เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด – บทที่ 200 สามีของคุณคือใคร

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

“เดี๋ยวก่อน! ” จูจูก้าวไปข้างหน้าอย่างช้าๆ มายืนอยู่ตรงหน้าเฉียวเฟิงอีกครั้ง “หรือว่าคุณไม่อยากรู้ว่าภรรยาของตัวเองอยู่ข้างนอกทำอะไรบ้าง หรือที่แท้คุณเองก็รู้เห็นเป็นใจกับเธอ เพื่อที่จะได้ทรัพย์สมบัติของสามีฉัน? ”

“ถ้าคุณยังพูดจาไร้สาระอีก ผมจะให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยโยนคุณออกไป! ” ลุงหลิวพูดด้วยความโกรธเคือง

เฉียวเฟิงจับมือลุงหลิวพลางมองไปที่ผู้หญิงตรงหน้าแล้วถามว่า “สามีของคุณคือใคร”

“เฮ้ คุณไม่ได้อ่านนิตยสารบ้างหรือไง ฉันคือจูจู ภรรยาของหนานกงเฉิน! ” จูจูกล่าวพลางตบบนอกของตัวเอง “เคยได้ยินไหม ฉันเป็นภรรยาของหนานกงเฉิน แต่ตอนนี้ภรรยาของคุณกำลังแอบคบชู้กับสามีของฉัน เธออยากจะแย่งทุกสิ่งทุกอย่างไปจากฉัน!”

ใบหน้าของเฉียวเฟิงเริ่มบูดเบี้ยว

หนานกงเฉิน คือหนานกงเฉินงั้นเหรอ …!

ลุงหลิวรีบกล่าวว่า “คุณชายรอง คุณผู้หญิงไม่ใช่คนแบบนั้น คุณอย่าไปฟังสิ่งที่ผู้หญิงคนนี้พูดเป็นอันขาดนะครับ”

“เธอไม่ใช่คนแบบนี้ คุณรู้จักเธอจริงๆ แล้วเหรอ? ” จูจูพูดอย่างตื่นเต้นเล็กน้อยหลังจากเฉียวเฟิงเหลือบมองไปรอบ ๆ เขาก็พูดกับลุงหลิวว่า “พาเธอไปที่ห้องทำงาน”

หลังจากพูดเสร็จเขาก็ขยับรถเข็นไปที่ร้านอาหาร

อาจจะเป็นเพราะตกใจและสะเทือนใจมากเกินไป จนทำให้มือทั้งสองข้างของเฉียวเฟิงที่กำลังบังคับรถเข็นอยู่นั้นสั่นสะท้าน เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเห็นดังนั้นจึงรีบวิ่งเข้าไปช่วยเขาเข็นรถ

แต่เฉียวเฟิงไม่ได้ขอบคุณเขาแต่อย่างใด กลับตะคอกใส่เขาเสียงดัง “อย่ามายุ่ง! ”

เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหดมือด้วยความตกใจและเขาก็ไม่สนใจอีกต่อไป

เมื่อเฉียวเฟิงกลับไปที่ห้องทำงาน จูจูที่นั่งรออยู่ด้านในมองเขาด้วยสายตาที่เย้ยหยัน “ถึงว่าทั้งๆที่หนานกงเฉินรู้อยู่แล้วว่าภรรยาของคุณมีครอบครัวแล้ว แต่เขาก็ไม่สนใจ ที่แท้ก็ไม่ได้มีคุณอยู่ในสายตานี่เอง”

เฉียวเฟิงต่อต้านความโกรธในใจของเขากัดฟันและถามว่า “คุณบอกว่าภรรยาของผมอยู่กับสามีของคุณ มันเกิดขึ้นเมื่อไหร่? ”

“ฉันจะรู้ได้ยังไงเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ ฉันรู้แค่ว่าพวกเขาจูบกันที่ริมแม่น้ำ”

“คุณเห็นงั้นเหรอ? ”

“ใช่ ฉันเห็น ฉันเดินตามพวกเขาไปตลอดทางตั้งแต่ชั้นล่างจนถึงริมแม่น้ำของบริษัทภรรยาของคุณ เห็นอย่างชัดเจน”

เฉียวเฟิงสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขาจำสถานการณ์เมื่อตอนหนานกงเฉินจอดรถที่ประตูโรงเรียนอนุบาลในวันนั้นและความผิดปกติของไป๋มู่ชิงหลังจากกลับบ้านเมื่อคืน

จูจูเหลือบมองไปรอบ ๆ ที่ห้องทำงานที่กว้างใหญ่พลางเยาะเย้ย “คุณเฉียว ฉันคิดว่าที่ผู้หญิงคนนั้นยอมแต่งงานกับคนพิการอย่างคุณก็เพราะต้องการเงินล่ะสิ ตอนนี้ยั่วยวนหนานกงเฉินได้สำเร็จ และหนานกงเฉินเองก็ดูจะชอบเธอไม่น้อย ฉันเดาว่าอีกไม่กี่วันก็คงหย่ากับคุณแล้วล่ะ หึๆ … ไม่รู้ว่าพวกผู้ชายชอบผู้หญิงจิตใจโลเลแบบนี้ที่ตรงไหน … ”

“กรี๊ด! ” จูจูกรีดร้องอย่างกะทันหันหลบเขี่ยบุหรี่ที่กำลังลอยมาหาเธอ

เฉียวเฟิงคว้าแฟ้มเอกสารบนโต๊ะขว้างใส่เธออีกโดยไม่รีรอ”ไสหัวออกไปจากที่นี่ซะ! ”

ใบหน้าของจูจูซีดเซียว เธอรีบซ่อนตัวอยู่หลังโต๊ะและมองเขาด้วยความตื่นตระหนก ถึงแม้ว่าเขาจะทำลายข้าวของทุกอย่างรอบๆ ตัว แต่เธอก็รู้สึกสงบขึ้นเล็กน้อยเมื่อคิดขึ้นได้ว่าคนพิการอย่างเขาคงทำอะไรเธอไม่ได้มาก

เธอหัวเราะเยาะเย้ย “ดูเหมือนว่าคุณจะมีความอดทนมากนะ มิน่าล่ะคุณหนูอีถึงไม่เห็นคุณอยู่ในสายตา ยังไงฉันก็อยากจะเตือนคุณไว้สักอย่างนะ หากคุณยังไม่คิดหาวิธีหยุดมันละก็ไม่ช้าก็เร็วเธอจะขอหย่ากับคุณในสักวันแน่นอน …! ”

“ออกไป! ” เฉียวเฟิงคว้าสิ่งของชิ้นสุดท้ายบนโต๊ะและขว้างมันออกไป

จูจูหลบแล้วพูดว่า “ไม่ต้องห่วง ฉันจะออกไปเดี๋ยวนี้”

