เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด – บทที่ 192 ดูสนิทสนมกันมาก

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

“ฉันไม่เป็นอะไรค่ะ คุณคือ……” ไป๋มู่ชิงมองไปที่เธอ แล้วมองไปทางหนานกงเฉิน กำลังเดาความสัมพันธ์ของทั้งสอง

“ฉันเป็นภรรยาของคุณชายเฉิน” จูจูนั่งลงข้างกายหนานกงเฉินแล้วกอดแขนเขาไว้ สายตาที่ดูไปที่ไป๋มู่ชิงมีความสะใจ

ไป๋มู่ชิงพยักหน้าให้แล้วยิ้มอ่อน “เดาได้ค่ะ” จากนั้นก็รู้สึกผิดต่อ “ขอโทษนะคะ ฉันทำให้รถของพวกคุณเป็นรอย ตอนนี้กำลังเจรจากันว่าจะจัดการยังไง”

“แล้วผลสรุปที่พวกคุณเจรจาได้คืออะไร?” จูจูเงยหน้าขึ้นแล้วมองไปทางหนานกงเฉิน ก็เห็นว่าสายตาเขาทอดมองไปที่ไป๋มู่ชิง รู้จักนานขนาดนี้ไม่เคยเห็นเขาเหม่อลอยแบบนี้เลย เธอก็อดที่จะมองสำรวจไป๋มู่ชิงตรงหน้าไม่ได้ ก็ไม่ได้สวยอะไรขนาดนั้น แต่ก็เป็นผู้หญิงที่ดูเรียบง่ายเหมือนกับที่หนานกงเฉินชอบ

เธอรู้สึกว่าความหึงในใจก็ค่อยๆจะปะทุออกมา จากนั้นก็กอดแขนของหนานกงเฉินแน่นขึ้น พยายามแสดงเป็นเจ้าของ

“ฉันกำลังรอคุณผู้ชายคิดอยู่ค่ะว่าจะจัดการยังไง” ไป๋มู่ชิงมองไปทางหนานกงเฉิน

หนานกงเฉินดึงสติกลับมาจากนั้นเขาก็ส่ายหัว คิดว่าตัวเองคงบ้าไปแล้ว ก็เลยรู้สึกว่าท่าทางของผู้หญิงตรงหน้าคุ้นชินมาก ทั้งกริยาคุ้นชิน แล้วค่อยๆรู้สึกว่าเสียงของเธอก็คุ้นชินมากด้วย

บ้าไปแล้วจริงๆ!

“เฉิน ฉันว่าช่างเถอะ” จูจูมองไปทางหนานกงเฉินแล้วพูด “รอยแค่นี้ให้ประกันมาซ่อมก็พอแล้ว คนอื่นเขาก็ไม่ได้ตั้งใจแล้วยังพาเด็กมาด้วย”

ถึงแม้ในใจโกรธจนกัดฟันแน่นแต่สีหน้าเธอก็ต้องยิ้มแย้มอย่างอ่อนโยน ความจริงแล้วเธอมีแผนของตัวเองอยู่แล้ว

จากที่เธอดูมาอย่าว่าแต่รถเป็นรอยเลย ถึงแม้จะถูกชนจนไม่เหลือซากก็ไม่เห็นเป็นอะไร เพราะยังไงตระกูลหนานกงก็มีเงินพอที่จะซื้อคันใหม่ให้ทันที แต่กลับเป็นผู้หญิงตรงหน้าที่ดึงดูดหนานกงเฉินไป เธอกลัวว่าถ้าไม่รีบแยกพวกเขาคงจะมีปัญหาตามมา

แล้วหนานกงเฉินก็ชอบที่ไป๋มู่ชิงเป็นคนใจดีมีเมตตา ถ้าเธอเป็นเพราะรอยเล็กแค่นี้ก็ยืดยื้อกับคนอื่น ก็คงจะเหมือนคนบ้าแน่ๆ หนานกงเฉินไม่ชอบที่เธอเป็นแบบนี้แน่นอน!

กว่าที่หนานกงเฉินจะออกมากับเธอได้ เธอไม่อยากเป็นเพราะอุบัติเหตุเล็กน้อยจนทำให้หมดอารมณ์

ไป๋มู่ชิงไม่คิดเลยว่าจูจูก็เป็นคนที่พูดง่ายเหมือนกันก็เลยรู้สึกตื่นตันขึ้นมา คนรวยก็เป็นอย่างนี้แหละ คำสองคำก็ตัดสินใจได้แล้วว่าไม่ให้เธอชดใช้

“ผมก็คิดอย่างนี้ครับ” หนานกงเฉินยิ้มอ่อน

“ขอโทษด้วยนะคะ” ไป๋มู่ชิงก้มขอโทษทั้งสอง “งั้นขอบคุณคุณทั้งสองคนมากนะคะ”

“ไม่ต้องขอบคุณหรอก อีกหน่อยขับรถระวังหน่อยก็พอ” จูจูยิ้มอ่อนให้เธอ

ไป๋มู่ชิงจูงมือหว่านชิงที่อยู่ข้างๆ “หว่านชิงคะ รีบบอกลากับคุณอาทั้งสองคนเร็ว”

“ไม่!” เสี่ยวหว่านชิงเบี่ยงหน้าหนี ดูเหมือนว่ายังโกรธหนานกงเฉินอยู่

เมื่อไป๋มู่ชิงเห็นว่าเธอเอาแต่ใจก็ยิ้มแห้งๆให้ทั้งสอง จากนั้นก็จูงมือเธอขึ้นรถ

“เฉิน เราก็ไปกันเถอะ หนังเริ่มฉายแล้ว” จูจูพูดไปทางหนานกงเฉิน

หนานกงเฉินพยักหน้าจากนั้นก็เดินไปทางลิฟท์พร้อมกับเธอ

เมื่อกำลังยืนรอลิฟท์ จูจูก็เอ่ยขึ้น “เฉิน คุณรอฉันแป๊บนึงนะ ฉันไปเข้าห้องน้ำก่อน”

หนานกงเฉินตอบรับว่า’ได้’

เมื่อจูจูเดินออกจากหน้าลิฟท์ สีหน้าที่เมตตาก็เสแสร้งต่อไม่ได้ เธอไม่ได้ไปที่ห้องน้ำแตกกลับเร่งฝีเท้าเดินไปที่ลานจอดรถ

เมื่อเธอเดินมาถึงลานจอดรถ ไป๋มู่ชิงก็กำลังจะจ่ายค่าใช้จ่าย จากนั้นก็โบกมือกับเธอ ไป๋มู่ชิงก็เลยหยุดรถ แล้วลงมาจากรถ

“มีอะไรหรือเปล่าคะ?” เธอมองไปที่สีหน้าที่ไม่ค่อยดีของจูจู ในใจคิดว่าเธอกลับคำแล้วจะให้เธอชดใช้ค่าซ่อมรถงั้นหรอ?

จูจูหยุดนิ่งอยู่ต่อหน้าเธอแล้วคุยกับเธอด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก “คนเมื่อกี้เป็นสามีของฉัน”

“ฉันรู้แล้วค่ะ ทำไมหรอคะ?” ไป๋มู่ชิงพยักหน้า ไม่เข้าใจว่าทำไมอยู่ๆเธอถึงเอ่ยขึ้นกับตัวเอง

“ทำไม? เธอว่าล่ะ?” จูจูง้างมือขึ้นตบหน้าเธอไป ทั้งที่เธอไม่ทันตั้งตัว “พอเห็นผู้ชายที่มีเงินก็อยากจะโปรยเสน่ห์งั้นหรอ? เอาแต่ซบอยู่ในอ้อมกอดเขาก็ไม่อยากออกมาแล้วใช่ไหม? นังหน้าไม่อายเธอคิดจะทำอะไรกันแน่?”

ไป๋มู่ชิงถูกตบจนงงไป เสี่ยวหว่านชิงที่อยู่ในรถเมื่อเห็นคุณแม่โดนตบก็ร้องไห้ขึ้นมา “ทำไมต้องตบแม่หนูด้วย! ผู้หญิงใจร้าย……!”

“หุบปากเดี๋ยวนี้นะยัยเด็กเหลือขอ!” จูจูหันไปตะคอกใส่เสี่ยวหว่านชิง

“ผู้หญิงใจร้าย! หนูไม่ใช่เด็กเหลือขอ! หนูไม่ใช่……!” เสี่ยวหว่านชิงพูดไปด้วยแล้วส่ายหัวไปด้วย เป็นเพราะเธอนั่งอยู่ที่คาร์ซีทเลยทำได้แค่ร้องไห้อยู่ในรถ

จูจูไม่อยากสนใจเด็ก ก็ไปพูดเตือนไป๋มู่ชิงอย่างเยือกเย็น “นังหน้าไม่อาย! ฉันเตือนแกไว้เลยให้ห่างออกจากสามีฉันด้วย ไม่งั้นฉันไม่ปล่อยแกไว้แน่!”

ไป๋มู่ชิงถูกเธอตบไปในใจก็หงุดหงิดมากแล้ว เมื่อได้ยินเธอด่าว่าเสี่ยวหว่านชิงอีก ความหงุดหงิดก็พุ่งขึ้นไปอีกแล้วจ้องกลับด้วยความโมโห “คุณผู้หญิงคะ ถ้าคุณตบฉันเป็นเพราะว่าฉันทำให้รถคุณมีรอย ฉันรับไว้ค่ะ แต่ถ้าคุณกำลังคิดว่าฉันกำลัง ยั่วยวนสามีคุณ ฉันไม่รับ อีกอย่างลูกของฉันมีทั้งพ่อทั้งแม่ไม่ใช่เด็กเหลือขอ ขอให้คุณระวังคำพูดด้วยค่ะ!”

“เมื่อกี้เห็นพวกเธอสองคนสบตากันไปมา คิดว่าฉันไม่เห็นงั้นหรอ?” เมื่อนึกถึงสายตาที่หนานกงเฉินมองเธอเมื่อกี้ จูจูก็โกรธจนจะอยากจะบีบคอเธอตาย

“ฉันไม่รู้ว่าคุณเห็นอะไร แต่ฉันขอเตือนคุณไว้ ถ้าถึงเวลาที่ผู้ชายจะหลายใจคุณจะห้ามยังไงก็ห้ามไม่ได้ ถ้าคุณแน่จริงก็มัดใจเขาไว้ให้แน่น ถ้าทำไม่ได้ก็โทษตัวเองเถอะค่ะ อย่าหาเรื่องคนที่ไม่เกี่ยวข้องเพราะผู้ชายเกลียดผู้หญิงแบบนี้มากที่สุด!”

“แก……!” พูดกระแทกใจของจูจูมาก

“ฉันจะพูดคำสุดท้ายนะคะ ฉันไม่ได้สนใจผู้ชายของคุณเลย ลาก่อนค่ะ!” พูดจบ ไป๋มู่ชิงก็ไม่มองแม้แต่จูจูแล้วหันหลังเปิดประตูขึ้นรถไป

จ้องมองรถของไป๋มู่ชิงที่แล่นออกไปไกลแล้ว จูจูค่อยสูดหายใจเข้าเบาๆ จากนั้นก็หันหลังก้าวเดินไปทางลิฟท์

หนานกงเฉินยืนอยู่ในลิฟท์ด้วยท่าทางที่กำลังครุ่นคิดอะไรอยู่

จูจูปรับอารมณ์ตัวเองจากนั้นก็ทำสีหน้ายิ้มแย้มแล้วคล้องแขนเขาไว้ “เฉิน เราไปกันเถอะ”

หนานกงเฉินพยักหน้าแล้วเข้าไปในลิฟท์พร้อมกับเธอ

ขณะที่ลิฟท์กำลังแล่นขึ้น หนานกงเฉินก็หันไปพูดกับเธอ “คุณรู้สึกหรือเปล่าว่าเด็กผู้หญิงเมื่อกี้หน้าตาเหมือนคุณตอนเด็กมาก?”

จูจูอึ้งไป แล้วพยายามนึกย้อนหน้าตาของเด็กคนนั้น เธอไม่ได้ใส่ใจเลย

เธอยิ้มให้ “ก็เหมือนอยู่”

ความจริงเธอจำไม่ได้หรอกว่าไป๋มู่ชิงตอนเด็กหน้าตาเป็นยังไง คงจะต้องไปทำการบ้านซะแล้ว เธอแอบคิดในใจ

เธอไม่ได้ใส่ใจคำพูดของหนานกงเฉินมาก คิดแค่ว่าเขาคงเอ่ยพูดไปลอยๆ ก็เลยตอบไปอย่างนั้น

หนานกงเฉินมองไปที่เธอ ไม่คิดเลยว่าเธอจะไม่ใส่ใจกับเรื่องพวกนี้เลย

ดูเหมือนว่าคนที่ใส่ใจเรื่องแบบนี้ตลอดมีแค่เขา คนอื่นก็ไม่เห็นว่าเป็นเรื่องแปลกอะไร

หลังจากที่กลับมาถึงบ้าน ไป๋มู่ชิงก็จอดรถลงจากนั้นก็ดึงกระจกลงมามองสำรวจหน้าฝั่งซ้ายที่ยังรู้สึกเจ็บอยู่ ยังดีไม่ได้มีรอยมือที่ชัดเจนมาก

เสี่ยวหว่านชิงถามขึ้นอย่างเป็นห่วง “คุณแม่เจ็บมั้ยคะ?”

“ไม่เจ็บค่ะ?” ไป๋มู่ชิงส่ายหัวแล้วปิดกระจก จากนั้นก็หันไปมองเสี่ยวหว่านชิง “อย่าบอกคุณพ่อนะรู้ไหม?”

“ทำไมคะ? ผู้หญิงคนนั้นใจร้ายขนาดนั้น!”

“เพราะว่าแม่ไม่อยากให้คุณพ่อเป็นห่วง” ไป๋มู่ชิงยื่นมือไปจับหัวหว่านชิง “แล้วคุณอาที่ใจร้ายคนนั้นเป็นแค่ความเข้าใจผิด แม่ด่าเธอไปแล้วให้อภัยเธอแล้ว หนูก็ให้อภัยเธอด้วยดีไหม?”

เสี่ยวหว่านชิงพยักหน้า

ไป๋มู่ชิงคิดไปคิดมาแล้วพูดแล้ว “เรื่องที่คุณอารู้ชื่อหนูเมื่อกี้ คุณแม่คิดได้แล้ว เหมือนตอนนั้นที่คุณแม่เรียกหว่านชิง คุณอาก็เลยรู้ ขอโทษนะ แม่เข้าใจหนูผิดไป”

เมื่อกี้เธอคิดเธอนึกย้อนตลอดทางว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง เธอจำได้ว่าเมื่อได้ยินเสี่ยวหว่านชิงถูกรถชนก็รีบตามหาเงาของเธอ สุดท้ายเห็นเธอนั่งอยู่บนพื้นก็เลยเรียกชื่อเธออย่างร้อนรน เธอจำได้ว่าเป็นอย่างนั้น

“แล้วทำไมคุณอาคนนั้นต้องโกหกบอกว่าหนูบอกเขาด้วย” เสี่ยวหว่านชิงก็ยังโกรธอยู่

“อือ……” ไป๋มู่ชิงก็ยังไม่เข้าใจเหมือนกัน “เขาอาจจะลืมก็ได้ เพราะว่าเมื่อกี้สถานการณ์ฉุกเฉิน”

ขณะที่ทั้งสองกำลังคุยกันอยู่ เฉียวเฟิงที่ได้ยินเสียงรถก็เข็นรถเข็นออกมาจากในบ้าน

“คุณพ่อออกมาแล้ว เรารีบลงรถกันเถอะ” ไป๋มู่ชิงเปิดประตูลงไปจากนั้นก็อุ้มหว่านชิงที่นั่งอยู่บนคาร์ซีทลงมา

“คุณพ่อ……” เสี่ยวหว่านชิงวิ่งไปทางเฉียวเฟิงอย่างดีใจ

เฉียวเฟิงก็รับเธอเข้ามาในอ้อมกอดด้วยรอยยิ้ม “ซื้อถุงเท้าสีขาวได้หรือยัง?”

“ซื้อได้แล้วค่ะ หานานมากเลยค่อยซื้อได้”

“ใช่หรอ ก็ว่าทำไมต้องใช้เวลานานขนาดนี้”

“พนักงานขายบอกว่าช่วงนี้ผู้ปกครองก็กำลังหาถุงเท้าสีขาวสำหรับเต้นรำ ก็เลยหายากหน่อย” ไป๋มู่ชิงนำของที่ซื้อมาออกจากหลังรถแล้วเดินไปทางพ่อลูก

เมื่อทั้งสามคนกำลังจะเข้าไปในบ้าน เฉียวเฟิงตาแหลมก็เลยเห็นว่าที่รถมีรอยสีดำ เขามองสำรวจไปที่รอยแล้วเอ่ยถามขึ้นอย่างประหลาดใจ “รถไปโดนอะไร?”

ไป๋มู่ชิงคิดว่าจะบอกพรุ่งนี้ เมื่อเขาเห็นแล้วก็เลยพูดไปว่า “ตอนที่กำลังถอยรถออก ไม่ระวังทำให้รถคนอื่นเป็นรอย”

เมื่อได้ยินเธอบอกว่าทำให้รถคนอื่นเป็นรอยเฉียวเฟิงก็ถามขึ้นอย่างรีบร้อน “แล้วคุณกับหว่านชิงไม่ได้รับบาดเจ็บใช่ไหม?”

“ไม่ค่ะ แค่รอยขูดเล็กน้อย”

“ทำไมไม่ระวังขนาดนี้? คนไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว”

ไป๋มู่ชิงไม่รู้จะพูดยังไง “ช่องจอดรถแคบมาก แล้วเจอรปภที่ไม่ได้เรื่องด้วยเลยขูดรถคนอื่น”

“แล้วเขาหาเรื่องคุณหรือเปล่า?”

“ไม่ค่ะ เขาเป็นคนใจดี บอกว่าแจ้งประกันเองได้” ขณะที่ไป๋มู่ชิงกำลังพูด เสี่ยวหว่านชิงก็ทำหน้าผีแล้วมองบน ใจร้ายต่างหาก!

ไป๋มู่ชิงรู้ว่าในใจเธอกำลังคิดอะไรอยู่ ก็เลยสะกิดเป็นคำเตือนเธอ จากนั้นเสี่ยวหว่านชิงก็ไม่ได้เอ่ยปากพูดแล้วปิดปากเงียบ

“พรุ่งนี้เดี๋ยวผมส่งรถไปซ่อมที่ร้าน” ไป๋มู่ชิงเข็นรถเข็นของเฉียวเฟิงแล้วเข้าไปในบ้าน “ไปกันเถอะ เราไปอาบน้ำแล้วนอนกัน”

“หนูจะนอนกับคุณพ่อคุณแม่” เสี่ยวหว่านชิงรีบเอ่ยขึ้น

“ไม่ได้ หนูโตแล้วหนูต้องนอนคนเดียว” ไป๋มู่ชิงพูด

“หนูไม่ชอบนอนคนเดียว” เสี่ยวหว่านชิงแกว่งแขนของเฉียวเฟิงแล้วเอ่ย “คุณพ่อรักหว่านชิงมากที่สุด ทำไมไม่อยากนอนกับหนู”

“เพราะว่าคุณแม่พูดถูก เสี่ยวหว่านชิงโตแล้วก็ควรจะมีเตียงเป็นของตัวเอง” เฉียวเฟิงชี้ไปที่เตียงของหว่านชิง “ดูสิ เตียงของเสี่ยวหว่านชิงสวยขนาดไหน เหมือนเตียงของเจ้าหญิงหรือเปล่า?”

เสี่ยวหว่านชิงเบะปากให้ ยังใช้วิธีนี้มาปลอบใจเธออีก

เมื่อหนานกงเฉินบอกกับผู้ช่วยเหยียนว่าให้เธอไปสืบเรื่องไป๋มู่ชิง จนผู้ช่วยเหยียนทำอะไรไม่ถูก

เจ้านายของเธอจะเริ่มต้นรักครั้งใหม่รอบที่สามงั้นหรอ? เขาลืมไปหรือเปล่าว่าเขาเป็นใคร? ลืมเธอด้วยหรอว่าเป็นใคร?

“เออ……คุณชายเฉิน” ผู้ช่วยเหยียนยิ้มแห้งๆแล้วพูด “ฉันไม่ห้ามคุณถ้าคุณจะมีคนอื่นข้างนอกเพื่อสีสันในชีวิต แต่ว่า……คุณก็ต้องหาคนที่เหมาะสมจริงๆ บนโลกนี้มีดาราที่หน้าตาสวยงามเยอะแยะ คุณเลือกมาก็ได้……”

“ผู้หญิงที่สามารถเลือกได้……” หนานกงเฉินเอ่ยขึ้นอย่างเรียบนิ่ง “ผมไม่สนใจ”

“แต่ก็ไม่ควรหาผู้หญิงที่มีสามีแล้วนะคะคุณชายเฉิน……ลูกของเธอขึ้นอนุบาลแล้วนะคะ ถ้าเราทำแบบนี้มันจะไม่ดีหรือเปล่า?” ผู้ช่วยเหยียนอดไม่ได้ที่จะพูดเตือน

หนานกงเฉินยิ้มให้ “ผู้ช่วยเหยียน ผมยังไม่ได้อยากจนถึงขั้นนั้น ผมแค่อยากจะรู้จักเธอ”

“ในเมื่อคุณไม่อยากได้เธอ ทำไมต้องรู้จักเธอด้วยคะ?”

หนานกงเฉินเงียบไปสักครู่แล้วส่ายหัว “ผมก็ไม่รู้ ก็แค่อยากรู้จัก อยากรู้จักมาก”

“คุณชายเฉินคะ ถ้าเป็นเพราะว่าทั้งสองแม่ลูกหน้าตาเหมือนคุณหนูจูตอนเด็กแล้วทำให้คุณสนใจ แต่ตอนนี้คุณหนูจูอยู่ในอ้อมกอดคุณแล้วทำไมคุณไม่มองเธอล่ะ? ใจคุณเป็นยังไงกัน?”

“ผมก็ไม่รู้ว่าในใจผมเป็นอะไร” หนานกงเฉินยิ้มอย่างขมขื่น

ผู้ช่วยเหยียนพูดถูก จูจูอยู่ในอ้อมกอดเขาแล้วแต่เขาไม่แม้แต่จะมองเธอเลย แต่กลับรู้สึกสนใจผู้หญิงที่หน้าตาเหมือนจูจูตอนเด็ก หรือว่าเป็นเพราะบนตัวเธอมีความคุ้นชินงั้นหรอ?

“ถ้าอย่างนั้น……” ผู้ช่วยเหยียนเอ่ยขึ้นอย่างไม่เกรงกลัว “คนนี้ไม่ต้องไปสืบแล้วค่ะ ฉันไปหาจิตแพทย์ให้คุณดีมั้ยคะ?”

หนานกงเฉินเงยหน้าขึ้นมองเธอ

ผู้ช่วยเหยียนก็รีบรู้สึกผิดแล้วพูด “ขอโทษค่ะ ฉันไม่ได้หมายถึงอย่างนั้น”

“คุณชายคะ……” ผู้ช่วยเหยียนก็เงยหน้าขึ้นอีกครั้งแล้วมองไปที่เขาอย่างระมัดระวัง “ฉันคิดว่าคนที่คุณคิดถึงมากที่สุดคงเป็นเด็กผู้หญิงที่ช่วยคุณตอนเด็กไว้ ความรู้สึกคิดถึงนั้นอาจจะเป็นแค่ความรู้สึกขอบคุณก็ได้ ก็เลยทำให้คุณไม่รักคุณหนูจู”

“ก็อาจจะใช่” หนานกงเฉินเงียบไปอีกสักพักแล้วพูด “เหยียนเยว่ ถ้าพูดแล้วเธอก็อาจจะคิดว่าผมเป็นโรคจิตอีก

ที่ผมรู้จักรู้สึกสนใจเธอไม่เพียงเพราะว่าหน้าตาเธอเหมือนจูจูตอนเด็ก แต่เป็นเพราะว่า……ผมรู้สึกถึงกลิ่นอายไป๋มู่ชิงบนตัวเธอ”

“จริงหรอคะ?”

หนานกงเฉินพยักหน้าแล้วยิ้ม “อาจจะเป็นเพราะว่าผมคิดถึงไป๋มู่ชิงเกินไปก็เลยเกิดภาพหลอน ผมก็เลยอยากรู้จักเธอ อยากเข้าใจเธอ แต่คุณไว้ใจเถอะ ผมไม่ไปทำร้ายเธอหรอก”

เมื่อได้ยินหนานกงเฉินพูดขนาดแบบนี้ผู้ช่วยก็เลยพยักหน้า “ได้ค่ะ เดี๋ยวฉันจะไปสืบเดี๋ยวนี้ แต่ว่าคุณชายเฉินคะ……” เธอลังเลไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยย้ำเตือนขึ้น “ฉันต้องเตือนคุณก่อนนะคะ ผู้หญิงคนนั้นมีครอบครัวมีลูกแล้ว คุณอย่ารู้สึกกับเธอเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นคุณก็ต้องเจ็บปวดอีกครั้ง”

หนานกงเฉินพยักหน้า “ไว้ใจเถอะ ผมจะระวัง”

ถึงแม้ปากจะรับปากไปอย่างงั้น แต่ในใจก็ยังรู้สึกหวั่นไหวอยู่

เขารู้สึกว่าตัวเองเหมือนเด็กที่เล่นไฟ ทั้งๆที่รู้ว่าไฟอันตราย แต่ก็อดไม่ได้ที่จะเข้าไปลองเล่น

เขายื่นกระดาษเอสี่บนโต๊ะไปที่หน้าของผู้ช่วยเหยียน “นี่เป็นชื่อของเธอแล้วก็เลขบัตรประชาชนด้วย”

ผู้ช่วยเหยียนหยิบกระดาษเอสี่มาแล้วอ่านเสียงเบา “อีหลิน”

“ใช่” หนานกงเฉินพยักหน้า

เมื่อคืนเขาตั้งใจให้เธอเอาบัตรประชาชนออกมาก็เพื่อที่จะรู้ชื่อของเธอ แล้วบวกกับความจำดีของเขาก็เลยจำเลขบัตรประชาชนของเธอด้วย

“ได้ค่ะ ฉันจะไปจัดการเดี๋ยวนี้” ผู้ช่วยเหยียนพูดจบก็หันหลังเดินออกไป

เฉียวเฟิงมีร้านอาหารยุโรปของตัวเองที่ต้องดูแล หว่านชิงก็ไปโรงเรียน ไป๋มู่ชิงอยู่บ้านไม่ไหวก็ไปหางานเกี่ยวกับการออกแบบเสื้อผ้า

เธอชอบออกไปทำงาน เฉียวเฟิงก็สนับสนุนเธอมากด้วย เพราะว่าถ้าผู้หญิงอยู่บ้านนานเกินไปก็อาจจะทำให้ชีวิตหมดสนุกแล้วแยกออกจากสังคมได้ง่าย หรือว่าอาจจะพูดได้ว่า ขอแค่เป็นเรื่องที่ไป๋มู่ชิงชอบทำ เขาก็จะไม่ห้ามเธอเลย

บริษัทที่เธออยู่ไม่ได้เป็นบริษัทที่ใหญ่มาก แต่ก็ใกล้กับ โรงเรียนอนุบาลอ้ายเป่าแล้วเลิกงานก็เร็วด้วย ก็เลยสะดวกที่จะไปรับเสี่ยวหว่านชิงที่โรงเรียน

เจ้านายนามสกุลจาง เป็นผู้ชายวัยกลางคนที่อารมณ์ร้อนถ้าด่าคนขึ้นมาก็ไม่เกรงใจใครเลย แต่ถ้าตอนที่อารมณ์ดีก็ดีกับทุกคนมาก ก็ถือว่าเป็นเจ้านายที่ดีเหมือนกัน

ในห้องทำงานของประธานจางก็ปะทุร้อนอีกครั้งแล้วเสียงดังจนน่าตกใจ

เมื่อเพื่อนร่วมงานที่ทำงานได้ยินว่าเขาโมโหอีก ทุกคนก็เอาแต่ก้มหน้าไม่กล้าเอ่ยพูดอะไรออกมา

ไป๋มู่ชิงลุกขึ้นถือแก้วจะไปตักน้ำที่ห้องน้ำชา ก็ได้ยินพนักขายผู้หญิงสองคนกำลังบ่นอยู่ในห้องน้ำชา “ฉันคิดว่าประธานจางครั้งนี้ทำเกินไป เธอคิดว่าบริษัทหนานกงจะให้ออเดอร์ของเราหรอ? มีแบรนด์เสื้อผ้าต่างๆแย่งกันที่จะร่วมงานกับพวกเขา เราจะเอาอะไรไปสู้คนอื่นได้?”

“ใช่สิ อย่าว่าแต่พี่ฟางเลย ถึงแม้ประธานจางจะไปด้วยตัวเองก็คงจะถูกปฏิเสธกลับมายังไม่ไว้หน้า”

“ฉันได้ยินมาว่าพนักงานที่บริษัทหนานกงเข้มงวดมากแล้ว ตลอดเวลามาก็ร่วมงานกับบริษัทยีซิงเท่านั้น ถึงแม้จะหมดสัญญาแล้วเขาก็ไม่ยอมเปลี่ยนบริษัทใหม่ใช่ไหม?”

ไป๋มู่ชิงตักน้ำเปล่ามาแก้วนึงจากนั้นก็หันไปทางทั้งสอง “ออเดอร์ของบริษัทหนานกงใหญ่ขนาดนั้นเลยหรอ?”

เธอรู้แค่ว่าบริษัทหนานกงเป็นบริษัทที่ใหญ่มาก สามารถเห็นได้ตามนิตยสารการเงินบ้างทางธุรกิจบ้าง แต่เธอไม่เคยไปสืบค้นรู้จักเลย

“ก็ต้องใหญ่สิ แค่โรงงานทั่วโลกก็มีห้าสิบกว่าโรงงาน แล้วยังมีบริษัทใหญ่บริษัทเล็กตามที่ต่างๆ สำนักงานแล้วพนักงานเยอะขนาดนั้น เธอคิดดูสิว่าต้องใช้ยูนิฟอร์มเยอะแค่ไหน”

“ถ้าออเดอร์ใหญ่ขนาดนี้……บริษัทเราจะรับไหวหรอ?”

“ฉันก็เลยบอกนี่ไงว่าประธานจางไม่ดูความสามารถของตัวเองเลย” ผู้หญิงอีกคนพูดเสียงเบา “เอาแต่ให้พี่ฟางไปแย่งออเดอร์จากบริษัทยีซิง พอแย่งกลับมาไม่ได้ก็เอาแต่ต่อว่าพี่ฟาง ทำเกินไปจริงๆ”

“ทำเกินไปจริงๆด้วย” ไป๋มู่ชิงพยักหน้าแล้วกวาดมองพวกเธอแล้วยิ้ม “ประธานจางโมโหหัวร้อนขนาดนี้แล้วพวกเธอยังไม่รีบกลับไปที่โต๊ะทำงานตัวเอง เดี๋ยวทัวร์ได้ลงอีก”

“ใช่ใช่ใช่……รีบกลับไปทำงานเถอะ” หญิงสาวยกน้ำขึ้นแล้วรีบออกไป

หลังจากที่เลิกงาน ไป๋มู่ชิงก็เดินออกจากตึกไปพร้อมทุกคน

รถของเฉียวเฟิงก็จอดอยู่หน้าตึกแล้ว เธอก้มมองนาฬิกาที่ข้อมือ ใกล้เวลาเลิกเรียนเสี่ยวหว่านชิงแล้ว ฝีเท้าก็เร่งเร็วขึ้นกว่าเดิม

เธอเปิดประตูแล้วนั่งเข้าไปจากนั้นก็เอนตัวไปจุมพิตริมฝีปากของเฉียวเฟิงแล้วพูดยิ้ม “ขอโทษนะ ให้คุณรอนานเลย”

“ไม่เลย ผมก็เพิ่งถึง” เฉียวเฟิงจับผมเธอจากนั้นก็พูดกับลุงหลิ่ว “ออกรถได้เลยครับลุงหลิ่ว”

ลุงหลิ่วพยักหน้า จากนั้นก็สตาร์ทรถแล้วแล่นรถไปทางโรงเรียนอนุบาลอ้ายเป่า

ทางฝั่งตรงข้ามของถนน หนานกงเฉินที่อยู่ในรถคันสีดำก็กัดปากแน่น แต่สีหน้าก็ยังเรียบนิ่งอยู่

ตั้งแต่ที่ออกมาจากตึกจนกระทั่งขึ้นรถคันสีขาวด้วยความดีใจจากนั้นก็จูบผู้ชายในรถ การกระทำทุกอย่างของไป๋มู่ชิงตกอยู่ในสายตาเขา เขามองใบหน้าของผู้ชายในรถไม่ชัดแต่ก็รู้สึกได้ว่าเขารักเธอมาก เหมือนกับที่เธอรักเขา

เมื่อเห็นภาพเหตุการณ์ที่อบอุ่นขนาดนี้ ไม่รู้ว่าทำไมในใจเขาก็รู้สึกอิจฉาขึ้นมา

“คุณชายเฉินคะ……” ผู้ช่วยเหยียนที่นั่งอยู่ข้างหน้าพูด “คุณหนูอีทำงานที่บริษัทที่ชื่อหย่งเสียง ไม่รู้เหมือนกันว่าผู้จัดการของบริษัทนี้ได้ยินมาจากไหนว่าเรากำลังจะหมดสัญญากับยีซิง วันนี้ก็มาดักรถดิฉันด้วย”

“เธอทำอะไรอยู่ในนั้น?” หนานกงเฉินถามขึ้น

“เป็นดีไซเนอร์ออกแบบเสื้อผ้าค่ะ”

“แล้วเธอตอบกลับผู้จัดการของพวกเธอว่ายังไง?”

“ฉันเกือบจะชนเธอ แล้วสะดุ้งตกใจไป ยามก็เลยลากตัวเธอออกไปจากลานจอดรถของบริษัทค่ะ”

หนานกงเฉินพยักหน้าแล้วไม่ได้เอ่ยพูดอะไรอีก

ผู้ช่วยมองผ่านกระจกหลังรถไปที่เขาแล้วเอ่ยถามขึ้นอย่างระมัดระวัง “ผู้ชายบนรถน่าจะเป็นสามีของเธอ ทั้งสองดูสนิทสนมกันมาก”

“สามีเธอทำอะไร?”

“เบื้องต้นยังไม่ทราบค่ะ” เธอนำไปชื่อ’อีหลิน’กับแล้วเลขบัตรประชาชนไปตรวจสอบข้อมูลส่วนตัวของเธอ อย่างอื่นเธอยังไม่ทันได้ตรวจสอบเธอเอ่ยขึ้นอีก “ดูเหมือนจะเป็นคนมีฐานะเหมือนกัน รถคันเมื่อกี้หลายล้านเลยค่ะ”

รอไปสักพักก็ไม่ได้ยินเสียงตอบรับจากหนานกงเฉิน ผู้ช่วยก็เลยถามขึ้นว่า “ต้องการให้สืบข้อมูลเกี่ยวกับสามีเธอหรือเปล่าคะ?”

หนานกงเฉินเงียบไปสักครู่ก่อนส่ายหัว “ไม่ต้อง นี่ไม่สำคัญ”

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะไม่อยากสืบหรือว่าจงใจที่จะหลบเลี่ยง แต่ว่าเขาไม่อยากรู้เรื่องเกี่ยวกับสามีเธอเลยสักนิด

หรือว่าในใจลึกๆ เขาหวังว่าเธอจะยังโสด ไม่เคยเห็นภาพที่เธอจูบกับสามีเมื่อกี้

ผู้ช่วยเหยียนเข้าใจดีว่าในใจเขาคิดอะไรก็เลยไม่พูดถึงประเด็นนี้อีก “คุณชายเฉินคะ……คุณจะไปที่ไหนต่อคะ? ให้ฉันส่งคุณกลับไปที่คฤหาสน์ดีมั้ยคะ?”

หนานกงเฉินสูดหายใจเข้าเบาแล้วพูด “ไปที่บ้านเธอก่อน จากนั้นผมจะใช้รถ”

“ได้ค่ะ” ผู้ช่วยเหยียนสตาร์ทรถแล้วแล่นออกไป

ไป๋มู่ชิงกับเฉียวเฟิงไปรับเสี่ยวหว่านชิงที่โรงเรียนอนุบาลด้วยกัน ไป๋มู่ชิงก็ได้ยินเสียงเสี่ยวหว่านชิงกำลังทะเลาะกับเพื่อนมาแต่ไกล ก็เลยเล่นฝีก้าวเดินเข้าไป

เมื่อเดินเข้าไปในห้องเรียน เธอก็เห็นน้ำตาเสี่ยวหว่านชิงไหลเต็มหน้าแล้วพูดอย่างไม่ยอมคน “คุณพ่อรักฉันมาก!”

“ถ้าเธอมีพ่อ ทำไมเขาไม่มารับเธอเลิกเรียนล่ะ?” เด็กผู้หญิงผิวคล้ำคนหนึ่งเอ่ยขึ้น

“เมียนเมียน! อย่าพูดอีก รีบไปขอโทษกับหว่านชิง!” มือข้างหนึ่งของคุณครูฟางกอดเสี่ยวหว่านชิงไว้ ส่วนอีกข้างก็จูงมือเด็กผู้หญิงอีกคนให้มาขอโทษกับหว่านชิง

“ไม่ค่ะ!” เมียนเมียนสะบัดแขนของคุณครูออกแล้วเอ่ย “หนูไม่ได้พูดผิด เธอไม่มีพ่อ”

“หว่านชิงมีพ่อ แค่เธอไม่เคยเห็น ถึงแม้หว่านชิงจะไม่มีพ่อจริงเธอก็พูดแบบนี้กับคนอื่นไม่ได้เข้าใจมั้ยคะ?” คุณครูฟางพูดด้วยอารมณ์หงุดหงิดจนเหงื่อไหลเต็มหน้าผากเพราะเด็กสองคนนี้

“เกิดอะไรขึ้นคะ?” ไป๋มู่ชิงมองสำรวจไปที่ทุกคนแล้วเอ่ยขึ้น

เมื่อไป๋มู่ชิงเดินเข้ามา เสี่ยวหว่านชิงก็รีบวิ่งไปกอดเธอแล้วร้องไห้

“เป็นอะไรคะ? ทำไมร้องไห้เสียใจขนาดนี้” ไป๋มู่ชิงกอดหว่านชิงไว้แล้วมืออีกข้างก็ช่วยเธอเช็ดน้ำตาบนใบหน้า

คุณครูฟางหันหลังกลับมาแล้วเอ่ยด้วยสีหน้ารู้สึกผิด “คุณหญิงเฉียว เป็นแบบนี้ค่ะ การแสดงในวันเด็กซ้อมไว้หมดแล้ว แล้ววันนี้เมียนเมียนก็เอ่ยขึ้นว่าตัวเองไม่อยากเป็นซินเดอเรลล่า จะแสดงเป็นสโนว์ไวท์ เสี่ยวหว่านชิงไม่ยอมแลกกับเธอ เด็กทั้งสองคนก็เลยทะเลาะกันค่ะ”

“เธอบอกว่าหนูไม่มีพ่อ เธอต่างหากที่ไม่มีพ่อ” เสี่ยวหว่านชิงพูดอย่างอารมณ์เสีย

“นี่ ทำไมเป็นเด็กถึงพูดอย่างนี้? ใครไม่มีพ่อ?” ผู้หญิงอีกคนก็ยืนออกมาแล้วเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์

ไป๋มู่ชิงมองไปที่ผู้หญิงตรงหน้า ดูจากสีผิวก็น่าจะรู้ว่าเป็นคุณแม่ของเมียนเมียน เธอกอดหว่านชิงที่กลัวจนสั่นอยู่ในอ้อมแขนไว้แน่นแล้วมองไปทางผู้หญิงคนนั้น “เด็กๆทะเลาะกันผู้ใหญ่จะยุ่งทำไมคะ? ใครไม่มีพ่อคะ? คุณพ่อของหว่านชิงรออยู่หน้าประตูแล้ว ทำไมลูกของคุณถึงต่อว่าคนอื่นว่าไม่มีพ่อได้คะ?”

ผู้หญิงคนนั้นไม่รู้จะเอ่ยตอบเธอยังไง

“ขอโทษนะคะ ทุกคนอย่าทะเลาะกันเลยค่ะ เป็นความผิดของฉันเองที่ฉันไม่ได้ดูแลจัดการดีๆ……” คุณครูฟางขอโทษกับทุกคน

“ก็เป็นความผิดของเธออยู่แล้ว!” เมื่อถูกไป๋มู่ชิงกระตุกต่อมอารมณ์ไปก็หันไปต่อว่าคุณครูฟาง “เธอหมายความว่ายังไง? เห็นว่าลูกของฉันสีผิวคล้ำก็เลยให้เธอแสดงเป็นซินเดอเรลล่า งั้นเหรอ? ลูกของฉันจะแสดงเป็นสโนว์ไวท์ไม่ได้หรอ?”

“ไม่ใช่อย่างนั้นนะคะ……”

“ฉันบอกเธอไว้เลย เมียนเมียนของฉันอยู่บ้านเป็นเหมือนเจ้าหญิงที่ทุกคนรัก เป็นลูกรักของเราทุกคน ทำไมต้องมาถูกเธอรังเกียจที่นี่ด้วย?” ผู้หญิงคนนั้นพูดได้ไม่น่าฟังมาก ด่าคุณครูจนคุณครูไม่กล้าเอ่ยพูดอะไร

เมื่อไป๋มู่ชิงเห็นคุณครูฟางน่าสงสารก็เลยจูงมือเสี่ยวหว่านชิงที่ยังร้องไห้อยู่ “หว่านชิง หนูร้องไห้ทำไมคะ?”

“เธอแยกสโนว์ไวท์ของหนูแล้วยังด่าว่าหนูไม่มีพ่ออีก” เสี่ยวหว่านชิงพูดอย่างสะอึกสะอื้น

ไป๋มู่ชิงลูบหัวของเธอแล้วยิ้มอ่อน “แล้วหนูมีคุณพ่อหรือเปล่าคะ?”

“ก็ต้องมีสิคะ”

“งั้นก็พอแล้ว เราไม่ใช่ไม่มีคุณพ่อ จะกลัวที่คนอื่นพูดทำไม แล้วจะโมโหอารมณ์เสียทำไมคะ?”

เสีายวหว่านชิงมองไปที่เธอ ดวงตาที่กลมโตก็เต็มไปด้วยน้ำตา

ไป๋มู่ชิงใช้ทิชชู่ช่วยเธอเช็ดน้ำตาบนใบหน้าแล้วเอ่ยขึ้น “จำได้ไหมคะว่ากี่วันก่อนคุณพ่อเล่าให้หนูฟังว่าสโนว์ไวท์เป็นคนยังไง?”

“สโนว์ไวท์เป็นคนที่ชอบกินค่ะ กินของที่คนอื่นให้ไปมั่ว”

“ใช่ สโนว์ไวท์เป็นเจ้าหญิงที่ใสซื่อที่ชอบกินจนโดนคนร้ายวางยาพิษ แต่ซินเดอเรลล่าไม่เหมือนกันนี่คะ ซินเดอเรลล่ากล้าหาญแล้วมีเมตตา ถึงแม้ตอนแรกจะดูเนื้อตัวมอมแมมแต่ด้วยความเมตตาของเธอก็ทำให้นางฟ้ารู้สึกตื้นตันใจแล้วก็เสกกระโปรงกับรองเท้าแก้วกับเธอ จนเธอได้เป็นผู้หญิงที่มีความสุขที่สุดในโลก” ไป๋มู่ชิงยิ้มแล้วถาม “ถ้าเป็นหนู หนูชอบใครมากกว่ากันคะ?”

“หนูชอบซินเดอเรลล่าที่มีความเมตตาค่ะ”

“เพราะฉะนั้น เราให้สโนว์ไวท์กับคนอื่นแล้วเราแสดงเป็นซินเดอเรลล่าดีมั้ยคะ?”

เสี่ยวหว่านชิงพยักหน้า สุดท้ายก็ยอมพูด “ได้ค่ะ”

พูดจบ เธอก็หันไปพูดกับคุณครูฟาง “คุณครูฟางคะ เราไม่แสดงเป็นสโนว์ไวท์แล้วค่ะ เราจะแสดงเป็นซินเดอเรลล่า”

“หว่านชิงเป็นเด็กดีมากเลย ขอบคุณนะคะ” คุณครูฟางโล่งอกไป จากนั้นก็ลูบหัวของเสี่ยวหว่านชิงด้วยรอยยิ้มแล้วพูดขอบคุณ “คุณหญิงเฉียว คุณเก่งมากเลยขอบคุณนะคะ”

“ไม่ต้องขอบคุณหรอกค่ะ” ไป๋มู่ชิงยิ้มแล้วจูงมือเสี่ยวหว่านชิงแล้วใช้สายตามองไปที่เธอ เธอก็รีบหันไปทางเมียนเมียน “เมียนเมียน ฉันให้สโนว์ไวท์กับเธอก็ได้ ฉันแสดงเป็นซินเดอเรลล่า”

เมียนเมียนไม่แยแสแล้วเบี่ยงหน้าหนี

“เสแสร้งได้เป็นคนดีมาก” คุณแม่ของเมียนเมียนจูงมือเธอไว้ “ไปเมียนเมียน เราไม่แสดงแล้ว”

เมื่อเห็นแม่ลูกทั้งสองเดินออกไป คุณครูฟางค่อยโล่งอกไปแล้วยิ้มไปทางไป๋มู่ชิง “คุณหญิงเฉียว ก็ว่าทำไมหว่านชิงถึงเป็นเด็กดีขนาดนี้ เป็นเพราะคุณสอนนั่นเอง”

คุณครูฟางรู้อยู่แล้วว่าที่บ้านของเฉียวหว่านชิงรวยมาก ไม่คิดเลยว่าคนรวยอย่างนี้แต่กลับเข้าใจสถานการณ์ได้ดีกว่า ไม่มีท่าทางโอ้อวดเลย เด็กที่ถูกสั่งสอนมาจากครอบครัวแบบนี้ใครเห็นก็ต้องชอบทั้งนั้น

“เป็นเพราะคุณพ่อของเธอต่างหากค่ะ” ไป๋มู่ชิงยิ้ม เมื่อได้ยินคนอื่นพูดชมลูกของตัวเองในใจเธอก็ต้องดีใจสิ

ไป๋มู่ชิงพาหว่านชิงกลับไปในรถ เมื่อเฉียวเฟิงเห็นขอบตาสีแดงของหว่านชิงก็เอ่ยถามขึ้นอย่างเป็นห่วง “หนูเป็นอะไรคะ? ตีกับเพื่อนเหรอคะ?”

“ไม่ค่ะ แค่ทะเลาะปากเปล่ากับเพื่อน” ไป๋มู่ชิงพูด

“ทะเลาะกับเพื่อนได้ยังไงกัน?” เฉียวเฟิงพูด

เมื่อเสี่ยวหว่านชิงถูกเขาถามอย่างนี้ก็รีบซบอยู่ในอ้อมกอดเขาด้วยน้ำตา “ถังเมียนเมียนบอกว่าหนูไม่มีพ่อ หนูก็เลยทะเลาะกับเธอ”

“ทำไมถึงบอกว่าหนูไม่มีพ่อล่ะ?”

“เธอบอกว่าไม่เคยเห็นคุณพ่อมารับหนูตอนเลิกเรียนเลย”

เฉียวเฟิงเงียบไปทันที

ไป๋มู่ชิงก็รีบพูดขึ้นว่า “หว่านชิง เมื่อกี้บอกกับหนูแล้วไม่ใช่หรอคะ หนูไม่ใช่ไม่มีพ่อ หนูไม่ควรโมโหนะคะ”

“ค่ะ” หว่านชิงพยักหน้าในอ้อมกอดของเฉียวเฟิง

เฉียวเฟิงลูบไปที่ศีรษะของเธอแล้วพูดด้วยน้ำเสียงขมขื่น “ขอโทษนะ พ่อผิดเอง คุณพ่อไปรับหนูที่หน้าโรงเรียนตอนเลิกเรียนไม่ได้”

“คุณพ่อคะ หนูไม่ได้โทษคุณพ่อค่ะ หนูแค่ไม่ชอบถังเมียนเมียน ทุกคนก็ไม่ชอบเธอ”

“งั้นอีกหน่อยเราก็อย่ามีเรื่องกับเธอนะ” ไป๋มู่ชิงจัดผมที่ยุ่งเหยิงบนหน้าผากเธอ

เสี่ยวหว่านชิงก็พยักหน้าแล้วซบอยู่ในอ้อมกอดของเฉียวเฟิงเหมือนเดิม

ไป๋มู่ชิงไม่ใช่ไม่รู้สึกถึงความเสียใจบนใบหน้าของเฉียวเฟิง เธอยื่นมือไปกุมมือเขาไว้แล้วยิ้มอ่อนให้เขา

เฉียวเฟิงรู้สึกถึงคำปลอบใจที่ไม่มีเสียงของเธอ ในใจก็โทษตัวเองมากกว่าเดิม เขากลับจับมือของเธอแน่นแล้วสูดหายใจเข้าเบาๆ “ขอโทษ ผมไม่มีกำลังที่จะปกป้องสองแม่ลูกคุณเลย”

ถ้าขาทั้งสองข้างของเขาปกติ ก็ไม่จำเป็นต้องรออยู่หน้าประตูอย่างนี้ จนทำให้คนอื่นเข้าใจผิดว่าหว่านชิงไม่มีพ่อ ยิ่งไม่อยากให้ไป๋มู่ชิงกับหว่านชิงทนกับสายตาที่คนอื่นมองที่เขาด้วย

“เฟิง คุณรู้ว่าฉันไม่ชอบฟังอะไรพวกนี้” ไป๋มู่ชิงเงยหน้าไปมองเขา

เฉียวเฟิงพยักหน้าแล้วยิ้ม “ผมรู้ ผมแค่เห็นหว่านชิงเสียใจ ในใจก็เลยเสียใจไปด้วย”

“ฉันว่าเราควรจะสอนให้หว่านชิงปล่อยวางบ้าง บนโลกนี้มีเด็กที่ครอบครัวไม่สมบูรณ์แบบเยอะมาก จะให้เขาก็รู้สึกด้อยค่าด้วยหรอคะ? ไม่สมควรเลย”

“ใช่ ได้ยินหรือยังคะ” เฉียวเฟิงจับไปที่หูของหว่านชิง

หว่านชิงก็พยักหน้า “ค่ะ เถียนเถียนก็เป็นเด็กที่ไม่มีคุณพ่อ แต่ว่าเธอก็มีความสุขมาก”

“ใช่ หนูคิดแบบนี้ได้ก็ถูกแล้วค่ะ” ไป๋มู่ชิงยิ้มเอ่ยชมขึ้น

ตั้งแต่เช้า ประธานจางก็เดินออกมาจากห้องทำงานแล้วยืนพิงประตูพูดกับทุกคน “ใครก็ได้มานวดให้ผมหน่อย เร็ว ใครที่มีแรงเยอะๆรีบมานวดให้ผมหน่อย”

เมื่อได้ยินเขาพูดอย่างนี้ทุกคนก็เริ่มกลัวแล้วจ้องไปที่เขา

เมื่อเห็นท่าทางที่ผิดปกติของเขา ทุกคนก็คิดเลยว่าช่วงนี้เศรษฐกิจไม่ดีมาก ผลงานของบริษัทก็ย่ำแย่จนทำให้คนที่อารมณ์ร้อนอย่างประธานจางลำบากไปเลยทีเดียว

“รีบสิ เสี่ยวซ่งนายมานี่” เขาหันไปโบกมือกับผู้ชายที่อ้วนที่สุดในห้องทำงาน

เมื่อเสี่ยวซ่งโดนเรียกชื่อก็ลุกขึ้นมาจากเก้าอี้แล้วพูดกับเขา “ประธานจางครับ คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับ?”

ประธานจางก็เอ่ยขึ้นอย่างรีบร้อนว่า “เมื่อกี้ผมได้รับโทรศัพท์จากเลขาของบอสบริษัทหนานกง เธอบอกว่าบริษัทหนานกงจะให้ออเดอร์ครึ่งหนึ่งกับเรา บ้าไปแล้ว ผมกำลังฝันอยู่หรือเปล่า? ผมหูฝาดไปหรือเปล่า?”

“จริงหรอ! นี่เป็นเรื่องจริงหรอ?” พี่ฟางเป็นคนแรกที่เอ่ยขึ้น

“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ผมก็เลยอยากให้พวกคุณมาหยิกผมดูว่าผมกำลังฝันอยู่หรือเปล่า!”

“ประธานจางครับ คุณไม่ได้กำลังฝัน” เสี่ยวซ่งเอ่ยขึ้นมาอย่างดีใจ อุ้มเขาขึ้นแล้วทุ่มไปกับพื้น “เจ็บไหมครับ? คุณไม่ได้กำลังฝันใช่ไหมครับ?”

ปกติที่เห็นประธานจางเอาแต่ด่าว่าเสี่ยวซ่ง เมื่อได้โอกาสก็เลยจงใจเอาคืนไป ประธานจางที่อยู่บนพื้นไม่โกรธแต่กลับตอบไปว่า “เจ็บ……!”

“เจ็บก็ถูกแล้วครับ แสดงความยินดีด้วยครับประธาน” เสี่ยวซ่งยื่นมือไปทางเขาด้วยหน้ายิ้มแย้ม

ประธานจางลุกขึ้นมาจากพื้นแล้วพูดต่อ “แต่ว่าเขามีเงื่อนไขที่โรคจิตมาก”

ห้องทำงานที่กระตือรือร้นเมื่อกี้ก็เงียบขึ้นมาทันที พี่ฟางถามอย่างเป็นห่วง “เงื่อนไขอะไรหรอคะ?”

บนโลกนี้ไม่มีอาหารก้อนโตที่ฟรีหรอก บริษัทใหญ่ขนาดนี้จะให้ออเดอร์บริษัทเล็กอย่างพวกเธอได้ยังไง พี่ฟางคิด

“พวกเขาเจาะจงว่าจะให้อีหลินรับผิดชอบเป็นดีไซน์เนอร์ของออเดอร์นี้”

เมื่อประธานจางพูดจบก็มีเสียงดังขึ้นจากมุมห้อง “อะไรนะ?”

เสียงตกใจนี้ไม่ใช่เสียงของไป๋มู่ชิง แต่เป็นเสียงของดีไซเนอร์ที่อยู่กับบริษัทมานานอย่างลัวลี่ เธอลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วมองสำรวจไปที่ไป๋มู่ชิงที่อยู่ข้างๆ “ทำไมคะ? ประธานไม่ได้หูฝาดใช่ไหมคะ?”

ไป๋มู่ชิงก็รู้สึกแปลกใจเหมือนกัน ทำไมถึงเป็นเธอ? เธอเป็นคนที่เพิ่งเข้าบริษัทได้ไม่นาน

แม้แต่เพื่อนร่วมงานในบริษัทยังรู้จักไม่ครบเลย แล้วอยู่ในวงการนี้ไม่รู้จักใครด้วย แต่บริษัทหนานกงที่ใหญ่โตกลับเซ็นสัญญากับบริษัทหยงเสียงเล็กนี้ ก็ไม่น่าเชื่อแล้ว ยังให้ดีไซเนอร์ที่ไม่มีชื่อเสียงอะไรแบบเธอมารับผิดชอบอีก?

ประธานจางส่ายหัว “ผมไม่ได้หูฝาด เป็นอีหลิน”

“เป็นไปได้ยังไงคะ?” ลัวลี่หันไปทางไป๋มู่ชิงแล้วเอ่ยถามเธอ “อีหลิน เธอรู้จักกับผู้บริหารของบริษัทหนานกงหรอ?”

ไป๋มู่ชิงส่ายหัว “ไม่รู้จักค่ะ”

“แล้วทำไมต้องเจาะจงให้เธอเป็นดีไซเนอร์ของเขาด้วย?”

ไป๋มู่ชิงก็ส่ายหัวเหมือนเดิม เธอเองก็แปลกใจเหมือนกัน

ลัวลี่คิดไปคิดมาก็รู้สึกไม่พอใจก็เลยพูดกับประธานจางว่า “ประธานคะ ฉันคิดว่าคุณต้องถามให้แน่ใจอีกครั้ง เพราะว่านี่เป็นออเดอร์ที่สำคัญมาก ห้ามมีอะไรผิดพลาดเด็ดขาด”

“ผมรู้ เธอบอกให้ผมไปเซ็นสัญญาตอนบ่าย ถ้าตอนบ่ายผมต้องถามให้แน่ใจอีกครั้งแน่นอน” ประธานจางพูด

“เซ็นสัญญาตอนบ่ายเลยเหรอคะ?” ทุกคนก็ตื่นเต้นขึ้นมาอีกครั้งแล้วเอ่ยพึมพำกับประธานจางว่าให้เพิ่มเงินเดือน

แต่ไป๋มู่ชิงกลับไม่รู้สึกดีใจเลย สำหรับเธอนี่เป็นความกดดัน ถึงแม้จะมีความสามารถที่ทำได้แต่เธอก็ไม่อยากมีศัตรูทั้งๆที่เพิ่งเข้ามาได้บริษัทไม่นาน เธอหันไปมองลัวลี่ก็ได้รับสายตาที่อิจฉาโกรธเคืองจากเธอจนต้องรีบหันหน้ากลับมา

ลัวลี่เป็นพนักงานเก่าของบริษัทแล้วเป็นหัวหน้าเธออีก ฝ่ายตรงข้ามกลับมองข้างเธอแล้วเจาะจงมือใหม่อย่างเธอ ไม่ว่าหัวหน้าคนไหนก็คงจะมีความคิดของตัวเองเหมือนกัน

ตอนบ่ายประธานจางก็ไปเซ็นสัญญาที่บริษัทหนานกง เมื่อเดินผ่านตึกสำนักงานเขาก็หยุดลงแล้วหันไปมองไป๋มู่ชิง จากนั้นก็โบกมือให้เธอ “อีหลิน เธอไปพร้อมกับผมเลย”

ไป๋มู่ชิงเงยหน้าขึ้นแล้วมองเขา “ทำไมคะ?”

“ไปกับผม แล้วไปดูว่าทำไมฝ่ายตรงข้ามถึงเจาะจงว่าเธอต้องเป็นดีไซน์เนอร์ ดูว่าพวกเขาเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า” เขาพูดจบก็หันไปพูดกับเลขาข้างกาย “เสี่ยวเหมิงเธอไม่ต้องไปแล้ว”

“ทำไมคะ? ฉันอยากจะไปดูที่บริษัทหนานกง ยังไม่มีใครเคยไปเลย” เลขาสาวเอ่ยขึ้น

“เด็กดี เดี๋ยวตอนเย็นพาเธอไปกินของอร่อยๆ” ประธานจางยกมือขึ้นบีบแก้มเธอจากนั้นก็โบกมือไปทางไป๋มู่ชิง “รีบหน่อย เดี๋ยวสายแล้วจะไม่ได้การ”

ไป๋มู่ชิงก็รีบเก็บงานในมือจากนั้นก็ถือกระเป๋าเดินตามไปด้วย

ระหว่างทางไปบริษัทหนานกง ประธานจางขับรถไปด้วยแล้วพูดย้ำเตือนกับไป๋มู่ชิงว่าเดี๋ยวต้องระวังอะไรบ้าง ไม่ว่าเขาจะพูดอะไร ไป๋มู่ชิงก็จำเข้าสมองหมด ในความทรงจำของเธอเป็นครั้งแรกที่เธอไปบริษัทที่ใหญ่ขนาดนี้ ในใจก็รู้สึกเกร็งเข้ามาขึ้นมาทันที

เมื่อไปถึงบริษัทหนานกง ทั้งสองคนก็เดินตามพนักงานไปที่ห้องประชุมข้างบนตึก

นั่งรออยู่ไปสักพัก ที่หน้าประตูก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น จากนั้นก็เป็นผู้หญิงที่หุ่นสวยหน้าตาดีเดินเข้ามา

ประธานจางก็รีบลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเอ่ยทักทายกับเธอ “ผู้ช่วยเหยียนสวัสดีครับ”

ขณะที่ลุกขึ้นก็ไม่ลืมสะกิดไปที่แขนของไป๋มู่ชิงด้วย เธอก็รีบลุกขึ้นแล้วเอ่ยทักทาย “สวัสดีค่ะผู้ช่วยเหยียน”

ผู้ช่วยเหยียนมองกว่าไปที่ทั้งสอง สายตาก็หยุดลงที่ไป๋มู่ชิงครู่หนึ่งแล้วเอ่ยยิ้มขึ้น “ทั้งสองคนไม่ต้องเกรงใจขนาดนี้ก็ได้ค่ะ เชิญนั่งเถอะค่ะ” พูดจบเธอก็เดินไปนั่งลงเก้าอี้ตรงข้าม

“นี่เป็นเงื่อนไขของสัญญา ประธานจางดูสิคะ ถ้าไม่มีปัญหาอะไรก็เซ็นชื่อที่ใบสุดท้ายได้เลยค่ะ” ผู้ช่วยเหยียนยื่นเอกสารในมือไป

ประธานจางมองสัญญาอย่างประหลาดใจ เปิดดูเงื่อนไขแต่ละข้ออย่างและมัดระวังแล้วเอ่ยถาม “คุณไม่ถามอะไรผมเลยหรอครับ แล้วก็ไม่ไปดูที่โรงงานด้วยเหรอครับ?”

“ความสามารถของบริษัทหยงเสียงฉันไปดูงานมาเรียบร้อยแล้วค่ะ พูดตามความจริงนะคะ บริษัทแบบนี้แต่ก่อนเราไม่เคยพิจารณาเลย แต่ว่าช่วงนี้บอสอารมณ์ดีก็เลยตัดสินใจว่าจะใช้บริษัทในประเทศ แล้ววันนั้นพนักงานของพวกคุณก็มาดักหน้ารถฉันอีก ก็เลยเป็นพวกคนค่ะ แต่ว่า เพราะว่าความสามารถของบริษัทพวกคุณยังไม่สมบูรณ์แบบมากนัก เราก็เลยให้ออเดอร์แค่ครึ่งหนึ่งค่ะ”

ประธานจางยิ้มออกมา “แค่ครึ่งเดียวผมก็พอใจแล้วครับ ไม่คิดเลยว่าคุณชายเฉินก็เป็นคนที่มีความเมตตา ผู้ช่วยต้องขอบคุณเขาแทนผมนะครับ”

“ถ้าจะขอบคุณก็ต้องขอบคุณพนักงานที่มีความกล้าหาญคนนั้น แต่ฉันต้องเตือนคุณไว้ เรื่องแบบนี้ครั้งหน้าอย่าทำดีกว่าค่ะ เพราะว่าอาจจะไม่ใช่ทุกครั้งที่โชคดีแบบนี้”

“ครับครับ……” ประธานจางก้มหน้าลงไปอ่านสัญญาต่อ

สุดท้ายผู้ช่วยเหยียนก็ทอดมองไปทางไป๋มู่ชิงแล้วยิ้มอ่อนให้เธอ “ทำไมคะ? ฉันเห็นว่าคุณจ้องฉันตั้งแต่ฉันเดินเข้าประตู”

ไป๋มู่ชิงดึงสติกลับมาแล้วหลบสายตาอย่างเขินอาย “ฉันแค่คิดว่าผู้ช่วยสวยมากค่ะ สวยกว่าดาราอีกค่ะ”

“ใช่ครับ นี่คือความจริง” ประธานเงยหน้าขึ้นพูดประจบประแจ “ผู้ช่วยเหยียนเป็นผู้หญิงที่มีชื่อเสียงในวงการอยู่แล้ว เมื่อทุกคนพูดถึงคุณชายเฉินก็ต้องพูดถึงผู้ช่วยที่สวยสดงดงามข้างกายเขาด้วย”

ผู้ช่วยมองไปให้ทั้งสองแล้วยิ้มอ่อน “ดูเหมือนว่าพนักงานบริษัทของพวกคุณไม่เพียงแคกล้าหาญ ปากก็ยังหวานด้วย”

ไป๋มู่ชิงยกแก้วน้ำบนโต๊ะขึ้นดื่มอย่างแก้เขิน

เธอไม่รู้เลยว่าตัวเองโรคจิตขนาดนี้ ตั้งแต่ที่เห็นผู้ช่วยแว๊บแรกก็เอาแต่มองเธอ มองไปที่ริมฝีปากที่เธอเอ่ยพูด แล้วมองความเข้มงวดจากใบหน้าที่สวยงามของเธอ มีความชอบที่อธิบายออกมาไม่ได้

ความจริงข้างกายผู้บริหารก็ต้องมีเลขาที่สวยอยู่แล้วเหมือนกับประธานจางก็มีเสี่ยวเหมิงที่สวยเหมือนกัน ก็ไม่ได้แปลกอะไรไม่ใช่หรอ?

ขณะที่ประธานจางกำลังก้มดูสัญญา ไป๋มู่ชิงก็มองไปที่ผู้ช่วยเหยียนแล้วเอ่ย “ใช่ค่ะผู้ช่วยเหยียน ฉันขอถามหน่อยได้ไหมคะว่าทำไมบริษัทถึงเลือกให้ฉันเป็นคนดูแล? ความจริงฉันไม่ได้มีประสบการณ์อะไรเกี่ยวกับงานด้านนี้……”

“แค่กๆ……” ประธานจางไอขึ้นเป็นเสียงเตือน ใครที่จะพูดถึงบริษัทตัวเองแบบนี้กัน

เธอรีบอธิบาย “ฉันหมายถึงว่า ที่บริษัทของเรามีคนที่มีประสบการณ์ความสามารถมากกว่าฉัน ฉันเกรงว่าตัวเองจะรับผิดชอบไม่ไหว”

ผู้ช่วยเหยียนมองไปที่เธอแล้วยิ้มอ่อน “ตอนนี้ฉันให้ออเดอร์ของพวกคุณแค่ในประเทศ อย่ากดดันขนาดนั้นเลย”

นี่ไม่ใช่คำตอบของคำถามเลย ไป๋มู่ชิงลังเลไปครู่หนึ่งก็อดเอ่ยไม่ได้ “ทำไม……ถึงเลือกฉันหรอคะ?”

“เพราะว่าฉันได้ยินว่าคุณกลับมาจากต่างประเทศ ฉันคิดว่าดีไซน์เนอร์ทีกลับมาจากต่างประเทศก็จะมีความแปลกใหม่แล้วก็ความคิดสร้างสรรค์มากด้วย” ผู้ช่วยพูด

“แต่ว่า……” ไป๋มู่ชิงกำลังจะพูดว่าตัวเองไม่ได้ทำงานสายนี้ที่ต่างประเทศ ประธานจางก็รีบใช้เท้ามาสะกิดที่ขาเธอ เธอเลยจำใจต้องหุบปาก

ผู้ช่วยยิ้มอ่อนแล้วหันไปทางประธานจาง “ประธานจางดูครบหรือยังคะ?”

“ดูครบแล้วครับ ไม่มีปัญหาอะไรครับ” ประธานจางยกปากกาขึ้นกำลังจะเซ็นชื่อ

ไป๋มู่ชิงก็อดพูดไม่ได้อีกว่า “คุณผู้ช่วยคุณแน่ใจหรอคะว่าไม่ต้องดูแบบก่อนก็ตัดสินใจว่าจะร่วมงานกับบริษัทเรา?”

ทำไมถึงง่ายดายขนาดนี้ นี่ไม่สมกับบริษัทที่ใหญ่ขนาดนี้เลย ในใจเธอสงสัยมาก แต่ว่าประธานจางก็ส่งสายตามาที่เธอ เธอเลยจำเป็นต้องยิ้มแห้ง “ได้ค่ะ ขอโทษนะค ะฉันแค่กังวลว่าถ้าถึงเวลาแล้วฉันจะส่งแบบให้ไม่ทัน”

“ถ้าเธอส่งไม่ทันก็ยังมีลัวลี่ไม่ใช่หรอ กังวลอะไร” ประธานจางอยากจะบีบคอเธอ

ผู้ช่วยเหยียนพูด “เดี๋ยวดิฉันจะส่งเงื่อนไขของยูนิฟอร์มบริษัทไปที่อีเมลของคุณอีหลินนะคะ คุณแค่ลองออกแบบชุดยูนิฟอร์มฤดูร้อนจากนั้นก็ส่งแบบมาให้ฉัน ฉันดูจากความเป็นมืออาชีพของคุณแล้วหนึ่งอาทิตย์พอไหมคะ?”

“ได้ครับได้ครับ กลับไปแล้วจะให้อีหลินรีบไปวาดเลยครับ” ประธานจางหันไปทางเธอ “อีหลิน ส่งงานในมือให้คนอื่นก่อนแล้วรับผิดชอบแค่การออกแบบของบริษัทหนานกงก็พอ”

เวลานี้ประธานจางพูดอะไรก็ต้องเป็นอย่างงั้น นอกจากพยักหน้า ไป๋มู่ชิงก็ไม่มีทางเลือกอื่นเลย

“ใช่ค่ะ……” ไป๋มู่ชิงยังอยากจะถามอะไรอีก ประธานจางก็รีบพูดแทรกเธอแล้วหันไปจ้องเธอ “เมื่อกี้เธอบอกว่าอยากจะไปเข้าห้องน้ำไม่ใช่หรอ? รีบไปสิ ถ้าเข้าเสร็จแล้วเราก็จะกลับแล้ว”

ไป๋มู่ชิงมองไปที่เขาแล้วมองไปที่ผู้ช่วยเหยียน ในใจก็รู้ว่าประธานจางจงใจจะให้เธอออกไปก่อนเลยลุกขึ้นจากเก้าอี้ “ถ้างั้นคุณผู้ช่วย……ฉันไปเข้าห้องน้ำก่อนนะคะ”

“เดินออกไปแล้วเลี้ยวซ้ายห้องน้ำอยู่ตรงนั้นค่ะ” ผู้ช่วยพูด

ไป๋มู่ชิงขอบคุณเธอแล้วก็เลื่อนเก้าอี้ออก จากนั้นก็เดินออกไปทางประตู

ความจริงเธอไม่ได้อยากเข้าห้องน้ำหรอก แต่หลังจากที่เดินออกมาจากห้องประชุมก็มีพนักงานที่ใส่ชุดยูนิฟอร์มเต็มเครื่องแบบเดินผ่านไปมา ทุกคนดูเหมือนจะยุ่งมาก

เพื่อที่จะไม่ให้ตัวเองไม่เข้าพวก เธอเลยจำเป็นต้องไปห้องน้ำ

ขนาดห้องน้ำก็ยังหรูหรากว่าที่อื่นสมแล้วกับการเป็นบริษัทที่ใหญ่โตขนาดนี้ เธอถอนหายใจแล้วส่ายหัว เธอไม่มีอะไรทำเลยอิงอยู่ที่อ่างล้างมือแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่น จนกระทั่งประธานจางโทรหาเธอแล้วเรียกเธอกลับไป เธอค่อยเก็บโทรศัพท์ลงแล้วเดินออกจากห้องน้ำ

เมื่อเธอเพิ่งเดินออกจากห้องน้ำก็เกือบจะชนกับผู้ชายที่เดินหน้ามา เธอรีบหลบไปข้างๆแล้วก้มหน้าให้เขา “ขอโทษค่ะ”

เมื่อเห็นว่าผู้ชายคนนี้ไม่ได้เดินผ่านตัวเธอไป แต่กลับยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าเธอ เธอไม่ได้เงยหน้าขึ้นทันทีแต่กลับถอยไปข้างๆอีกหน่อย

คนที่นี่แต่ละคนดูเหมือนเป็นหัวหน้า เธอไม่กล้าเอ่ยพูดอะไรไป ไม่งั้นคงทำให้ออเดอร์ของประธานจางเสียไป ประธานจางคงจะบีบคอเธอตายแน่

“ดูเหมือนว่าทุกครั้งที่เราเจอกันก็จะเป็นคุณชนผม ไม่ก็ผมชนคุณ” มีเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นจากบนหัว

ไป๋มู่ชิงเงยหน้าขึ้นมาช้าๆ เมื่อเธอเห็นว่าผู้ชายตรงหน้าเป็นหนานกงเฉิน สีหน้าก็ประหลาดใจไปทันทีแล้วเอ่ยขึ้น “ทำไมคุณถึงที่นี่?”

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

Status: Ongoing
ไป๋มู่ชิงเคยได้ยินเรื่องเล่าตั้งแต่เด็กว่า ตระกูลหนานกงในเมืองซีเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุด แต่น่าเสียดายที่คุณชายใหญ่ของตระกูลกลับป่วยเป็นโรคประหลาด โรคที่เขาเป็นจะทำให้เขามีอายุอยู่ได้ไม่ถึงอายุ30ปี ไป๋มู่ชิงยังได้ยินมาอีกว่า คุณชายหนานกงเฉินแต่งงานใหม่ทุกๆปี แต่เจ้าสาวของเขากลับมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงวันต่อมาหลังคืนเข้าหอ แต่ไม่ทราบสาเหตุของการแต่งงานและยังไม่ทราบถึงสาเหตุการเสียชีวิตของเจ้าสาวด้วย เมื่อตระกูลหนานกงได้ส่งของหมั้นมาให้ตระกูลไป๋ ไป๋มู่ชิงก็คิดไม่ถึงว่าพ่อของเธออยากจะปกป้องชีวิตพี่ของเธอไว้ถึงขนาดผลักเธอเข้าไปในประตูนรกอย่างโหดร้าย บังคับให้เธอแต่งงานกับหนานกงเฉินเป็นเจ้าสาวคนที่เจ็ดของเขา แทนพี่สาวของเธอ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท