เลขาเหยียนเดินมุ่งไปยังห้องประชุมเล็กเพื่อพบไป๋มู่ชิง ไป๋มู่ชิงไม่ได้กล่าวอันใด เลขาเหยียนก็ไม่ได้ถามโดยปริยาย
ทั้งสองคนสนทนากันเรื่องเกี่ยวกับงานราว ๆ ครึ่งชั่วโมง จากนั้นไป๋มู่ชิงก็ลุกขึ้นขอตัวลา
“ลาก่อนค่ะคุณหนูอี” เลขาเหยียนส่งเธอออกจากห้องประชุม
ไป๋มู่ชิงกล่าวขอบคุณเธอ จากนั้นก็เดินมุ่งไปที่ลิฟต์
ขณะที่ไป๋มู่ชิงกำลังเดินอยู่บนเส้นทางที่เชื่อมระหว่างห้องประชุมเล็กและลิฟต์ เธอสาวเท้าเดินหน้าไปพลางก้มหน้าอ่านเอกสารที่อยู่ในมือไป ราวกับไม่ได้สัมผัสว่าหนานกงเฉินกำลังยืนอยู่เบื้องหน้าของเธอ
จนกระทั่งเธอชนเข้ากับร่างของเขา ทำให้อึ้งไปชั่วขณะ เธอเงยหน้าขึ้นเห็นหนานกงเฉินและได้ถอยหลังไปโดยอัตโนมัติ จากนั้นก็กล่าวทักทายอย่างสุภาพว่า : “สวัสดีค่ะ คุณชายเฉิน”
“จะกลับแล้วเหรอ ?” หนานกงเฉินมองเอกสารที่อยู่ในมือของเธอ
ไป๋มู่ชิงพยักหน้า : “ค่ะ”
“แผลของหว่านชิงดีขึ้นบ้างหรือยัง ? ทำไมถึงไม่อยู่บ้านเป็นเพื่อนเธอ ?”
“ขอบคุณคุณชายเฉินมากนะคะที่เป็นห่วง เดิมทีแผลของเธอก็ไม่ได้สาหัสมาก วันนี้พ่อของเธออยู่เป็นเพื่อนค่ะ”
หนานกงเฉินพยักหน้า
เขาเองก็ไม่ทราบเช่นกันว่าเหตุใดตนถึงเดินมาตรงนี้ได้ เพียงเพราะต้องการทราบเรื่องของเสียวหว่านชิงอย่างนั้นหรือ ?
“คุณชายเฉินล่ะคะ ? แผลบนมือหายบ้างหรือยังคะ ?” สายตาของไป๋มู่ชิงมองต่ำลงมายังหลังมือของเขา
เขาฉีกผ้าก๊อซบนหลังมือออกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว บาดแผลยาว ๆ เส้นนั้นจึงปรากฏออกมาชัดเจน ถึงแม้ว่าขนาดของแผลจะไม่ใหญ่มากทว่าเห็นแล้วก็แลดูน่าสงสาร ไป๋มู่ชิงเงยหน้าขึ้นจ้องเขาอีกครั้ง : “ทำไมคุณถึงไม่พันแผลไว้ล่ะคะ ? ทำอย่างนี้เชื้อโรคจะเข้ามาได้ง่ายนะคะ”
หนานกงเฉินยกมือของตนขึ้นมามองดู พร้อมพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่ไม่คิดว่าเป็นเรื่องใหญ่อันใด : “ไม่เป็นไร การที่บนมือของชายหนุ่มมีผ้าก๊อซพันอยู่มันดูไม่ดีเท่าไหร่ เพราะงั้นเลยเอาออกน่ะ”
“ต้องพันไว้ก่อนสองวันนะคะ”
“ขอบใจนะ ผมจะระวัง”
เมื่อเขาพูดมาเช่นนั้น ทันใดนั้นไป๋มู่ชิงก็รู้สึกถึงความเคอะเขิน รู้สึกราวกับว่าตนเองพูดมากไปแล้ว
ดังนั้นเธอจึงรีบเปลี่ยนเรื่องบอกลาเขาและหันหลังหมายจะเดินออกไป ครั้นขณะที่กำลังจะไปนั้นอยู่ ๆ ภายในหัวก็ครุ่นคิดอะไรบางอย่างออก เธอจึงหันหน้ากลับมาแล้วถามว่า : “คุณชายเฉิน ฉันขอถามอะไรหน่อยได้ไหมคะ……คือว่า……”
เมื่อเห็นว่าเธอไม่กล้าที่จะเอ่ยปาก หนานกงเฉินจึงพูดต่อประโยคเธอไปว่า : “แหวนใช่ไหม ?”
“ค่ะ ขอโทษจริง ๆ นะคะ……”
“ไม่มีอะไรต้องขอโทษเลย” หนานกงเฉินกล่าว : “ผมให้คนไปหาในห้องทำงานแล้วแต่ไม่พบร่องรอยของแหวนเลย ถามพนักงานทำความสะอาดที่เข้าเวรวันนั้นแล้ว เธอก็บอกว่าไม่เห็น”
“อ้อ” บนใบหน้าของไป๋มู่ชิงปรากฏเป็นความผิดหวัง จากนั้นก็กล่าวขึ้นว่า : “ฉันเข้าใจแล้วค่ะ ขอบคุณนะคะ”
“แต่ว่าคุณวางใจได้ ผมจะช่วยคุณตามหาต่อเอง”
“หาไม่เจอก็ช่างเถอะค่ะ ไม่ต้องวุ่นวายขนาดนั้นหรอกค่ะ” ไป๋มู่ชิงไม่อยากรบกวนผู้อื่นเพียงเพื่อตามหาแหวนที่ไม่มีราคาวงเดียวเช่นนี้
เพียงแค่ความผิดหวังที่ซ่อนอยู่นัยน์ตาของเธอนั้นหนานกงเฉินมองเห็นอย่างชัดเจน เมื่อเห็นเงาเธอเดินจากไปตรงทางเลี้ยวเขตที่ทำงาน เขาถึงจะเดินกลับห้องทำงานของตนเอง
ช่วงเวลาอาหารเย็น จูจูเห็นหนานกงเฉินที่เพิ่งรับประทานอิ่มแล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้ทันที เธอจึงลุกขึ้นตามแล้วถามว่า : “เฉิน วันนี้ที่โรงละครใหญ่มีการแสดงเปียโน ไปฟังเป็นเพื่อนฉันหน่อยได้ไหมคะ ?”
หนานกงเฉินมองหน้าเธอจากนั้นก็กล่าวขึ้นสีหน้านิ่งเรียบ : “ฉันไม่สนใจเปียโน เธอให้เสี่ยวหยวนไปเป็นเพื่อนเถอะ”
เสี่ยวหยวนอีกแล้ว ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ให้เสี่ยวหยวนไปเป็นเพื่อนเธอ จูจูคิดอยู่ในใจด้วยความโกรธเคืองและน้อยอกน้อยใจ
ผู่เหลียนเหยาที่อยู่ข้าง ๆ เห็นดังนั้นจึงยิ้มพร้อมพูดขึ้นว่า : “พี่ไม่สนใจการวาดรูปเหมือนกันนี่ แต่ก็ยังไปดูนิทรรศการภาพวาดกับพี่สะใภ้คนก่อนบ่อย ๆ เลยไม่ใช่เหรอคะ ?”
“จริงด้วย……” จูจูมองหน้าเขาด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยการอ้อนวอน
“ฉันบอกแล้วไง จากนี้ไปห้ามพูดเรื่องมู่ชิงต่อหน้าฉัน” หนานกงเฉินพูดขึ้นน้ำเสียงเย็นชา ไม่ทราบว่าตำหนิผู่เหลียนเหยาหรือจูจูกันแน่
ทว่าโทสะของเขายังคงทำให้จูจูหวาดกลัวเหมือนเคย เธอจึงคลายสองมือที่จับแขนเขาไว้ออก
“มีอะไรกัน ?” คุณผู้หญิงเงยหน้าขึ้นมองหน้าทั้งสองคน จากนั้นพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ปนไปด้วยตำหนิติเตียน : “เพิ่งดีกันได้ไม่กี่วันทำไมถึงทะเลาะกันอีกแล้ว ? เฉินหลานไปเป็นเพื่อนเธอสิ ถือโอกาสไปสงบจิตสงบใจด้วย”
หนานกงเฉินรู้อยู่แล้วว่าเหตุใดจูจูถึงพูดต่อหน้าทุกคนเช่นนี้ ก็คงเป็นเพราะอยากให้คุณผู้หญิงช่วยพูดเท่านั้น ทว่ายิ่งเธอใช้เล่ห์กลเช่นนี้เขาก็ยิ่งรู้สึกต่อต้าน ยิ่งไม่อยากไปเป็นเพื่อนเธอเข้าไปใหญ่ ผ่านมาชั่วครู่เขาจึงพูดขึ้นมาหน้านิ่ง : “คุณย่าครับ เรื่องของความรู้สึก ผมรู้ขอบเขตดี”
“แกมีขอบเขตอะไร ?” คุณผู้หญิงแย้งขึ้นมา
“ตอนนั้นที่ผมรักจูจูคุณย่าจะห้ามยังไงก็ห้ามไม่อยู่ ตอนนี้ผมไม่รักเธอแล้ว คุณย่ามาจับคู่ให้อีกก็ไร้ประโยชน์อยู่ดี” เมื่อพูดจบเขาจึงหันหลังแล้วมุ่งออกไปจากร้านอาหาร
ครั้นคำพูดของเขากระทบจิตใจของจูจูเป็นอย่างยิ่ง เธอรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจจนน้ำตาไหลรินอาบแก้ม
คุณผู้หญิงละสายตาจากเงาหลังของหนานกงเฉิน แล้วมองหน้าเธอ : “เป็นอะไรไป ? เธอไปทำอะไรให้เขาไม่พอใจอีกแล้วล่ะ ?”
นิสัยส่วนตัวของหนานกงเฉินคุณผู้หญิงทราบดีเต็มอก เพียงแค่ไม่ไปยั่วโมโหเขา เขาก็ไม่มีทางไร้เหตุผลกับตนได้
จูจูพูดน้ำเสียงสะอึกสะอื้นด้วยความน้อยใจ : “เฉินซ่อนผู้หญิงคนอื่นด้านนอกค่ะ หนูก็แค่ไปบอกตักเตือนยัยนั่น เฉินก็เลยไม่พอใจค่ะ คุณย่าคะหนูทำแบบนั้นมันผิดตรงไหนเหรอคะ ? หรือว่าในฐานะที่เป็นภรรยาของเฉินแม้แต่การปกป้องสิทธิ์การแต่งงานของตัวเองก็ไม่มีเหรอคะ ?”
เดิมคิดว่าคุณผู้หญิงจะออกตัวแทนตน ช่วยตน ครั้นคิดไม่ถึงว่าเมื่อคุณผู้หญิงได้ยินดังนั้นกลับกลอกตาแล้วพูดว่า : “ฉันนึกว่าเรื่องอะไรเสียอีก เรื่องเล็กน้อยแค่นี้เนี่ยนะ”
“คุณย่า……”
“จูจูอย่าว่าย่าพูดจาไม่น่าฟังเลยนะ แต่เธอเคยเห็นเศรษฐีคนไหนรักเดียวใจเดียวกับเมียหรือเปล่าล่ะ ? เขาจะเลี้ยงผู้หญิงอยู่ข้างนอกก็ให้เขาเลี้ยงไปสิ แค่เขาให้เธอกินอิ่มมีใช้ ไม่ตีไม่ด่าเธอก็พอ เธอก็แค่ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นก็พอแล้ว”
“จริงด้วย” ผู่เหลียนเหยาพูดเสริม : “ผู้ชายนี่เนอะ พี่อย่าไปอะไรกับเขามากเลย ยิ่งพี่รัดเขาไว้แน่นเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งอยากออกไปจากพี่มากเท่านั้น ส่วนนี้พี่ยังทำไม่สู้ไป๋มู่ชิงเลย”
“ถ้าเซิ่งเคอเลี้ยงผู้หญิงไว้ข้างนอก เธอก็จะคิดอย่างนี้ไหม ?” จูจูพูดโต้เถียง
ผู่เหลียนเหย่าเงียบกับคำถามของเธอ
เมื่อไม่ได้รับการช่วยเหลือ จูจูจึงเดินขึ้นไปชั้นบนด้วยความโมโห
เธอยืนอยู่หน้าห้องนอนของหนานกงเฉิน ภายในใจยิ่งคิดก็ยิ่งเสียใจ ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห ครั้นกลับยิ่งคิดก็ยิ่งเอือมละอา ถึงอย่างไรทุกสิ่งทุกอย่างก็เป็นผลจากสิ่งที่เธอก่อขึ้นเองทั้งนั้น
เมื่อไป๋มู่ชิงได้รับข่าวสารว่าจะให้เธอไปทำงานต่างจังหวัด ณ เมืองเยว่ จึงโยนเอกสารที่อยู่ในมือลงแล้วบึ่งไปทางห้องทำงานของประธานจางทันที ประธานจางกำลังโทรศัพท์อยู่ เมื่อเห็นเธอเข้ามาจึงยกมือขึ้นบอกให้เธอรอสักครู่ หลังจากที่สนทนาทางโทรศัพท์นานสองนานแล้วก็วางสายลง
“มีอะไร ? ทำไมดูร้อนรนใจเหมือนไฟเผาแบบนี้” ประธานจางมองหน้าเธอแล้วถามขึ้น
“ท่านประธานจางคะ ทำไมต้องให้ฉันไปทำงานต่างจังหวัดที่เมืองเยว่ด้วยคะ ? ฉันไปไม่ได้ค่ะ ฉันต้องดูแลสามีและลูกของฉันที่บ้าน” ไป๋มู่ชิงพูดขึ้นด้วยความร้อนรนใจ
“ไปแค่หนึ่งวันหนึ่งคืนเอง ให้พ่อเขาดูแลลูกไปสิ”
“ไม่ได้ค่ะ !”
“นี่คืองานและเป็นคำสั่งจากหัวหน้า”
“แต่คนที่บริษัทเยอะขนาดนี้ทำไมต้องให้ฉันไปด้วยล่ะคะ ?”
“เพราะว่าเธอคือพนักงานคนใหม่ไงล่ะ งานสัมมนาอุตสาหกรรมประจำปีจะช่วยยกระดับและช่วยเหลือพนักงานใหม่ได้อย่างดี บริษัทเล็ก ๆ อย่างพวกเรายังไม่มีสิทธิ์ในการเข้าร่วมเลย นี่ผมจ่ายเงินเพื่อซื้อโอกาสนี้มาเลยนะ เพราะงั้น……” ท่านประธานจางเดินอ้อมมาจากโต๊ะ พร้อมทั้งยกมือขึ้นตบไปยังไหล่ของเธอเบา ๆ : “โอกาสทองที่หายากแบบนี้ ต้องรักษาไว้ให้ดีนะ และตั๋วเครื่องบินผมจองไว้ให้คุณเรียบร้อยแล้ว”
“อะไรนะคะ ?” ไป๋มู่ชิงโมโหจัด : “ทำไมคุณถึงจองตั๋วทั้งที่ยังไม่ถามฉันเลยคะ ?”
“ต้องถามด้วยเหรอ ? ผมคิดว่าคุณจะต้องไปแน่นอน และควรจะไปด้วย” ประธานจางมองหน้าเธอ จากนั้นก็พูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง : “เสี่ยวอี ถ้าออกมาทำงานก็จะต้องเสียสละเรื่องทางบ้านหน่อยสิ จะไม่เสียสละเลยสักนิดมันเป็นไปไม่ได้หรอกนะ เอาล่ะ เชื่อฟังผม ไปเป็นเพื่อนผมแค่สองวันอย่างว่าง่ายเถอะ”
ประธานจางไม่ได้โกหกเธอแต่อย่างใด โอกาสครั้งนี้เขาเป็นผู้ใช้เงินติดสินบนซื้อมา เพียงแค่จุดประสงค์ของเขานั้นมิใช่ให้ไป๋มู่ชิงไปยกระดับความรู้ทางสายงานแต่อย่างใด ครั้นเขามีวัตถุประสงค์อย่างอื่น
ไป๋มู่ชิงไร้ซึ่งคำพูดที่จะตอบโต้กลับ จึงทำได้เพียงเดินออกจากห้องทำงานเขาไปด้วยความไม่พอใจ
ช่วงเวลาค่ำขณะที่ไป๋มู่ชิงบอกเฉียวเฟิงเรื่องที่ต้องไปทำงานต่างจังหวัดแล้วนั้น น้ำเสียงและสีหน้าของเธอยังคงมีน้ำโหเช่นเคย
ครั้นเฉียวเฟิงกลับเป็นผู้พูดปลอบใจเธอ : “หัวหน้าคุณพูดถูกนะ เป็นไปไม่ได้ที่จะดูแลครบทั้งครอบครัวและงาน จะต้องเสียสละบางอย่างเป็นบางครั้ง”
“ตอนเข้ามาทำงานใหม่ ๆ ฉันบอกเขาไว้ชัดเจนแล้วว่า จะไม่ทำงานต่างจังหวัดและไม่ทำโอที เขาพูดจากลับกลอก” ไป๋มู่ชิงพูดด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธเคือง
เฉียวเฟิงยิ้มขึ้นมา : “หรือไม่ คุณลาออกเลยดีไหม ?”
“นี่มัน……มันไม่ค่อยดีมั้งคะ ?” น้ำเสียงของไป๋มู่ชิงอ่อนลงเล็กน้อย : “พูดจริง ๆ นะคะ เวลาทำงานของบริษัทนี้เหมาะกับฉันมาก คงหาที่ที่มันเหมาะสมแบบนี้ได้ยากแล้ว และนี่ก็คือเหตุผลที่ฉันเลือกทำงานที่นี่”
“เพราะฉะนั้น คุณก็ไปอย่างสบายใจเถอะครับ ถึงยังไงก็ไปแค่หนึ่งวันหนึ่งคืนเอง”
“ก็ฉันเป็นห่วงคุณกับเสียวหว่านชิงนี่นา” ไป๋มู่ชิงเหลือบมองหว่านชิงที่กำลังนอนอยู่บนเตียงน้อย ๆ
แผลบนหน้าผากของเธอเริ่มตกสะเก็ดแล้ว เวลานี้กำลังนอนหลับพริ้มฝันหวานอยู่
เฉียวเฟิงโอบเธอไว้ จากนั้นก็พูดปลอบใจด้วยรอยยิ้ม : “ไม่ต้องห่วงหรอก ผมจะดูแลหว่านชิงเป็นอย่างดี”
“จริงเหรอคะ ?”
“ไม่เชื่อผมเหรอ ?”
“ไม่ใช่แน่นอนค่ะ”
“มันต้องอย่างนี้สิ” เฉียวเฟิงลูบเส้นผมของเธอ : “ถือซะว่าเป็นโอกาสดีในการให้ผมพิสูจน์ตัวเองนะ ผมจะให้คุณเห็นว่าผมไม่ได้อ่อนแอเหมือนอย่างที่คุณคิด”
“ฉันรู้ว่าคุณจะดูแลหว่านชิงเป็นอย่างดี ฉันก็แค่สงสารคุณไงคะ” ไป๋มู่ชิงฉีกยิ้มขึ้นพลางแนบอิงเข้าไปในอ้อมกอดของเขา
“การที่คุณมีความหวังดีแบบนี้ผมก็ดีใจ” เฉียวเฟิงครุ่นคิดชั่วครู่ จากนั้นก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่หยอกล้อ : “แต่ว่าเมืองเยว่นั่นวุ่นวายอยู่นะ คุณจะต้องระมัดระวังตัวด้วย”
“ฉันจะระวังนะคะ”
“และก็……อย่าให้มีผู้ชายชั่ว ๆ คนไหนหลอกล่อคุณไปด้วยล่ะ”
“คุณชายเฉียวฉันโง่ขนาดนั้นเลยหรือไง ?” ไป๋มู่ชิงทำเสียง ‘ชิ’ พร้อมยิ้มขึ้นมา
“ใครจะไปรู้ล่ะ ? ผู้ชายชั่วบนโลกนี้มีเยอะขนาดนั้น”
“แต่ฉันมีสามีมีลูกแล้วนะคะ มีภูมิคุ้มกันผู้ชายชั่วตั้งนานแล้ว”
“จริงเหรอ ?”
ไป๋มู่ชิงพยักหน้า เฉียวเฟิงจึงฉีกยิ้มขึ้นด้วยความโล่งอก : “ถ้างั้นผมก็สบายใจแล้ว”
วันต่อมา ไป๋มู่ชิงโดยสารเครื่องบินมุ่งไปยังเมืองเยว่กับประธานจาง และข้างกายของประธานจางมีเสียวเหมิงติดแจอยู่ตลอด
เมื่อมีเสี่ยวเหมิงไปด้วยกัน ไป๋มู่ชิงจึงถือว่ามีเพื่อนร่วมเดินทางไปด้วยหนึ่งคน อีกทั้งยังมีอิสระเป็นของตัวเองมากกว่าต้องอยู่กับประธานจางสองต่อสองอีก
การโดยสารเครื่องบินมายังเมืองเยว่นั้นใช้เวลาเพียงหนึ่งชั่วโมงกว่า ช่วงบ่ายไป๋มู่ชิงเข้าร่วมงานสัมมนาอุตสาหกรรมที่ว่ามีประโยชน์กับตนเอง และไม่ยอมรับไม่ได้ว่างานสัมมนานี้มีประโยชน์ต่อเธออย่างที่ว่าจริง ๆ อย่างน้อยก็ทำให้เธอเข้าใจเกี่ยวกับความรู้ด้านอุตสาหกรรมที่เมื่อก่อนไม่เข้าใจเพิ่มมากขึ้น
หลังจากที่งานสัมมนาจบลง ไป๋มู่ชิงกลับมาโรงแรมเตรียมตัวรายงานเกี่ยวกับงานสมมนาช่วงบ่ายที่เธอไปเข้าร่วมให้ประธานจางฟัง เธอเคาะประตูห้องชุดของโรงแรม เคาะนานสองหนานกลับไม่มีคนมาเปิดประตูเลย ดังนั้นเธอจึงแนบหูกับประตู
เธอได้ยินเสียงประธานจางกำลังโมโหอยู่ ระหว่างนั้นก็ยังมีเสียงที่น้อยอกน้อยใจของเสี่ยวเหมิงดังแทรกเข้ามาด้วย เธอเป็นห่วงว่าพวกเขาจะเป็นอะไรจึงตะโกนเสียงดังขึ้นว่า : “ท่านประธานจางคะ โอเคกันไหมคะ ?”
และในที่สุดประตูของห้องชุดก็เปิดออก เป็นประธานจางที่มาเปิดประตูด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเดือดดาล
“ท่านประธานจางคะ พวกคุณเป็นอะไรกันเหรอคะ ?” เธอมองหน้าประธานจาง พร้อมทั้งมองเสี่ยวเหมิงที่มือหนึ่งพยุงโซฟาเอาไว้ อีกมือหนึ่งกุมท้องเอาไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดทรมาน เธอสาวเท้าเดินเข้าไปหาและพยุงแขนข้างหนึ่งของเสี่ยวเหมิงเอาไว้พร้อมถามขึ้นด้วยความเป็นห่วงเป็นใยว่า : “เสี่ยวเหมิง เป็นอะไรไป ? ไม่สบายเหรอ ?”
เสี่ยวเหมิงพยักหน้าด้วยสีหน้าแดงก่ำ พลางมองหน้าประธานจางด้วยความรู้สึกผิด
ประธานจางหันหลังเดินเข้ามาพร้อมพูดขึ้นด้วยใบหน้าโมโห : “ผมบอกเขาแล้วว่าตอนบ่ายจะต้องไปเข้าร่วมงานเลี้ยงที่สำคัญ บอกเขาว่าห้ามกินของข้างทางให้มาก แต่เขาดันยืนกรานว่าตัวเองสลายพิษได้ ตอนนี้งามหน้าไหมล่ะ อยู่ห่างจากห้องน้ำไม่ได้เลยแม้แต่วินาทีเดียว ขายหน้าชาวบ้านชาวเมืองเขาหมด”
“ขอโทษค่ะ เมื่อก่อนฉันไม่เคยเป็นแบบนี้เลย” เสี่ยวเหมิงกล่าวด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด
“งั้นเธอว่าฉันจะเอายังไงดีคราวนี้ ? งานเลี้ยงจะเริ่มแล้ว อยู่ ๆ เธอก็มาเป็นแบบนี้จะให้ฉันไปหาผู้หญิงเดินควงเข้างานได้จากไหน ?”
เสี่ยวเหมิงครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็หันหน้ามองไป๋มู่ชิง พร้อมทั้งหัวเราะแห้ง ๆ : “ให้พี่อีไปแทนฉันก็ได้นี่คะ ถึงยังไงพี่อีก็สวยไม่ทำให้คุณขายหน้าหรอกค่ะ” เมื่อพูดจบเธอเจ็บท้องจนร้อง ‘โอ๊ย’ ออกมา สองมือกุมท้องแล้วรีบวิ่งพุ่งไปยังห้องน้ำทันที
“ดูสิ ดูสิ……ฉันเลี้ยงเธอให้มันได้อะไรดี……!” ประธานจางชี้นิ้วไปยังห้องน้ำ พลางเดินไปเดินมาด้วยความกระวนกระวายใจ พร้อมพูดขึ้นว่า : “โชคดีที่เสี่ยวอีมากับเราด้วย ไม่อย่างนั้นฉันจะจัดการเธอให้เข็ดหลาบ ครั้งหน้าจะไปไหนก็จะไม่พาเธอมาด้วยอีกแน่……”
ไป๋มู่ชิงอ้าปากค้าง เธอไม่ได้ฟังผิดไปใช่ไหม ? ประธานจางจะให้เธอไปออกงานกับเขางั้นหรือ ?
แม้ว่าไป๋มู่ชิงจะไม่อยากออกงานในฐานะคู่ควงของประธานจาง ทว่าภายใต้สถานการณ์ที่เสี่ยวเหมิงไม่สามารถปลีกตัวออกจากห้องน้ำได้นั้น เธอไม่มีช่องว่างในการปฏิเสธเลยแม้แต่นิด แม้แต่คำพูดปฏิเสธก็ไม่ได้พูดออกมา ประธานจางโยนชุดราตรีของเสี่ยวเหมิงให้เธอและให้ไปเปลี่ยนอย่างรวดเร็วที่สุด
ช่วงค่ำเวลาทุ่มตรง ไป๋มู่ชิงและประธานจางมายังบริเวณภายในห้องโถงงานเลี้ยงของโรงแรมแห่งหนึ่งตรงเวลา เธอไม่ทราบด้วยซ้ำว่านี่คืองานเลี้ยงแบบไหนกันแน่
เธอแค่ได้ยินที่ประธานจางบอกมาว่านี่ถือเป็นงานเลี้ยงส่วนตัวของสังคมชั้นสูง และประธานจางกับผู้จัดงานเลี้ยงนี้เป็นเพื่อนสมัยประถมกัน มิน่าประธานจางถึงมีโอกาสในการเข้าร่วมงานเลี้ยงเช่นนี้ !
ไป๋มู่ชิงเดินไปพร้อมประธานจางเพื่อเข้าไปในห้องแขกวีไอพีตามคำเชื้อเชิญของพนักงาน ภายในห้องแขกวีไอพีนั้นกว้างขวางมาก ภายในห้องมีคนสิบกว่าคนนั่งอยู่ และเวลานี้คนเหล่านั้นก็กำลังล้อมวงสนทนากับใครบางคนอยู่บรรยากาศดำเนินไปอย่างคึกคัก ไป๋มู่ชิงคิดว่าผู้ที่ถูกล้อมอยู่ตรงกลางนั้นก็คือตัวเอกของงานเลี้ยงค่ำคืนนี้ เธอชะเง้อคอมองไปยังตรงกลาง
เมื่อเธอเห็นว่าผู้ที่อยู่ข้างในเป็นหนานกงเฉินแล้วนั้น จึงตกตะลึงไปโดยปริยาย ครั้นหนานกงเฉินก็มองมาทางเธอพอดี สายตาของทั้งสองประสานกัน ทว่าสายตาของเขามีความร้อนแรงเล็กน้อย ไป๋มู่ชิงจึงส่งยิ้มให้เขาแล้วรีบชักสายตากลับคืนทันที
เธอพูดเสียงเบากับประธานจางที่อยู่ข้าง ๆ ว่า : “ท่านประธานจางคะ ทำไมคุณชายเฉินถึงอยู่ที่นี่ด้วยคะ ?”
“สังคมชั้นสูงรวมตัวกันไปรวมตัวกันมาก็มีแค่คนเหล่านี้แหละ” ประธานจางพูดพลางยิ้มตาหยี
เลขาเหยียนก็มองเห็นไป๋มู่ชิงและประธานจางแล้วเช่นกัน เธอโน้มตัวลงกระซิบข้างใบหูของหนานกงเฉิน : “คุณชายเฉิน ประธานจางคนนั้นแค่เห็นแวบแรกก็รู้เลยว่าไม่ใช่คนดีอะไร คุณอย่าดื่มเป็นอันขาดนะคะ”
“กลัวฉันจะพลาดท่าให้เขาเหรอ ?” หนานกงเฉินยิ้มขึ้น
“ไม่ค่ะ ฉันกลัวว่าตกดึกมาคุณจะอาการป่วยกำเริบ” เลขาเหยียนกล่าวด้วยความเป็นห่วง
“แต่ฉันอยากเผชิญหน้ากับเขาสักหน่อย ดูซิเขาจะเล่นอุบายอะไรมา”
“คุณชายเฉินคะ อย่าล้อเล่นกับร่างกายของตัวเองเลยนะคะ”
หนานกงเฉินยิ้มขึ้นมา พร้อมยกน้ำผลไม้บนโต๊ะขึ้นมาดื่มหนึ่งอึก
หนานกงเฉินทราบดีว่าตนเองไม่สามารถดื่มเหล้าได้ เมื่อดื่มเหล้าก็จะอาการกำเริบได้ง่าย แม้จะมีคุณหมอจางอยู่ด้วยเมื่อออกมาด้านนอก ทว่าก็เป็นเรื่องที่อันตรายมากเช่นกัน เพราะฉะนั้น แม้ว่าเขาจะอยากเห็นเล่ห์กลของประธานจางมากเพียงใด ครั้นเพื่อสุขภาพร่างกายของตนเองเขาจึงทำได้เพียงล้มเลิกไป
เขาดื่มไวน์เข้าไปไม่กี่แก้วอย่างมีข้อจำกัดและหยุดดื่มทันที ครั้นความแรงของไวน์นั้นมีมากกว่าที่เขาคิดไว้เสียอีก ยังไม่ทันได้เดินออกจากห้องโถงใหญ่ของงานเลี้ยงเลย เขาก็รู้สึกได้ว่าร่างกายเบาหวิวไป
เขาเดินเข้าห้องน้ำ ใช้น้ำเย็น ๆ ล้างหน้า ทว่าอุณหภูมิภายในร่างกายกลับไม่ลดลงเลยสักนิด
ไป๋มู่ชิงได้รับโทรศัพท์จากประธานจางโดยเขาบอกให้เธอมาห้องน้ำหน่อย เธอจึงเดินมายืนอยู่ด้านหน้าห้องน้ำชายอย่างว่าง่ายจากนั้นก็ตะโกนเสียงดังขึ้น : “ท่านประธานจางคะ อยู่ด้านในหรือเปล่าคะ ?”
บานประตูห้องน้ำมีเสียงเปิดออกดังเอี๊ยด หนานกงเฉินล้มเซออกมาจากด้านใน
ไป๋มู่ชิงตกใจกับภาพที่เห็น จึงรีบเข้าไปพยุงแขนเขาไว้แล้วถามว่า : “คุณชายเฉิน เป็นอะไรไปคะ ? ไม่เป็นไรใช่ไหม ?”
ร่างกายเขาโซซัดโซเซ ราวกับสามารถหกล้มได้ตลอดเวลาอย่างไรอย่างนั้น
“คุณชายเฉินทำไมดื่มเยอะแบบนี้คะเนี่ย ? เลขาเหยียนไปไหนคะ ? คุณรอเดี๋ยวนะคะ ฉันจะช่วยไปเรียกเธอมาให้……”
เมื่อไป๋มู่ชิงพูดจบจึงหันหลังเพื่อไปตามหาเธอ ครั้นหนานกงเฉินกลับคว้าแขนเธอไว้แล้วกระชากเธอกลับคืน สายตาที่จ้องเธออยู่นั้นเดือดดาลราวกับโมโหจนไฟลุกโชน ลมหายใจกระทบลงใบหน้าของเธอ : “คุณทำกับไรกับผม ?”
ไป๋มู่ชิงตกใจกับสายตาที่ลุกโชนของเขา เธอไม่เข้าใจโดยสิ้นเชิงว่าเขานั้นหมายความว่าอย่างไร ดังนั้นจึงส่ายหน้าอย่างไม่เข้าใจแล้วพูดขึ้นว่า : “อะไรนะ ? ฉันไม่เข้าใจที่คุณพูดเลยค่ะ”
“ผมถามว่าคุณทำอะไรกับผมกันแน่ ? ให้ผมกินอะไรเข้าไป ?”
“ฉัน……ฉันเปล่านี่คะ” ไป๋มู่ชิงไม่เข้าใจยิ่งขึ้น
ทั้งที่เธอไม่เคยทำอะไรกับเขาเลย เหตุใดเขาจึงพูดเช่นนี้ออกมา ? เขาเป็นอะไรไปกันแน่ ? ไป๋มู่ชิงเห็นหน้าผากของเขาเริ่มมีเหงื่อผุดขึ้นมาเต็มไปหมด ดูท่าทางไม่คล้ายคนดื่มเมา แต่เหมือนร่างกายไม่สบายมากกว่า
เธอไม่มีเวลาไปเดาความหมายภายในคำพูดของเขา จึงถามขึ้นแทนว่า : “คุณชายเฉินคุณไม่สบายหรือเปล่าคะ ? เดี๋ยวฉันพยุงคุณไปพักผ่อนที่ห้องรองรับนะคะ”
หนานกงเฉินสูดหายใจเข้าลึก พยายามอดกลั้นความทรมานภายในใจเอาไว้และพูดขึ้นมา : “ไปส่งผมที่ห้อง 1301”
“แต่ว่าคุณไม่สบายควรไปโรงพยาบาลสิคะ……” ไป๋มู่ชิงกล่าวขึ้นด้วยความร้อนรน
หนานกงเฉินกลับหลังหัน แล้วเดินโซเซไปยังลิฟต์
“คุณชายเฉิน……” ไป๋มู่ชิงรีบเดินตามเขาไปทันที จากนั้นก็พยุงแขนของเขาเอาไว้
ประธานจางที่นั่งอยู่ภายในห้องโถงใหญ่ของงานเลี้ยงเห็นเงาของทั้งสองคนกำลังมุ่งไปยังลิฟต์ด้วยความเร็ว บนใบหน้าจึงผุดรอยยิ้มอันชั่วร้ายขึ้นมาทันที จากนั้นก็หันหน้าไปหาเลขาเหยียนพร้อมทั้งพูดเชื้อเชิญต่อไป : “เลขาเหยียนครับ ผมขอดื่มให้คุณอีกหนึ่งแก้วนะครับ ขอบคุณที่คุณดูแลพวกเราในช่วงนี้มาตลอด……”
เลขาเหยียนชูแก้วขึ้นมาต่อหน้าเขาอย่างขอไปที สายตาพลางกวาดมองไปยังทุกมุมของห้องโถงงานเลี้ยง เพื่อมองหาหนานกงเฉิน
ภายในลิฟต์ ไป๋มู่ชิงกดชั้น 13 จากนั้นก็พยุงหนานกงเฉินที่อาการย่ำแย่ลงเรื่อย ๆ พลางพูดขึ้นว่า : “คุณชายเฉินคุณอดทนไว้ก่อนนะคะ ใกล้จะถึงแล้ว”
“คุณชายเฉิน คุณเอายามาด้วยหรือเปล่าคะ ?” อยู่ ๆ ไป๋มู่ชิงก็ถามขึ้น
หนานกงเฉินสูดหายใจเข้าลึก จากนั้นก็พยายามยืนนิ่ง ๆ แล้วล้วงเอาขวดยาเล็ก ๆ ที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อด้านหลังออกมา และบิดเปิดฝาขวดยาด้วยมืออันสั่นเทา เนื่องจากมือของเขาสั่น ยาที่อยู่ด้านในจึงกระเด็นออกมา
“ให้ฉันช่วยนะคะ” ไป๋มู่ชิงแย่งเอาขวดยาของเขาไป จากนั้นก็หยิบเม็ดยาออกมาหนึ่งเม็ดจากในขวดพร้อมป้อนเข้าปากเขา
หนานกงเฉินกลืนยาเข้าไปแล้ว ครั้นความเจ็บปวดทรมานของร่างกายกลับไม่ทุเลาลงเลยแม้แต่น้อย
จนกระทั่งลิฟต์หยุดที่ชั้น 13 ไป๋มู่ชิงกวาดสายตามองป้ายหน้าห้อง และเมื่อมองเห็นหมายเลขห้อง 01 แล้วจึงคร้านที่จะไปสอบถามหนานกงเฉินแล้ว มือน้อย ๆ ของเธอล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อของเขาไปมา สุดท้ายก็เจอกระเป๋าสตางค์ในเสื้อเขา เธอหยิบกุญแจห้องจากด้านในมาเปิดประตู
“คุณชายเฉินรีบไปนอนพักบนเตียงเถอะค่ะ” เธอพยุงเข้าไปในห้องชุด และขณะที่กำลังจะพาเขาไปบนเตียงนั้น อยู่ ๆ หนานกงเฉินก็พลิกตัวแล้วขึ้นคล่อมเธอบนเตียง รอบจูบอันสั่นเครือหล่นบนใบหน้าและซอกคอของเธอ
ไป๋มู่ชิงตะลึงกับเหตุการณ์นี้เป็นอย่างมาก เธอจ้องใบหน้าอันหล่อเหล่าที่อยู่ ๆ ก็เข้ามาใกล้ชิดเธอเช่นนี้ด้วยความอึ้ง เขากำลังทำอะไร ? เขากำลังจูบเธองั้นหรือ ?
“คุณชายเฉิน……คุณชายเฉินคุณทำอะไรของคุณ ?” ไป๋มู่ชิงหัวสมองว่างเปล่า และขัดขืนอย่างแรงด้วยสันชาตญาณ
เธอตื่นตระหนกเกินไป และกลัวเป็นอย่างมาก คิดไม่ถึงว่าคุณชายเฉินที่เป็นสุภาพบุรุษสง่างามจะจูบเธอ ? อีกทั้งยังจูบอย่างร้อนแรงเช่นนี้อีกด้วย !
“คุณชายเฉิน……คุณเมาแล้วนะคะ ! ได้โปรดอย่าทำแบบนี้เลยค่ะ !” เธอใช้แรงทั้งหมดที่มีในการผลักไหล่ของเขาออก
ครั้นหนานกงเฉินยังไงไม่ยอมปล่อยเธอ แถมยังกระตุกสายเสื้อของชุดราตรีของเธอลงอีกด้วย
“อย่านะ……หนานกงเฉิน !” ไป๋มู่ชิงใช้แรงทั้งหมดที่มีผลักร่างที่คล่อมอยู่ด้านบนของเขาออกจากร่างกายตนเอง และลุกขึ้นนั่งบนเตียงด้วยความรวดเร็ว
ครั้นเธอยังไม่ทันได้หนีไป หนานกงเฉินกลับดึงตัวเธอไว้ในอ้อมกอดอย่างแน่น เขากอดเธอจากด้านหลัง พรมจูบบนลำคอของเธอ ในปากพลางพูดขอร้องขึ้นมาด้วยความทรมาน : “มู่ชิง มู่ชิงอย่าไปนะ……อย่าไป……”
คำพูดของเขาทำให้ไป๋มู่ชิงตะลึงงันจนนิ่งไปทันทีราวกับเป็นเวทมนตร์ มู่ชิง……มู่ชิง……ช่างเป็นชื่อที่คุ้นเสียจริง……ช่างเป็นความรู้สึกที่คุ้นเสียจริง……
ครั้นยังไม่ทันรอให้เธอได้สัมผัสกับความรู้สึกอันคุ้นเคยให้ดี ๆ ความเจ็บปวดบนลำคอทำให้เธอร้องโอ๊ยขึ้นมา เธอถูกเขากัดเข้าอย่างจัง……
“เจ็บนะ……” เธอใช้มือผลักเขาออกด้วยสันชาตญาณ และอาจเป็นเพราะความเจ็บปวดทรมานที่อยู่ภายในร่างกาย เมื่อหนานกงเฉินถูกเธอผลักเช่นนั้นจึงลงไปเกลือกกลิ้งอยู่บนพื้น
ในที่สุดไป๋มู่ชิงก็ได้รับอิสระ เธอจัดระเบียบชุดราตรีที่ถูกเขากระชากลงพร้อมทั้งสาวเท้าเดินไปยังประตู มือของเธอวางอยู่บนลูกบิดประตู พร้อมเปิดออกด้วยมืออันสั่นเทา และขณะที่เธอกำลังเปิดประตูได้ครึ่งหนึ่งเพื่อจะหนีออกไปแล้วนั้น อยู่ ๆ ด้านหลังก็มีเสียงร้องครวญครางแห่งความเจ็บปวดดังขึ้นมาเบา ๆ
เสียงร้องครวญครางของเขาเต็มไปด้วยความทุกข์ทรมาน ไป๋มู่ชิงจึงหยุดฝีเท้าของตนเอาไว้ทันที จากนั้นก็หันหน้ามามองเขาที่ตอนนี้กำลังนอนขดตัวอย่างซมซานอยู่บนพื้น
ไป๋มู่ชิงเห็นดังนั้นสมองจึงเกิดความรู้สึกมึนงงขึ้นมา เหตุการณ์เช่นนี้คุ้นเคยจังเลย เจ็บปวดใจจังเลย……
ราวกับเคยผ่านมาก่อนอย่างไรอย่างนั้น !
ทันใดนั้นเธอก็จากไปไม่ลง รีบพุ่งเข้ามาพยุงเขาขึ้นจากพื้น จากนั้นก็โอบร่างกายของเขาเอาไว้พร้อมพูดขึ้นด้วยความร้อนรนใจว่า : “คุณชายเฉิน……คุณเป็นอะไรไปกันแน่ ? ตรงไหนที่ไม่สบายคุณบอกฉันมา……ฉัน……ฉันจะเรียกรถพยาบาลมาเดี๋ยวนี้”
เธออยากวางลำตัวของหนานกงเฉินลง ครั้นก็กลัวว่าเขาจะทำร้ายตัวเอง ภายใต้สถานการณ์น่าสิ่วน่าขวานเธอเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์บนหัวเตียงมา ครั้นเนื่องจากเธอใช้แรงเยอะเกินไป จึงทำให้สายโทรศัพท์นั้นขาดไปทันที
ในเวลานี้ เธอได้ยินเสียงโทรศัพท์ในกระเป๋าเสื้อของหนานกงเฉินดังขึ้นมา เธอจึงรีบคลำหาโทรศัพท์ของเขาออกจากกระเป๋าเสื้อ บนหน้าจอเขียนว่า ‘เหยียนเยว’ เธอจึงรีบรับสายแล้วพูดขึ้นด้วยความตื่นตระหนก : “เลขาเหยียน คุณชายเฉินไม่รู้เป็นอะไรไปคุณรีบโทรเรียกรถพยาบาลเร็วค่ะ”
เลขาเหยียนที่อยู่ปลายสายนั้นนิ่งเงียบไปนานสองหนาน จากนั้นจึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง : “ตอนนี้คุณชายเฉินอยู่ที่ไหน ?”
“อยู่ในห้องเขาค่ะ”
“คุณหนูอี คุณชายเฉินเขาอาการป่วยกำเริบค่ะ คุณออกห่างจากเขาไว้จะดีที่สุด ไม่อย่างนั้นเขาจะทำร้ายคุณได้” เลขาเหยียนพูดจบก็วางสายไปทันที
ไป๋มู่ชิงมองหนานกงเฉินที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวด ถึงแม้ว่าจะดูเหมือนอันตรายอย่างยิ่ง ทว่าเธอไม่สามารถที่จะตัดใจทิ้งเขาไว้ได้เลย เมื่อเห็นเขากำลังกัดฟันตัวเองแน่นเช่นนี้ เธอเป็นห่วงว่าเขาจะกัดลิ้นตัวเอง ดังนั้นเธอจึงวิ่งเข้าไปในห้องน้ำแล้วหยิบผ้าขนหนูออกมาหนึ่งผืนจากนั้นก็ยัดเข้าไปในปากเขา
ไม่นานก็มีคนผลักประตูเปิดเข้ามา คุณหมอจางและเลขาเหยียนเข้ามาตาม ๆ กัน
“รบกวนช่วยผมพยุงคุณชายเฉินขึ้นเตียงด้วยครับ” คุณหมอจางพยุงแขนข้างหนึ่งของหนานกงเฉินเอาไว้ พร้อมหันหน้าไปบอกไป๋มู่ชิง
ไป๋มู่ชิงพยักหน้า พร้อมช่วยคุณหมอจางพยุงหนานกงเฉินขึ้นเตียง
เวลาต่อมาคุณหมอจางรีบหยิบเข็มยากล่อมประสาทจากกล่องยาออกมาแล้วฉีดเข้าไปบนแขนของหนานกงเฉิน ผ่านมาชั่วครู่หนานกงเฉินที่กระสับกระส่ายก็เริ่มยุติการขัดขืนลงเสียที
ไป๋มู่ชิงถอยหลังไปหนึ่งก้าว และไปอยู่ข้าง ๆ เลขาเหยียนพร้อมพูดขึ้นด้วยความฉงนใจ : “คุณชายเฉินเขาเป็นอะไรกันแน่คะ ? ทำไมอยู่ ๆ ถึงเป็นแบบนี้คะ ?”
เลขาเหยียนหันหน้ามาจ้องหน้าเธอ : “คุณชายเฉินเขามีโรคค่ะ ไม่สามารถดื่มเหล้าได้ คุณน่าจะไม่ทราบใช่ไหมคะ ?”
ไป๋มู๋ชิงรู้สึกว่าเธอกำลังโมโหอยู่ จึงพูดขึ้นด้วยความไม่เข้าใจ : “ฉันไม่รู้ค่ะ”
“ก็ถูก ถ้าคุณหนูอีทราบว่าคุณชายเฉินเป็นคนมีโรคประจำตัว น่าจะไม่มาห้องกับเขาหรอก” เลขาเหยียนแค่นหัวเราะด้วยความเสียดสี ยังคงมองเธอตาขวางพร้อมกล่าวว่า : “ดูเหมือนว่าความทะเยอทะยานของคุณหนูอีจะไม่น้อยเลยนะคะ”
ไป๋มู่ชิงไม่เข้าใจที่เธอพูด และไม่เข้าใจด้วยว่าเหตุใดเลขาเหยียนที่สุภาพมาโดยตลอดจะพูดจาด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาเช่นนี้กับตนเอง
“เลขาเหยียนคะ ฉันขอให้คุณพูดมาตรง ๆ เลยได้ไหมคะ ?”
เลขาเหยียนมองหนานกงเฉินที่นอนนิ่งอยู่บนเตียง จากนั้นก็ถอนหายใจออกเบา ๆ : “ช่างเถอะ ไม่มีอะไรหรอก”
“เลขาเหยียนกำลังเข้าใจผิดว่าฉันมีแผนการอะไรกับคุณชายเฉินอยู่หรือเปล่าคะ ? เลขาเหยียนอย่าคิดอย่างนั้นเด็ดขาดนะคะ ฉัน……ฉันเจอคุณชายเฉินที่หน้าห้องน้ำ ฉันเห็นเขาไม่สบายมากเลยพาเขามาส่งที่ห้องนี้ ไม่ได้คิดอย่างอื่นจริง ๆ นะคะ”
“หวังว่าจะเป็นอย่างนั้นนะ” เลขาเหยียนยิ้มแข็ง ๆ ให้เธอ : “ถ้าคุณหนูอีไม่มีธุระแล้วละก็ กลับไปได้เลยนะคะ”
ไป๋มู่ชิงมองหนานกงเฉินที่นอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงจึงถามขึ้นอีกว่า : “คุณชายเฉินเขาเป็นอะไรเหรอคะ ?”
“วันถัดมาเขาถึงจะฟื้น เพราะงั้นคุณไม่ต้องรอหรอกค่ะ” เลขาเหยียนกล่าว
“แล้วเขา……เป็นโรคอะไรกันแน่คะ ?” ไป๋มู่ชิงอดไม่ได้ที่จะต้องถามต่อ
“นี่คือเรื่องส่วนตัวของคุณชายเฉิน” เลขาเหยียนกล่าว
สุดท้ายไป๋มู่ชิงทำได้เพียงพยักหน้า แล้วเดินกลับหลังหันออกไปจากห้องนอนของหนานกงเฉิน
ประธานจางมองเห็นไป๋มู่ชิงกำลังเดินออกจากลิฟต์มา เขาอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง ไม่กล้าเชื่อในสายตาตนเอง
นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ? ทั้งที่เขาจัดการหนานกงเฉินแล้วแท้ ๆ อีกทั้งยังสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่เสียด้วย เขาเห็นพวกเขาสองคนเดินกลับห้องนอนด้วยกันแล้ว เหตุใดจึงกลับมาเร็วเพียงนี้ ? นี่มันไม่ได้เกิดอะไรขึ้นหรือว่าความอึดของหนานกงเฉินมีเพียงเท่านี้ ?
เมื่อเห็นเส้นผมอันยุ่งเหยิงกว่าเมื่อสักครู่เล็กน้อยของไป๋มู่ชิง ไม่คล้ายกับไม่เคยเกิดเรื่องอะไรขึ้นแต่อย่างใด เพียงแค่มันรวดเร็วเกินไปแล้ว ……
เขากระแอมคอ จากนั้นก็สาวเท้ามาด้านหน้าพร้อมมองไป๋มู่ชิงแล้วกล่าวตำหนิติเตียน : “เสี่ยวอี เมื่อกี้คุณไปไหนมา ? ผมนั่งยองยองบนโถส้วมรอคุณเอากระดาษชำระมาให้ตั้งนานสองนาน”
ไป๋มู่ชิงกล่าวขอโทษขึ้น : “ขอโทษด้วยนะคะ เมื่อกี้ฉันมีเรื่องด่วนนิดหน่อยค่ะ”
“เรื่องอะไรทำไมถึงสำคัญแบบนี้ ?”
“ไม่มีอะไรค่ะ” ไป๋มู่ชิงตอบกลับทันควัน
เมื่อประธานจางเห็นรอยเลือดบนซอกคอของเธอจึงอุทานขึ้นมาเสียงเบา : “คอเธอเป็นอะไรไป ? ทำไมถึงมีเลือดไหล ?”
เมื่อสักครู่ไป๋มู่ชิงได้เห็นบาดแผลบนลำคอของตนเองในกระจกภายในลิฟต์แล้ว เธอยกมือขึ้นลูบบาดแผลอันเจ็บปวดของเธอ : “ไม่มีอะไรค่ะ รอยแผลอุบัติเหตุน่ะ”
“ไม่เป็นไรใช่ไหม ? ไปพันแผลหน่อยไหม ?”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ ไม่เจ็บเลยสักนิด” สีหน้าของไป๋มู่ชิงดูไม่ค่อยได้เท่าไร จนถึงตอนนี้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในห้องของหนานกงเฉินนั้นยังคงฉายวนเวียนอยู่ในหัวของเธอราวกับการกลอภาพยนตร์ สะเทือนใจจนทำให้ปวดหัว
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด เมื่อเห็นสีหน้าอันน่าเวทนานั้นของหนานกงเฉิน หัวใจของเธอก็เจ็บปวดขึ้นมาราวกับมีมีดมากรีดอย่างไรอย่างนั้น ราวกับผู้ที่ทุกข์ทรมานกับความเจ็บปวดนั้นไม่ใช่หนานกงเฉินที่เป็นคนนอก แต่เป็นคนรักที่เธอรักและสนิทสนมเป็นอย่างมาก
จนกระทั่งงานเลี้ยงจบลง เธอกลับมาพักผ่อนยังโรงแรม ภายในใจของไป๋มู่ชิงยังคงไม่สงบนิ่งดังเดิม ยังคงนึกถึงช่วงเวลาที่หนานกงเฉินอาการป่วยกำเริบวนเวียนเรื่อยไป
และเธอยังนึกถึงฉากที่หนานกงเฉินจูบเธอ กอดเธอข้อร้องไม่ให้เธอไป มู่ชิงที่เขาร้องเรียกออกมา……ก็คือคนรักที่เขาบอกว่าตายจากไปแล้วผู้นั้นหรือ ?
คิดไม่ถึงว่าคุณชายเฉินที่สูงส่งเช่นนี้ ก็มีด้านที่อ่อนแอและมีด้านที่ทำให้ผู้อื่นสงสารเช่นนี้อยู่ด้วย
เธอหลับตาลง บังคับไม่ให้ตนเองไปคิดถึงเรื่องนั้นอีก อย่าเป็นห่วงและโศกเศร้ากับชายอื่นเช่นนี้ เพราะว่า……เขามีภรรยา มีคนรักอยู่แล้ว
ครั้งนี้หนานกงเฉินไม่ได้ฟื้นขึ้นมายามเช้าตรู่ ครั้นหลับยาวไปจนถึงช่วงเที่ยงของวันถัดมา
เมื่อเห็นเขาฟื้นขึ้นมาแล้ว คุณหมอจางจึงถอนหายใจอย่างโล่งอกแรง ๆ พร้อมพูดขึ้น : “คุณชายเฉิน ถ้าคุณไม่ฟื้นมาสักทีผมจะเรียกรถพยาบาลแล้วนะ”
หนานกงเฉินได้ยินที่เขาพูดทุกประการ เพียงแค่ความคิดของเขายังคงหยุดนิ่งอยู่ภายในห้วงความฝันเมื่อสักครู่นี้ของตนอยู่ เขาฝันว่าไป๋มู่ชิงกลับมาแล้ว เธอกลับมาอยู่ข้างกายเขาอีกครั้งแล้ว และดูแลอยู่ข้างกายเขาอย่างเช่นเมื่อครั้งอดีต ไล่อย่างไรก็ไล่ไม่ไป
“เธอล่ะ ?” เขาถามขึ้นเสียงเบา
คุณหมอจางและเลขาเหยียนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ สบตากันหนึ่งครั้ง จากนั้นเลขาเหยียนก็พูดถามว่า : “คุณชายเฉินหมายถึงคุณหนูอีเหรอคะ ?”
“คุณหนูอีเหรอ ?” หนานกงเฉินนึกย้อนความทรงจำเมื่อคืนนี้ จากนั้นก็ยิ้มขึ้นด้วยความขมขื่น : “ถูกต้อง คุณหนูอีนั่นแหละเมื่อคืนนี้เธอส่งฉันกลับห้อง”
“ฉันไล่เธอกลับไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้วค่ะ สำหรับว่าจะจัดการยังไงคุณชายเฉินตัดสินใจเองเถอะค่ะ”
“เธอสบายดีไหม ?”
“คุณชายเฉินเป็นห่วงเธอเหรอคะ ?” เลขาเหยียนอึ้งไป พลางมองหน้าเขา : “เมื่อคืนนี้อยู่ ๆ คุณชายเฉินก็อาการกำเริบ ก็เป็นเพราะถูกเธอวางยายังไงล่ะคะ คุณชายเฉินคุณเองก็ไม่รู้เหรอคะ ?”
“ใช่แล้วครับคุณชายเฉิน เหตุผลหลักที่คุณอาการกำเริบเมื่อคืนนี้คือคุณผู้หญิงคนนั้นวางยาคุณครับ” คุณหมอจางกล่าว
หนานกงเฉินสูดหายใจเข้าเบา ๆ พร้อมพูดขึ้นว่า : “ฉันชื่อว่าเธอไม่รู้เรื่อง”
“คุณชายเฉินคิดอย่างนั้นเหรอคะ ?” เลขาเหยียนถาม
“อืม เป็นเรื่องจริงหรือปลอมฉันสัมผัสเองได้” หนานกงเฉินนึกย้อนเหตุการณ์ที่เธอส่งเขากลับห้องนอนเมื่อคืนนี้ ท่าทางเธอไม่เหมือนกับคนที่รู้เรื่องแต่อย่างใด และไม่มีเจตนาที่จะยั่วยวนเขาเลย อีกทั้งเขาจำได้ว่าตนเองไปจูบเธอและกัดเธอ ครั้นสุดท้ายเธอไม่เพียงแต่ไม่ตกใจตื่นจนหนีไป ครั้นกลับมาอยู่ข้างเขาแล้วกอดเขาเอาไว้แน่น
ปฏิกิริยาที่เป็นธรรมชาติเช่นนี้ ไม่ใช่ใครหน้าไหนก็แสร้งทำมันออกมาได้ และไม่ใช่ว่าทุกคนจะทำมันได้เช่นกัน
เลขาเหยียนเงียบไปชั่วครู่ จากนั้นก็พยักหน้าพร้อมพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ใจเย็น : “แต่ว่าคุณหมอจางก็บอกแล้วว่าโชคดีที่เมื่อวานนี้มีเธอคอยช่วยเหลือคุณไว้ และใช้ผ้าขนหนูยัดปากของคุณเอาไว้ด้วย ไม่อย่างนั้นอันตรายมากจริง ๆ ค่ะ”
“สรุปแล้วคนที่สำเร็จก็คือเธอ คนที่ล้มเหลวก็คือเธอ” เลขาเหยียนมีความรู้สึกหวาดผวาเล็กน้อย : “คุณชายเฉินคะ เราไม่ต้องเล่นแล้วได้ไหมคะ ? ใจคนเรายากแท้หยั่งถึง มันอันตรายเกินไปนะคะ”
“ฉันคิดไม่ถึงว่าเขาจะกล้าวางยาฉันแบบนี้” หนานกงเฉินพูดพร้อมความโกรธเคือง
เขาคิดถึงว่าประธานจางอาจมอมให้เขาเมา ครั้นคิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะวางยาตน แถมยังประเคนคุณหนูอีมาหาเขาอีกด้วยเช่นนี้
“ผลลัพธ์ของยาชนิดนี้ค่อนข้างปกปิด คนธรรมดาจะไม่สังเกตเห็นครับ” คุณหมอจางกล่าว : “ถ้าคุณชายใหญ่ไม่มีโรคอยู่แล้ว ผมคาดว่าคงไม่รู้ว่าตัวเองถูกวางยาหรอกครับ”
“ประธานจางคนนี้นี่ ทำเลยเถิดขึ้นเรื่อย ๆ จริง ๆ ” เลขาเหยียนกล่าวด้วยความโมโห จากนั้นก็ถามหนานกงเฉินขึ้นว่า : “คุณชายเฉิน คุณจะจัดการยังไงดีคะ”
“เอาไว้ก่อน”
“อะไรนะคะ ?”
หนานกงเฉินจ้องตาเธอ จากนั้นก็ยิ้มขึ้นจาง ๆ : “ฉันยังรู้สึกว่าเกมนี้มันสนุกดีอยู่”
“คุณชายเฉินคะ คุณยังจะเล่นอะไรอีกคะ ?” เลขาเหยียนเอือมละอา
หนานกงเฉินยิ้มแต่ไม่พูดไม่จา
รอยยิ้มของเขาแลดูขมขื่น เขาไม่ใช่ว่าอยากเล่นเกมนี้แต่อย่างใด ครั้นอยู่ ๆ เขาก็รู้สึกสนใจคุณหนูจูผู้นั้นขึ้นมาทันที แม้เมื่อวานนี้เขาจะมีอาการกำเริบ ครั้นยังคงจำฉากเหล่านั้นได้เลือนลาง พฤติกรรมการแสดงออกที่ผู้หญิงคนนั้นดูแลเขาช่างคุ้นเคยยิ่ง เมื่อนึกย้อนดูดี ๆ แล้ว ในร่างของผู้หญิงคนนั้นมีเงาร่างของไป๋มู่ชิงซ่อนอยู่ด้วยจริง ๆ
ความรู้สึกที่คุ้นเคยเช่นนี้เสียดสีในจิตใจของเขา ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะอยากทำความเข้าใจเกี่ยวกับตัวเธอ สืบสาวเรื่องเธอ
ครั้นหากอยากเข้าใจเธอ จะขาด ‘ความช่วยเหลือ’ จากประธานจางไปได้อย่างไร ?
“รู้ไหมว่าพวกเขาบินกี่โมง ?” อยู่ ๆ เขาก็ถามขึ้นมา
“เรื่องนี้……ฉันต้องไปสืบดูก่อนค่ะ” เลขาเหยียนพูดจบก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาต่อสายทันที