“ทำคุณบูชาโทษโปรดสัตว์ได้บาปแท้ๆ” เธอตะคอกอย่างเย็นชาพลางหันหลังเดินออกจากห้องทำงาน

ในห้องเงียบสงัดลงทันใด เฉียวเฟิงนั่งอยู่ในห้องทำงานที่เละเทะอยู่คนเดียว พลางกำล้อรถเข็นแน่นจนเสื้อเลือดบนมือปรากฏขึ้น

เป็นเวลานานแล้วที่เขาสูญเสียการควบคุม ความโกรธเขาไม่ได้เป็นแบบนี้ตั้งแต่เขามีไป๋มู่ชิงและเสียวหว่านชิง แต่วันนี้เมื่อเขารู้ว่าไป๋มู่ชิงนอกใจ และอีกฝ่ายคือหนานกงเฉิน ในที่สุดความอดทนของเขาก็พังทลายลง

เขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าฝ่ามือของเขาได้รับบาดเจ็บ

หลังจากนั่งอยู่สักพักโทรศัพท์มือถือของเขาก็ดังขึ้นซึ่งเป็นเสียงเรียกเข้าพิเศษของไป๋มู่ชิง

เขาหายใจเข้าลึก ๆ เอาโทรศัพท์แนบหูแล้วพูดเบา ๆ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความสดใสของไป๋มู่ชิงดังมาจากอีกด้านหนึ่งของโทรศัพท์ “ที่รัก คุณถึงร้านอาหารหรือยังคะ? ”

“ถึงแล้ว มีอะไรเหรอ?” น้ำเสียงของเขาสงบ

“ไม่มีอะไรค่ะ ฉันแค่เป็นห่วง”

เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งและถามว่า “ตอนบ่ายต้องทำโอทีหรือเปล่า? ”

“น่าจะไม่ต้องค่ะ” ไป่มู่ชิงกล่าว “ต่อให้ต้องทำ ฉันก็จะไม่ทำค่ะ”

“งั้นผมจะไปรับคุณหลังเลิกงาน”

“ค่ะ”

“ไม่มีอะไรแล้ว ผมขอวางสายก่อนนะ”

“บ๊ายบายค่ะที่รัก” ไป๋มู่ชิงวางสายหลังจากพูด

ปกติในเวลานี้เธอจะโทรหาเฉียวเฟิงเพื่อถามว่าเขาอยู่ที่ร้านอาหารหรือไม่ ทุกครั้งเฉียวเฟิงจะพูดคุยกับเธออย่างสนิทสนม แต่วันนี้ … แม้ว่าคำพูดของเขาจะไม่มีอะไรผิดปกติ แต่อารมณ์ของเขานั้นผิดปกติอย่างเห็นได้ชัด

ไป๋มู่ชิงถือโทรศัพท์มือถืออย่างสงสัยสักครู่ เพราะคิดว่าเฉียวเฟิงอาจกำลังมีปัญหาในการทำงาน

หลังจากเลิกงานตอนเที่ยงไป๋มู่ชิงตัดสินใจไปที่ร้านอาหารซิงหยวนเพื่อดูเฉียวเฟิง

เมื่อเธอมาถึงเฉียวเฟิงกำลังมองไปที่อาหารกลางวัน เมื่อเห็นเธอใบหน้าของเขาก็รู้สึกประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด

ไป๋มู่ชิงเดินไปด้านข้างด้วยรอยยิ้มและโอบแขนของเขาไว้ “ทำไมคะ ฉันไม่ได้มาครั้งแรกซะหน่อย”

“ทำไมถึงว่างมาล่ะ?” เฉียวเฟิงมองเธอด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนเช่นเคย

” มากินข้าวน่ะสิ ”

“งั้นผมจะให้เชฟทำอาหารเพิ่มให้ เธออยากกินอะไร”

“ข้าวผัดก็ได้ค่ะ”

เฉียวเฟิงเรียกพนักงานเสิร์ฟและสั่งข้าวผัดให้เธอ

ระหว่างรออาหารไป๋มู่ชิงเหลือบมองอาหารกลางวันตรงหน้าเขาที่เย็นหมดแล้ว จึงถามด้วยความกังวล “เป็นอะไร? ตอนเช้าที่ฉันโทรหาคุณ ดูเหมือนว่าคุณจะอารมณ์ไม่ดีเลยนะคะ แล้วนี่ก็ไม่ยอมกินอาหารอีก เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าคะ?”

เฉียวเฟิงเงียบไม่ตอบอะไร

สีหน้าของไป๋มู่ชิงเริ่มเคร่งขึมขึ้น ดูเหมือนว่าจะเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ

“เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าคะ งานมีปัญหาเหรอคะ? ” เธอมองเขาอีกครั้งและเมื่อเธอมองฝ่ามือที่ห่อด้วยผ้าก๊อซเธอก็กระซิบอย่างทุกข์ใจ “มือของคุณไปโดนอะไรมา? ”

เธอจับฝ่ามือของเขา “ทำไมคุณถึงมือเป็นแผลล่ะ เจ็บมากไหม?”

เฉียวเฟิงมองเธอด้วยสีหน้ากังวล ทำไมเขาถึงไม่เชื่อว่าเธอแอบนอกใจเขาควรจะเชื่อผู้หญิงคนนั้นหรือไม่?

ถ้าเธอไม่ได้อยู่กับหนานกงเฉินจู่ๆ จะมีคนมาหาเธอได้อย่างไร?

เขาสูดลมหายใจและมองเธออย่างจริงจัง “หลิน พวกเรากลับไปอยู่ต่างประเทศกันไหม? ”

ไป๋มู่ชิงตัวแข็งสักครู่แล้วพูดว่า “ทำไมล่ะ? ”

“คุณแค่ตอบมาได้หรือเปล่า?”

ไป๋มู่ชิงจ้องมองเขาด้วยความประหลาดใจจากนั้นก็พูดว่า “ที่รัก กลับไปน่ะได้ แต่คุณช่วยบอกเหตุผลดีๆ กับฉันมาสักข้อได้ไหมคะ? ”

“งั้นบอกก่อนนะว่าอะไรคือเหตุผลที่คุณไม่อยากออกจากที่นี่”

“เพราะว่า … ฉันก็ชอบคนที่นี่นะ หว่านชิงเองก็ชอบ อีกอย่างหว่านชิงก็เพิ่งปรับตัวเข้ากับโรงเรียนใหม่นี้ได้” ไป๋มู่ชิงหยุดและพูดว่า “แล้วคุณเองก็มีเรื่องที่ต้องทำที่นี่ ไม่ต้องนั่งอยู่บ้านเบื่อๆ ทุกวันไม่ใช่เหรอคะ?”

“นอกจากนั้นล่ะ?”

“นอกจากนั้น … ” ไป๋มู่ชิงคิดสักพักแล้วส่ายหัว “ดูเหมือนจะไม่มีแล้วนะ”

ไป๋มู่ชิงเห็นเขาเงียบไปจึงถามอย่างระมัดระวัง “ที่รัก คุณบอกฉันได้ไหมว่าทำไมถึงอยากไปต่างประเทศ? ”

“เพราะผมไม่อยากเสียคุณไป” เฉียวเฟิงเน้นประโยคดังกล่าว

“อะไรนะ? ”

“เมื่อเช้านี้ผมได้ยินข่าวลือว่าคุณกับหนานกงเฉินสนิทกันมาก” เฉียวเฟิงพูดตรงๆ

เดิมทีเขาไม่อยากถามเธอจริงๆ แต่จะให้เขาส่งคนแอบติดตามสืบเรื่องของเธอ ถ้าหากเรื่องนั้นเป็นเรื่องจริง เขาจะต้องรู้สึกแย่อย่างแน่นอน แต่ถ้าหากพูดแบบนี้เธออาจจะปฏิเสธก็ได้

ถูกต้อง เขาอยากจะฟังคำปฏิเสธของเธอมากกว่าที่จะรู้ความจริงบางอย่างที่เขาไม่อยากเห็น

ไป๋มู่ชิงตะลึงเมื่อเธอได้ยินสิ่งที่เขาพูด เธอไม่เคยคาดหวังว่าเฉียวเฟิงจะได้ยินข่าวประเภทนี้

“ใคร … บอกคุณ?” เธออ้าปากและพูดด้วยความตะลึง

“ใครบอกเรื่องสำคัญเหรอ?”

“ไม่ … ” ไป๋มู่ชิงรีบส่ายหัวจับมือเขาอย่างกังวล “เฟิง ฟังฉันนะ หนานกงเฉินกับฉันไม่ได้เป็นอย่างที่คุณคิด จริงๆ แล้วพวกเรา … ”

“คุณรู้จักเขาตั้งแต่เมื่อไหร่?” เฉียวเฟิงถามอย่างระงับความเศร้าในใจ

“ตอนที่ท่านประธานจางได้รับใบคำสั่งซื้อ หนานกงเฉินเป็นเจ้านายของบริษัทนั้นพอดี แล้วพวกเราก็รู้จักกันค่ะ … ”

“คุณว่าอะไรนะ? ใบคำสั่งซื้อนั้นเป็นของบริษัทหนานกงกรุ๊ปงั้นเหรอ? ทำไมคุณถึงไม่บอกผม? ”

“คุณไม่ได้ถามฉันนี่คะ” ไป๋มู่ชิงพูดอย่างไร้เดียงสา “ฉันเคยถามคุณว่าทำไมคุณไม่ถามฉันว่าอีกฝ่ายเป็นบริษัทอะไร แต่คุณไม่สนใจที่จะรู้ อย่างไรก็ตาม ที่รักคะ คุณเชื่อฉัน ฉันไม่ได้คิดอะไรเกินเลยกับหนานกงเฉิน มีแต่เขาที่เอาแต่พูดว่าฉันเหมือนกับภรรยาเก่า จากนั้น … ”

“เขาบอกว่าคุณคล้ายกับอดีตภรรยาของเขามากงั้นเหรอ?” เฉียวเฟิงรู้สึกหนาวอีกครั้ง

“ใช่” ไป๋มู่ชิงพูดอย่างรีบร้อน “เมื่อคืนเขาเมาและวิ่งลงไปชั้นล่างและบอกว่าเป็นวันครบรอบวันเสียชีวิตของลูกชายเขา อยากให้ฉันไปเป็นเพื่อนเขาสักหน่อย ฉันจึงไปที่ริมแม่น้ำกับเขา”

เฉียวเฟิงที่ได้รับข่าวเรื่องเธอกับหนานกงเฉิน จะต้องเป็นเรื่องเกี่ยวกับเมื่อคืนแน่นอน ไป๋มู่ชิงคิดในใจ จึงรีบชิงสารภาพไปก่อน

“เป็นแบบนี้จริงๆ เหรอ?”

“ใช่” ไป๋มู่ชิงเกี่ยวก้อยสัญญากับเขา”เฟิง วันนี้ฉันบอกกับประธานจางปแล้วว่าไม่ต้องรับใบคำสั้งซื้อจากบริษัทหนานกงกรุ๊ปอีกแล้ว ต่อไปฉันจะไม่ไปเจอเขาอีก ฉันสัญญาว่าจะไม่รักเขา และจะไม่ทิ้งคุณไปไหน ”

เฉียวเฟิงตอบด้วยความสับสนและจิตใจของเขาก็เต็มไปด้วยสิ่งที่เธอเพิ่งพูด หนานกงเฉินรู้สึกว่าเธอคล้ายกับอดีตภรรยาของเขามาก!

หนานกงเฉินรักอดีตภรรยาของเขามาก ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้เขาจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อเข้าหาเธอและตกหลุมรักเธอ

เขาหลับตาลงและสิ่งที่เขากังวลมากที่สุดก็เริ่มปรากฏขึ้น ตอนนั้นเขาไม่น่าใจอ่อนพาเธอกลับมาที่นี่เลย

ตอนที่เธออยู่ต่างประเทศ ไป๋มู่ชิงไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขมากนัก เพราะเธอไม่ชอบชีวิตในต่างประเทศ ต่อมาเมื่อเขาถามเธอว่าอยากกลับไปที่ประเทศจีน ใบหน้าของเธอก็แสดงความดีใจทันที ในขณะนั้นเขาตัดสินใจพาสองแม่ลูกกลับไปใช้ชีวิตที่ประเทศจีน

ตอนนี้ดูเหมือนว่าการตัดสินใจครั้งนี้จะผิดพลาด

“ที่รัก โปรดเชื่อใจฉันเถอะค่ะ” เธอเขย่าแขนของเขาดวงตาของเธอเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด

เฉียวเฟิงมองไปที่เธอและพูดประโยคที่ขมขื่น “ผมเชื่อคุณ แต่ผมไม่เชื่อเขา”

เขายังคงเชื่อในตัวของไป๋มู่ชิง แต่เขาไม่สามารถเชื่อในหนานกงเฉินได้ เฉียวเฟิงพูดถูกถ้าหนานกงเฉินรู้ว่าไป๋มู่ชิงกับเสียวหว่านชิงเป็นภรรยาและลูกสาวของเขา เขาจะพาพวกเธอกลับไป เขากังวลว่าวันหนึ่งหนานกงเฉินจะจำไป๋มู่ชิงได้ จากนั้นจะพาพวกเธอกลับไป

ไป๋มู่ชิงครุ่นคิดสักพักและพูดว่า “ถ้าคุณเป็นห่วงจริงๆ ฉันจะไปต่างประเทศกับคุณ เราจะอยู่ห่างจากเขาโอเคไหม? ”

“คุณเต็มใจจริงๆ เหรอ?”

ไป๋มู่ชิงพยักหน้า “ฉันเต็มใจ ตราบใดที่คุณมีความสุข ฉันเต็มใจทำทุกอย่างที่คุณต้องการ”

เฉียวเฟิงมองไปที่เธอด้วยท่าทางจริงจัง หลังจากที่รู้สึกเหน็บหนาวมาตลอดเช้าในที่สุดหัวใจของเขาก็อุ่นขึ้นเล็กน้อย แต่เขารู้ดีว่าหนานกงเฉินจะไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เพียงแค่คิดว่าสักวันเขาจะจำไป๋มู่ชิงได้ ในใจของเขาก็รู้สึกไม่สบายใจ

ไป่มู่ชิงเห็นว่าการแสดงออกบนใบหน้าของเขายังคงหนักอึ้งจึงพูดอย่างระมัดระวัง “ฉันพูดไปหมดแล้ว ที่รักยังไม่ยกโทษให้ฉันอีกเหรอคะ?”

“ผมไม่ยกโทษให้คุณ” เฉียวเฟิงสูดหายใจ “ผมแค่กังวลว่าเขาจะมายุ่งกับคุณอีก”

“คุณสบายใจได้เลยค่ะ ตราบใดที่ฉันชอบเขา ต่อให้เขาตื๊อฉัน ยังไงก็ไม่มีประโยชน์”

เฉียวเฟิงยิ้มอย่างขมขื่น เขาไม่อยากจะคิดเลยว่าหากวันหนึ่งไป๋มู่ชิงรู้ความจริง ยังจะพูดแบบนี้อีกหรือไม่ คงจะไม่แน่นอน!

หนานกงเฉินมาถึงบริษัทในตอนบ่าย เลขาเหยียนมองใบหน้าที่ทรุดโทรมดกว่าปกติของเขาจึงถามด้วยความกังวล “คุณชายเฉิน เมื่อคืนดื่มอีกแล้วเหรอคะ? ”

เมื่อคืนนี้เป็นวันครบรอบการเสียชีวิตของลูกชายของคุณชายเฉิน และแน่นอนว่าเธอรู้

หนานกงเฉินพยักหน้า “ดื่มไปนิดหน่อย แล้วก็ได้ทำในสิ่งที่อยากทำมาตลอด”

“เรื่องอะไรเหรอคะ? ”

“ไม่ใช่เรื่องดีหรอก” หนานกงเฉินยิ้มอย่างขมขื่น แม้ว่าเขาจะทำเช่นนั้น แต่เขาก็ทำให้ผู้หญิงคนนั้นตกใจกลัว

อันที่จริงเมื่อคืนเขาไม่ได้เมา เพียงแค่นึกถึงฉากตอนที่เขาจูบเธอคืนนั้นที่เมืองเยว่ ตอนนั้นเขาไม่ได้สังเกตอะไรเลยและตอนนี้ก็นึกขึ้นได้อีกครั้งและค่อยๆ จำมันได้

เขาจำได้ว่าลมหายใจของเธอคุ้นเคยมากและความรู้สึกนี้ค่อยๆ กระตุ้นความปรารถนาของเขาที่จะสำรวจต่อไป ดังนั้นเมื่อคืนนี้เขาจึงคลายข้อสงสัยด้วยการดื่มแอลกอฮอล์

ใช่แล้ว ลมหายใจของเธอคุ้นเคยมาก เพียงแต่ชัดเจนแล้วจะมีประโยชน์อะไร นอกจากรู้สึกกับเธออย่างลึกซื้งมากกว่าเดิมแล้วจะมีอะไรอีก?

เขาจะเป็นผู้ชายเลว ๆ ที่แย่งภรรยาของคนอื่นเพื่อเก็บความรู้สึกนี้ไว้จริงๆ เหรอ? เขาไม่เคยคิดจะทำเรื่องแบบนี้ นับประสาอะไรกับมัน! และแม้ว่าเขาจะทำเช่นนั้น คุณหนูอีอาจจะไม่สนใจเขาไม่ใช่เหรอ?

เขาคิดอยู่พักหนึ่งและในที่สุดก็ส่งข้อความไปหาไป๋มู่ชิง ‘ขอโทษที เมื่อคืนฉันดื่มมากเกินไปและพูดเรื่องไร้สาระ’

หลังจากรอเธอตอบข้อความอยู่นาน ในใจเขารู้สึกอึดอัดเป็นอย่างยิ่งและความรู้สึกผิดที่มีต่อเธอก็เริ่มจางหายไปอีกครั้ง

ในตอนเย็น หนานกงเฉินมาที่ร้านอาหารซิงหยวน เมื่อเห็นเฉียวซือเหิงจึงพูดว่า “ฉันขอบอกก่อนนะว่าฉันไม่ดื่มเหล้า”

เฉียวซือเหิงยิ้ม “ฉันไม่ได้บอกว่าจะชวนคุณไปดื่ม แต่ฉันแค่ชวนคุณไปทานอาหาร”

“อยู่คนเดียวเหงาจนกินอาหารไม่ลงเลยหรือไง?”

“ไม่ใช่เหรอ? ” เฉียวซือเหิงเงยหน้าขึ้นมองเขา “อีกอย่างนานแล้วที่ฉันมากินข้าวที่นี่”

หนานกงเฉินเหลือบมองไปรอบ ๆ และถามด้วยรอยยิ้ม “เฉียวเฟิงไม่ได้ต่างประเทศไม่ใช่เหรอ คุณช่วยเขาจัดการนี่นา? ”

“เขากลับมาแล้ว”

“หือ? ตั้งแต่เมื่อไหร่?”

“ในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมา ทั้งครอบครัวกลับมาอยู่ด้วยกัน แต่จะไปต่างประเทศในเดือนหน้า” เฉียวซือเหิงกล่าว

“ทั้งครอบครัว? ” หนานกงเฉินหยุดดื่มน้ำในมือและถามด้วยความประหลาดใจ “เขาแต่งงานแล้วเหรอ? ”

เฉียวซือเหิงก็มองมาที่เขาด้วยใบหน้าที่ไม่พูดอะไร “ฉันยังไม่ได้บอกคุณเหรอ เขาแต่งงานเมื่อห้าปีที่แล้วและลูกสาวของเขาอายุมากกว่าสามปีแล้ว”

“คุณไม่เคยบอกฉันเลย” หนานกงเฉินจ้องมองเขาใบหน้าของเขาไม่ดีมาก นึกถึงเรื่องเมื่อปีนั้น เขายังหึงไป๋มู่ชิงเพราะเฉียงเฟิง กลัวว่าเธอจะมีอะไรกับเขา

“อย่างนั้นเหรอ ฉันโทษ ฉัน … ” เฉียวซือเหิงยกแก้วไวน์แดงขึ้น “มา ดื่มเพื่อขโทษ”

หนานกงเฉินหยิบน้ำผลไม้ขึ้นมาแล้วชนแก้วกับเขา จากนั้นเงยหน้าขึ้นจิบ

เฉียวซือเหิงมองไปที่เขาและถามด้วยรอยยิ้ม “แล้วคุณล่ะ กับจูจูเป็นยังไงบ้าง? ”

“ก็โอเค” เห็นได้ชัดว่าหนานกงเฉินไม่ต้องการพูดถึงบุคคลนี้สักเท่าไหร่

เลขาเหยียนที่ทำรายงานประจำวันเสร็จกำลังจะออกไป หนานกงเฉินจึงถามเธอว่า”ดูเหมือนว่าช่วงนี้คุณหนูอีจะไม่มาที่นี่เลย”

เลขาเหยียนหยุดหันกลับมามองเขาและพูดว่า “อ้อ ฉันลืมบอกไปค่ะว่าคุณหนูอีเพิ่งยื่นใบลาออกให้ท่านประธานจาง ต่อไปก็คงจะไม่ดูแลเรื่องนี้อีกแล้วค่ะ”

“เธอจะลาออกงั้นเหรอ ทำไมล่ะ? ” หนานกงเฉินถามด้วยความประหลาดใจ สิ่งแรกที่เขาคิดคือความผิดต่อเธอในคืนนั้น ที่เธอลาออกเป็นเพราะเขางั้นเหรอ? ถ้าเป็นเช่นนี้เขาจะไม่เป็นคนบาปของเธอเหรอ?

“ดูเหมือนว่าเธอตั้งใจจะไปต่างประเทศ”

“เธอจะไปต่างประเทศเหรอ?” หัวใจของหนานกงเฉินว่างเปล่า

เธอจะไปงั้นเหรอ? จะไปจากเมืองซีงั้นเหรอ? เมื่อได้ยินข่าวแค่คิดว่าเขาอาจจะไม่ได้เจอเธออีกแล้ว หัวใจของเขาก็ว่างเปล่า

“ฉันได้ยินท่านประธานจางพูดแบบนั้นค่ะ” เลขาเหยียนยิ้ม “นี่อาจเป็นเพียงข้ออ้างที่เธอจะปฏิเสธท่านประธานจางหรือเปล่าคะ? ”

หนานกงเฉินคิดอยู่พักหนึ่งว่ามันอาจจะเป็นไปได้อย่างแน่นอน

เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้หนังและเดินไปที่ประตูห้องทำงาน

เขาตรงไปที่ห้องประชุมของบริษัทบริษัทหย่งเสียง ท่านประธานจางเดินไปยังไป๋มู่ชิงและมองเธอด้วยสีหน้าคลุมเครือ “คุณชายเฉินมาที่นี่แล้ว บอกว่าอยากพบคุณ”

“คุณชายเฉินมีธุระอะไรเหรอคะ?” ไป๋มู่ชิงเงยหน้าขึ้นมาจ้องเขา

“ไม่ได้บอกน่ะ คงจะเป็นเรื่องงาน” ท่านประธานจางกล่าว

ไป๋มู่ชิงเหลือบมองรอบๆ ด้วยสายตาสงสัย จากนั้นก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้และเดินไปที่ห้องประชุม

เธอมานั่งลงที่ที่นั่งตรงข้ามกับหนานกงเฉิน จ้องมองเขาและถามว่า “คุณมีธุระอะไรเหรอคะ ฉันยังมีงานที่ต้องทำ”

“ทำไมคุณถึงต้องการลาออก?” หนานกงเฉินกล่าวอย่างตรงไปตรงมา

ไป๋มู่ชิงผงะ แต่เธอไม่คาดคิดว่าเขาจะมาเพื่อคำถามนี้ เธอคิดอยู่พักหนึ่งแล้วพูดว่า “เพราะฉันมีแผนจะย้ายไปต่างประเทศกับสามีและลูกสาวของฉัน”

“นี่เป็นข้ออ้างในการลาออกของคุณเหรอ? คุณเพิ่งย้ายกลับมาจากต่างประเทศ คุณจะย้ายออกอีกครั้งได้อย่างไร? ” หนานกงเฉินถาม “ลาออกเพราะฉันหรือเปล่า? ฉันสร้างความเดือดร้อนให้เธองั้นเหรอ? ”

“ไม่ค่ะ ฉันไม่คิดว่าชีวิตที่นี่จะสะดวกสบายเหมือนอยู่ต่างประเทศ กล่าวคือฉันไม่คุ้นเคยกับชีวิตที่นี่ ดังนั้นฉันจึงวางแผนที่จะกลับไปต่างประเทศ”

“แต่คุณไม่เคยบอกว่าจะไปต่างประเทศ”

“คุณชายเฉิน … ” ไป๋มู่ชิงแสร้งทำเป็นยิ้มให้เขา “ความสัมพันธ์ก่อนหน้านี้ของฉันกับคุณดูเหมือนจะไม่สนิทกันมากพอที่จะคุยอะไรกันใช่ไหมคะ? ”

ไป๋มู่ชิงจ้องมองเขาและพยักหน้าหลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง “ใช่ค่ะ คุณกำลังทำให้ชีวิตของฉันมีปัญหา ดังนั้นฉันอยากจะขอให้คุณอยู่ห่างจากฉันได้ไหม? เราต่างก็มีครอบครัวกันอยู่แล้ว แบบนี้มันจะไม่ดีนะคะ”

“ถ้าคุณจะไปต่างประเทศเพราะงฉัน มันไม่จำเป็น ฉันสัญญาว่าฉันจะไม่ยุ่งกับคุณอีก” น้ำเสียงของหนานกงเฉินผ่อนคลายลง “ขอโทษนะ คืนนั้นฉันขอโทษจริงๆ ฉันขอโทษ ”

เขาไม่อยากให้เธอไปต่างประเทศเพราะเขา และตัดใจไม่ลง …

“ขอบคุณค่ะ คุณคิดแบบนี้ก็ดีแล้วค่ะ” ไป่มู่ชิงกล่าว “ฉันเชื่อว่าคุณชายเฉินเป็นคนที่รักษาสัญญา”

ไป๋มู่ชิงยังกล่าวอีกว่า “ไม่ต้องกังวลนะคะ คุณชายเฉิน ฉันจะมอบคำสั่งของบริษัทหนานกงกรุ๊ปให้กับผู้จัดการแผนกของเรา ความสามารถของเธอดีกว่าฉันมาก เธอจะทำได้ดีแน่นอนค่ะ”

“ดูเหมือนว่าคุณยังตัดสินใจที่จะไปอยู่ดี”

“ฉันคิดอย่างถี่ถ้วนแล้วค่ะ” ไป๋มู่ชิงกล่าวว่า “ไม่งั้นคุณเฉินจะนั่งรอก่อนไหมคะ ฉันจะไปเรียกผู้จัดการแผนกมาให้”

“ไม่จำเป็น” หนานกงเฉินส่ายหัว “ถ้าคุณจากไปความร่วมมือระหว่างบริษัทหนานกงกรุ๊ปและบริษัทหย่งเสียงก็จะสิ้นสุดลงเช่นกัน ดังนั้นจึงไม่จำเป็นเจอ”

ไป๋มู่ชิงประหลาดใจ เขาต้องการยุติความร่วมมือกับหย่งเสียงงั้นเหรอ?

แต่…….

เธอยิ้มอย่างเฉยเมย “แล้วแต่คุณชายเฉินค่ะ”

หย่งเสียงไม่ใช่ของเธอ แน่นอนว่าเธอจะไม่เปลี่ยนการตัดสินใจไปต่างประเทศเพื่อเจ้านายที่ไม่ดีกับเธอ

ด้วยท่าทีที่แน่วแน่ของเธอทำให้หนานกงเฉินไม่จำเป็นต้องโน้มน้าวอะไรอีก เขาหลับตาลงอย่างแผ่วเบาและแอบปลอบใจตัวเองถ้าเธอต้องการจากไปก็ปล่อยเธอไปอย่างไรก็ตามเธอไม่ใช่มู่ชิงตัวจริง การอยู่เมืองซีทำให้เขาเสียสมาธิและไม่ดีต่อตัวเองเช่นเดียวกัน

สองปีก่อนที่จะได้พบเธอ แม้ว่าชีวิตของเขาจะไม่มีความสุข แต่เขาก็สามารถมีชีวิตที่สงบสุขได้

หากเธอไปแล้ว ชีวิตของเขาก็จะกลับมาสงบสุขอีกครั้ง ก็ไม่มีอะไรเสียหาย

เมื่อเขาลืมตาขึ้นอีกครั้ง ดวงตาของเขาก็สงบลง เขามองไปที่เธอและพูดว่า “ฉันขอให้คุณอยู่ต่างประเทศอย่างมีความสุข”

ไป๋มู่ชิงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่ไม่คาดคิดว่าจู่ๆ เขาจะพูดประโยคนี้และความไม่พอใจที่มีต่อเขาในใจของเธอก็ลดลงเล็กน้อย เธอจึงพูดกับเขาว่า “ขอบคุณนะคะ”

เธอครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งและพูดว่า “คุณชายเฉิน ฉันเข้าใจว่าคุรคิดว่าฉันเป็นภรรยาเก่าของคุณจึงทำกับฉันแบบนั้น บนโลกนี้ผู้ชายที่ทั้งรวยและคลั่งรักมีน้อยเหลือเกิน พูดจริงๆ นะคะ ฉันชื่นชมคุณในจุดนี้ แต่ฉันอยากจะย้ำกับคุณเหมือนประโยคแรกที่เราเจอกัน ชีวิตคนเราสั้นนัก ปล่อยวางอดีต เห็นความสำคัญคนที่อยู่ตรงหน้า ไม่งั้นคุณอาจจะไม่มีความสุขอีกเลยตลอดชีวิต”

“มีคนมากมายบนโลกใบนี้ที่หน้าตาเหมือนกัน ฉันจะจากไปในวันนี้และสักวันจะมีคนที่สองที่ดูเหมือนอดีตภรรยาของคุณใช่ไหม ดังนั้น … ฉันหวังว่าคุณ สามารถคิดได้มีความสุข “ไป๋มู่ชิงพูดจบและพยักหน้าให้เขา” ขอบคุณคุณชายเฉินสำหรับการดูแลก่อนหน้านี้ ฉันขอตัวกลับไปทำงานก่อน ”

หลังจากพูดเสร็จเธอก็หันหลังออกจากห้องประชุม

เมื่อได้ยินข่าวการไปต่างประเทศ เสียวหว่านชิงก็แสดงสีหน้าไม่พอใจทันที เธอมองทั้งสองอย่างไม่เข้าใจและถามว่า “แม่คะ พ่อคะ ทำไมเราถึงไปต่างประเทศด้วย? ”

เฉียวเฟิงและไป๋มู่ชิงมองหน้ากันและไป๋มู่ชิงแตะศีรษะของเธอแล้วพูดว่า “เพราะเราเคยอยู่ต่างประเทศมาก่อนไงจ๊ะ”

“แต่แม่เคยบอกไว้ก่อนแล้วว่าเราจะอยู่ที่นี่และจะไม่ไปต่างประเทศอีก” เสียวหว่านชิงจับแขนของเฉียวเฟิงและเขย่า “พ่อคะ เราไม่ไปต่างประเทศได้ไหม หนูชอบที่นี่ หนูชอบครูฟางและเถียนเถียน หนูคิดว่าได้เล่นกับพวกเขาแล้วสนุกดี ”

ไป๋มู่ชิงรู้ว่าเธอไม่ต้องการไปต่างประเทศ เพราะพวกเขาล้วนเป็นเด็กเหมือนกัน และเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน

แม้ว่าเธอจะทนไม่ได้เล็กน้อย แต่เธอก็ยังคงสงบหลังจากคิดเรื่องนี้ “หว่านชิงเด็กดี เพราะพ่อกับแม่ต้องไปทำงานที่นั่น ดังนั้นจึงจำเป็นต้องไป แต่พ่อกับแม่รับปากหว่านชิงนะจ๊ะ รออีกสองปีให้หนูเรียนชั้นประถมแล้วพวกเราจะกลับมา ดีไหมจ๊ะ? ”

“จริงเหรอ? ” เสียวหว่านชิงหันไปหาเฉียวเฟิง

เฉียวเฟิงพยักหน้าและแตะศีรษะเล็กน้อยอย่างรู้สึกผิด “ขอโทษนะ พ่อไม่ดีเอง”

หากไม่ใช่เพราะความรู้สึกผิดของเขา สองแม่ลูกก็คงไม่ต้องติดตามเขาออกจากบ้านและอาศัยอยู่ในประเทศที่ไม่มีใครชอบ

เมื่อเห็นว่าเฉียวเฟิงไม่พอใจ เสียวหว่านชิงจึงรีบพูด “พ่ออย่าพูดแบบนี้สิคะ หว่านชิงไปกับพ่อกับแม่ก็ได้แล้ว”

“หว่านชิงเด็กดีจริงๆ ” ไป๋มู่ชิงยิ้มให้เธอด้วยความพึงพอใจ “ไปเล่นกันเถอะ”

เสียวหว่านชิงไปเล่นกับลูกสุนัขในสนาม ไป๋มู่ชิงหันไปมองเฉียวเฟิงยื่นมือน้อย ๆ ของเธอออกไปจับฝ่ามือใหญ่ของเขาแล้วพูดว่า “ขอโทษด้วย ฉันไม่ดีเองที่ไปยั่วโมโหหนานกงเฉิน”

“ควรเป็นผมมากกว่าที่ต้องขอโทษ” เฉียวเฟิงจ้องมองเธอและหัวเราะอย่างไม่เห็นด้วย “ถ้าผมมั่นใจมากพอทำไมผมต้องกังวลว่าคุณจะถูกคนอื่นพาไปล่ะ? ”

คุณผู้หญิงหนานกงพูดถูก เขาเป็นแค่คนพิการแม้แต่ภรรยาตนเองก็ปกป้องไม่ได้!

“อันที่จริงฉันคิดว่าคุณคิดมากเกินไป”

“งั้นเหรอ? ”

ไป๋มู่ชิงพยักหน้า โอบตัวเขาพลางยิ้มและพูดว่า “ฉันพูดหลายครั้งแล้วฉันจะไม่ตกหลุมรักผู้ชายคนอื่นนอกจากคุณ ไม่ว่าผู้ชายคนอื่นจะดีแค่ไหนฉันก็ไม่ยอม อีกฉันจะไม่ยอมให้หว่านชิงจะต้องครอบครัวแตกแยก”

เธอเอนศีรษะเข้ามาในอ้อมแขนของเขา โดยไม่มีท่าทีไม่พอใจในน้ำเสียงของเธอ “แต่ถ้าการไปต่างประเทศเท่านั้นที่สามารถทำให้คุณคลายความกังวลได้ ฉันก็เต็มใจที่จะออกไปกับคุณ”

เฉียวเฟิงยิ้มอย่างขมขื่น “ที่รัก คุณใจดีเสมอ”

เธอเคยเป็นคนใจดีมาก แต่ตอนนี้เธอยังคงรักษาคุณภาพของตัวเอง ผู้หญิงแบบนี้จะปล่อยให้เขาไปง่ายๆ ได้อย่างไร?

หนานกงเฉินกลับไปที่คฤหาสน์หลังเก่าและทันทีที่เขาเข้าไปในห้องนั่งเล่นเขาก็เห็นคุณหญิงนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นกับจูจูพลางดูทีวี เขาเดินเข้าไปและร้องด้วยความเป็นห่วง “คุณย่า ทำไมยังไม่นอนครับ”

“นอนไม่หลับน่ะ” คุณหญิงวางถ้วยชาในมือลงแล้วมองไปที่เขา “แล้วเธอล่ะ ทำไมกลับมาช้าจัง”

“ทำงานล่วงเวลาน่ะครับ” หนานกงเฉินเดินไปนั่งบนโซฟาตรงข้ามเธอ

จูจูลุกขึ้นยืนจากโซฟาทันทีและกล่าวว่า “คุณายใหญ่ต้องกระหายมากแน่ๆ ฉันจะไปเอาน้ำหวานมาให้นะคะ” หลังจากนั้นเธอก็เดินไปที่ห้องครัว

คุณหญิงมองไปที่ด้านหลังของจูจูที่เดินเข้าไปในครัว ก่อนจะหันศีรษะไปจ้องที่หนานกงเฉิน “ฉันคิดว่าเธอคงไม่ได้ทำงานล่วงเวลา แต่ไปเกลือกกลั้วกับผู้หญิงหน้าด้านข้างนอกนั่นใช่ไหม? ”

“ทำไมคุณย่าพูดแบบนี้ล่ะครับ?”

“อย่าคิดว่าฉันไม่รู้ว่าเธอกำลังทำอะไรอยู่” น้ำเสียงของคุณหญิงหนักขึ้น “หนานกงเฉิน ฉันไม่คัดค้านที่เธอเลี้ยงผู้หญิงไว้ข้างนอก แต่เธอก็ต้องหาที่สะอาดเสียหน่อย ผู้หญิงแต่งงานแล้วนี่มันใช่ได้เหรอ? ”

หนานกงเฉินขมวดคิ้ว “ใครบอกคุณย่าครับ? ”

“ใครบอกฉันไม่ใช่ประเด็นสำคัญ” คุณหญิงรำคาญ “มีผู้หญิงสวย ๆ มากมายในโลกนี้แต่เธอกลับคว้าผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว เธอกำลังลดมาตรฐานของตัวเองลงงั้นเหรอ? ฉันขอสั่งให้เธอเลิกเดี๋ยวนี้ ถ้าใครมารู้เข้ามันจะไม่ดี”

“คุณย่า ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับคุณหนูอีเป็นแค่เพื่อนธรรมดา ไม่ได้ซับซ้อนอย่างที่คิด”

“เพื่อนธรรมดาก็จูบแล้วเหรอ? แล้วถ้าเป็นความสัมพันธ์ฉันชู้สาวล่ะ? จะไม่พากลับมาบ้านเลยหรือไง? ”

หนานกงเฉินผงะไปชั่วขณะและมองไปที่เธออย่างสงสัย “คุณย่า ใครบอกครับ? ”

“ฉันเห็นมันเอง” คุณหญิงชำเลืองมองไปที่จูจูที่เดินออกมาจากห้องครัว

จูจูวางน้ำหวานไว้หน้าหนานกงเฉินและพูดเบา ๆ “คุณชายใหญ่ รีบดื่มสิคะ เสร็จแล้วจะได้รีบขึ้นไปพักผ่อน”

หลังจากพูดจบเธอก็เปลี่ยนคำพูดและพูดกับคุณหญิง “คุณย่า ฉันขอกลับห้องไปพักผ่อนก่อนนะคะ”

จูจูเดินขึ้นไปชั้นบน เมื่อมองไปที่น้ำหวานที่อยู่ตรงหน้าเขาหนานกงเฉินไม่รู้สึกอยากอาหารเลยแม้แต่น้อยเขาสูดลมหายใจและพูดว่า “ผมขอขึ้นไปพักผ่อนด้วยครับ”

“เธอได้ยินที่ฉันพูดไหม ฉันสั่งให้เลิกกับผู้หญิงคนนั้นซะ” คุณหญิงพูดจากด้านหลังของเขา

หนานกงเฉินยิ้มอย่างขมขื่น เธอชิงตัดความสัมพันธ์กับเขาไปก่อน แม้ว่าเขาจะต้องการไปต่อก็ตาม

เขาเร่งฝีเท้าและเดินไปที่ชั้นสอง เมื่อจูจูเปิดประตูห้องนอนเพื่อเข้าไป เขาคว้าแขนเธอแล้วดึงเธอออกมา

จูจูผงะไปชั่วขณะและมองไปที่เขา “เฉิน ทำไมคุณมาเร็วจัง คุณไม่ดื่มน้ำหวานก็ก่อนเหรอ?

หนานกงเฉินจ้องมองเธอด้วยสายตาเย็นชา “คุณสะกดรอยตามฉันหรือเปล่า? ”

“ไม่ ฉันจะสะกดรอยตามคุณไปได้อย่างไร” จูจูส่ายหัว

“ถ้าคุณไม่ได้บอกคุณย่า คุณย่าจะรู้เกี่ยวกับคุณหนูอีได้อย่างไร”หนานกงเฉินรำคาญ”คุณจงใจทำให้ท่านกังวลงั้นเหรอ? ”

“ฉันไม่ได้บอกคุณย่า จะต้องเป็นคุณย่าเองที่รู้สึกว่าคุณผิดปกติ จึงสั่งให้คนสะกดรอยตามคุณไป”

“ดูเหมือนว่าคุณจะไม่ยอมรับสินะ” เขาจับฝ่ามือของเธอไว้และพูดอย่างเย็นชา “คุณหนูจู คุณกำลังทำให้ฉันรู้สึกเกลียดมากขึ้นเรื่อยๆ รู้ไหม? คุณคิดว่าคุณย่าออกหน้าเองแล้วฉันจะกลับมาอยู่ข้างกายคุณงั้นเหรอ? ฝันไปเถอะ! ”

“เฉิน คุณพูดแบบนั้นได้ยังไง?” จูจูพูดด้วยความเสียใจ

“หรือว่าฉันพูดผิดเหรอ?”

“คุณพูดถูกแล้ว ฉันเป็นคนบอกคุณย่าเอง แต่เพราะฉันไม่มีกำลังจะสู้ถึงวางแผนแบบนี้ไม่ใช่หรือไง? ” จูจูหลั่งน้ำตา “เฉิน คุณไม่ฉันไปพบผู้หญิงคนนั้น ฉันก็ทำได้เพียงแค่บอกคุณย่าให้โน้มน้าวใจคุณ ให้คุณยอมแพ้ ”

“ฉันบอกแล้วว่าฉันไม่สามารถมีความสัมพันธ์อะไรกับเธอได้”

“ฉันเห็นพวกคุณจูบที่ริมแม่น้ำในคืนนั้น” จูจูกล่าว

“คุณสะกดรอยตามฉันจริงๆ สินะ” หนานกงเฉินโกรธ

“ใช่ ฉันสะกดรอยตามคุณไป ฉันเห็นคุณจูบที่ริมแม่น้ำ แต่ฉันทำอะไรไม่ได้” จูจูส่ายหัวด้วยความเสียใจน้ำตาร่วง “หนานกงเฉิน แม้ว่าคุณจะไม่รักฉัน แต่ฉันเป็นภรรยาของคุณ คุณจะถามฉันด้วยท่าทีเช่นนี้หลังจากจูบผู้หญิงคนอื่นได้ยังไง คนที่นอกใจคือคุณ คนที่ผิดก็คือคุณไม่ใช่เหรอ? ”

หนานกงเฉินรู้สึกผิดมากที่ถูกเธอกล่าวหา แม้ว่าเขาจะไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ กับคุณหนูอีคนนั้น แต่มันก็เป็นเรื่องจริงที่เขาจูบเธอในคืนนั้น และมันก็เป็นเรื่องจริงที่เขาล่วงละเมิดเธอ

จูจูเห็นการแสดงออกของเขาอ่อนลง เธอจึงมีความกล้ามายิ่งขึ้น “เฉิน โปรดเชื่อฉันเถอะ ผู้หญิงคนนั้นนามสกุลอี ไม่ใช่เรื่องดีเธอแต่งงานกับคนพิการเพื่อเงิน และตอนนี้เธอกำลังยั่วยวนคุณเพื่อหวังเงิน หากยั่วยวนคุณสำเร็จเธอก็จะเขี่ยสามีพิการคนนั้นทิ้งไป คุณเอาแต่บอกว่าฉันไม่ใช่คนใสซื่อ ไม่ใช่สไตล์ที่คุณชอบ แล้วคุณหวังให้ผู้หญิงแบบนี้รักคุณจริงงั้นเหรอ? รอให้เธอรู้ว่าคุณป่วย เธอก็จะเขี่ยคุณทิ้งเช่นเดียวกัน! ”

จูจูพูดอยู่นาน แต่หนานกงเฉินกลับได้ยินแค่ประโยคเดียว ประโยคเดียวเท่านั้น …!

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

Status: Ongoing
ไป๋มู่ชิงเคยได้ยินเรื่องเล่าตั้งแต่เด็กว่า ตระกูลหนานกงในเมืองซีเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุด แต่น่าเสียดายที่คุณชายใหญ่ของตระกูลกลับป่วยเป็นโรคประหลาด โรคที่เขาเป็นจะทำให้เขามีอายุอยู่ได้ไม่ถึงอายุ30ปี ไป๋มู่ชิงยังได้ยินมาอีกว่า คุณชายหนานกงเฉินแต่งงานใหม่ทุกๆปี แต่เจ้าสาวของเขากลับมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงวันต่อมาหลังคืนเข้าหอ แต่ไม่ทราบสาเหตุของการแต่งงานและยังไม่ทราบถึงสาเหตุการเสียชีวิตของเจ้าสาวด้วย เมื่อตระกูลหนานกงได้ส่งของหมั้นมาให้ตระกูลไป๋ ไป๋มู่ชิงก็คิดไม่ถึงว่าพ่อของเธออยากจะปกป้องชีวิตพี่ของเธอไว้ถึงขนาดผลักเธอเข้าไปในประตูนรกอย่างโหดร้าย บังคับให้เธอแต่งงานกับหนานกงเฉินเป็นเจ้าสาวคนที่เจ็ดของเขา แทนพี่สาวของเธอ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท