เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด – บทที่ 195 สร้างโอกาส

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

“เขาน่ะนะ……” ท่านประธานจางสังเกตสีหน้าอารมณ์ของไป๋มู่ชิง เวลานี้ไม่สามารถตัดสินได้ว่าเธออยากให้คุณชายเฉินไปหรือไม่อยากกันแน่ ก็เลยเปลี่ยนคำถาม:“เสี่ยวอี ช่วงนี้เจอกับคุณชายเฉินบ่อยไหม?”

“ไม่บ่อยค่ะ เคยไปส่งต้นฉบับอยู่สองครั้ง”

“งั้นก็ใช่แล้ว คนไม่มีเวลาอย่างเขายุ่งขนาดนั้น ทำไมถึงต้องหาโอกาสนัดบริษัทเล็กๆของพวกเราล่ะ?” ท่านประธานจางพูดแล้วหัวเราะออกมา

ไม่ว่าจะยึดตามหลักทำนองคลองธรรมหรือยึดตามนิสัยของหนานกงเฉินล้วนแต่ไม่มีทางเข้าร่วมแน่ จุดนี้ไป๋มู่ชิงก็สามารถเดาได้ หลังจากที่เธอคิดก็พยักหน้า:“งั้นก็ได้ค่ะ”

ตอนบ่ายไป๋มู่ชิงโทรหาเฉียวเฟิงให้เขาไปรับเสียวหว่านชิงตอนเลิกเรียน หลังจากนั้นก็ตามท่านประธานจางกับเสี่ยวเหมิงไปยังบ้านพักวิลล่ากวานจิ่ง

บ้านพักวิลล่ากวานจิ่งห่างจากเขตในเมืองไกลนิดหน่อย ตอนที่ทั้งสามคนไปถึง หนานกงเฉินนั้นอยู่ในห้องก่อนแล้ว เขายืนอยู่ที่หน้าต่างยาวจรดพื้นหันมองไปยังนอกหน้าต่าง และนอกหน้าต่างนั้นเป็นทางเข้าของบ้านพักวิลล่า เขามองไป๋มู่ชิงที่ลงจากรถ มองเธอเดินเข้าไปในโรงแรม ถึงจะหันร่างกลับไปอย่างเงียบๆ

“ไอ้หยา……คุณชายเฉินทำไมมาถึงเร็วขนาดนั้น? ขอโทษนะขอโทษ เสียมารยาทแล้ว……” ท่านประธานจางรีบเดินเข้าไปอย่างรีบร้อน ยื่นมือจะไปจับมือทั้งสองของหนานกงเฉิน พอยื่นมือก็นึกขึ้นได้ว่าหนานกงเฉินเคยชินกับการไม่จับมือกับใคร ก็รีบเก็บมือทั้งสองข้างกลับมา

“ผมนึกว่าคุณไม่ได้มาถึงเร็วขนาดนั้นซะอีก โทษผมที่ไม่ได้ออกมาให้เร็วกว่านี้……” ท่านประธานจางยังคงขอโทษขอโพยอยู่

หนานกงเฉินไม่ได้โกรธแต่อย่างใด ในทางกลับกันใบหน้าเขายิ้มบางๆอย่างสุขุม:“ท่านประธานจางไม่ต้องโทษตัวเองไปหรอกครับ ผมก็พึ่งถึงเหมือนกัน”

ไป๋มู่ชิงที่ยืนอยู่ข้างประตูพอเห็นหนานกงเฉินก็นิ่งอึ้งไป ไม่ใช่ว่าเป็นเลขาเหยียนเหรอ? ทำไมเป็นเขาล่ะ? เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?

“ว้าว นี่คือคุณชายเฉินที่เขาลือกันเหรอ? หล่อกว่าในนิตยสารอีกอะ” เสี่ยวเหมิงจับมือของไป๋มู่ชิงแกว่งเบาๆ:“พี่อี พี่เห็นหรือยัง? หล่อมากอะ……”

ไป๋มู่ชิงมองขวางไปทางเธออย่างหมดคำพูด อย่าส่งเสียงดังขนาดนั้นจะได้ไหม?

เธอหายใจเข้าลึกๆ ทักทายไปทางหนานกงเฉินอย่างมีมารยาท:“คุณชายเฉิน สวัสดีตอนเย็นค่ะ”

“คุณชายเฉินสวัสดีตอนเย็นค่ะ” เสี่ยวเหมิงเดินไปทางหนานกงเฉินแย่งพูดก่อนไป๋มู่ชิง แล้วยื่นมือไปทางเขา:“ฉันเป็นเลขาของท่านประธานจางค่ะ ฉันชื่อหลิวเหมิง ฉัน……”

“เฮ้อ……” ท่านประธานจางจับมือเล็กๆของเธอที่ยื่นออกไป แล้วยิ้มแหยๆ:“คุณชายเฉินเชิญนั่งเถอะ อาหารน่าจะใกล้มาแล้ว”

พูดจบ เขาหันหน้าไปมองทางไป๋มู่ชิง ไป๋มู่ชิงรีบทักเชื้อเชิญให้หนานกงเฉินนั่งลง

ท่านประธานจางเห็นว่าเสี่ยวเหมิงหลงใหลในตัวหนานกงเฉิน ในใจก็รู้สึกไม่สบายใจ อีกอย่างสิ่งที่เสี่ยวเหมิงต้องทำคืนนี้คืออยู่เล่นเป็นเพื่อนเขา เขาจับมือของเสี่ยวเหมิงให้นั่งลงข้างๆโต๊ะทานข้าว แล้วให้ไป๋มู่ชิงนั่งลงข้างๆหนานกงเฉิน

ไป๋มู่ชิงเงยหน้ากวาดสายตาไปยังหนานกงเฉิน หลังจากที่ทักให้เขานั่งลง ก็ค่อยๆย้ายเก้าอี้ไปด้านข้างแล้วนั่งลง

ไม่นานอาหารหลากหลายอย่างก็ถูกยกขึ้นมา ทุกอย่างถูกจัดตกแต่งอย่างสวยงามและมีราคา ท่านประธานจางทักบอกให้หนานกงเฉินทานข้าวไปด้วยสั่งให้ไป๋มู่ชิงคีบอาหารให้เขาไปด้วย ไป๋มู่ชิงหยิบตะเกียบขึ้นมาอย่างยิ้มๆ แต่ไม่รู้ว่าควรจะเริ่มจากตรงไหนดี เพราะเธอไม่รู้เลยสักนิดว่าหนานกงเฉินชอบทานอะไร

หนานกงเฉินเห็นท่าทางลำบากใจบนใบหน้าของเธอ แต่กลับไม่ได้ส่งเสียงอะไรออกมา

ในที่สุดไป๋มู่ชิงก็ใช้ตะเกียบยื่นไปที่อาหารจานหนึ่งที่มีซี่โครงหมูตุ๋นไวน์แดงอยู่ แต่ทว่าซี่โครงนั้นลื่นเกินไป บาดแผลบนมือของเธอยังไม่หายดี ซี่โครงนั้นไม่ว่าจะคีบยังไงก็คีบขึ้นมาไม่ได้สักที

“ให้ผมช่วยเองดีกว่า” หนานกงเฉินหยิบตะเกียบที่อยู่ด้านหน้าเขา ค่อยๆคีบซี่โครงวางลงในถ้วยของเธอหนึ่งชิ้น หลังจากนั้นก็คีบให้ตัวเองอีกหนึ่งชิ้น

ท่านประธานจางมองพวกเขาทั้งสองคน ในใจก็แอบดีใจ

“คุณชายเฉิน ฉันก็อยากทาน……” เสี่ยวเหมิงยกถ้วยของตัวเองแล้วยื่นไปทางหนานกงเฉิน ยิ้มอย่างคนที่กำลังหลงใหล

รอยยิ้มบนใบหน้าของท่านประธานจางจู่ๆก็หยุดลง รีบดึงมือของเธอกลับมา:“อย่าไม่มีมารยาทสิ อยากทานก็คีบเอง!”

เสี่ยวเหมิงทำปากงุ้มอย่างน้อยใจ พูดอย่างไม่ยอมแพ้:“ทีพี่อีคุณชายเฉินยังคีบให้เลย”

“มือของเสี่ยวอีได้รับบาดเจ็บ เหมือนกันที่ไหน?”

ไป๋มู่ชิงมองท่าทางของเสี่ยวเหมิงที่ทั้งน้อยใจทั้งโกรธ กลั้นไม่ไหวก็เลยแอบขำ แล้วเอาซี่โครงไปให้ตรงหน้าเธอ:“เสี่ยวเหมิง เอาไปสิ”

ท่านประธานจางหัวเราะแล้วหันไปทางหนานกงเฉินเพื่ออธิบาย:“คุณชายเฉินหัวเราะ ก็ทำให้ผมสบายใจแล้ว”

“มา พวกเรามาดื่มเหล้ากัน” ท่านประธานจางรินใส่แก้วเหล้าแล้วส่งให้หนานกงเฉิน แล้วสั่งไป๋มู่ชิงตามความเคยชิน:“เสี่ยวอี พวกเราดื่มให้คุณชายเฉินหนึ่งแก้ว”

“ขอให้คุณชายเฉินหล่อยิ่งๆขึ้นไปค่ะ” เสี่ยวเหมิงชนแก้วแล้วยิ้มสดใส

“ขอให้คุณชายเฉินกิจการรุ่งเรืองนะคะ” ไป๋มู่ชิงชนแก้วต่อ

“ขอบคุณครับ” หนานกงเฉินยกแก้วขึ้นหันไปทางทุกคน หลังจากนั้นดื่มลงไป

ไป๋มู่ชิงดื่มเหล้าไม่เป็น แค่จิบหนึ่งอึกเท่านั้น

มีท่านประธานจางคอยพูดคุยอยู่ ทำให้บรรยากาศของมื้ออาหารมื้อนี้นับว่าไม่เลว หลังมื้ออาหารเสร็จของหวานก็ถูกส่งขึ้นมา เสี่ยวเหมิงสังเกตบนหน้าขนม ขมวดคิ้วเข้าหากัน:“ทำไมไม่ใช่รสแอปเปิลล่ะ?”

“นี่เป็นรสชาเขียวค่ะ” พนักงานพูดแล้วยิ้มบางๆ

“พี่อี รสที่พี่ชอบหนิ”

“ฉันอิ่มแล้ว พวกคุณทานเถอะ”

“ฉันก็อิ่มเหมือนกัน” เสี่ยวเหมิงไม่สนใจของหวานหลังมื้ออาหาร แล้วดูเวลาบนข้อมือพูดอย่างตื่นเต้น:“แปดโมงครึ่งมีการแสดงที่ตึกใกล้เคียงนะ ไปกันเถอะ พวกเราไปตอนนี้ยังทันอยู่”

“ฉันว่าอย่าไปเลย พรุ่งนี้ยังต้องทำงานอีกนะ” ไป๋มู่ชิงพูดคัดค้าน ดูการแสดงจบอย่างน้อยคงเก้าโมงครึ่ง จากตรงนี้กลับไปที่บ้าน……คงดึกเกินไป

“พี่อี พี่อย่าทำให้หมดสนุกอย่างนี้สิ” เสี่ยวเหมิงจู่ๆก็ยิ้มขึ้นมา:“พี่ไม่อยากดูก็ไม่เป็นไร ฉันจะไปกับคุณชายเฉินแล้วก็ท่านประธานจาง”

“ขอโทษนะครับ ผมไม่สนใจการแสดง” หนานกงเฉินพูด

ท่านประธานจางมองเขากับไป๋มู่ชิง รู้สึกว่าถึงเวลาแล้ว ก็เลยดึงเสี่ยวเหมิง:“เสี่ยวเหมิง ให้ฉันไปเป็นเพื่อนแล้วกัน”

“ไม่สิ ฉันอยากไปกับคุณชายเฉิน”

“คุณชายเฉินเขาก็บอกแล้วว่าไม่สนใจการแสดง” ท่านประธานจางออกแรงดึงเธอเข้ามาในอ้อมแขน หันหน้าไปทางหนานกงเฉิน:“คุณชายเฉิน ขออภัยที่ต้องขอตัวไปก่อนนะ แล้วก็เสี่ยวอี คอยรับรองคุณชายเฉินแทนฉันด้วย”

ไม่รอให้ไป๋มู่ชิงตอบรับกลับมา ท่านประธานจางก็พาเสี่ยวเหมิงออกไปจากห้องอาหาร

พอขาดท่านประธานจางที่คอยพูดคุย ในห้องอาหารจู่ๆก็เงียบลง ไป๋มู่ชิงถอนหายใจเบาๆ เริ่มพูดเพื่อทำลายบรรยากาศที่เงียบนี้:“เสี่ยวเหมิงก็แบบนี้แหละค่ะ นิสัยค่อนข้างเปิดเผยแล้วก็มีชีวิตชีวาด้วย”

หนานกงเฉินเหมือนกับไม่ได้สนใจหัวข้อการสนทนานี้ กลับก้มลงสังเกตมือขวาของเธอ:“มือยังเจ็บเหรอ?”

ไป๋มู่ชิงเก็บมือของตัวเองกลับเข้าไป ส่ายหน้า:“ไม่เจ็บอะไรแล้วค่ะ”

หนานกงเฉินพยักหน้า ไม่ได้พูดอะไรต่อ

แล้วรีบหยิบตะเกียบคีบขนมชิ้นนั้นมาวางไว้ตรงหน้าเธอ ถามว่า:“คุณชอบขนมรสชาเขียวเหรอ?”

“ใช่ค่ะ ขอบคุณค่ะ” ไป๋มู่ชิงหยิบขนมมากัดคำนึง

“บังเอิญจริง ผมก็ชอบเหมือนกัน” หนานกงเฉินมองไปที่เธอ น้ำเสียงมีความหยอกล้อ

ขนาดขนมรสชาเขียวก็ยังถูกเตรียมไว้ การแสดงฉากนี้ไม่เลวจริงๆ!

ไป๋มู่ชิงไม่รู้ว่าในใจเขาคิดอะไรอยู่ ยิ้มบางๆ:“ขนมที่นี่รสชาติไม่เลวเลย คุณชายเฉินน่าจะชอบนะคะ”

“ดูแล้วไม่เลวจริงๆด้วย” หนานกงเฉินหยิบขนมวางไว้ใกล้ปากแล้วกัดคำนึง ทานอย่างช้าๆ เหมือนว่ากำลังรอว่าเธอจะทำอะไรต่อไป

ไป๋มู่ชิงทานขนมเสร็จ ใช้ทิชชู่เช็ดมือ แล้วแอบดูเวลาบนข้อมือ พูดอย่างลังเล:“คุณชายเฉิน ในเมื่อไม่มีอะไรแล้ว งั้นพวกเราก็แยกย้ายกันเถอะค่ะ จะได้กลับไปพักผ่อนเร็วหน่อย”

“แยกย้าย?”

“อืม ได้ไหมคะ?”

“ได้สิ”

“งั้นฉันไปก่อนนะคะ” ไป๋มู่ชิงลุกขึ้นจากเก้าอี้ แล้วคว้ากระเป๋าหันไปทางเขาเพื่อคำนับขอบคุณ แล้วหมุนร่างเดินออกไปทางประตู

นี่เธอ……จะไปอย่างนี้จริงๆเหรอ

หนานกงเฉินจ้องไปที่ประตูที่ถูกเธอปิด เงียบลงสักพัก แล้วค่อยๆลุกขึ้นจากเก้าอี้ ก้าวเท้าไปที่ด้านหน้าของหน้าต่างที่ยาวจรดพื้น

มองทะลุกระจกหน้าต่างลงไป เขาเห็นว่าไป๋มู่ชิงกำลังอยู่ที่ปากทางโบกรถแท็กซี่อยู่ ไม่ง่ายเลยที่จะรอรถมาสักคันแต่กลับถูกผู้หญิงอ้วนคนหนึ่งแย่งไปก่อน เธอทำได้แค่ยืนรออยู่ที่เดิมมองรถผ่านไป

รอแท็กซี่ที่นี่เดิมทีก็ยากอยู่แล้ว เพราะที่นี่ห่างจากเขตตัวเมืองค่อนข้างไกล ถนนก็ไม่ได้เดินง่ายขนาดนั้น

ไป๋มู่ชิงยืนอยู่ที่ปากทางมองนาฬิกาหลายครั้ง รีบจนจิตใจกระวนกระวาย เมื่อกี้โทรหาท่านประธานจางกับเสี่ยวเหมิง ท่านประธานจางกลับบอกว่าจะพักกับเสี่ยวเหมิงที่นี่ ให้เธอเรียกรถแท็กซี่กลับไปเอง เจ้านายที่โหดร้ายไม่มีความน่าเชื่อถือแบบนี้ เป็นโชคร้ายของเธอจริงๆ

จู่ๆก็มีรถสีเงินมาจอดตรงหน้าเธอ หน้าต่างรถถูกลดระดับลง ทำให้เห็นผู้ชายรูปลักษณ์เถื่อนไม่กี่คนที่เหมือนเมาหนักทักทายมายังเธอ:“น้องสาวคนสวย กลับเขตตัวเมืองไหม? รถพวกเราว่างหนึ่งที่พอดีเหลือไว้ให้ได้นะ?”

ไป๋มู่ชิงถอยหลังไปหนึ่งก้าวตามสัญชาตญาณ:“ไม่ต้องล่ะ ขอบคุณ”

“มาเถอะ……ฉันเห็นเธอรอที่นี่นานมากแล้ว”

“น้องสาวคนสวย……ที่นี่กว่าจะรอรถแท็กซี่มาคันนึงยากมาก อย่ารอเลย……”

“บอกแล้วไงว่าไม่ต้อง!” ไป๋มู่ชิงถอยหลังไปอีกหนึ่งก้าวอย่างรังเกียจ

จู่ๆด้านหลังก็มีเสียงแตรของรถดังขึ้นมาต่อเนื่อง ผู้ชายพวกนั้นมองไปด้านหลัง พอเห็นรถแจ๊สคันหนึ่งที่ดูมีอำนาจ ดูก็รู้ว่าเป็นคนมีฐานะ และพวกเขาก็กำลังขวางทางคนอื่นอยู่พอดี ทำได้แค่ขับออกไปอย่างคับแค้นใจ

เห็นว่าพวกเขาไปแล้ว ไป๋มู่ชิงก็ถอนหายใจ

รถแจ๊สค่อยๆจอดลงตรงหน้าเธอ เงาของหนานกงเฉินสะท้อนเข้ามาในสายตาของเธอ ไป๋มู่ชิงจ้องไปที่รถและผู้ชายตรงหน้า จู่ๆในสมองก็ปรากฏภาพขึ้นมาเลือนลาง ในความทรงจำเหมือนฉากนี้เคยเกิดขึ้นแล้วครั้งนึง ในช่วงกลางคืนที่มืดสลัว เธอถูกกลุ่มผู้ชายน่ารังเกียจลวนลาม หลังจากนั้นก็ถูกผู้ชายคนหนึ่งที่ขับรถแจ๊สสีดำมาช่วยไว้

ภาพฉากนี้คุ้นมาก อบอุ่นมาก!

“คุณหนูอี รถของผมคุณก็ไม่กล้าขึ้นเหรอ?” หนานกงเฉินชำเลืองเธอแล้วถาม

ไป๋มู่ชิงได้สติกลับมา รีบส่ายหน้า:“ไม่ต้องหรอกค่ะ ฉันรอท่านประธานจาง ไม่นานเขาก็คงออกมา”

นั่งรถของเขา? นั่นก็เป็นเรื่องน่ากลัวเหมือนกัน ถ้าเกิดภรรยาของเขาติดตั้งพวกกล้องหรือเครื่องดักฟังไว้บนรถ งั้นเธอจะยังมีทางรอดอยู่ไหม? ยังไงก็ตามตอนนี้เธอต้องอยู่ห่างจากเขาให้มากที่สุด พยายามสร้างความลำบากให้คนอื่นให้น้อยที่สุด

หนานกงเฉินไม่ได้ขับรถออกไป แต่กลับลงจากรถ จับที่ประตูรถมองเธอแล้วถาม:“คุณหนูอี ผมจำได้ว่าเมื่อกี้คุณเหมือนกับไม่ได้ดื่มเหล้า?”

“ใช่ค่ะ ทำไมเหรอ?”

“งั้นคุณก็ควรจะเข้าใจได้แล้วว่าคืนนี้ท่านประธานจางไม่ได้สนใจคุณเลย คุณจะรออยู่ที่นี่ไปถึงเมื่อไหร่?”

ไป๋มู่ชิงพูดไม่ออก

“ขึ้นรถเถอะ ถ้ายังเขินอายอีกคงปลอมอย่างเห็นได้ชัด” หนานกงเฉินกลับเข้าไปนั่งในรถอีกครั้ง

ไป๋มู่ชิงนิ่งอึ้งไป ถึงแม้ว่าจะไม่เข้าใจว่าประโยคสุดท้ายที่เขาพูดหมายถึงอะไร แต่ก็ดึงเปิดประตูรถแล้วขึ้นไปนั่ง

หนานกงเฉิงเริ่มออกรถ ขับไปยังเขตตัวเมือง

ที่นี่เป็นเขตระหว่างภูเขา รถขับอยู่บนถนนที่เลี้ยวลดคดเคี้ยวค่อนข้างน่ากลัว ไป๋มู่ชิงจับที่จับที่อยู่เหนือศีรษะเธอให้แน่นขึ้นอย่างไม่รู้ตัว แล้วเตือนหนึ่งประโยค:“ขับช้าหน่อย ถนนแบบนี้อันตรายนะคะ”

หนานกงเฉินลดความเร็วลง แต่ทว่าไม่ใช่เพราะเธอเตือน เพราะว่าข้างหน้ารถติดต่างหาก

“เกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอ?” ไป๋มู่ชิงยืดคอดูด้านหน้า โชคร้ายจริงๆ เวลานี้รถยังติดอยู่อีก

“คาดว่าด้านหน้าคงเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์”

“งั้นทำยังไงดีคะ?”

หนานกงเฉินหันหน้ามามองเธอ:“คุณรีบเหรอ?”

“แน่สิคะ ครอบครัวฉันยังรอให้ฉันกลับไปอยู่นะ” ไป๋มู่ชิงยังคงยืดคอดูรถที่ติดอยู่ด้านหน้า

หนานกงเฉินมองเธอ แล้วไม่ได้พูดอะไรอีก

เวลานี้ มือถือของไป๋มู่ชิงก็ดังขึ้น เธอรีบหยิบมือถือออกมาจากกระเป๋าแล้วกดรับสาย ปลายสายโทรศัพท์เป็นเสียงของเสียวหว่านชิงที่ดังออกมา:“แม่ หนูใกล้จะหลับแล้ว เมื่อไหร่แม่จะกลับมาอะ”

ไป๋มู่ชิงมองคนตรงหน้า พูดด้วยใบหน้ารู้สึกผิด:“ลูกรัก ขอโทษนะ ไม่นานแม่ก็จะกลับไปแล้ว ลูกกับพ่อนอนก่อนดีไหม?”

“แต่วันนี้หนูยังไม่ได้เจอแม่เลยนะ หนูคิดถึงแม่”

“แม่รู้ แม่ก็คิดถึงหว่านชิงเหมือนกัน” ไป๋มู่ชิงยิ้มอย่างอ่อนโยน:“แต่ตอนนี้ฝั่งแม่รถติดอยู่ ไม่รู้ว่าจะกลับถึงบ้านเมื่อไหร่ ถ้าลูกไม่นอนตอนนี้พรุ่งนี้จะตื่นไปเรียนไม่ไหวนะ”

“งั้นก็ได้ งั้นราตรีสวัสดิ์ค่ะแม่”

“ราตรีสวัสดิ์จ่ะ ลูกรัก”

“แม่ พ่ออยากจะคุยกับแม่” เสียวหว่านชิงเอาโทรศัพท์ให้เฉียวเฟิง เฉียวเฟิงรีบถามอย่างเป็นห่วง:“ที่รัก เมื่อกี้คุณพูดว่าอะไรนะ? รถติด?”

“อืม ถนนเส้นที่อยู่ตรงบ้านพักวิลล่ากวานจิ่งรถติดหนักมากค่ะ”

“คุณอยู่กับใคร? ให้ผมไปรับคุณไหม?”

“ไม่ต้องหรอกค่ะ รถติดขนาดนี้คุณมาก็ไม่มีประโยชน์อะไร วางใจเถอะ ฉันอยู่กับเพื่อน” ไป๋มู่ชิงเหลือบตาไปมองหนานกงเฉิน แล้วรีบยิ้มบางๆ:“คุณสามี คุณพาหว่านชิงเข้านอนเถอะ อย่ารอฉันเลย”

“ได้ งั้นคุณระวังตัวด้วยล่ะ มีเรื่องอะไรให้โทรหาผมนะ”

“รู้แล้วค่ะ” ไป๋มู่ชิงพูดเสียงอ่อนโยน:“ราตรีสวัสดิ์ค่ะ”

“ราตรีสวัสดิ์ครับ”

หลังจากที่ไป๋มู่ชิงวางสายโทรศัพท์ ก็ได้รับรูปเสียวหว่านชิงส่งจูบมาทางโทรศัพท์ ท่าทางน่ารักของเขานั้นทำให้ไป๋มู่ชิงหัวเราะออกมา

หนานกงเฉินที่ได้ยินเสียงหัวเราะของเธอข้างๆก็หันมามองเธอ แล้วเห็นรูปของหว่านชิงบนหน้าจอมือถือของเธอพอดี

พอได้ฟังบทสนทนาของเธอกับสามีแล้วก็ลูกสาวที่สนิทสนมและอบอุ่นแล้ว เห็นรอยยิ้มที่มีความสุขบนใบหน้าของเธอ ในใจของหนานกงเฉินกลับรู้สึกอึดอัด แล้วหัวเราะเยาะตัวเองในใจ

เดิมทีคิดว่าเธอกับท่านประธานจางเป็นพวกเดียวกัน ตั้งใจเชิญเขามาทานข้าวก็เพื่อบริษัทหนานกงกรุ๊ป ตั้งใจหาโอกาสให้อยู่กับเขาตามลำพัง แม้แต่ฉากเมื่อกี้ที่เธอยืนรอรถที่ปากทาง เขาก็ยังคิดว่าเป็นแผนที่ถูกเตรียมการไว้แล้ว

มีแค่เวลานี้ ตอนนี้เธออยู่ต่อหน้าเขาแล้วเรียกผู้ชายคนอื่นว่า‘คุณสามี’อย่างสนิทสนม ตอนที่เธอบอกให้ลูกสาวเข้านอนอย่างอ่อนโยน เขาถึงจะปล่อยใจ ยอมรับความจริงเรื่องที่เธอไม่รู้สึกอะไรแล้ว

ดูแล้วเธอเป็นผู้เสียหาย เด็กโง่ถูกเจ้านายขายก็ยังไม่รู้ตัวอีกว่าเกิดอะไรขึ้น!

ไป๋มู่ชิงเก็บโทรศัพท์ไว้ในกระเป๋า เงยหน้าขึ้นก็พบว่าหนานกงเฉินกำลังมองตัวเองอยู่ เธอยิ้มแห้งทำตัวไม่ถูก:“หว่านชิงจะรอฉันกลับไปนอนให้ได้”

“ความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับสามีคุณดีมากเลยเหรอ?” หนานกงเฉินถามออกไปอย่างไม่รู้ตัว

ไป๋มู่ชิงนิ่งอึ้งไป มองเขาอย่างปะรหลาดใจ ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเขา……ยังไม่ถึงจุดที่สามารถแบ่งปันเรื่องส่วนตัวได้หรือเปล่านะ?

“ไม่มีอะไร ก็แค่ถามไปอย่างนั้น” หนานกงเฉินปรับสายตาให้กลับมายังด้านหน้ารถ ในใจรู้สึกเสียใจที่ตัวเองพลั้งปากพูดไป จะถามเรื่องนี้ทำไม? คำตอบก็ชัดเจนอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ? ทำไมต้องให้เธอตอบเองอีกรอบ ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับสามีของเธอดีมาก?

ต่อให้ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับสามีของเธอดีมากแล้วยังไงต่อ? เกี่ยวอะไรกับเขา?

เธอไม่ใช่ไป๋มู่ชิงจริงๆสักหน่อย!

“ถ้าความสัมพันธ์ไม่ดีก็คงไม่แต่งงานกันหรอกค่ะ สามีภรรยาต้องอยู่ด้วยกันตลอดชีวิต ถ้าไม่มีความสัมพันธ์ที่ดีจะอยู่ด้วยกันได้ยังไง?” สุดท้ายเธอก็ตอบ

“นี่เป็นคำนิยามการแต่งงานของเธอเหรอ?”

“หรือไม่คุณไม่คิดอย่างนี้คะ?” ไป๋มู่ชิงถามกลับ

หนานกงเฉินยิ้ม ยิ้มอย่างคนได้รับความเจ็บปวด

ไป๋มู่ชิงรับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดของเขา ก็เลยอมยิ้มปลอบใจ:“ฉันเห็นว่าความสัมพันธ์ของคุณกับภรรยาของคุณก็ดีมากนะ อีกอย่างภรรยาของคุณก็สวยมาก จิตใจดีมาก”

พูดประโยคนี้จบ ไป๋มู่ชิงก็เหยียดหยามตัวเองในใจ จริงๆเลย……เพื่อเอาใจคนนี้ขนาดคำโกหกเธอยังพูดออกมาได้ ทั้งที่ภรรยาของเขาเคยตบเธออย่างรุนแรง

“คุณไม่โทษที่เธอเหยียบมือคุณจนบาดเจ็บเหรอ?” หนานกงเฉินกวาดสายตาลงไปมองฝ่ามือของเธอที่ยังคงแดงอยู่

ไป๋มู่ชิงส่ายหน้า:“เธอไม่ได้ตั้งใจหรอกค่ะ”

หนานกงเฉินพยักหน้า ไม่ได้พูดอะไรอีก

บรรยากาศภายในรถถูกปกคลุมด้วยความเงียบ ไป๋มู่ชิงมองไปด้านหน้าแล้วบ่นออกมา:“ไม่รู้เหมือนกันว่าจะติดไปถึงเมื่อไหร่” พูดจบ เธอก็หันหน้ามาจ้องเขา:“ฉันลงจากรถไปเดินเล่นได้ไหมคะ? นั่งจนเมื่อยแล้ว”

หนานกงเฉินไม่ได้ส่งเสียงออกมา มือซ้ายกำลังกดปุ่มปลดล็อคประตู

ไป๋มู่ชิงผลักประตูลงจากรถ อย่างที่คิด อากาศข้างนอกสบายกว่าในรถจริงๆ ข้างถนนฝั่งนึงเป็นภูเขา อีกฝั่งนึงเต็มไปด้วยป่าที่ถูกโอบล้อมด้วยภูเขา ไปมู่ชิงยืนอยู่ที่ข้างถนน เปิดแขนอ้ารับแล้วหายใจเข้าลึกๆ อากาศดีขนาดนี้ จู่ๆอาการใจร้อนจากการรอก็หายไปเป็นปลิดทิ้ง

ลมพัดมาหนึ่งระลอก ร่างของเธอสั่นไหว เวลาต่อมาก็ถูกคนพยุงไว้จากด้านหลัง เสียงที่คุ้นหูดังมาจากด้านหลังว่า:“ระวังด้วย”

ไป๋มู่ชิงก้าวเข้าไปยืนด้านใน หันหน้าไปทางเขา:“ขอบคุณค่ะ”

“คุณชอบที่นี่มากเหรอ?” หนานกงเฉินมองวิวด้านหน้าไปรอบๆ แล้วจุดบุหรี่ จู่ๆความมืดยามค่ำคืนก็อบอวลไปด้วยควันบุหรี่

“เปล่า ความจริงแล้ววันนี้ฉันพึ่งมาที่นี่ครั้งแรก” ไป๋มู่ชิงพูด:“ช่วงนี้ฉันพึ่งจะกลับประเทศมา”

“ก่อนหน้านี้คุณไม่ได้พักอยู่ที่เมืองซี?” หนานกงเฉินมองลงมาที่เธอ

ไป๋มู่ชิงส่ายหน้ายิ้มเบาๆ:“เปล่าค่ะ”

หนานกงเฉินตกอยู่ในภวังความคิดของตัวเอง ขนาดว่าก้นบุหรี่เกือบจะเผามือเขาก็ยังไม่รู้ตัว

ไป๋มู่ชิงเห็นว่าจุดสีแดงที่ก้นบุหรี่ค่อยๆใกล้เข้ามา ก็ยื่นมือไปหยิบบุหรี่จากมือเขาอย่างไม่รู้ตัว:“ระวังโดนมือค่ะ”

หนานกงเฉินได้สติกลับมา มองเธอที่เอาก้นบุหรี่ทิ้งลงบนพื้นแล้วเหยียบดับไฟให้มอด หลังจากนั้นก็เงยหน้ามาจ้องเขาแล้วพูด:“สูบบุหรี่ให้น้อยหน่อยค่ะมันดีต่อสุขภาพ”

“สามีคุณสูบหรี่ไหม?” เขาถามอย่างไม่รู้ตัวอย่างกับมีอะไรเข้าสิง

ไป๋มู่ชิงส่ายหน้า:“เมื่อก่อนเขาสูบ ตอนนี้เลิกแล้ว”

“เป็นเพราะคุณทำให้เขาเลิก?”

“น่าจะเป็นเพราะหว่านชิง เพราะตั้งแต่มีหว่านชิงเขาก็ไม่สูบอีก” เฉียวเฟิงเคยบอกเธอ ตอนที่ชีวิตเขาตกต่ำเขาชอบดื่มเหล้าสูบบุหรี่ แต่ตั้งแต่มีเธอกับหว่านชิงเขาก็ไม่เคยได้สูบอีกเลย

“ก่อนหน้านี้ผมก็เคยเลิกอยู่ช่วงนึง” จู่ๆหนานกงเฉินก็พูด

ไป๋มู่ชิงประหลาดใจ ไม่คิดว่าเขาจะพูดเรื่องพวกนี้กับตัวเองด้วย ก็เลยถามด้วยความสงสัย:“งั้นทำไมถึงกลับไปสูบอีกครั้งล่ะคะ?”

“ข้างกายผมเคยมีผู้หญิงคนหนึ่งที่จิตใจดีแบบคุณ ตอนมีเขาอยู่ผมก็เลิกสูบ แต่ต่อมาเธอก็ไปจากผมแล้ว……” ตอนที่พูดประโยคนี้ ในแววตาของเขาเผยให้เห็นความเศร้าโศกออกมา

เห็นความเจ็บปวดในตาของเขา ไป๋มู่ชิงอดไม่ได้ที่จะใจอ่อน พูดออกมาตามสัญชาตญาณ:“ที่แท้คนที่คุณรักที่สุดไม่ใช่ภรรยาของคุณในตอนนี้”

มิน่าล่ะภรรยาของเขามองเขาเหมือนเขาเป็นนักโทษ มิน่าล่ะตอนที่ตัวเองมองตาเขา ภรรยาของเขาเครียดจนจะทุบตีคนได้ ถ้าระหว่างสามีภรรยามีความรัก มันมีความจำเป็นที่จะต้องจับตาดูฝ่ายตรงข้ามทุกฝีก้าวกันที่ไหนล่ะ?

หนานกงเฉินเงียบไม่มีเสียงตอบรับ

ไป๋มู่ชิงก็เลยพูดต่อ:“คุณชายเฉิน คุณไม่ต้องเสียใจขนาดนั้นหรอกค่ะ ชีวิตคนเรายังอีกยาวไกล มักจะพบเจอสิ่งที่ไม่ดีบ้างเป็นธรรมดา”

“เขาไม่ใช่คนไม่ดี” จู่ๆคุณชายเฉินก็รีบแย้งอย่างไม่สบอารมณ์

ไป๋มู่ชิงถูกเขาทำให้ตกใจ รีบพูด:“ขอโทษค่ะ ฉัน……ฉันนึกว่า……”

แย่จริงๆ ทำไมถึงพูดอย่างนั้นล่ะ? ตัวเองไม่ได้รู้จักอดีตของเขาดีสักหน่อย

“คุณนึกว่าเขาทิ้งผม เดินออกจากชีวิตผมไปใช่ไหม?” หนานกงเฉินใช้น้ำเสียงที่อ่อนลงอีกครั้ง

“อืม……”

“ไม่ใช่แบบนั้นครับ เพราะผมต่างหากที่ไม่ได้ปกป้องเขาให้ดี ทำให้เขาลาจากโลกนี้ไปด้วยความเสียใจ”

ลาจากโลกนี้ไป……ไป๋มู่ชิงดูท่าทางการพูด ได้ยินคำไม่กี่คำนี้แล้วรู้สึกเจ็บปวด

มิน่าล่ะทุกครั้งที่เธอเจอเขา มักจะรู้สึกว่าภายนอกของเขาที่ดูเย็นชานั้นได้ซ่อนสีหน้าที่ซึมเศร้าเอาไว้ ที่แท้เขาก็เคยเจอประสบการณ์แบบนี้ สูญเสียคนที่รักที่สุดไป ความรู้สึกแบบนั้นต้องเจ็บกว่าความตายเป็นแน่? ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาเธอไม่กล้าที่จินตนาการถึงภาพที่ตัวเองสูญเสียเฉียวเฟิงหรือเสียวหว่านชิงไป คงร้องไห้จนตายแน่ๆ

“ช่างเถอะ เรื่องในอดีตไม่ต้องพูดถึงแล้วค่ะ” เธอยิ้มให้เขา ปลอบใจด้วยเสียงอ่อนโยน:“คนเราน่ะนะ มักจะมองไปข้างหน้า ไม่สามารถอยู่ในความทรงจำที่เศร้าโศกได้ตลอดหรอกค่ะ มีเวลาก็ให้ดูแลคนตรงหน้าตัวเอง บางทีคุณอาจจะพบว่าการลืมอดีตนั้นมันไม่ได้ยากไปกว่าที่คุณคิด”

มือถือของไป๋มู่ชิงดังขึ้นอีกครั้ง เธอรีบกลับไปที่รถแล้วหยิบมือถือออกมา เป็นเฉียวเฟิงที่โทรมา ถามเธอว่ารถยังติดอยู่หรือเปล่า

กั้นไว้ด้วยหน้าต่างกระจก หนานกงเฉินมองเห็นใบหน้าของเธอที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข ใครจะไม่อยากได้คนที่เป็นห่วงเป็นใยตัวเองแล้วก็คนที่ตัวเองสามารถเป็นห่วงเป็นใยเขาได้กันล่ะ?

ขณะที่ไป๋มู่ชิงออกมาจากรถอีกครั้ง เขย่งเท้าขึ้นมองรถที่ต่อแถวกันตรงหน้า หลังจากนั้นก็ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้

“เขายังรอคุณอยู่?” หนานกงเฉินพิงที่หน้ารถแล้วถามเธอ

“อืม เขาบอกเป็นห่วงว่าฉันจะนอนไม่หลับ”

“ดูแล้วเขาคงจะรักคุณมาก แล้วก็เห็นได้ชัดว่าคุณใช้ชีวิตอย่างมีความสุขดี” หนานกงเฉินถอนหายใจเบาๆ เห็นเธอแบบนี้แล้ว เขาคงไม่ไปรบกวนเธออีกแล้ว

บางทีตั้งแต่แรกเริ่ม เขาไม่ควรจะพยายามใกล้ชิดเธอ รู้จักเธอ ยังไงซะเธอก็ไม่ใช่ไป๋มู่ชิงตัวจริง

ไป๋มู่ชิงยิ้ม และไม่ได้ปฏิเสธ

รถติดตลอดจนถึงเที่ยงคืนถนนถึงจะโล่ง หลังจากที่กลับถึงเขตตัวเมือง หนานกงเฉินก็ส่งไป๋มู่ชิงที่ประตูบ้าน

ไป๋มู่ชิงปลดเข็มขัดนิรภัยที่รัดตัวอยู่ออก หันไปขอบคุณเขา:“ขอบคุณที่มาส่งนะคะ ฉันเข้าไปก่อนนะ”

หนานกงเฉินยิ้มให้เธอ:“เข้าไปเถอะ”

“คุณเองก็ขับรถระวังๆด้วยนะคะ” เธอพูดจบก็ปิดประตูรถ หมุนร่างเดินเข้าไปในบ้าน

นี่เป็นบ้านหลังเดี่ยวตึกเล็กๆที่มีลานบ้านยื่นออกมา สายตาของเขาถูกบดบังด้วยไม้เลื้อยตามกำแพง แต่เขาก็ยังได้ยินเสียงลางๆของไป๋มู่ชิงที่ดังออกมาจากด้านใน เป็นเสียงประหลาดใจ:“คุณสามี ทำไมคุณยังไม่นอนล่ะ?”

“แน่นอนว่ารอคุณน่ะสิ” เสียงผู้ชายลางๆดังออกมา

“……”

หลังจากที่ออกจากบ้านของไป๋มู่ชิง หนานกงเฉินก็ไม่ได้ตรงกลับบ้าน แต่ขับรถไปยังบาร์เหล้า

เฉียวซือเหิงเดิมทีเตรียมตัวจะกลับบ้าน หลังจากที่รับสายโทรศัพท์ของหนานกงเฉินทำได้แค่กลับไปที่ห้องอาหารในบาร์ เขาสังเกตหนานกงเฉินที่เดินเข้ามาถามอย่างยิ้มๆ:“ตอนที่โทรหานาย นายบอกมีงานเลี้ยงนัดทานข้าว ตอนนี้ฉันเตรียมตัวจะกลับบ้านแล้วนายพึ่งจะโผล่มา นี่จะให้ฉันไม่หลับไม่นอนเลยใช่ไหม?”

“ฉันเห็นสีหน้านายไม่เปลี่ยน คงไม่ได้ทำอย่างเต็มที่ล่ะสิ” หนานกงเฉินหยิบแก้วเหล้ามาแล้วรินให้เขาหนึ่งแก้ว:“ฉันรู้ว่านายไม่สบายใจ หมดแก้วแล้วกัน”

“ฉันเนี่ยนะไม่สบายใจ? ไม่ใช่นายเองเหรอที่ไม่สบายใจ?” เฉียวซือเหิงมองเขาแล้วเลิกคิ้ว

“ภรรยานายรีบร้อนจังนะ ขนาดเวลาหันมามองนายยังไม่มีเลย แบบนี้น่าจะเรียกว่าไม่สบายใจได้นะ?” หนานกงเฉินยกแก้วไปชนกับเขา ยิ้มเจื่อนๆ:“ถ้าเป็นฉัน ภรรยาอยู่ตรงหน้าตัวเองแท้ๆ แต่ตัวเองกลับกอดไม่ได้แตะไม่ได้ ฉันคงทนไม่ไหวแน่ๆ”

เฉียวซือเหิงจิบเหล้าเบาๆ แล้วมองไปที่เขา:“ถ้าเปลี่ยนเป็นนาย นายจะทำยังไง?”

“แย่งเธอกลับมา”

“ถ้าเธอไม่อยากกลับมาล่ะ?”

“แย่งจนกว่าเธอจะอยากให้หยุด”

เฉียวซือเหิงยิ้มแล้วส่ายหน้า:“ซูซี่กับไป๋มู่ชิงไม่เหมือนกัน เธอไม่สนใจวิธีการแบบนี้หรอก”

“ทั้งๆที่นายใช้เป็นแต่วิธีแบบนี้อะนะ” หนานกงเฉินกวาดสายตาที่หยอกล้อไปยังเขา:“ให้นายคุกเข่าลงตรงหน้าเธอขอร้องเธอ นายคงทำไม่ได้สินะ?”

“ขอร้องเธอ?” เฉียวซือเหิงยิ้มแล้วส่ายหน้า:“ชีวิตนี้ไม่มีทางหรอก อย่าไปคิดเลย”

“เพราะงั้น เวลาก็ล่วงเลยไปทีละปีๆ ความสัมพันธ์ของพวกนายทั้งสองคนก็ยิ่งห่างขึ้นเรื่อยๆ” หนานกงเฉินยิ้มเจื่อน:“อย่าทำตามฉันล่ะ พึ่งจะรู้ว่ามีค่าแค่ไหนก็ตอนที่สูญเสียมันไป พอถึงเวลานั้นอยากจะเสียใจแค่ไหนก็คงไม่ทันแล้ว”

“ดูแล้วนายคงไม่สามารถปล่อยไป๋มู่ชิงไปได้” น้ำเสียงของเฉียวซือเหิงก็เริ่มจริงจังตาม:“คุณชายเฉิน ไป๋มู่ชิงเธอได้ตายไปแล้ว คงไม่กลับมาอีกแล้ว ลืมเธอซะเถอะ อย่าลืมว่าตอนนี้ข้างกายนายมีคุณหนูจูคนนั้นที่ต้องดูแล แล้วก็เคยทำให้นายเสียใจมากจนปล่อยไม่ได้เหมือนกัน”

หนานกงเฉินมองเขา วันนี้คนที่บอกให้เขาปล่อยวางอดีตมีไม่น้อยเลยจริงๆ

เสี่ยวหลินส่งเขากลับคฤหาสน์หลังเก่า ขณะที่พยุงเขาขึ้นไปที่ห้องนอนชั้นสอง จูจูก็เดินออกมาจากห้องนอนของตัวเองพอดี

“เฉิน ทำไมคุณดื่มหนักขนาดนี้?” จูจูรีบพยุงหนานกงเฉินไว้ และไม่ลืมที่จะหันไปตำหนิเสี่ยวหลิน:“นายรู้อยู่แล้วว่าคุณชายใหญ่ดื่มเหล้าไม่ได้ก็ยังให้เขาดื่มเยอะขนาดนี้?”

“ขอโทษนะครับ นายหญิงน้อย ตอนที่ผมไปถึงบาร์เหล้าคุณชายใหญ่เขาเมาอยู่แล้ว” เสี่ยวหลินพูดอย่างตนเองไม่มีความผิด

“พอเลย นายกลับไปนอนเถอะ” ถึงแม้ว่าปากจูจูจะตำหนิ แต่ในใจกลับฮึกเหิม

หนานกงเฉินเมาแล้ว อีกทั้งเมาจนสภาพหนักขนาดนี้ เธอรอมาสองปีในที่สุดโอกาสก็มาถึงแล้ว

“เฉิน ระวังหน่อย” จูจูพยุงเขาเดินเข้าห้องนอนอย่างระมัดระวัง

ร่างของหนานกงเฉินโซเซไปมา มือข้างนึงค้ำกำแพงไว้ เขาลืมตาทั้งสองข้าง ตาปรือจ้องเธออย่างเลือนลางแล้วถาม:“ทำไมคุณยังไม่นอนอีก?”

“คุณไม่กลับมาฉันนอนไม่หลับ” จูจูจ้องตาเขาแล้วพูด

คุณไม่กลับมาฉันนอนไม่หลับ……ประโยคนี้เขาพึ่งจะได้ยินจากปากของผู้ชายอีกคน เขารอภรรยาของเขา พวกเขามีความสุขขนาดนั้น แต่เขากลับอยากเข้าใกล้เธอเพราะประเมินตัวเองสูงเกินไป คิดที่จะทำลายความสุขนั้นของเธอ

จู่ๆเขาก็นึกถึงคำพูดของไป๋มู่ชิงกับเฉียวซือเหิงที่เคยพูดไว้ พวกเขาบอกคนตายไม่สามารถฟื้นกลับมาได้ มู่ชิงจะไม่กลับมาอีกแล้ว ให้เขาตั้งใจดูแลคนที่อยู่ตรงหน้า

“เฉิน คุณโอเคไหม?” จูจูถามอย่างเป็นห่วง:“คุณนอนพิงบนเตียงก่อนดีไหม? ฉันจะไปรินน้ำมาให้”

หนานกงเฉินจ้องไปที่เธอ แล้วรีบดึงเธอเข้ามาในอ้อมกอด ก้มหน้าจูบลงไปที่ริมฝีปากเธอ

จูจูถูกเขาทำให้ตกใจ รับรู้ถึงกลิ่นของเขาและเหล้าวิสกี้ที่เขาดื่มมา บดขยี้อยู่ที่ระหว่างริมฝีปากและฟันของเธออย่างบ้าคลั่ง

เพราะเธอไม่เคยเจอเขาบ้าคลั่งอย่างนี้มาก่อน จูจูตกใจนิ่งอึ้งไป แต่ไม่นานเธอก็รู้สึกตัว มือทั้งสองข้างพยุงร่างเขาที่เซไปเซมาไว้ จูบตอบเขาอย่างดุเดือด

หนานกงเฉินจูบเธอ ในใจก็เตือนตัวเองซ้ำๆไปมา ลืมอดีตซะ แล้วเริ่มต้นใหม่ ถ้าเขาไม่ข้ามผ่านด่านแรกนี้ไปให้ได้ ชีวิตเขาก็จะหมดอาลัยตายอยากแบบนี้ต่อไป ออกไปจากเงามืดนี้ไม่ได้สักที

จูจูถูกเขาจูบจนสติล่องลอยไป ร่างกายถอยไปด้านหลังจนถูกเขากดลงบนเตียง

สิ่งที่เธอรอคอย สิ่งที่เธอต้องการ……ในที่สุดก็มาแล้ว

ความปรารถนาสุดท้ายของชีวิตนี้ ในที่สุดก็เป็นจริงแล้ว!

ในใจมีแต่ความฮึกเหิมและความตื่นเต้นที่พูดออกมาไม่ได้ ตื่นเต้นขนาดน้ำตาถึงกับไหลลงมา

กลิ่นอายของเขาทำให้คนหลงใหล หอมหวานขนาดนั้น หอมหวานจนทำให้เธอ……ทนไม่ไหว

รสหอมหวานนี้กลับมีกลิ่นคาวออกมา หรือว่าจะเป็นรสชาติของเลือด?

เลือด……จูจูนิ่งอึ้งไป จู่ๆก็ได้สติขึ้นมาจากความปรารถนานี้ เธอยื่นมือปาดที่มุมปากของตัวเอง มันคือเลือดจริงๆ……!

“โอ๊ย–!” เธอผลักหนานกงเฉินออกจากร่างแล้วร้องเสียงแหลมออกมา ลุกขึ้นมาจากเตียง เธอกำลังจะหมุนร่างวิ่งออกไปตามสัญชาตญาณ แต่หนานกงเฉินกลับยื่นแขนที่ยาวของเขาดึงเธอกลับมาให้อ้อมแขน กอดเธอทั้งจูบทั้งกัด พูดเสียงต่ำออกมา:“มู่ชิง อย่าไปนะ อย่าไป……”

“เฉิน คุณเป็นอะไร? คุณรีบปล่อยฉันเดี๋ยวนี้……” จูจูตกใจมาก ทั้งดิ้นทั้งตะโกน:“ฉันไม่ใช่มู่ชิง คุณรีบปล่อยฉัน……”

หนานกงเฉินเหมือนกับว่าไม่ได้ยินคำอ้อนวอนของเธอ กอดเธอแน่น จูบไซ้ระหว่างคอเธอไปมา และยังคงร้องเรียกชื่อของไป๋มู่ชิง

เพราะความเจ็บปวดของร่างกายที่ไม่มีแรงควบคุม เขาควบคุมแรงระหว่างฟันของตัวเองไม่ได้ กัดไปบนคอของจูจู เสียงร้องของความเจ็บปวดดังออกมา เธอตกใจจนร้องเสียงแหลมออกมา:“ช่วยด้วย……!ช่วยด้วย……!”

เธอเริ่มใช้กำปั้นทุบตีไปที่แขนเขา ร้องไห้โวยวาย:“เฉิน คุณรีบปล่อยฉันเถอะ……ฉันไม่ใช่มู่ชิงจริงๆ……มู่ชิงเธอตายไปตั้งนานแล้ว!”

จู่ๆร่างกายของหนานกงเฉินก็แข็งทื่อ แล้วตะโกนไปทางเธอ:“เหลวไหล!มู่ชิงยังไม่ตาย……!”

“เธอตายแล้ว เมื่อสองปีก่อนเธอจมน้ำตายไปแล้ว……!” จูจูตะโกนอย่างสิ้นหวัง ถึงแม้ว่าในเวลานี้ เวลาที่เขาเจ็บปวดที่สุดเสียใจที่สุด ในใจยังคงคิดถึงแต่มู่ชิงของเขา

เขากัดไปที่ไหล่ของเธอ จนร่างเธอได้รับบาดเจ็บ ในใจที่คิดกลับเป็นผู้หญิงคนอื่น ทำไมเป็นแบบนี้? ทำไมต้องป่าเถื่อนกับเธอขนาดนี้?

ความกลัวและความเศร้าโศกในใจรัดตัวเธอไว้ แล้วเพิ่มความเจ็บปวดบนไหล่อีก ชีวิตนี้ไม่เคยจะเจ็บปวดขนาดนี้มาก่อน เธอรู้สึกว่าตัวเองใกล้จะตายจากการทรมานของเขาเต็มที

เธอเจ็บปวด หนานกงเฉินเจ็บปวดกว่าเธอ เขาอดทนกับความเจ็บปวดในร่างกาย พลิกร่างกดเธอลงไปบนเตียง จากที่กอดทั้งสองมือของเธอไว้เปลี่ยนเป็นล็อคที่คอเธอแทน น้ำเสียงที่กำลังโกรธกำลังจะเพิ่มความเคียดแค้นเข้าไป:“มู่ชิงตายแล้ว……เพราะพวกแกบังคับมู่ชิงจนตาย……เพราะพวกแก……!”

จูจูตกใจ ใบหน้าซีดเผือด เธอทั้งดิ้นทั้งพยายามที่จะอธิบายอย่างลำบากลำบน:“ไม่ใช่ฉัน……ไม่……”

เสียงทุกคนที่ดังมาพอเปิดประตูก็เห็นว่าหนานกงเฉินกำลังบีบบังคับจูจูอย่างเอาเป็นเอาตาย บนหน้าและลำตัวของทั้งสองคนมีรอยเลือด

คุณหมอจางรีบวิ่งไปดึงหนานกงเฉินลงมาจากร่างของจูจู ในที่สุดจูจูก็ได้รับอิสระ เธอพลิกตัวล้มลงข้างล่างเตียง แล้วล้มลุกคลุกคลานรีบวิ่งจากข้างล่างเตียงออกไปทางประตู จนรู้สึกว่าตัวเองปลอดภัยแล้วแขนขาถึงจะไร้เรี่ยวแรงล้มลงบนพื้น

เห็นหนานกงเฉินถูกคุณหมอจางกับเซิ่งเคอคุมตัวไว้ เสียงร้องไห้หนักก็ดังออกมาจากเธอ

“พี่สะใภ้ พี่โอเคไหม?” เซิ่งซินเห็นจูจูสภาพนี้ ก็รีบไปพยุงเธอไว้ สังเกตเธอแล้วถาม:“บนตัวพี่ทำไมมีเลือดล่ะ? บาดเจ็บตรงไหน?”

“ฉันเจ็บ ฉันเจ็บทั้งตัว……” เวลานี้ จูจูแยกไม่ออกว่าตัวเองเจ็บตรงไหนกันแน่ เธอรู้แค่ทั้งร่างของเธอไม่มีแรง เจ็บปวดไปทั้งร่าง……

“นายหญิงน้อยไม่ต้องกลัว ไม่เป็นไรแล้ว” พี่เหอก็ตามขึ้นมาเหมือนกัน ใช้สายตาบอกเซิ่งซินว่าให้ช่วยพยุงเธอลุกขึ้นจากพื้นด้วยกัน:“พานายหญิงน้อยไปส่งที่ห้องก่อน”

เซิ่งซินพยักหน้า แล้วพยุงเธอไปส่งห้องนอนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามด้วยกัน

หนานกงเฉินเริ่มสงบลง คุณผู้หญิงเห็นท่าทางของเขาที่ตกที่นั่งลำบาก ก็น้ำตาไหลไปด้วยใช้ผ้าขนหนูเปียกเช็ดรอยเลือดบนหน้าเขาไปด้วย

คุณหมอจางยืนอยู่ข้างๆ แล้วพูดปลอบโยนเหมือนทุกครั้ง:“คุณผู้หญิงวางใจเถอะครับ คุณชายใหญ่ไม่เป็นไรแล้ว”

“ไม่ใช่ว่าอาการเขาไม่ได้กำเริบนานแล้วเหรอ? ทำไมจู่ๆวันนี้กำเริบขึ้นมาอีกล่ะ?”

“ผมคิดว่าเป็นเพราะดื่มเหล้านะครับ” คุณหมอจางพูด

คุณผู้หญิงเงยหน้าขึ้นมองเขา แล้วรีบใช้มือตีไปที่แขนของหนานกงเฉิน:“ทำไมแกต้องออกไปดื่มเหล้าอีกแล้วล่ะ?”

“ผมคิดว่าในใจพี่เขาคงจะเสียใจถึงออกไปดื่มเหล้า” เซิ่งเคอพูด

เมื่อสักครู่ทุกคนต่างได้ยินว่าเขาตะโกนเรียก’มู่ชิง’ออกมา ดูแล้วเหตุผลที่เขาเสียใจคงเป็นเพราะเธอ เพราะเธอเขาถึงดื่มหนัก

คุณผู้หญิงจ้องหนานกงเฉินที่ถึงแม้ว่าจะหลับไปแล้วแต่คิ้วของเขายังขมวดอยู่ พูดเสียงสะอึกสะอื้น:“ผ่านไปนานขนาดนี้แล้ว แกยังปล่อยวางไม่ได้อีกเหรอ?”

หนานกงเฉินที่อยู่บนเตียงยังคงไม่มีปฏิกิริยาอะไรตอบกลับเธอ

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

Status: Ongoing
ไป๋มู่ชิงเคยได้ยินเรื่องเล่าตั้งแต่เด็กว่า ตระกูลหนานกงในเมืองซีเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุด แต่น่าเสียดายที่คุณชายใหญ่ของตระกูลกลับป่วยเป็นโรคประหลาด โรคที่เขาเป็นจะทำให้เขามีอายุอยู่ได้ไม่ถึงอายุ30ปี ไป๋มู่ชิงยังได้ยินมาอีกว่า คุณชายหนานกงเฉินแต่งงานใหม่ทุกๆปี แต่เจ้าสาวของเขากลับมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงวันต่อมาหลังคืนเข้าหอ แต่ไม่ทราบสาเหตุของการแต่งงานและยังไม่ทราบถึงสาเหตุการเสียชีวิตของเจ้าสาวด้วย เมื่อตระกูลหนานกงได้ส่งของหมั้นมาให้ตระกูลไป๋ ไป๋มู่ชิงก็คิดไม่ถึงว่าพ่อของเธออยากจะปกป้องชีวิตพี่ของเธอไว้ถึงขนาดผลักเธอเข้าไปในประตูนรกอย่างโหดร้าย บังคับให้เธอแต่งงานกับหนานกงเฉินเป็นเจ้าสาวคนที่เจ็ดของเขา แทนพี่สาวของเธอ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท