เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด – บทที่ 191 พบกันโดยบังเอิญ 2

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

ไป๋มู่ชิงชะงักไป พร้อมทั้งหันหน้ามองเขาแล้วถามขึ้นด้วยความสงสัยว่า : “คุณผู้ชายมีธุระอะไรหรือเปล่าคะ ?”

หนานกงเฉินตกตะลึงและรู้สึกสับสนงงงวยจนเกินไป สายตาของเขากวาดมองใบหน้าของไป๋มู่ชิงและเสียวหว่านชิงสลับกันไปมาไม่หยุด เหตุใดเขาจึงรู้สึกว่าผู้หญิงที่อยู่เบื้องหน้านี้มีความคุ้นหน้าคร่าตาเหลือเกินเช่นนี้ ? แถมยังเป็นใบหน้าที่อยู่ในความทรงจำตนด้วย สองแม่ลูกที่อยู่เบื้องหน้านี้เพียงแค่มองดูแวบแรกก็ทราบได้ทันทีว่าเป็นแม่ลูกกันจริง ๆ เพราะหน้าตาละม้ายคล้ายกันอย่างยิ่ง

เมื่อมองเห็นหน้าเธอ อยู่ ๆ เขาก็กำจัดความสงสัยทุกประการของตนเองออกทั้งหมด เด็กผู้หญิงที่ชื่อเฉียวหว่านชิงไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับจูจู แม่ของเธออยู่เบื้องหน้าเขาในเวลานี้แล้ว ! เขาไม่จำเป็นต้องไปสืบเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ในต่างประเทศของจูจูแล้ว

“คุณผู้ชายคะ เป็นอะไรไปคะ ?” ไป๋มู่ชิงพบว่าสีหน้าของเขาเปลี่ยนไป โดยสักพักก็เจ็บปวดสักพักก็อึดอัดใจ จึงรู้สึกเป็นห่วงเขาขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว หรือว่าอุบัติเหตุเมื่อสักครู่นี้เสียวหว่านไม่เป็นอะไร ครั้นเขาบาดเจ็บงั้นหรือ ?

หนานกงเฉินสงบสติอารมณ์พร้อมพูดขึ้นว่า : “คุณผู้หญิงครับ ผมขอถามชื่อของคุณหน่อยได้ไหมครับ เพราะว่าคุณหน้าเหมือนเพื่อนผมคนหนึ่ง”

ไป๋มู่ชิงถอนหายใจอย่างโล่งอก ที่แท้ก็คิดว่าเธอคุ้นหน้าคร่าตาจึงเรียกให้เธอหยุดเดินนี่เอง

เธอมองหน้าหนานกงเฉินที่อยู่เบื้องหน้า จากนั้นก็นึกย้อนความทรงจำว่าตนนั้นเคยรู้จักผู้ชายที่อยู่เบื้องหน้านี้หรือไม่ เพียงแค่นึกอยู่นานสองนานก็นึกไม่ออก กลับกลายเป็นว่าปวดศีรษะขึ้นมาเนื่องจากการนึกย้อนความทรงจำ เธอจึงตัดสินใจว่าไม่ต้องไปนึกจะเป็นการดีที่สุด คิดได้ดังนั้นเธอจึงส่งยิ้มให้เขาแล้วพูดว่า : “ฉันแซ่อี ขอถามหน่อยค่ะเพื่อนคนนั้นของคุณชื่อว่าอะไรคะ ?”

“เธอชื่อว่า……” หนานกงเฉินอ้าปากขึ้นอย่างลำบากใจ ครั้นผ่านมานานก็พูดไม่ออก……

เขาควรจะตอบเช่นไรดี ? มองดูแล้วเธอนั้นมีหน้าตาที่คล้ายกับท่านผู้หญิงจิ้ง และมีหน้าตาที่คล้ายกับจูจูตอนเด็ก สรุปแล้วเธอคือคนนั้นที่ปรากฏอยู่ภายในหัวของเขา

ไป๋มู่ชิงหุบยิ้ม จากนั้นก็พูดขึ้นอย่างเอือมละอา : “คุณผู้ชายคะ การคุยตีสนิทแบบนี้ไม่นิยมในปัจจุบันแล้วนะคะ”

เมื่อพูดจบเธอก็จูงมือเสียวหว่านชิงกลับหลังหันแล้วเดินจากไป ทิ้งไว้เพียงหนานกงเฉินที่กำลังตกอยู่ในภวังค์ความตกตะลึงและอึดอัดใจ

ทันใดนั้นเองเสียวหว่านชิงที่ถูกไป๋มู่ชิงจูงมือก็หันหน้ากลับมา จากนั้นก็โบกมือน้อย ๆ ให้หนานกงเฉิน : “ลาก่อนค่ะคุณลุง !”

ในที่สุดบนใบหน้าของหนานกงเฉินก็ผุดรอยยิ้มขึ้นมา และโบกมือกลับให้เธอ

ที่เลขาเหยียนพูดนั้นถูกต้อง เด็กน้อยที่ชื่อเฉียวหว่านชิงนี่น่ารักจริง ๆ ร่าเริงมาก เพียงพบกันครั้งแรกเขาก็ชอบเธอเข้าเสียแล้ว

ไป๋มู่ชิงพาเสียวหว่านชิงกลับบ้านจากนั้นก็อบรบยกใหญ่ เสียวหว่านชิงทราบว่าตนนั้นผิดไปแล้วจึงก้มหน้าก้มตาแล้วพูดขึ้นด้วยความรู้สึกผิดว่า : “คุณแม่คะ อยากโกรธเลยนะคะ ครั้งหน้าหว่านชิงจะไม่วิ่งไปทั่วอีกแล้วค่ะ ขอโทษนะคะ”

“ถ้าเกิดรถคันนั้นขับเร็วล่ะจะทำยังไง ? คงถูกชนแล้วบินเตลิดไปแล้วใช่ไหม ?” ไป๋มู่ชิงยังคงพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจ : “โชคดีนะที่ช่วงเวลาเลิกเรียนรถที่ผ่านไปผ่านมาขับช้า ไม่อย่างนั้น……”

เธอไม่ได้พูดต่อไป และไม่กล้าไปคิดผลลัพธ์ที่จะตามมาด้วย

เฉียวเฟิงที่อยู่ข้าง ๆ ลูบหัวของเสียวหว่านชิงไปพร้อมพูดข้างใบหูของเธอว่า : “คุณแม่ก็แค่เป็นห่วงหนูน่ะ ให้อภัยแม่นะ”

“หนูรู้ค่ะ” เสียวหว่านชิงโน้มมากระซิบข้างใบหูเขากลับ : “แต่ว่าดูแล้วคุณแม่ดุมากเลยนะคะ”

“จริงจังหน่อยสิ ห้ามคุยกระซิบกระซาบกัน !” ไป๋มู่ชิงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงดุดัน

เสียวหว่านชิงสะดุ้งเฮือก จากนั้นก็ยืนตรงรับการลงโทษต่อไป

เฉียวเฟิงจึงพูดปลอบประโยนขึ้นด้วยรอยยิ้ม : “หลิน เสียวหว่านชิงพูดขอโทษแล้วไง รับผิดแล้วด้วย คุณยกโทษให้ลูกเถอะนะ”

ไป๋มู่ชิงถอนหายใจเฮือก เธอเองก็ไม่ได้ตั้งใจจะดุเช่นนี้ เพียงแค่ถ้าตอนนี้ไม่ดุลูกบ้าง และหากครั้งหน้าลูกวิ่งซี้ซั้วไม่ดูทางอีก ไม่แน่ว่าอาจจะไม่โชคดีเหมือนอย่างวันนี้ก็เป็นได้

“ใครที่มันขับรถไม่ดูตาม้าตาเรือชนเสียวหว่านชิงลูกเราเนี่ย ?” เฉียวเฟิงถาม

“ไม่รู้จักค่ะ” ไป๋มู่ชิงนำไม้ไผ่วางบนโต๊ะจากนั้นก็พูดขึ้น

“คุณลุงหน้าหล่อค่ะ” เสียวหว่านชิงพูดแทรกขึ้น

“หืม ? หล่อแค่ไหน ?”

“หล่อเท่าคุณพ่อเลยค่ะ เขาจีบคุณแม่ด้วยนะคะ”

ไป๋มู่ชิงมองเธอด้วยหางตาทันควัน จากนั้นเสียวหว่านชิงก็กลับไปยังมุมห้องยืนแนบชิดกำแพงอีกครั้ง

“นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ ?” เฉียวเฟิงยื่นมือมาจับคางไป๋มู่ชิง : “ใครมันไม่กลัวตายกล้ามาคุยจีบภรรยาของผมกัน ? แล้วคุณทิ้งเบอร์โทรไว้ให้มันหรือเปล่า ?”

“ไม่อยู่แล้วค่ะ” ไป๋มู่ชิงส่ายหน้า : “เขาแค่บอกว่าฉันหน้าคล้ายเพื่อคนหนึ่งของเขา เลยถามชื่อฉันเท่านั้นแหละค่ะ หลังจากที่ฉันบอกเขาไปว่าฉันแซ่อี เขาก็ไม่ได้พูดอะไรต่อแล้ว”

“เขาบอกไหมว่าเพื่อนของเขาชื่อว่าอะไร ?”

“เปล่าค่ะ” ไป๋มู่ชิงพูดจบ อยู่ ๆ ก็ถามเขาด้วยสีหน้าสงสัย : “เฟิงคะ คุณคิดว่าเขาจะเป็นคนที่ฉันรู้จักเมื่อก่อนหรือเปล่าคะ ? เพราะว่าตอนที่ฉันเจอหน้าเขาครั้งแรกก็มีความรู้สึกคุ้นหน้าคร่าตาเหมือนรู้จักกันมาก่อน แต่ว่าฉันนึกไม่ออกเลยว่าเขาเป็นใคร”

เมื่อเฉียวเฟิงได้ยินที่เธอพูดจึงครุ่นคิดสักครู่แล้วส่ายหน้า : “น่าจะไม่นะ เพื่อนที่คุณรู้จักกันในเมืองซีไม่เยอะเท่าไหร่”

ขณะที่พูดประโยคนี้จบ เขาก็เข้าสู่ภวังค์แห่งความคิดทันที

หน้าตาของไป๋มู่ชิงในปัจจุบันนี้นั้นไม่เหมือนกับเมื่อสองปีก่อนโดยสิ้นเชิง ควรไม่มีใครที่รู้จักเธอถึงจะถูกต้อง เหตุใดจึงมีคนมาคุยเล่นกับเธอแล้วบอกว่าเหมือนเพื่อนของเขากัน ? หรือว่าจะเป็นข้ออ้างในการมาคุยตีสนิทเฉย ๆ ?

ตอนเช้า หลังจากที่เลขาเหยียนกล่าวรายงานเสร็จแล้วก็ได้มองหน้าแล้วพูดกับหนานกงเฉินว่า : “คุณชายเฉินคะ ฉันทราบชีวิตความเป็นอยู่ในต่างประเทศของนายหญิงน้อยในตอนนั้นมาคร่าว ๆ แล้วค่ะ ฉันถามเพื่อนและเพื่อนบ้านที่อยู่ต่างประเทศของเธอมา ทุกคนต่างก็บอกว่าเธอไม่เคยมีแฟนเลย และไม่เคยตั้งท้องด้วยค่ะ”

หนานกงเฉินพยักหน้า เลขาเหยียนพูดต่อไปว่า : “หรือว่าให้ฉันไปสืบดูอีก……”

“ไม่ต้องแล้ว” หนานกงเฉินพูดตัดบทเธอ

“ไม่ต้องเหรอคะ ? ทำไมคะ ?” เลขาเหยียนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ

“เด็กคนนั้นไม่ใช่ลูกของเธอหรอก”

“คุณชายเฉินคะ ทำไมอยู่ ๆ คุณถึงได้มั่นใจขนาดนี้คะ ?”

“เพราะว่าฉันเจอหน้าแม่ของเด็กแล้ว”

“ถ้างั้น……ทำไมอยู่ ๆ คุณถึงมั่นใจว่าเธอคนนั้นเป็นแม่แท้ ๆ ของเฉียวหว่านชิงล่ะคะ ?”

หนานกงเฉินเงียบไปชั่วครู่จากนั้นก็พูดขึ้น : “เพราะว่าเฉียวหว่านชิงหน้าเหมือนแม่ของเธอมาก ๆ จะต้องเป็นแม่ลูกกันแท้ ๆ แน่นอน” เมื่อนึกถึงผู้หญิงใบหน้าที่คุ้นหน้าคุ้นตาผู้นั้นแล้ว ในใจของหนานกงเฉินก็มีความรู้สึกที่แปลกประหลาดผุดขึ้นมาอย่างกะทันหัน

หลังจากที่ไป๋มู่ชิงเสียชีวิตแล้ว หัวใจของเขาก็ตายตามไปด้วย สองปีที่ผ่านมานี้ไม่มีผู้ใดเลยที่ทำให้เขาเกิดความรู้สึกเช่นนี้มาก่อน แม้แต่มองหน้าก็ไม่อยากมอง ยกเว้นเสียแต่ครานี้ ที่อยู่ ๆ ก็มีผู้หญิงที่มาจากต่างประเทศปรากฏออกมา !

เลขาเหยียนถอนหายใจอย่างโล่งอก พร้อมยิ้มขึ้น : “เห็นทีว่าคงเป็นแค่คนหน้าเหมือนเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับนายหญิงน้อยเลย คุณชายเฉินคุณสบายใจได้แล้วนะคะ”

“อืม” หนานกงเฉินพยักหน้า

เมื่อจูจูตื่นขึ้นมา จึงเดินมาตรงระเบียงก็มองเห็นคุณผู้หญิงที่กำลังดื่มน้ำชายามบ่ายอยู่ภายในสวนดอกไม้

เธอกัดริมฝีปากและหันหลังกลับห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้า จากนั้นก็หยิบแหวนออกมาจากลิ้นชักแล้วสวมใส่นิ้วนาง จากนั้นก็สาวเท้าเดินลงไปชั้นล่าง

อาจเป็นเพราะปีนั้นเธอได้จากหนานกงเฉินไปด้วยเหตุผลส่วนตัว จึงทำให้คุณผู้หญิงไม่ชอบหน้าเธอเท่าไรนัก สองปีมานี้เธอคิดหาวิธีในการเอาใจท่านทุกวิถีทางเพื่อที่จะได้รับความรักความเอ็นดูจากคุณผู้หญิง โชคดีที่ผลลัพธ์นั้นถือว่าไม่เลว คุณผู้หญิงปฏิบัติกับเธอดีขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด

“คุณย่าคะ ตื่นนอนจากการพักผ่อนกลางวันแล้วเหรอคะ ?” เธอยิ้มร่าเริงเดินเข้าไปนั่งอยู่ข้างลำตัวของคุณผู้หญิง จากนั้นก็รินน้ำชาให้คุณผู้หญิงเต็มแก้วพร้อมทั้งรินชาหอมเพื่อสุขภาพให้ตัวเองด้วยหนึ่งแก้ว

คุณผู้หญิงพูด ‘อืม’ หนึ่งคำ พร้อมมองหน้าเธอ : “ทำไมถึงทำหน้าเบื่อหน่ายแบบนี้ล่ะ ? นอนไม่พอหรือไง ?”

จูจูยกมือขึ้นลูบใบหน้าตัวเองแล้วส่ายหน้า : “เปล่านะคะ หนูเพิ่งตื่นค่ะ”

“ทะเลาะกับเฉินเหรอ ?” คุณผู้หญิงถามขึ้นอีก

จูจูส่ายหน้าเช่นเคย : “เปล่าค่ะ เฉินเขาไม่ทะเลาะกับหนูหรอกค่ะ”

ระหว่างเธอกับหนานกงเฉินนั้นสงบเงียบ แม้แต่โอกาสในการทะเลาะกันก็ไม่เคยมีมาก่อน แค่คิดถึงเรื่องนี้แล้วก็รู้สึกพ่ายแพ้อย่างบอกไม่ถูก

คุณผู้หญิงถอนหายใจเฮือก จากนั้นก็หยิบขนมหวานขึ้นมาจากจานแล้วกัดเข้าหนึ่งคำ พร้อมพูดขึ้นต่อว่า : “นิสัยแบบนั้นของเฉิน……ฉันเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ฉันยังไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเขาต้องชอบนังขี้โกหกไป๋มู่ชิงขนาดนั้นด้วย และมองไม่ออกว่าไป๋มู่ชิงมันมีส่วนที่น่าดึงดูดตรงไหน”

“เรื่องนี้น่าจะเป็นเพราะความรักทำให้โลกเป็นสีชมพูละมั้งคะ” จูจูยิ้มขึ้นอย่างเอือมละอา

“ความรู้สึกต้องค่อย ๆ บ่มเพาะมันขึ้นมานะ ตอนแรกเขาก็ไม่ชอบไป๋มู่ชิงเหมือนกัน เมื่อเวลาผ่านมาก็เริ่มชอบเข้าแล้ว” คุณผู้หญิงกล่าว : “เธอต้องมีความอดทนรอเขาไปช้า ๆ ก็เหมือนกับตอนแรกที่ไป๋มู่ชิงรอให้เขาลืมเธอให้ได้นั่นแหละ”

“คุณย่าคะ หนูทราบค่ะหนูจะรอคอยอย่างช้า ๆ นะคะ ไม่ว่าจะกี่ปี” จูจูยกแก้วน้ำชาขึ้นมาดื่มอย่างช้า ๆ ดื่มไปหลายอึก ภายในใจก็ครุ่นคิดว่าควรจะปริปากพูดหัวข้อสนทนาต่อไปกับคุณผู้หญิงเช่นไรดี หลังจากผ่านมาเนิ่นนานเธอจึงวางแก้วน้ำชาลงบนโต๊ะ จากนั้นก็มองหน้าคุณผู้หญิงแล้วพูดขึ้นอย่างระมัดระวัง : “คุณย่าคะ คุณย่าอยากอุ้มหลานไหมคะ ?”

คุณผู้หญิงที่กำลังดื่มน้ำชาอยู่จึงเงยหน้าขึ้นมามองเธอทันที จูจูจึงรีบพูดขึ้นทันควัน : “หนูคิดว่าถือโอกาสตอนที่หนูกับเฉินยังมีอายุไม่เยอะ จากนี้ไปถ้าอายุเยอะแล้วก็คงจะมีลูกยากขึ้นน่ะค่ะ”

เธอรู้สึกแปลกใจมากว่า เหตุใดทั้งที่เธอแต่งงานมาสองปีกว่าแล้วคุณผู้หญิงจึงไม่เคยพูดเรื่องตั้งครรภ์กับเธอเลย และไม่เคยสนใจด้วยว่าเธอจะตั้งครรภ์หรือยังด้วย เหล่าบรรดาคุณผู้หญิงเศรษฐีทั้งหลายไม่ใช่ว่าเฝ้ารอคอยทั้งวันทั้งคืนอยากให้ตนนั้นมีลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมืองหรอกหรือ ?

คุณผู้หญิงวางแก้วน้ำชาลงอย่างช้า ๆ หลังจากที่ลังเลไปชั่วครู่จึงพูดขึ้นว่า : “เธอน่าจะรู้ดีนะว่ามู่ชิงเคยมีลูกหนึ่งคนซึ่งเป็นลูกที่ไม่สมประกอบ ตอนที่ลูกเสียชีวิตลงทำให้ทุกคนสะเทือนใจเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเฉิน เพราะฉะนั้น……” เธอส่ายหน้า ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความทุกข์ทรมานใจ : “ช่างเถอะ รอให้ร่างกายของเขาแข็งแรงโดยสมบูรณ์แล้วค่อยว่ากัน”

จูจูพูดขึ้นต่อด้วยน้ำเสียงร้อนรนใจ : “เรื่องเมื่อก่อนอาจเป็นเพราะความบังเอิญพอดี ไม่เกี่ยวกับโรคของเฉินก็ได้นะคะ”

“ไม่ คุณหมอบอกแล้วว่ามันเกี่ยวข้องกับโรคของเขาโดยตรง ตอนนั้นที่มู่ชิงตั้งครรภ์เฉินไม่ยอมให้เธอคลอดออกมา แต่ว่าเธอเป็นตายร้ายดีก็จะคลอดออกมาให้ได้ ผลสุดท้ายก็คลอดทารกไม่สมประกอบมีโรคออกมา”

“ถ้างั้น……ต้องรอถึงกี่ปีคะ ?” จูจูฉีกยิ้มขึ้นด้วยความเอาอกเอาใจ : “คุณย่าคะ หนูชอบเด็กน่ะค่ะ เพราะงั้น……”

“รอให้โรคของเฉินหายดีโดยสมบูรณ์แล้ว หรือตอนที่ไม่มีอาการป่วยกำเริบอีกก็พอแล้วละ” คุณผู้หญิงกล่าว : “เธอก็เห็นว่าเฉินอาการกำเริบน้อยครั้งมาก อดทนรอไปก่อนนะ รอจนกว่าเขาจะหายดี ถึงเวลานั้นเธอไม่ต้องพูดเองเลย ฉันจะบังคับให้เขารีบมีหลานให้ฉันเร็ว ๆ เอง”

คุณผู้หญิงพูดจบก็ยิ้มขึ้นมา จากนั้นก็ก้มหน้าดื่มน้ำชาต่อด้วยรอยยิ้ม

เมื่อคุณผู้หญิงพูดมาเช่นนั้นจูจูจึงจนปัญญา ทำได้เพียงล้มเลิกความตั้งใจที่จะใช้ประโยชน์จากเธอในการช่วยตนสนองความต้องการ

ถ้าหากคุณผู้หญิงหวงแหนหลานชายแล้วนั้น คงเร่งรัดหนานกงเฉินให้เขารีบมีลูกเร็ว ๆ เช่นนั้นหากหนานกงเฉินไม่อยากแตะต้องตัวเธอก็คงไม่ได้แล้ว

หลังจากที่อยู่เป็นเพื่อนคุณผู้หญิงในสวนดอกไม้มานาน จูจูจึงลุกขึ้นแล้วเดินกลับเข้าห้องไป

เมื่อเห็นแผ่นหลังของเธอเดินจากไปแล้ว คุณผู้หญิงจึงหัวเราะขึ้นเยือกเย็น : “นังหนู จะมาใช้อุบายหลอกล่อฉันงั้นเหรอ อ่อนหัดไปหน่อยนะ”

พี่เหอโน้มตัวรินน้ำชาให้เธอเต็มแก้วด้วยรอยยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า :“คุณผู้หญิงคะ ฉันเห็นว่าอาการป่วยของคุณชายใหญ่ก็ดีขึ้นมาแล้ว ต้องยกความดีความชอบให้นายหญิงน้อยคนใหม่จริง ๆ บางทีเมื่อผ่านไปครบสามปีอาการป่วยของคุณชายใหญ่คงหายดีโดยสมบูรณ์แล้วแน่ ๆ เพราะงั้นก็ไม่ต้องสนใจเรื่องของท่านผู้หญิงจิ้งแล้วละค่ะ”

“หวังว่าจะเป็นอย่างนั้นก็แล้วกัน” คุณผู้หญิงถอนหายใจ

พี่เหอพูดขึ้นอีกว่า : “เพราะงั้นทำไมคุณถึงไม่ให้โอกาสเธอมีลูกล่ะคะ ? ที่เธอพูดก็ถูกนะคะ อายุของเธอกับคุณชายเฉินก็ไม่น้อยแล้วถ้าไม่มีลูกตอนนี้ ในอนาคตคงมีลูกยาก”

“แล้วถ้าเกิดว่าเรื่องท่านผู้หญิงจิ้งจัดการไม่ลงตัวล่ะ ?” คุณผู้หญิงถามย้อนกลับ

“อืม……เรื่องนี้มัน……” พี่เหอส่ายหน้า : “เรื่องนี้มันพูดยากจริง ๆ ค่ะ”

“เพราะงั้นผ่านมาสองปีแล้ว รออีกปีมันจะเป็นไรไป รอให้เรื่องของท่านผู้หญิงจิ้งผ่านไปโดยสิ้นเชิงก่อนแล้วค่อยตัดสินใจว่าจะให้โอกาสเธอมีลูกหรือเปล่าก็ย่อมได้”

“ค่ะ ที่คุณผู้หญิงพูดมีเหตุผล ถึงยังไงเวลาหนึ่งปีก็ไม่ถือว่านาน”

คุณผู้หญิงเงียบไปชั่วครู่ จากนั้นก็หัวเราะเยือกเย็นขึ้นมา : “ดูจากครอบครัวและการอบรมเลี้ยงดูแบบนั้นของเธอ ฉันมองว่าแม้แต่ไป๋มู่ชิงก็ไม่เทียบเท่า ฉันไม่อยากให้เธอมีหลานให้ฉันหรอก”

“ใครใช้ให้เธอเป็นคนที่โชคชะตากำหนดของคุณชายใหญ่ล่ะคะ?” พี่เหอยิ้มพร้อมพูดปลอบประโยน : “คุณผู้หญิงทำใจให้กว้าง ๆ แล้วลืมองค์ประกอบที่ไม่ดีเหล่านั้นของเธอเถอะค่ะ”

บนระเบียงชั้นสอง จูจูกำลังยืนกัดริมฝีปากแดงก่ำของตนเองแน่น พร้อมเงี่ยหูฟังบทสนทนาของทั้งสองคนอยู่

เธอไม่ทราบว่าท่านผู้หญิงจิ้งคือใคร ทว่าประโยคสุดท้ายของคุณผู้หญิงทำให้เธอไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง ที่บอกว่าเธอไม่เทียบเท่าไป๋มู่ชิงงั้นหรือ ? ประเด็นนี้เธอไม่ยอมรับเด็ดขาด สิ่งที่น่าเศร้าก็คือ……แม้จะไม่ยอมรับแล้วจะทำอะไรได้ ? เธอจะทำอะไรคุณผู้หญิงได้ ?

