร็จแล้วครับ”
“เร็วหน่อยนะคะ” เลขาเหยียนกังวลว่าหนานกงเฉินกำลังรออย่างใจร้อน
“ได้ครับ ยังเหลืออีกสองรูป” คนงานในรถเร่งความเร็วขึ้นตามที่เขาตอบ
ด้วยความเร่งรีบ จู่ๆ ภาพวาดชิ้นสุดท้ายก็หลุดออกจากกล่องและหล่นลงกับพื้นอย่างแรงและกรอบกระจกก็แตกกระจายไปทั่วพื้น
คนที่อยู่แถวนั้นถึงกับผงะและคนงานที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุก็ยิ่งตกตะลึงจ้องมองไปที่กรอบรูปที่แตกบนพื้นอย่างว่างเปล่า พี่คนงานข้างๆ เขายกมือขึ้นแล้วตบหัว “ทำอะไรของพวกนายเนี่ย เอาล่ะ ชดใช้มาซะ
คนงานที่ก่อเหตุขอโทษด้วยท่าทางเศร้าหมอง จากนั้นก้มลงหยิบภาพวาดสีน้ำมันในกองเศษกระจกและพบว่ามีช่องว่างยาวสิบเซนติเมตรถูกตัดออกในภาพวาดเขาเขย่าแก้วอย่างระมัดระวัง ในขณะที่ร้องไห้และถาม: “ผมจะทำยังไงดี ผมจะบอกบริษัทยังไง”
“ฉันอยากถามคุณเหมือนกันว่าจะทำยังไงถ้าเบื้องบนตรวจสอบละก็ฉันต้องรับผิดชอบมากกว่าคุณอีกนะ!” ผู้อาวุโสกว่าดุและมองไปที่งานแล้วพูดว่า“โชคดีที่มันไม่ใช่ของสะสมที่มีค่าอย่างอื่น ไม่งั้นต่อให้ขายคุณก็ชดใช้ไม่หมด!”
ด้วยเสียงเอะอะโวยวาย หนานกงเฉินที่กำลังขึ้นรถอดไม่ได้ที่จะมองลงมา สายตาของเขามองไปที่ภาพวาดสีน้ำมัน เพียงแค่แวบเดียวเท่านั้น
ภาพนี้เป็นภาพเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ อายุประมาณสามหรือสี่ขวบ เด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ มัดแกละสองข้าง น่ารัก ตาโตและใบหน้าที่สวยงามพร้อมรอยยิ้มสดใส ใบหน้านั้นช่างคุ้นเคยมาก สีหน้าของหนานกงเฉินเริ่มสงสัยขึ้นทีละน้อย
เหมือน เหมือนมากเกินไป!
คนงานทั้งสองกำลังจะเก็บภาพวาดและนำออกไป แต่หนานกงเฉินก้าวออกจากรถมาทันทีและพูดกับพวกเขาว่า “รบกวนรอสักครู่ครับ! ”
คนงานหันกลับมามองเขา
หนานกงเฉินมองลงไปที่ภาพวาดในมือของพวกเขาและกล่าวว่า “คุณช่วยเปิดภาพวาดให้ผมดูได้ไหม?”
คนงานคิดว่าเขาต้องรับผิดชอบ เพราะความเร่งรีบของเขาให้ขยับรถ เขาจึงเปิดภาพวาดอย่างระมัดระวัง คราวนี้หนานกงเฉินได้เห็นมันอย่างชัดเจนและเห็นได้ชัดว่าเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ในภาพวาดนั้นเหมือนกับจูจูตอนเด็กๆ ไม่มีผิดเพี้ยน
บนโลกนี้ยังมีคนที่หน้าเหมือนกันขนาดนี้เลยงั้นเหรอ?
เลขาเหยียนเห็นท่าทางผิดปกติของหนานกงเฉิน จึงตามลงมาดูภาพวาดในมือคนงานเช่นกัน เมื่อเธอเห็นภาพเด็กผู้หญิงในรูป เธออึ้งไปพักใหญ่ พร้อมชี้ไปที่รูปแล้วพูดว่า “นี่ … นี่ไม่ใช่ … ”
“คุณคิดว่ามันเหมือนกันไหม?” หนานกงเฉินบ่นพึมพำ
เลขาเหยียนเงยหน้าขึ้นและเหลือบมองเขาแล้วพยักหน้า “เหมือนมากจริงๆ ค่ะ”
ภาพวาดสีน้ำมันนี้มีชื่อว่า ความไร้เดียงสา ตกลงมันคืออะไรกันแน่นะ?
“อาจารย์ ฉันขอถามหน่อยได้ไหมว่าภาพวาดนี้มาจากไหน และเด็กผู้หญิงในภาพนี้คือใคร”
คนงานส่ายหัว “ผมไม่รู้ เหมือนว่าน่าจะเป็นผลงานจากโรงเรียนอนุบาลไหนสักแห่ง สุดสัปดาห์นี้มีงานนิทรรศการศิลปะสำหรับเด็กไม่ใช่เหรอ?”
“คุณขายภาพวาดให้ผมได้ไหม?” จู่ๆ หนานกงเฉินก็พูดขึ้น”ไม่สำคัญว่าจะราคาเท่าไหร่”
“หือ? ” คนงานจ้องเขาด้วยความประหลาดใจ
หนานกงเฉินสูดลมหายใจและพูดว่า “เอาแบบนี้เถอะ พวกคุณจะแจ้งว่าภาพสูญหายหรือแตกหักก็ได้แล้วแต่พวกคุณ ถ้าโดนปรับผมจะจ่ายให้เป็นสองเท่า” หนานกงเฉินหยิบภาพวาดสีน้ำมันจากมือพวกเขาออกไป
เลขาเหยียนยื่นนามบัตรให้หนานกงเฉิน “นี่คือนามบัตรของผม ถึงเวลานั้นแค่ไปหาผมที่บริษัทหนานกงกรุ๊ปก็พอแล้ว”
คนงานทั้งสองยังคงตกตะลึงจนกระทั่งหนานกงเฉินเข้าไปในรถและภาพวาดสีน้ำมันก็ขับรถออกไป พวกเขาถึงมีสติกลับมารีบวิ่งตามรถพลางตะโกน “เฮ้ … คนโกหกเหรอ … คืนภาพวาดให้ฉันนะ! ”
แม้ว่าจะไม่ใช่ภาพวาดที่มีค่า แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะบอกว่ามีคนเอาไป
กลับไปที่รถ หนานกงเฉินพิจารณาเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ในภาพวาดสีน้ำมันและความสงสัยของเขาก็มีมากขึ้น
เลขาเหยียนเหลือบมองเขาในกระจกมองหลังและพูดว่า “คุณชายเฉิน บนโลกนี้มีคนหน้าตาคล้ายกันเยอะแยะนะคะ ในทีวีก็ยังมีรายการคนหน้าเหมือนดาราไม่ใช่เหรอคะ?”
เลขาเหยียนพูดถูก มีหลายคนที่หน้าตาคล้าย ๆ กันในโลกนี้ แต่ไม่รู้ว่าทำไมเขาเห็นภาพวาดนี้ครั้งแรกหัวใจของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกแปลก ๆ ราวกับว่ามีบางอย่างดึงให้เขาไปดูเธอ
ในตอนเช้าเมื่อไป๋มู่ชิงเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เสียวหว่านชิง เสียวหว่านชิงชี้ไปที่ชุดสีแดงตัวเล็กบนตู้เสื้อผ้าแล้วพูดว่า “แม่คะ หนูอยากใส่ชุดสีแดงนั่น”
“อันไหนล่ะ? อันนี้เหรอ?” ไป๋มู่ชิงหยิบชุดสีแดงตัวเล็กและทาบบนตัวเธอ “ทำไมล่ะจ๊ะ? ชุดนี้มันเล็กไปหน่อยแล้วและมันก็ไม่สบายด้วย”
“เพราะกระโปรงตัวนี้เหมือนกับในภาพวาด เพื่อนๆ บอกว่ามันสวยค่ะ”
“อ้อ งั้นเราไปลองใส่กันนะจ๊ะ”
“ค่ะ”
ไป๋มู่ชิงช่วยเสียวหว่านชิงใส่ชุดสีแดง ส่วนเฉียวเฟิงซึ่งกำลังเก็บกระเป๋านักเรียนถามอย่างสงสัย “เพื่อนๆ จะเห็นภาพวาดหนูได้ยังไง?”
“เพราะฉันให้ภาพวาดกับครูไปค่ะ”
“คุณให้ภาพวาดกับครูทำไม? ”
“อาจารย์บอกว่าจะเอาภาพวาดไปจัดแสดงที่โถงจัดกิจกรรมเยาวชน”
“คุณพูดว่าอะไรนะ? ” สีหน้าของเฉียวเฟิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย
เมื่อเห็นสีหน้าของเขาเปลี่ยนไป ไป๋มู่ชิงก็รีบอธิบายว่า “ผู้อำนวยการน่าจะชอบ เขาจึงเลือกเสียวหว่านชิงเป็นนางฟ้าตัวน้อยของโรงเรียนอนุบาลเพื่อประชาสัมพันธ์การลงทะเบียน”
การแสดงออกบนใบหน้าของเฉียวเฟิงดูเคร่งขรึมขึ้นและไป่มู่ชิงก็เคร่งขรึมหันไปรอบ ๆ และจับฝ่ามือของเขาเพื่อมองไปที่เขา “คุณเป็นอะไรไป ไม่ได้เหรอคะ? ”
ตั้งแต่เธอจำความได้เฉียวเฟิงไม่เคยเปลี่ยนสีหน้าต่อหน้าเธอแบบนี้ แม้ว่าเธอจะตีเขาหรือกัดเขา เมื่อเธอรู้สึกไม่สบายใจในตอนแรกเขาก็เงียบ เกิดอะไรขึ้นกับเขาในวันนี้? คุณโกรธเพราะภาพวาดงั้นเหรอ?
เฉียวเฟิงคว้าฝ่ามือของเธอจ้องมองไปที่เธอด้วยใบหน้าที่จริงจังและพูดว่า “หว่านชิงไม่สามารถเป็นตัวแทนนางฟ้าได้ และห้ามเอาภาพวาดนั่นไปแสดงที่โถงจัดกิจกรรมเยาวชนด้วย ฟังชัดไหม? ”
ไป๋มู่ชิงถูกเขาบีบด้วยความเจ็บปวด เธอจ้องมองเขาด้วยความประหลาดใจและพยักหน้า “ฉันรู้ ฉัน … ฉันจะไปรับภาพวาดคืนในภายหลัง”
“อืม” เฉียวเฟิงรู้สึกว่าเขาบีบเธอแน่นเกินไปและรีบปล่อยฝ่ามือของเธอ ความตึงเครียดบนใบหน้าก็ผ่อนคลายลงและลูบผมของเธอแทนแล้วพูดว่า “ขอโทษนะหลิน ผมทำให้คุณเจ็บ”
“ไม่เป็นไร ไม่เจ็บค่ะ” ไป๋มู่ชิงยิ้ม