เธอหันหลังเดินกลับเข้าห้องนอนตนเองด้วยความโมโห จากนั้นก็ต้องตกใจเข้ากับผู่เหลียนเหยาที่ไม่ทราบว่ามายืนอยู่ด้านหลังตนเมื่อไร

เธอชะงักไปชั่วครู่จากนั้นก็ตบหน้าอกแล้วพูดขึ้นว่า : “เหลียนเหยา ทำฉันตกใจหมดเลย”

“ขวัญอ่อนจังเลยนะ” ผู่เหลียนเหยายิ้มพลางเคลื่อนวีลแชร์ไปเบื้องหน้าเธอ จากนั้นก็มองลงไปยังสวนดอกไม้ด้านนอก และพูดปลอบใจเธอด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า : “คำพูดของคุณย่าพี่อย่าเก็บเอามาใส่ใจเลย คุณย่าก็เป็นแบบนั้นแหละไม่ยอมรับใครง่าย ๆ”

ที่แท้เธอก็ได้ยินเช่นกัน จูจูจึงถอนหายใจอย่างเอือมละอา พร้อมพูดขึ้นว่า : “ฉันรู้ ก็แค่ผ่านมาสองปีแล้วคุณย่ายังไม่ชอบฉันเหมือนเดิม แถมยังคิดว่าฉันไม่มีสิทธิ์ที่จะมีลูกให้ตระกูลหนานกงอีกด้วย เรื่องนี้ทำลายศักดิ์ศรีของฉันจริง ๆ”

“อดทนไปก่อนเถอะค่ะ ตอนนั้นที่ไป๋มู่ชิงอยู่บ้านหลังนี้เธอก็อยู่ยากเหมือนกัน แถมคุณย่ายังไม่ชอบขี้หน้ามากกว่าพี่ตอนนี้อีก”

“ไม่ หล่อนไม่เหมือนกับฉัน หล่อนได้รับความรักความเอาใจจากคุณชายใหญ่”

“ก็จริงนะ……” ผู่เหลียนเหยาถอนหายใจแล้วพูดขึ้นมา : “มีคุณชายใหญ่รักและเอาใจอยู่ ต่อให้คุณย่าจะตีจะด่าเธอทุกวัน ฉันเห็นเธอก็มีชีวิตที่มีความสุขดี เพราะงั้นการเอาใจคุณย่าคือข้อรองลงมา เพราะงั้นพี่จะต้องเอาชนะใจของคุณชายใหญ่ให้ได้ก่อน”

จูจูพยักหน้า เรื่องเหล่านี้เธอทราบดี เพียงแค่หัวใจของหนานกงเฉินราวกับถูกซ่อนไว้ในเตาเผาน้ำแข็งพันปีอย่างไรอย่างนั้น เธอไม่สามารถที่จะทำให้เขาอบอุ่นหรือเปลี่ยนแปลงเขาได้เลยแม้แต่น้อย !

เธอยิ้มขึ้นอย่างขมขื่น สายตาที่มองเธอนั้นก็ค่อย ๆ ปรากฏความอิจฉาขึ้นมา : “เหลียนเหยา ฉันอิจฉาเธอมากจริง ๆ เลยนะ ไม่ว่าจะผ่านมากี่ปี ไม่ว่าเธอจะกลายเป็นสภาพไหน เซิ่งเคอก็ยังรักเธอเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน บางทีฉันก็คิดนะว่าถ้าเธอจากไปหกปีเซิ่งเคอจะเปลี่ยนใจไปรักผู้หญิงคนอื่นเหมือนคุณชายใหญ่หรือเปล่า ?”

“เรื่องนี้……มันก็พูดยาก” ผู่เหลียนเหยายิ้มขึ้นมา : “ถึงยังไงจนถึงตอนนี้เซิ่งเคอก็ไม่เคยเปลี่ยนใจเลย ก็แค่ไม่รู้ว่าต่อจากนี้ไปจะเป็นยังไงเท่านั้น”

“เขาจะต้องไม่ทำอย่างนั้นหรอก ผู้ชายทุกคนคงไม่ใจร้ายเหมือนกับคุณชายใหญ่หรอก” จูจูเดินเข้ามาประคองวีลแชร์ของเธอ : “ไปกันเถอะ ได้เวลาลงไปทานข้าวแล้ว”

“ดูเหมือนว่าพี่จะรู้สึกไม่ดีกับคุณชายใหญ่มากจริง ๆ”

จูจูยิ้มขึ้นอย่างเอือมละอา รู้สึกไม่ดีแล้วจะทำอะไรได้ หนานกงเฉินไม่เคยสนใจความรู้สึกของเธอเลยด้วยซ้ำ !

ทั้งสองคนลงมาชั้นหนึ่งพร้อมกัน และประจวบกับเจอหนานกงเฉินที่กลับมาจากด้านนอกพอดิบพอดี

จูจูจึงกล่าวทักทายเขาอย่างร่าเริง : “เฉินคะ ทำไมวันนี้คุณกลับมาเร็วขนาดนี้คะ ?”

หนานกงเฉินมองใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้มของเธอ แสงสว่างจากด้านนอกสาดส่องเข้ามากระทบใบหน้าของเธอ ทำให้ใบหน้าของเธอสว่างขึ้นมา ทันใดนั้นเองเขาก็นึกถึงภาพวาดรูปนั้น เด็กผู้หญิงที่ชื่อว่าเฉียวหว่านชิง

มีช่วงหนึ่งที่เขาคิดว่าเด็กคนนั้นเป็นลูกที่เธอคลอดตอนอยู่ต่างประเทศและปิดบังเขาไว้ ดูเหมือนว่าเขาจะเข้าใจผิดจริง ๆ จูจูที่อยู่เบื้องหน้าเขานั้นไม่ว่าจะมองยังไงก็ไม่คล้ายผู้หญิงที่เคยคลอดลูกมาก่อนแม้แต่น้อย !

น่าจะเนื่องจากมีความรู้สึกละอายใจ ทำให้บนใบหน้าของเขานั้นมีความห่างเหินลดน้อยลงจากที่เคยผ่านมา เขาพยักหน้าให้เธอแล้วพูดขึ้นว่า : “วันนี้ธุระที่บริษัทมีไม่มากน่ะ”

“พี่คะ ดูเหมือนว่าพี่ทั้งสองคนจะมีโทรจิตเลยนะคะเนี่ย” ผู่เหลียนเหยาหัวเราะคิกคักแล้วพูดขึ้นว่า : “เมื่อกี้พี่สะใภ้เพิ่งร้องทุกข์กับฉันอยู่เลยว่าพี่ไม่สนใจเธอเท่าไหร่ แถมยังถามฉันว่าถ้าฉันหายไปหกปี เซิ่งเคอจะไปรักผู้หญิงคนอื่นเหมือนพี่หรือเปล่า ฉันว่านะ……คำถามนี้ต้องถามเซิ่งเคอถึงจะถูก”

“เหลียนเหยา……” จูจูเรียกชื่อเสียงต่ำพร้อมใช้มือผลักไหล่ของผู่เหลียนเหยา

หนานกงเฉินมองหน้าจูจูแวบหนึ่ง ครั้นไม่ได้กล่าวอันใดต่อ

ทันใดนั้นเองด้านนอกก็มีเสียงคนดังขึ้นมา : “ที่รัก ต้องถามด้วยเหรอ ? ไม่ใช่ว่าเธอไม่เคยจากไปสักหน่อย”

เวลาต่อมาเซิ่งเคอเดินเข้ามาอยู่เบื้องหน้าผู่เหลียนเหยาพร้อมทั้งยิ้มขึ้นอย่างร่าเริง จากนั้นก็โน้มตัวลงพรมจูบไปยังหน้าผากของเธอ พร้อมทั้งกล่าวตำหนิ : “เธอนี่มันเด็กไม่มีสามัญสำนึก”

ผู่เหลียนเหยาโต้ตอบอย่างไม่ยอมแพ้ : “ตอนนั้นฉันยังเด็กนี่นา อีกอย่างฉันจากไปแค่สามปีเองไม่เหมือนกันสักหน่อย”

“สามปีนี่มันนานมากเลยเข้าใจไหม ? พอสำหรับให้ฉันตกหลุมรักสาว ๆ หลายคนด้วย” เซิ่งเคอพูดพลางหยิบตั๋วหนังขึ้นมาสองใบจากแฟ้มหนัง : “ดูซินี่คืออะไร ?”

“หนังฮอลลีวูดที่เพิ่งเข้าฉายเหรอคะ ?”

“ถูกเผง” เซิ่งเคอใช้ตั๋วหนังสองใบนั้นตบไปยังศีรษะของผู่เหลียนเหยา : “ยังว่าฉันไม่รักเธออีกเหรอ ? ฉันคิดว่าฉันเอาใจเธอจนจะกลายเป็นน้ำผึ้งอยู่แล้ว”

“แต่ว่า……วันนี้ฉันมีงานกะดึก” ผู่เหลียนเหยากลอกตามองบนอย่างเอือมละอา : “แม้แต่เวลาเข้างานของฉันคุณยังไม่รู้เลย ยังมีหน้ามาบอกว่ารักฉันอีก ?”

“อะไรนะ ? วันนี้เธอเข้างานกะดึกงั้นเหรอ ?”

“เปลี่ยนเวรกันไง ตอนเช้าฉันบอกคุณแล้วไม่ใช่เหรอ ?” ผู่เหลียนเหยาบ่น

“บอกแล้วเหรอ ?” เซิ่งเคอทำสีหน้าละอายใจ จากนั้นก็พูดขึ้น : “ไม่เป็นไร แค่ตั๋วหนังสองใบเอง ? พรุ่งนี้ซื้อใหม่สองใบก็สิ้นเรื่อง”

“แต่ว่าหนังเรื่องนี้ที่นั่งเต็มง่ายมาก รอบฉายและที่นั่งที่ดีแบบนี้สิ้นเปลืองแย่เลย” ผู่เหลียนเหยามองตั๋วหนังที่อยู่ในมือ จากนั้นก็ยื่นไปให้จูจูพร้อมพูดว่า : “พี่สะใภ้ พี่ชอบหนังต่างประเทศเหมือนกันไม่ใช่เหรอ ? ให้พี่เอาไปดูนะคะ”

“ฉันเหรอ ? ไม่มีใครพาฉันไปน่ะสิ” จูจูพูดอย่างน่าสงสาร

“ให้พี่ชายพาไปสิคะ พอดีเลยวันนี้พี่เขากลับมาเร็ว”

จูจูมองไปทางหนานกงเฉิน จากนั้นก็พูดขึ้นด้วยใบหน้าน่าสงสาร : “เฉิน คุณมีเวลาไปดูหนังเป็นเพื่อนฉันไหมคะ ?”

เมื่อก่อนไม่ใช่ว่าเธอไม่เคยเรียกหนานกงเฉินไปดูหนังเป็นเพื่อนเธอ แถมยังเคยถือตั๋วหนังไปถามเขาถึงที่อีกด้วย ครั้นทุกครั้งเขาจะอ้างว่างานยุ่งและปฏิเสธเธอเรื่อยไป เธอคิดว่าครั้งนี้หนานกงเฉินคงจะต้องปฏิเสธอีกและให้เสี่ยวหยวนไปเป็นเพื่อนเธอแทนแน่นอน คิดไม่ถึงว่าเขากลับเงียบไปสักพักจากนั้นก็พยักหน้าแล้วพูดว่า : “โอเค”

จูจูเห็นว่าเขาตอบตกลงแล้ว ใบหน้าของเธอจึงเผยรอยยิ้มเป็นปลื้มขึ้นมา : “จริงเหรอคะ ? คุณจะไปดูหนังเป็นเพื่อนฉันจริง ๆ เหรอคะ ?”

“บอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าวันนี้งานไม่ยุ่งมาก”

“ดีจังเลยค่ะ” จูจูมองไปยังผู่เหลียนเหยาด้วยสีหน้าซาบซึ้งใจ จากนั้นก็กระพริบตาให้เธอพร้อมด้วยรอยยิ้ม

หลังจากรับประทานมื้อเย็นเสร็จ หนานกงเฉินออกไปดูหนังเป็นเพื่อนจูจู พฤติกรรมอันผิดปกตินี้ของเขาแม้แต่คุณผู้หญิงเองก็ยังรู้สึกว่าน่าแปลก

ตลอดทั้งการเดินทาง แม้หนานกงเฉินจะไม่พูดไม่จา ทว่าจูจูยังคงสัมผัสถึงความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยของเขาได้อย่างชัดเจนเช่นเคย เธอรู้สึกดีใจจนถึงขีดสุด ไม่สามารถปกปิดรอยยิ้มบนมุมปากได้เลย และยังหาเรื่องคุยกับเขาตลอดทางไม่หยุดด้วย

เมื่อรถยนต์จอดอยู่ ณ ที่จอดรถชั้นใต้ดินของไชน่าเซ็นทรัลเพลสแล้ว ทั้งสองคนจึงมุ่งไปยังโรงหนังชั้นบนสุดด้วยกัน

ณ เขตพื้นที่ขายเสื้อผ้าเด็กชั้นสามของไชน่าเซ็นทรัลเพลส ไป๋มู่ชิงกำลังจูงมือเสียวหว่านชิงเดินตามหาถุงน่องสีขาวเพื่อใช้สวมในงานแสดงวันเด็ก และในที่สุดก็เจอร้านที่มีสินค้าอยู่สักที

เธอมองถุงน่องกางเกงที่อยู่ในมือพร้อมพูดขึ้นว่า : “ดูเหมือนจะเล็กไปนิดนะคะ ยังมีอีกไหมคะ ?”

พนักงานมองรูปร่างของเสียวหว่านชิง จากนั้นก็ยิ้มและพูดขึ้นว่า : “นี่เป็นคู่สุดท้ายแล้วค่ะ เพราะช่วงนี้ของทุกปีตรงกับงานแสดงวันเด็ก บรรดาผู้ปกครองต่างก็มาหาซื้อถุงน่องสีขาวกันทั้งนั้น ตอนนี้ส่วนมากขายหมดแล้วละค่ะ”

เธอหยิบถุงน่องสีขาวมาพร้อมทั้งเอามาเทียบกับขาของเสียวหว่านชิงดู : “น้องหนูคนนี้ก็น่าจะเอาไว้ใส่เพื่อแสดงใช่ไหมคะ ? ถุงน่องนี้มีความยืดหยุ่นดีมากค่ะ อีกทั้งแค่ใส่ครั้งเดียวเองค่ะ ทนใส่สักวันหนึ่งก็ได้นะคะ”

ร้านอื่นไม่มีขายแล้ว ไป๋มู่ชิงเองก็ทำได้เพียงจำยอมเท่านั้น

หลังจากที่เธอซื้อถุงน่องเสร็จแล้วก็กำลังจะพาเสียวหว่านชิงกลับบ้าน ครั้นเมื่อเดินมาถึงลานจอดรถชั้นใต้ดินแล้วจึงพบว่าที่จอดรถนั้นขับออกค่อนข้างยาก เธอทำได้เพียงเรียกยามหนุ่มที่กำลังเดินลาดตระเวณอยู่มาช่วยดูให้

ยามหนุ่มผู้นั้นโบกไม้โบกมือไป พร้อมตะโกนเสียงดังบอกไป :“หมุนพวงมาลัยมาทางซ้ายหน่อยครับ ซ้ายอีก……”

ไป๋มู่ชิงจอดรถแล้วมองซ้าย มองขวา จากนั้นก็ถามขึ้นด้วยความไม่มั่นใจว่า : “ไปทางซ้ายอีกนิดจะออกได้ไหมคะ ? ทำไมฉันว่ามันอันตรายไปนิดค่ะ ?”

“ออกมาได้ครับ ไม่ต้องห่วงขับมาเลยครับ” ยามหนุ่มผู้นั้นพยักหน้าพูดขึ้น

ไป๋มู่ชิงปล่อยเบรกรถ จากนั้นเคลื่อนรถไปตามสัญลักษณ์มือของเขาทีละนิดทีละนิด แม้ว่าเธอจะระมัดระวังเป็นอย่างมากแล้ว ทว่ารถยนต์ดันไปขูดรถเก๋งสีดำข้าง ๆ เข้าจนได้ รถสองคันชนกัน จากนั้นยามหนุ่มผู้นั้นค่อยพูดเสียงดังขึ้นมา : “หยุดครับ –! รีบหยุดรถ –!”

ไป๋มู่ชิงตกใจเป็นอย่างยิ่ง เมื่อตั้งสติได้ก็รีบลงมาตรวจสอบสภาพรถดู

แย่แล้ว ! ขูดรถหรูราคาแพงของคนอื่นเขาเป็นรอยตั้งสิบกว่าเซ็นติเมตรเชียว

เธอเงยหน้าจ้องยามหนุ่มผู้นั้นตาเขม็งแล้วพูดขึ้นด้วยความเอือมละอา : “คุณโบกรถเป็นหรือเปล่าเนี่ย !”

ยามหนุ่มผู้นั้นตกใจจนอึ้งไป เมื่อได้ยินดังนั้นจึงรีบกล่าวขอโทษทันควัน : “ขอโทษครับ ผมคิดว่าออกมาอย่างนี้ครับ ขอโทษจริง ๆ ครับ……”

“คุณขับรถเป็นหรือเปล่า ?”

“ไม่เป็นครับ เพิ่งสมัครสอบใบขับขี่ไปครับ” ชายหนุ่มพูดด้วยสีหน้าที่รู้สึกผิด

ไป๋มู่ชิงไร้ซึ่งคำพูดโดยสิ้นเชิง คิดไม่ถึงว่าเธอจะเรียกคนที่ขับรถไม่เป็นมาโบกรถให้ตนขับออกจากที่จอดรถเสียนี่ !

เธอมองไปยังรถหรูราคาเกือบสิบล้านที่อยู่ข้าง ๆ จึงคำนวณราคาค่าเสียหายภายในใจ ซวยแล้ว !

“เอายังไงล่ะทีนี้ ? ให้คุณจ่ายหรือฉันจ่าย ?” เธอถามชายหนุ่มผู้นั้น

จะชิ่งหนีไปเช่นนี้ไม่ได้ แม้จะบอกว่าที่โรงจอดรถไม่มีกล้องวงจรปิด แม้จะไม่มีจริง ๆ เธอก็ไม่กล้าชิ่งหนีไปแต่อย่างใก

เมื่อเธอถามมาเช่นนี้ ชายหนุ่มผู้นั้นจึงตกใจกลัวทันที และพูดขึ้นต่อเนื่องว่า : “พี่สาว ผมเพิ่งออกมารับจ้างปีนี้เอง จ่ายไม่ไหวหรอกครับ ผมเห็นว่าคุณเหมือนจะเป็นคนรวย ไม่อย่างนั้น……” สีหน้าของเขาแดงก่ำขึ้นมา : “ไม่อย่างนั้นคุณเรียกประกันมาแล้วที่เหลือก็จ่ายเพิ่มไปนิดหน่อยเถอะครับ”

ไป๋มู่ชิงเห็นว่าเขากระวนกระวายจนใบหน้าแดงก่ำเช่นนี้จึงไม่กล้าคาดหวังให้เขาชดเชยค่าเสียหายแล้ว การพบเรื่องเช่นนี้ทำได้เพียงยอมรับว่าเป็นความโชคร้ายของตนเท่านั้นแล้ว คิดได้ดังนั้นเธอจึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเอือมละอาว่า : “ช่างเถอะ รีบไปบอกเจ้าของรถมาจัดการเถอะ”

“ครับ ผมจะไปหาเดี๋ยวนี้เลยครับ” จากนั้นชายหนุ่มผู้นั้นรีบหยิบวิทยุสื่อสารออกมาติดต่อไปยังออฟฟิตทันที

ไป๋มู่ชิงกลับมายังรถแล้วอุ้มเสียวหว่านชิงลงมา เสียวหว่านชิงที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่จึงถามขึ้นด้วยความสงสัยว่า : “คุณแม่เกิดอะไรขึ้นคะ ? พวกเราจะกลับบ้านแล้วไม่ใช่เหรอคะ ?”

“แม่ไม่ระวังไปขูดรถคนอื่นเขาเข้าน่ะ ต้องรออีกสักครู่ถึงจะกลับได้ค่ะ”

เสียวหว่านชิงมองดูรถสองคันที่ชนเข้าด้วยกัน จากนั้นก็ชี้ไป๋มู่ชิงแล้วพูดขึ้นด้วยความได้ใจ : “คุณแม่คะ คุณแม่ทำอะไรไม่ละเอียดเลยนะคะเนี่ย”

“เอาน่า อย่าเอาคำพูดของแม่ที่อบรมหนูมาย้อนคืนแม่นะ แม่ถูกคนอื่นเอาเปรียบมาต่างหาก” ไป๋มู่ชิงบีบแก้มเล็ก ๆ ของเธอพร้อมพูดขึ้น

ตั๋วดูหนังของหนานกงเฉินและจูจูยังเหลืออีก 20 นาทีถึงจะเข้าโรงหนังได้ จูจูส่งไอศกรีมที่เพิ่งซื้อเสร็จแล้วใส่ปากของเขาแล้วพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า : “รสวานิลลาค่ะ อร่อยมากเลยนะ คุณลองดูหน่อยไหม”

“ไม่เป็นไร ฉันไม่ชอบกินของเย็น ๆ”หนานกงเฉินกล่าว

“ไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าทำไมถึงมีคนที่ไม่ชอบกินไอศกรีม” จูจูยิ้มพลางชักไอศกรีมกับคืนมาแล้วกินเอง

ในเวลานี้อยู่ ๆ เสียงประชาสัมพันธ์ตามหาเจ้าของรถก็ดังขึ้น หลังจากที่ดังขึ้นจำนวนสองรอบแล้วนั้น จูจูจึงมองหน้าหนานกงเฉินอย่างฉงนใจพร้อมพูดขึ้นว่า : “เฉิน เหมือนว่าทะเบียนรถที่ประชาสัมพันธ์อยู่จะเป็นของคุณเลยนะคะ”

บริเวณโรงหนังมีคนเยอะและเสียงดัง ขณะที่เสียงประชาสัมพันธ์ดังขึ้นนั้น หนานกงเฉินจึงไม่ได้ตั้งใจฟังเท่าไร เมื่อจูจูพูดมาเช่นนั้นเขาจึงตั้งใจฟังอีกรอบ หลังจากได้ยินเสียงประชาสัมพันธ์ประกาศรุ่นและป้ายทะเบียนรถแล้วนั้นจึงพบว่าเป็นรถของเขาจริง ๆ

“เดี๋ยวฉันลงไปดู” เขาพูดพลางลุกขึ้นยืน

“เกินเรื่องอะไรขึ้นคะ ?”

“น่าจะไปกันทางรถคนอื่นเข้าแล้วละมั้ง” หนานกงเฉินกล่าว : “เธอรออยู่ที่นี่แหละ ฉันลงไปจัดการแล้วจะขึ้นมา”

“ค่ะ งั้นคุณรีบขึ้นมานะคะ เหลือไม่ถึง 20 นาทีก็จะต้องเข้าโรงแล้ว” จูจูกล่าว

หนานกงเฉินพยักหน้า จากนั้นก็เดินมุ่งไปทางลิฟต์

เมื่อเขามาถึงชั้นจอดรถใต้ดิน ก็มองเห็นไป๋มู่ชิงและเสียวหว่านชิงอยู่ไกล ๆ ไป๋มู่ชิงกำลังเดินไปเดินมาอยู่ที่เดิม มองดูแล้วมีท่าทางที่ร้อนรนใจราวไฟลุกไหม้อย่างไรอย่างนั้น ส่วนเสียวหว่านชิงกลับแนบอยู่บนบริเวณที่รถเป็นรอยแล้วเป่าบริเวณนั้น พร้อมทั้งพูดปลอบขึ้นมาราวกับพูดกับตุ๊กตา : “รถยนต์เด็กดี คุณแม่ไม่ได้ตั้งใจหรอกนะ หว่านชิงเป่าให้นะ ไม่เจ็บนะ”

ท่าทางที่ทั้งน่ารักและจริงจังนั้นทำให้ผู้อื่นหลุดยิ้มออกมา

หนานกงเฉินเก็บซ่อนความประหลาดใจไว้เล็กน้อย เขาสาวเท้าเดินมาหาไป๋มู่ชิงแล้วพูดขึ้นว่า : “สวัสดีครับ”

เมื่อไป๋มู่ชิงได้ยินเสียงนี้จึงค่อย ๆ หันหน้ามา เมื่อเธอเห็นหน้าหนานกงเฉิน จึงจำได้ทันทีว่าเป็นคนที่มาสนทนากับเธอที่โรงเรียนอนุบาลในเมื่อก่อนหน้า

“คุณลุง ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้คะ ?” เสียวหว่านชิงจำได้เช่นกัน จึงพูดสอบถามด้วยรอยยิ้ม

หนานกงเฉินหันหน้าไปส่งยิ้มให้เธอ : “ลุงมาดูรถของลุงน่ะสิ”

“รถของคุณลุงถูกคุณแม่ชนเป็นแผลแล้วค่ะ แต่คุณแม่ไม่ได้ตั้งใจนะคะ”

ไป๋มู่ชิงกำลังอึดอัดใจไม่ทราบว่าควรอธิบายให้เขาฟังเช่นไรดี ครั้นเสียวหว่านชิงช่วยเธอเปิดการสนทนาก่อน

ชายหนุ่มผู้ก่อเหตุเมื่อเห็นว่าพวกเขาเคยรู้จักกัน จึงหัวเราะแห้ง ๆ แล้วพูดขึ้นทันทีว่า : “ที่แท้พวกคุณก็รู้จักกันนี่เอง ถ้างั้นก็ง่ายเลยสิครับ คุณผู้ชายครับ คุณว่าควรจัดการรถของคุณอย่างไรดีครับ ?” เขามองหน้าหนานกงเฉินด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความละอายใจพร้อมพูดขึ้น : “เอ่อ……คุณผู้หญิงท่านนี้ไม่ทันระวังถอยรถมาขูดรถของคุณเป็นรอยตอนขับออกจากที่จอดรถน่ะครับ”

หนานกงเฉินมองรถของตน พร้อมมองหน้าไป๋มู่ชิง

ไป๋มู่ชิงรีบก้มหน้าแล้วพูดขึ้นว่า : “ขอโทษนะคะ ฉันไม่ได้ตั้งใจ”

“มีใบขับขี่หรือเปล่า ?” หนานกงเฉินสอบถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“มีค่ะ” ไป๋มู่ชิงรีบยื่นใบขับขี่ของตนให้ทันที

หนานกงเฉินรับใบขับขี่ของเธอมาแล้วพลิกเปิดดู สายตามองสำรวจไปจากนั้นก็พูดเสียงต่ำขึ้นมาว่า : “อีหลิน ?”

“ใช่ค่ะ”

รถแพงขนาดนี้ เดิมคิดว่าหนานกงเฉินจะต้องเจ็บใจแทบแย่ จะต้องด่าทอเธอ ครั้นคิดไม่ถึงว่าเขากลับไม่ได้มองแม้แต่รอยขูดของรถเลยด้วยซ้ำ

ไป๋มู่ชิงเงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจ จากนั้นก็มองหน้าเขาพร้อมพูดกระซิบกระซาบว่า : “คุณ…ไม่ด่าฉันเหรอคะ ?”

“ด่าคุณไปแล้วมันมีประโยชน์อะไร ?” หนานกงเฉินยักคิ้ว จากนั้นก็ส่งใบขับขี่คืนให้เธอ

“ถ้างั้นคุณไปซ่อมก่อน ค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ค่อยติดต่อฉัน”

“ไม่ต้อง ผมเรียกประกันได้”

“มันจะดีเหรอคะ”

“ถ้าคุณคิดว่ามันไม่ดีจริง ๆ ถ้างั้นก็เอาลูกสาวมาเป็นค่าชดเชยให้ผมก็แล้วกัน”

“ฮะ ?” ไป๋มู่ชิงอึ้งไป

“ไม่ได้นะคะ !” เมื่อเสียวหว่านชิงได้ยินว่าจะต้องเอาตัวเองไปชดเชยให้เขา จึงรีบวิ่งไปหลบด้านหลังไป๋มู่ชิงแล้วกอดสองขาของเธอเอาไว้แน่น จากนั้นก็ยื่นใบหน้าน้อย ๆ ของเธอออกจากด้านหลังของไป๋มู่ชิง จ้องหน้าหนานกงเฉินด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความตื่นตระหนก

หนานกงเฉินทนไม่ไหวจนต้องหัวเราะขึ้นมาแล้วพูดกับเธอว่า : “ล้อเล่นน่า หนูน้อยไม่ต้องกลัวขนาดนั้นหรอก”

เมื่อได้ยินเขาพูดมาเช่นนั้น เสียวหว่านชิงจึงถอนหายใจอย่างโล่งอก จากนั้นก็เดินออกมาจากด้านหลังของไป๋มู่ชิง แถมยังพูดกับหนานกงเฉินอีกว่า : “คุณลุงบ้า”

จูจูที่เดินตามลงมาจากโรงหนังมองเห็นหนานกงเฉินหัวเราะอย่างร่าเริงอยู่ไกล ๆ เธอจึงรู้สึกประหลาดเป็นอย่างยิ่ง

ถ้าหากเธอจำไม่ผิด หลังจากที่ไป๋มู่ชิงประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์แล้วเขาก็ไม่เคยหัวเราะมาก่อนเลย สักครั้งก็ไม่มี คืนนี้เขากลับหัวเราะกับคนแปลกหน้าอย่างมีความสุขเช่นนี้หรือ ? เรื่องอะไรกันแน่ที่น่าขันเช่นนี้ ? อยู่ ๆ เธอก็เดินเข้าไปหาเขาด้วยความสงสัย

หนานกงเฉินหุบยิ้ม จากนั้นก็พูดกับไป๋มู่ชิงว่า : “ช่างมันเถอะ ครั้งที่แล้วผมชนหว่านชิงหนึ่งครั้ง คืนนี้คุณชนผมหนึ่งครั้ง เราหายกันแล้วนะ”

ทันใดนั้นไป๋มู่ชิงก็รู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่ง เธอมองเสียวหว่านชิงที่อยู่ข้าง ๆ จากนั้นก็มองหน้าเขาพร้อมถามขึ้นว่า : “ทำไมคุณถึงรู้ว่าลูกสาวฉันชื่อหว่านชิง ?”

รู้สึกว่าเธอจะเจอหน้าเขาสองหนเท่านั้น ทั้งสองหนนี้เธอไม่เคยบอกชื่อหว่านชิงเลย เขารู้ได้อย่างไร ?

สีหน้าของหนานกงเฉินนิ่งไป หลังจากที่สะบัดความลำบากใจไปอย่างรวดเร็วแล้วจึงมองไปยังเสียวหว่านชิง : “ครั้งที่แล้วหว่านชิงบอกชื่อตัวเองกับผมเอง”

แน่นอนว่าเขาไม่สามารถยอมรับว่าตนเคยสืบเรื่องของเสียวหว่านชิงอย่างลับ ๆ กับเธอได้แต่อย่างใด

“หนูเปล่านะ……”

“หนูบอกลุงเอง หนูแค่ลืมไปแล้วเท่านั้น”

“ไม่ได้บอกจริง ๆ นะคะ !” เสียวหว่านชิงร้อนรนใจขึ้นมา เนื่องจากคุณแม่เคยบอกว่าห้ามบอกชื่อตัวเองกับคนแปลกหน้าเด็ดขาด เธอไม่ได้ไม่เชื่อฟังคุณแม่สักหน่อย ! จากนั้นเธอจึงพูดกับไป๋มู่ชิงอย่างร้อนรนใจว่า : “คุณแม่คะ หนูไม่ได้บอกจริง ๆ นะคะ แม่ห้ามลงโทษให้หนูยืนมุมห้องนะคะ”

ไป๋มู่ชิงก้มหน้ามองเธอ จากนั้นก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน : “ไม่เชื่อฟังกันเลยนะ แถมพูดปลดอีก แม่จะจดบัญชีเอาไว้ก่อน”

“ไม่ได้นะคะ ! คุณลุงโกหก คนเลว !” เสียวหว่านชิงชี้หนานกงเฉินพร้อมโวยวายขึ้ยมาอย่างไม่พอใจ

“หว่านชิง !” ไป๋มู่ชิงพูดตำหนิติเตียนด้วยน้ำเสียงดุดัน

เสียวหว่านชิงวิ่งไปกอดประตูรถแล้วโวยวายขึ้นมา

ในความคิดไป๋มู่ชิง นอกเหนือจากเสียวหว่านชิงจะพูดเองแล้วจะมีใครไปได้ ? ถึงอย่างไรเธอก็ไม่เคยบอก

หนานกงเฉินกำลังจะอธิบาย ครั้นอยู่ ๆ บริเวณทางเข้าก็มีรถคันหนึ่งพุ่งเข้ามาด้วยความเร็วซึ่งมุ่งเข้าหาทุกคน

“ระวัง !” หนานกงเฉินรีบคว้าไป๋มู่ชิงที่กำลังยืนอยู่ตรงกลางถนนอย่างเร็วไวพร้อมก้าวถอยหลังไปไกล ไป๋มู่ชิงไม่ได้สัมผัสถึงความอันตรายเลย และเมื่อถูกเขาใช้แรงกระชากเช่นนี้เท้าจึงเสียหลัก เธอตกใจจนล้มลงไปอยู่ในอ้อมอกของเขา

หนานกงเฉินรับร่างของเธอเอาไว้ และในเวลาอันสั้นนี้ขณะที่ร่างกายทั้งคู่กระทบเข้าด้วยกัน ภายในใจของทั้งคู่จึงเกิดเป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาดขึ้นมา และคิดไม่ถึงว่าจะรับรู้ถึงลมหายใจอันคุ้นเคยบนร่างกายของฝ่ายตรงข้าม

ครึ่งใบหน้าของไป๋มู่ชิงแนบชิดอยู่บนหน้าอกของเขา จึงสามารถสูดดมกลิ่นบนร่างกายของเขาได้อย่างชัดเจน กลิ่นอันพิเศษนั้นคิดไม่ถึงว่าเธอจะมีความรู้สึกที่คุ้นเคย ราวกับเคยได้สูดดมมาก่อนอย่างไรอย่างนั้น เห็นได้ชัดว่านี่มันคือกลิ่นกายของผู้ชาย เธอจะเคยได้กลิ่นมาก่อนได้อย่างไร ? สองปีมากนี้ นอกจากเฉียวเฟิงแล้ว เธอก็ไม่เคยสัมผัสอย่างใกล้ชิดกับผู้ชายคนไหนเลย

เมื่อเจอหน้าเขาครั้งแรกก็เกิดความรู้สึกอันแปลกประหลาดกับเขาแล้ว เมื่อขณะนั้นเธอคิดว่าตนเข้าใจผิดไปเอง ครั้นคิดไม่ถึงว่าเมื่อเจอกันครั้งที่สอง ความรู้สึกที่คุ้นเคยเช่นนี้กลับเด่นชัดมากขึ้น

ความรู้สึกเช่นนี้……หนานกงเฉินจะไม่มีได้อย่างไร ? เขาและเธอตะลึงงันไปชั่วครู่ แขนขาไร้เรี่ยวแรงในการควบคุม เวลาหยุดนิ่งไป ยั้งสติไม่อยู่ไปพร้อมกับเธอ

จนกระทั่งจูจูที่ยืนอยู่ไกล ๆ ทนมองต่อไปไม่ได้ จึงเดินเข้ามา จากนั้นก็ยิ้มพร้อมพูดขึ้นมาว่า : “เฉิน มีอะไรเหรอคะ ? เกิดเรื่องอะไรขึ้น ? หนังจะเริ่มแล้วนะคะ”

ทั้งสองคนที่สูญเสียสติไปชั่วขณะจึงเรียกสติกลับคืนมา ไป๋มู่ชิงรีบยืนขึ้นตัวตรงออกจากอ้อมกอดของเขาทันที จากนั้นก็รู้สึกถึงความเจ็บปวดที่ข้อเท้า ทำให้เธอล้มกลับไปอยู่ในอ้อมกอดของหนานกงเฉินอีกครั้ง

“คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหม ?” หนานกงเฉินก้มมองหน้าเธอพร้อมสอบถาม

“ไม่เป็นไรค่ะ” ไป๋มู่ชิงกัดฟันแน่น อดกลั้นความเจ็บปวดบริเวณข้อเท้าของตนเองพร้อมพยายามออกจากอ้อมกอดของเขา จากนั้นก็พูดขึ้นด้วยความเคอะเขินว่า : “ขอโทษนะคะ ข้อเท้าเคล็ดนิดหน่อยน่ะค่ะ”

“คุณแม่ ไม่เป็นไรใช่ไหมคะ ?” เสียวหว่านชิงเห็นว่าไป๋มู่ชิงทรมานเช่นนี้ จึงเดินเข้ามาถามด้วยความเป็นห่วงเป็นใย

“แม่ไม่เป็นไรจ้ะ ขยับนิดหน่อยก็ดีขึ้นแล้ว” ไป๋มู่ชิงส่งรอยยิ้มไปให้เธอ จากนั้นก็โน้มตัวลงไปนวดบริเวณที่เจ็บ หลังจากนวดสักพักแล้วก็รู้สึกว่าอาการดีขึ้น จึงได้ยืนขึ้นแล้วมองสำรวจดูสองคนที่ยืนอยู่

“คุณผู้หญิงไม่เป็นอะไรใช่ไหมคะ” จูจูมองหน้าเธอ ครั้นภายในสายตากลับมีความโกรธเคืองแอบแฝงอยู่

เธอน่าจะโมโหเกินไป จึงไม่ได้สังเกตเห็นว่าเสียวหว่านชิงนั้นมีหน้าตาที่คล้ายกับไป๋มู่ชิงตอนเด็กเป็นอย่างมาก ความจริงแล้วเธอไม่ได้มีความทรงจำเกี่ยวกับภาพลักษณ์วัยเยาว์ของไป๋มู่ชิงเท่าไรนัก ความทรงจำหนึ่งเดียวที่มีอยู่ก็คือขณะที่หนานกงเฉินหยิบรูปถ่ายสีเหลืองไปหาไป๋มู่ชิงที่บ้านสวนจูในตอนนั้น เธอเคยเห็นรูปใบนั้น ปัจจุบันนี้เรื่องนั้นมันผ่านมาเนิ่นนานแล้ว ดังนั้นแม้แต่ความทรงจำที่เกี่ยวกับใบหน้าของเด็กผู้หญิงคนนั้นบนรูปถ่ายก็เลือนลางไปบ้างแล้ว

ในเวลานี้ เธอจดจำไป๋มู่ชิงว่าเป็นผู้หญิงที่อยากยั่วยวนหนานกงเฉินพร้อมจงใจถวายตัวให้เขา เพราะฉะนั้นเธอจึงรู้สึกเกลียดชังเธอเป็นอย่างมาก !

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

Status: Ongoing
ไป๋มู่ชิงเคยได้ยินเรื่องเล่าตั้งแต่เด็กว่า ตระกูลหนานกงในเมืองซีเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุด แต่น่าเสียดายที่คุณชายใหญ่ของตระกูลกลับป่วยเป็นโรคประหลาด โรคที่เขาเป็นจะทำให้เขามีอายุอยู่ได้ไม่ถึงอายุ30ปี ไป๋มู่ชิงยังได้ยินมาอีกว่า คุณชายหนานกงเฉินแต่งงานใหม่ทุกๆปี แต่เจ้าสาวของเขากลับมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงวันต่อมาหลังคืนเข้าหอ แต่ไม่ทราบสาเหตุของการแต่งงานและยังไม่ทราบถึงสาเหตุการเสียชีวิตของเจ้าสาวด้วย เมื่อตระกูลหนานกงได้ส่งของหมั้นมาให้ตระกูลไป๋ ไป๋มู่ชิงก็คิดไม่ถึงว่าพ่อของเธออยากจะปกป้องชีวิตพี่ของเธอไว้ถึงขนาดผลักเธอเข้าไปในประตูนรกอย่างโหดร้าย บังคับให้เธอแต่งงานกับหนานกงเฉินเป็นเจ้าสาวคนที่เจ็ดของเขา แทนพี่สาวของเธอ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท