เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด – บทที่ 202 ผลตรวจดีเอ็นเอ

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

เฉียวซือเหิงจับแก้วเหล้าของหนานกงเฉินไว้ “แกอย่าดื่มดีกว่า ดูแลร่างกายด้วย”

“ทำไม? กลัวว่าฉันจะดื่มจนตายไปแล้วไม่มีใครดื่มเป็นเพื่อนอีกหรอ?” หนานกงเฉินมองไปที่เขา

“ไม่ใช่หรอก ฉันไม่ใช่เหมือนแกที่เยือกเย็นไม่สนใจใคร ฉันเป็นคนที่ถ้าโบกมือก็จะมีเพื่อนกินเพื่อนเที่ยวเยอะแยะ” เฉียวซือเหิงพูดยิ้ม

หนานกงเฉินพยักหน้าแล้วมองไปที่เขา “เพราะฉะนั้นฉันอยู่ในใจแกก็ไม่ได้สำคัญอะไรเลยหรือไม่มีก็ได้งั้นหรอ?”

“คุณชายเฉิน คุณอย่าล้อเล่นสิครับ” เฉียวซือเหิงทำสีหน้าตกใจแล้วจ้องไปที่เขา “ถึงแม้ผมจะชอบกินเนื้อ แต่ก็ไม่สนใจผู้ชาย”

“ล้อเล่นหน่า” หนานกงเฉินยกแก้วไปทางเขา “ไว้ใจเถอะ ฉันก็ไม่ได้รู้สึกสนใจอะไรแก”

“งั้นก็ดี” เฉียวซือเหิงยกขึ้นยกแก้วขึ้นดื่ม

หนานกงเฉินเงียบไปสักพักก่อนเงยหน้าถามเขา “ใช่สิ ซูซี่กลับประเทศหรือยัง?”

“กลับมาตอนวันครบรอบเสียชีวิตของพ่อฉัน กลับมาครั้งหน้าก็คงหลังจากนั้นหนึ่งปีมั้ง?” สีหน้าของเฉียวซือเหิงหม่นหมองขึ้นมา

“ตอนนี้เธอยังอยู่อังกฤษหรอ?”

“ไม่รู้ ไปทั่วโลก” เฉียวซือเหิงพูด “นอกจากในประเทศ ก็ไปทุกที่”

“แม้แต่นายก็ติดต่อเธอไม่ได้?”

“ก่อนที่เธอจะไปเธอบอกแล้ว ถ้าไปแล้วก็ไม่มีใครหาตัวเธอเจอ แน่นอนรวมถึงฉันด้วย” เฉียวซือเหิงถอนหายใจ “แต่ยังไงก็เถอะ ตอนนี้ก็ทำได้แค่รอเธอเที่ยวจนเหนื่อยแล้วกลับมาเอง”

หนานกงเฉินจับแก้วเหล้าในมือขึ้น ในใจมีคำถามมากมายอยากจะถามเขา แต่กลับพูดไม่ออกสักคำ ความรู้สึกที่อยากถามแต่ก็ไม่กล้าถามกำลังปั่นป่วนอยู่ในใจ

เขาอยากจะถามเรื่องเฉียวเฟิงกับอีหลิน แต่ดูจากสภาพตอนนี้ของเขาคงจะไม่พูดความจริงแน่นอน

ถ้าอีหลินเป็นไป๋มู่ชิงจริง เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดเฉียวซือเหิงไม่มีทางไม่รู้ ถ้าเขาจงใจจะปิดบังก็คงจะไม่พูดความจริงอะไรออกมาแถมยังทำให้เขารู้สึกตัวด้วย ก็อาจจะขัดขวางเขาสืบหาความจริง

ซูซี่เป็นเพื่อนรักของไป๋มู่ชิง ไม่รู้ว่าเธอรู้ความจริงหรือเปล่า?

หนานกงเฉินวางแก้วกลับไปบนโต๊ะ เฉียวซือเหิงมองสำรวจแก้วเหล้าตรงหน้าเขาแล้วเอ่ย “ปีสองปีนี้มาร่างกายนายเพิ่งดีขึ้น อย่าทำตัวแบบนี้เลย เราเปลี่ยนไปดื่มอย่างอื่นเถอะ”

หนานกงเฉินพยักหน้า “ได้”

กว่าเขาจะมองเห็นความหวังอันริบหรี่ เพื่อไป๋มู่ชิงเขาก็ต้องรักษาร่างกายตัวเองให้ดีไว้

“ฉันคิดว่าเรื่องเล่าของตระกูลหนานกงเป็นแค่เป็นเรื่องไม่จริง ไม่คิดเลยว่าจะเป็นจริง หลังจากที่แกแต่งงานกับคุณหนูจูร่างกายก็ดีขึ้นไม่น้อย” เฉียวซือเหิงพูดยิ้ม

หนานกงเฉินก็ยิ้มอ่อน “ใช่ จูจูช่วยได้เยอะเลย”

เพราะฉะนั้นแกก็ควรจะดีกับคนอื่นด้วยสิ”

“ฉันกำลังพยายามรักเธออยู่” หนานกงเฉินยิ้มอีกครั้ง “ฉันคิดว่าไม่นานก็คงจะรักเธออีกครั้ง”

“แกคิดได้แบบนี้ก็ดีแล้ว” เฉียวซือเหิงสั่งน้ำผลไม้ให้เขา “รอวันไหนแกอารมณ์ดี ฉันก็จะมีเพื่อนดื่มน้อยลง คิดไปคิดมากฉันก็ขาดทุนเหมือนกัน”

“ไหนแกบอกว่าจะมีหรือไม่มีฉันก็ได้ไม่ใช่หรอ?”

“ความสัมพันธ์ของเรา แกยังจะสงสัยอีกหรอ?”

หนานกงเฉินมองไปที่เขาแล้วยิ้มเยาะเย้ยในใจ ขอให้เป็นอย่างนี้จริงเถอะ!

กี่ปีนี้มาเขามีเฉียวซือเหิงเป็นเพื่อนแค่คนเดียว ถ้าแม้แต่เขาก็ยังโกหก ยังหักหลัง เขาไม่รู้เลยว่ายังสามารถเชื่อใจใครได้อีก

เช้าวันต่อมา ผู้ช่วยเหยียนก็นำแหวนที่ไป๋มู่ชิงทำหายไปให้หนานกงเฉิน

“ตอนนั้นคนทำความสะอาดกลัวว่าจะโดนบริษัทไล่ออก ก็เลยไม่กล้าพูดความจริง จนกระทั่งฉันสัญญาว่าจะไม่ทำให้เธอถูกไล่ออกถึงยอมพูด บอกว่าวันนั้นเธอเห็นแหวนที่ใช้ทิชชูห่อไว้อยู่ในห้องทำความสะอาด คิดโลภขึ้นมาก็เลยเอาแหวนกลับไปด้วย”

หนานกงเฉินรับแหวนมาแล้วเปิดดูอย่างระมัดระวัง ในนั้นห่อแหวนที่ไป๋มู่ชิงถอดตอนนั้น บนแหวนยังคราบเลือดของเธออยู่

“คนทำความสะอาดบอกว่า ตั้งแต่ที่เธอเอากลับไปก็ไม่กล้าออกมาเลย กลัวว่าคุณจะหาแหวน ไม่คิดเลยว่าคุณจะหาจริงๆด้วย” เมื่อผู้ช่วยเหยียนเห็นคราบเลือดบนแหวนก็เลยยื่นมือไปทางหนานกงเฉิน “คุณชายเฉินคะ เดี๋ยวฉันนำไปทำความสะอาดให้ค่ะ”

“ไม่ต้อง” หนานกงเฉินห่อแหวนกลับไปอย่างระมัดระวังแล้วใส่ลงไปในลิ้นชัก

“คุณชายให้ฉันนำไปคืนให้คุณหนูอีมั้ยคะ? หรือว่าโทรเรียกให้เธอมารับด้วยตัวเอง”

“เก็บไว้ที่ผมก่อนก็ได้” หนานกงเฉินมองไปที่เธอ “เพิ่มกำลังคนตามหาแม่กับน้องชายมู่ชิงหรือยัง?”

“เรียบร้อยค่ะ แต่ว่ายังไม่มีเบาะแสอะไร”

“อีกอย่างช่วยหาคนคนหนึ่งให้ผมด้วย”

“ใครคะ?”

“ซูซี่”

“ซูซี่?” ผู้ช่วยเหยียนคิดไปคิดมา “ภรรยาของคุณชายเฉียวหรอคะ?”

“ใช่”

“แต่ว่า……” ผู้ช่วยเหยียนลังเลไปก่อนถามขึ้น “คุณหนูซูซี่เป็นภรรยาของคุณชายเฉียว ถึงแม้เธอจะรู้ความจริงแต่ก็ไม่มีทางบอกความจริงหรอกค่ะ ตามหาตัวเธอมีประโยชน์หรอคะ?”

“เธอเป็นเพื่อนรักของมู่ชิง ผมคิดว่าไม่ว่าเธอจะตัดสินใจยังไงก็ทำเพื่อมู่ชิง แล้วระหว่างเธอกับเฉียวซือเหิงก็ไม่มีความรู้สึกอะไรกันด้วย คงจะไม่ช่วยเขาทำเรื่องที่น่าเกลียดแบบนี้” หนานกงเฉินพูดจบก็ยิ้มอย่างข่มขืน “แน่นอน ถึงแม้เธอจะรู้ความจริงก็ไม่แปลก ในสายตาเธอ ผมเป็นสามีที่ไม่ผ่านเกณฑ์อยู่แล้ว เธอก็ไม่หวังว่ามู่ชิงจะกลับมาหาผมหรอก”

“เพราะฉะนั้นหาตัวเธอมีประโยชน์หรอคะ?”

“ไม่รู้ หาก่อนค่อยว่ากัน”

“ได้ค่ะ เดี๋ยวดิฉันจะไปจัดการ”

“ระวังด้วย เรื่องนี้ห้ามให้คุณหญิงหรือว่าใครรู้เด็ดขาด” หนานกงเฉินพูดย้ำ

“ไว้ใจเถอะค่ะ ฉันเข้าใจ”

วันนี้ตอนไปรับเสี่ยวหว่านชิง ไป๋มู่ชิงก็มองสำรวจไปที่รถคันสีเทา เป็นรถราคาถูกที่จอดอยู่ริมทาง ในรถก็ยังคงเป็นหนานกงเฉิน

เขาสวมใส่แว่นกันแดดไว้ แต่ก็ยังทำให้เธอรู้สึกว่าสายตาของเขาเอาแต่มองตามเธอ

เธอแกล้งทำตัวไม่รู้ไม่ชี้แล้วจูงมือของเสี่ยวหว่านชิงเดินผ่านรถเขาไปแล้วขึ้นรถเฉียวเฟิง

จนกระทั่งขึ้นรถแล้วปิดประตูเธอค่อยแอบโล่งอกแล้วพูดกับลุงคนขับรถ “ลุงหลิ่วคะ เราไปกันเถอะ”

“คุณพ่อคะ ตอนเช้าคุณพ่อสัญญากับหนูว่าคืนนี้จะพาหนูไปกินขนมหวาน” เสี่ยวหว่านชิงหันไปพูดกับเฉียวเฟิงด้วยสีหน้าคาดหวัง

เฉียวเฟิงคิดไปคิดมาแล้วพยักหน้า “งั้นได้ เราไปกินขนมหวานกัน แต่ว่ากินเยอะไม่ได้นะคะ”

“เย้ ดีมากเลย ขอบคุณคุณพ่อนะคะ!” เสี่ยวหว่านชิงหันมาทางไป๋มู่ชิงด้วยความดีใจ เมื่อเห็นว่าเธอไม่เอ่ยพูดอะไรก็แกว่งแขนเธอ “คุณแม่คะ คุณแม่ไม่อยากให้ไปหรือเปล่าก็เลยไม่มีความสุข?”

ไป๋มู่ชิงดึงสติกลับมาแล้วรีบส่ายหน้า “เปล่า หนูก็ไม่ได้ไปกินขนมหวานนานแล้ว ไปกินก็ได้”

“ขอบคุณคุณแม่นะคะ” เสี่ยวหว่านชิงโล่งอกไป

ไป๋มู่ชิงก็ยิ้มอ่อนไปทางเธอ เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เพิ่งสังเกตุเห็นว่าเฉียวเฟิงจ้องมาที่เธอแล้วรีบอธิบาย “เมื่อกี้ฉันกำลังคิดว่าพรุ่งนี้กับวันอื่นหว่านชิงยังจะไปโรงเรียนอีกหรือเปล่า”

“หนูจะไปค่ะ!” เสี่ยวหว่านชิงรีบพูด “กว่าเราจะไปต่างประเทศยังอีกหลายวันไม่ใช่หรอคะ? หนูอยากจะไปโรงเรียนจนกว่าจะไปต่างประเทศค่ะ”

“ชอบเล่นกับเพื่อนๆที่นี่มากเลยหรอ?” ไป๋มู่ชิงยิ้ม

เสี่ยวหว่านชิงพยักหน้า “เพื่อนๆก็ไม่อยากให้หนูไป อยากจะให้หนูอยู่ต่ออีกหน่อย เพราะฉะนั้นหนูก็เลยอยากอยู่กับพวกเธออีกได้ไหมคะ?”

“ได้สิ ขอแค่หว่านชิงชอบก็พอแล้ว” ไป๋มู่ชิงพูดยิ้ม

หลังจากที่พูดคุยกับเสี่ยวหว่านชิงเสร็จเธอก็เงยหน้าขึ้น เฉียวเฟิงก็ยังทอดมองมาที่เธอ เธอเลยยกมือขึ้นจับหน้าตัวเอง “ทำไมคะ? บนหน้าฉันมีอะไรผิดปกติหรือเปล่า?”

“ผิดปกติ” เฉียวเฟิงยื่นมือไปจับคางเธอขึ้นแล้วมองสำรวจ

“ผิดปกติตรงไหนคะ?” ไป๋มู่ชิงก็ยังใช้มือลูบหน้าตัวเองอยู่

“อือ……ดูเหมือนว่ากำลังกลุ้มใจอะไรอยู่”

“เปล่า” ไป๋มู่ชิงส่ายหัวแล้วยิ้มไปด้วย “คุณกับหว่านชิงอยู่ข้างกายฉันแบบนี้ ฉันจะมีเรื่องอะไรให้กลุ้มใจอีก?”

ถึงแม้ปากจะพูดไปอย่างนี้ แต่ในใจก็คิดว่าตัวเองแสดงสีหน้าออกไปขนาดนั้นเลยหรอ? ดูเหมือนว่าตัวเองจะถูกผู้ชายคนนั้นปั่นป่วนแล้ว

มือเฉียวเฟิงที่จับขคางของเธอเปลี่ยนไปลูบหน้าแล้วเอ่ยอย่างอ่อนโยน “คุณไม่อยากไปต่างประเทศหรือเปล่าถ้า ไม่อยาก เราก็……”

“เปล่าค่ะ” ไป๋มู่ชิงรีบพูดแทรกขึ้นแล้วกุมมือของเขาไว้ “คุณคิดอะไรอยู่คะ? ทำไมฉันถึงไม่อยากไปต่างประเทศ ฉันอยากจะนั่งเครื่องไปต่างประเทศพรุ่งนี้ด้วยซ้ำ”

“ทำไม?”

“เพราะฉันอยากจะให้คุณกับหว่านชิงอยู่อย่างมีความสุข”

“ขอบใจนะ” เฉียวเฟิงมองไปที่เธออย่างซึ้งใจแล้วเอ่ยขึ้น

“ระหว่างสามีภรรยาจะพูดขอบคุณทำไม พูดขอบคุณก็ทำให้เราดูเหมือนห่างเหินกันเลย” ไป๋มู่ชิงเอ่ย

เฉียวเฟิงยิ้มแล้ว “ได้ ต่อไปผมจะไม่พูดอีกแล้ว”

หนานกงเฉินเหมือนต้องมนต์สะกด หลังจากที่ทั้งครอบครัวไปจากโรงเรียนอนุบาลแล้วเขาก็เอาแต่ตามติดพวกเขา จนกระทั่งไปถึงร้านขนมหวานในเมืองร้านหนึ่ง

มองผ่านถนนกับหน้าต่างรถที่กั้นอยู่ เขาก็เห็นท่าทางที่ดูสนิทสนมของทั้งครอบครัวลงรถไปแล้วเดินเข้าไปในร้านขนมหวานยังสามารถมองเห็นสีหน้าที่มีความสุขบนใบหน้าไป๋มู่ชิงได้ชัดเจน นั่นสินะถึงเป็นความสุขที่ออกมาจากใจจริง

จนกระทั่งเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น หนานกงเฉินค่อยดึงสติกลับมาจากนั้นก็หยิบโทรศัพท์แล้วกดรับสาย

อีกฝั่งเป็นเสียงของผู้ช่วยเหยียน “คุณชายเฉินคะ เจอที่อยู่ของแม่ลูกจูฮุ่ยแล้วค่ะ อยู่ที่โซนตะวันตกของเมืองเหยียนค่ะ”

ในใจหนานกงเฉินก็รู้สึกดีใจไปแล้วเอ่ยถามขึ้น “คุณพูดจริงหรอ?”

“จริงค่ะ ถึงแม้จะเปลี่ยนชื่อแล้วแต่ฉันก็ให้คนเช็คแน่ใจแล้วค่ะ เป็นพวกเขาไม่ผิดแน่นอนค่ะ”

หนานกงเฉินคิดลังเลไปแล้วเอ่ย “ให้เลขาหลิ่วจองตั๋วที่เช้าที่สุดให้ผม คืนนี้ก็ได้”

“คุณชายจะไปด้วยตัวเองหรอคะ?”

“ใช่”

“ความจริงไม่ต้องนะคะ ฉันให้คนไปแอบตัดผมของเสี่ยวอี้กลับมาก็ได้ค่ะ”

“ไม่ ผมจะไปให้เห็นกับตาตัวเอง” หนานกงเฉินพูด เขาไม่เพียงแต่ต้องการตัวอย่างดีเอ็นเอของเสี่ยวอี้ ก็อยากจะรู้เรื่องที่ผ่านมาด้วย ถ้าไป๋มู่ชิงยังไม่ตาย เป็นถึงแม่จะไม่รู้ความจริงได้ยังไง ไม่งั้นเธอคงจะไม่เปลี่ยนชื่อตัวเองแล้วซ่อนตัวหรอก?

ผู้ช่วยเหยียนไม่รู้จะเอ่ยพูดกับเขายังไง ก็เลยให้เลขาหลิ่วจองตั๋วเครื่องบินหลังจากสองชั่วโมงหลังจากนี้

สองชั่วโมงต่อมา หนานกงเฉินก็มาถึงสนามบินแล้วเป็นครั้งแรกเลยที่เขาไปเมืองเหยียนในเวลาดึกขนาดนี้

รู้ทั้งรู้ว่าถ้าไปเวลานี้ฟ้าก็ยังไม่สว่าง คงไม่สะดวกมากที่จะไปตามหา แต่เขาก็อดใจไม่ไหว

เมื่อมาถึงเมืองเหยียน เป็นเพราะว่าดึกเกินไปเขาก็เลยจำเป็นต้องอยู่ในโรงแรม จนกระทั่งฟ้าค่อยๆสว่างค่อยขับรถไปตามที่อยู่ของจูฮุ่ย

ถึงแม้หมู่บ้านที่ทั้งสองอยู่จะอยู่โซนตะวันตก แต่หมู่บ้านก็ถือว่ารุ่งเรือง บ้านเรือนสร้างติดกันเป็นหลังเป็นหลังเรียงกันไป สภาพแวดล้อมก็ไม่เลว กว่าหนานกงเฉินจะหาบ้านของเจอ เขาล็อกประตูรถแล้วเดินออกจากรถก็เจอกับเสี่ยวอี้ที่กำลังจะออกไปเล่นพอดี

“ตอนเที่ยงอย่าเล่นจนเกินเวลานะ รีบกลับมากินข้าว” จูฮุ่ยพูดตามหลังเขา

“รู้แล้วครับ ผมจะกลับมาเร็วๆครับ” เสี่ยวอี้ตอบรับไปพอเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นว่าหนานกงเฉินยืนอยู่หน้าประตู เขาอึ้งไปจากนั้นก็เอ่ยด้วยความตกใจ “พี่เขย?”

“เสี่ยวอี้” หนานกงเฉินยิ้มให้เขา

ไม่ได้เจอกันสองปี เสี่ยวอี้ตรงหน้าก็สูงขึ้นไม่น้อย ไม่เหมือนกับเด็กผู้ชายที่เอาแต่บ่นทั้งวันทั้งคืนว่าอยากจะกินไก่ทอดเลย

เมื่อจูฮุ่ยเห็นหนานกงเฉินก็รีบก้าวเดินไปจ้องเขา “คุณชายเฉินคุณมาทำไม ฉันบอกแล้วไม่ใช่หรอว่าฉันไม่ต้องการความช่วยเหลือจากคุณ ขอให้คุณอย่ามารบกวนเราอีก”

หนานกงเฉินมองไปที่เธอแล้วยิ้มอ่อน “คุณน้าครับ ผมไม่ได้บอกว่าจะมาช่วยเหลือ แค่จะมาเยี่ยมเสี่ยวอี้เฉยๆ แม้แต่มาเยี่ยมก็ไม่ได้หรอครับ?”

จูฮุ่ยไม่รู้จะเอ่ยพูดอะไรแล้วมองไปทางเสี่ยวอี้ “คุณจะมาเยี่ยมทำไม?”

“แม่ครับ พี่เขยอุตส่าห์มาเยี่ยมผม แม่ก็อย่าไล่เขาไปเลยครับ” เสี่ยวอี้กอดแขนของหนานกงเฉินไว้ “ตอนนี้พี่เขยเป็นแขกของผม ไปกันครับพี่เขย เราไปคุยกันในบ้าน”

หนานกงเฉินยิ้มไปทางจูฮึ่ยอย่างมีมารยาท จากนั้นก็เดินเข้าบ้านพร้อมกับเสี่ยวอี้

นี่เป็นบ้านสองชั้นที่ไม่ได้ใหญ่มาก แต่ก็ดูสะอาดเรียบร้อย ตรงมุมห้องรับแขกก็มีกระถางธูป บนนั้นก็แขวนรูปภาพของไป๋มู่ชิงไว้ ฝีก้าวของหนานกงเฉินลังเลไปแล้วมองไปที่รูปถ่ายบนผนัง มองไปที่เธอ ในใจเขาก็เหมือนถูกเข็มทิมแทงจนเจ็บปวดทันที

“ถ้ามู่ชิงยังนี้ชีวิตอยู่ เธอก็คงไม่อยากเจอคุณชายหรอกค่ะ” จูฮุ่ยก็เอ๋ยพูดขึ้น

“ผมรู้” หนานกงเฉินพยักหน้า เขาติดค้างเธอมากเกินไป ทำร้ายเธอมากเกินไป

“ถ้าตอนนั้นคุณยอมฟังคำพูดของฉันแล้วปล่อยมือจากมู่ชิง มู่ชิงก็คงจะไม่เสียใจจนเกิดอุบัติเหตุ”

“ผมรู้”

“ใช่ คุณรู้ทุกอย่าง คุณรู้แต่คุณก็ไม่ยอมปล่อยเธอจนทำให้เกิดเหตุร้ายกับเธอ แต่คุณก็ไม่ยอมปล่อยเธอสักที” จูฮุ่ยเช็ดน้ำตาที่ขอบตา “จนสุดท้ายก็บีบบังคับจนเธอตาย”

เสี่ยวอี้ก็รีบเอ่ยปากพูด “คุณแม่อย่าโทษพี่เขยเลย พี่เขยดีกับพี่สาวมาก”

จูฮุ่ยเอ่ยอย่างต่อว่า “ความดีที่เขามีต่อพี่สาวเธอเป็นความเห็นแก่ตัวทั้งนั้น เป็นความโรคจิต”

เมื่อเสี่ยวอี้ถูกเธอตำหนิก็ไม่กล้าเอ่ยพูดอะไรอีก

หนานกงเฉินมองไปที่น้ำตากับความโกรธเกลียดบนใบหน้าของจูฮุ่ย ดูไม่เหมือนว่าแกล้งเลย ดูเหมือนว่าเธอก็จะไม่รู้อะไรเลย

สรุปตอนนี้มู่ชิงของเขายังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า? ตอนนี้เขาก็เริ่มไม่แน่ใจเหมือนกัน!

สุดท้ายจูฮุ่ยก็จุดธูปบนโต๊ะจากนั้นก็ยื่นไปทางหนานกงเฉิน “รีบปักธูปให้มู่ชิงเถอะ ถ้าเสร็จแล้วก็รีบไปจากที่นี่แล้วอีกหน่อยก็อย่ามารบกวนเราอีก”

หนานกงเฉินมองไปที่ควันธูปในมือเธอ จากนั้นก็รับมาแล้วมองไปทางใบหน้ายิ้มแย้มของไป๋มู่ชิงในรูป สุดท้ายเขาก็ไม่ได้ปักธูปให้แต่กลับดับธูปแล้วโยนลงถังขยะ

เขาไม่เชื่อว่ามู่ชิงตายแล้ว เขาไม่เชื่ออีกแล้ว!

เขามองไปทางจูฮุ่ยที่ทำหน้าตกใจ “คุณน้าครับ มู่ชิงอยู่ในใจผมตลอด ขอให้คุณน้าเข้าใจด้วย”

“ในเมื่อคุณพูดอย่างนี้ ก็ตามใจคุณเถอะ” จูฮุ่ยพูด

หนานกงเฉินมองกวาดไปอยู่รอบๆ บ้านดูเรียบง่ายไม่ได้หรูหราอะไร แต่ดูเหมือนว่าทุกอย่างก็ดูดีแล้ว เขาก็ไม่อยากจะเอ่ยให้ความช่วยเหลืออะไรไปสะเทือนใจจูฮุ่ยก็เลยเอ่ยกับเธอว่า “คุณน้าครับ ผมอยากพาเสี่ยวอี้ไปเที่ยวเล่นที่เมืองซีได้ไหมครับ?

“ได้ครับได้ครับ” เสี่ยวอี้พยักหน้าอย่างดีใจ เขาก็ไม่ได้ไปเมืองซีนานแล้ว

แต่จูฮุ่ยกลับปฏิเสธโดยที่ไม่คิด “ไม่ได้”

“ทำไมครับ? ผมอยากจะไปเที่ยวเล่นกับพี่เขย” เสี่ยวอี้พูดอย่างเสียใจ

“ยังไงก็ไม่ได้” จูฮุ่นไม่ลืมคำย้ำเตือนของจูจื้อเหวินว่าหลังจากเรื่องนี้ไม่ให้เธอติดต่อกับคนตระกูลหนานกงอีก แค่โทรคุยก็ไม่ได้

เหตุผลก็เพราะหนานกงเฉินเป็นฆาตกรที่ฆ่าไป๋มู่ชิง ให้อภัยไม่ได้ จูจื้อเหวินรู้ว่าหนานกงเฉินไปหาสองแม่ลูก ก็เลยให้พวกเธอย้ายมาอยู่ที่นี่

กี่ปีที่ผ่านมานี้ เธอไม่เคยติดต่อกับคนตระกูลหนานกงเลย ไม่เคยเลยสักครั้ง!

เธอไม่คิดเลยว่าเวลาผ่านไปสองปี หนานกงเฉินก็ตามหามาจนถึงที่นี่ได้แล้วยังจะพาเสี่ยวอี้ออกไปเที่ยวเล่นอีก ถ้าให้พี่ชายตัวเองรู้คงต้องสั่งสอนเธอแน่!

หนานกงเฉินรู้จักนิสัยของจูฮุ่ยดี แล้วรู้ด้วยว่าเธอกลัวตัวเองก็เลยทำเสียงแข็งคุยกับเธอ “คุณน้าไว้ใจเถอะครับ ผมจะพาเสี่ยวอี้ไปเที่ยวเล่นที่เมืองซีไม่กี่วันก็กลับมา ผมจะส่งเสี่ยวอี้กลับมาด้วยตัวเองเลยครับ แล้วต่อจากนี้ก็จะไม่รบกวนพวกคุณอีก”

“คุณจะพาเสี่ยวอี้ไปเที่ยวเล่นงั้นหรอ?” จูฮุ่ยพูด

“ใช่ครับ นี่เป็นครั้งสุดท้าย” หนานกงเฉินใช้น้ำเสียงขู่แล้วเอ่ย “ถ้าคุณไม่อนุญาต ผมก็จะมาเยี่ยมคุณบ่อยๆครับ”

“คุณ……” จูฮุ่ยไม่รู้จะเอ่ยพูดอะไร

หนานกงเฉินปรับน้ำเสียงตัวเองให้อ่อนลง “คุณน้าไม่ต้องเกร็งขนาดนั้นครับ ผมรู้สึกชอบเสี่ยวอี้จริงๆ ไม่ทำให้เขาบาดเจ็บอะไรหรอกครับ”

ด้วยความกดดันของหนานกงเฉิน สุดท้ายจูฮุ่ยก็เลยต้องยอมตอบตกลง

หนานกงเฉินพาเสี่ยวอี้กลับไปที่เมืองซีวันนั้นเลย เมื่อกลับไปถึงโรงแรม ผู้ช่วยเหยียนก็พาตัวคุณหมอที่จะเจาะเอาตัวอย่างเลือดมาแล้วให้คุณหมอเจาะเลือดของเสี่ยวอี้ไป หนานกงเฉินก็นำแหวนที่มีคราบเลือดให้คุณหมอไปด้วย

“ใช้เวลาให้น้อยที่สุดแล้วนำผลมาให้ได้แล้วห้ามให้คนอื่นรู้เด็ดขาด รวมถึงคุณหมอผู่ด้วย” หนานกงเฉินบอกกับคุณหมอ

“ได้ครับคุณชายเฉิน” คุณหมอเอ่ยตอบรับอย่างมีมารยาท

หลังจากที่คุณหมอเดินจากไปหนานกงเฉินกลับมาถึงในห้อง เสี่ยวอี้ก็ถามอย่างสงสัย “พี่เขย ทำไมต้องเจาะเลือดผมหรอครับ?”

หนานกงเฉินคิดไปคิดมาแล้วยิ้มอ่อนให้ “ให้คุณหมอช่วยตรวจเช็คร่างกายไง ดูว่าโรคของเราหายดีหรือยัง”

เสี่ยวอี้เชื่อว่าเป็นความจริงแล้วยิ้มอย่างดีใจ “พี่เขยไว้ใจเถอะคับ ผมดีขึ้นแล้ว ตอนนี้ยังไปเรียนวิชาพละได้แล้วด้วย”

“ใช่หรอ? ดูเหมือนจะดีขึ้นจริงๆ”

“ใช่ครับ ขอบคุณพี่เขยมากนะครับ” เสี่ยวอี้พูดขอบคุณ

หนานกงเฉินยกมือขึ้นวางบนหัวของเขาแล้วยิ้มอ่อน “ไม่ต้องขอบคุณ พี่เป็นพี่เขยนะ”

เมื่อได้ยินเขาพูดคำนี้ สีหน้าเสี่ยวอี้ก็เปลี่ยนไปทันทีแล้วเอ่ยอย่างเสียใจ “ถ้าพี่สาวยังมีชีวิตอยู่ก็คงจะดี ผมคิดถึงชีวิตที่อยู่กับพี่สาวพี่เขยมากเลย”

หนานกงเฉินยิ้มอย่างขมขื่น “พี่ก็คิดถึงเหมือนกัน”

ใช่ เขาก็คิดถึงเหมือนกันแล้วหวังว่าชีวิตแบบนั้นยังจะมีอีก ก็ต้องรอดูผลว่าจะยังมีโอกาสอีกหรือเปล่า

ที่เมืองซี เมื่อจูจื้อเหวินได้ยินคนในหมู่บ้านบอกว่าเสี่ยวอี้ถูกรับตัวไป วันต่อมาก็รีบไปที่หมู่บ้านทันที

ตอนนั้นที่ให้จูฮุ่ยอยู่ที่นี่ก็กลัวว่าเธอจะทำอะไรตุกติกก็เลยมีสายสืบในหมู่บ้านด้วย เพราะฉะนั้น เมื่อเสี่ยวอี้ออกไป ก็มีคนโทรบอกเขาทันที

เขาเดินเข้าไปในบ้านแล้วมองกวาดไปรอบๆเอ่ยถามขึ้น “เสี่ยวอี้ล่ะ? ทำไมเขาไม่อยู่บ้าน?”

จูฮุ่ยรีบอธิบาย “เสี่ยวอี้ออกไปเล่นแล้ว พี่ชายหาเขามีเรื่องอะไรเหรอคะ?”

“ไปเล่นที่ไหน? รีบเรียกตัวกลับมาเดี๋ยวนี้” จูจื้อเหวินนั่งลงบนโซฟาแล้วทำท่าถ้าไม่เจอตัวเสี่ยวอี้ก็ไม่ยอมไปเด็ดขาด

ในใจจูฮุ่ยก็สั่นเกร็งไป “ฉันไม่รู้ ไม่ได้บอกกับฉัน”

“ไปตั้งแต่เมื่อไหร่?” จูจื้อเหวินตบโต๊ะจนทำให้จูฮุ่ยตกใจแล้วสะดุ้งไปทันทีเลยพูดติดๆขัดๆมองไปที่เขา

“ฉันได้ยินว่าเมื่อคืนมีคนที่ขับรถหรูหรารับตัวเสี่ยวอี้ไป สรุปใครกันแน่ที่รับตัวเสี่ยวอี้ไป?” ท่าทางจูจื้อเหวินเหมือนกำลังสอบปากคำ เขารู้จักน้องสาวของตัวเองดี ถ้าเขาโมโหเมื่อไหร่เธอก็ต้องกลัวแน่นอน

และแน่นอน เมื่อเห็นเขาโมโหจูฮุ่ยก็รีบเปิดปากพูดทันที “คือ……คือหนานกงเฉิน เขารับตัวเสี่ยวอี้ไป”

“เธอพูดอะไรนะ?” จูจื้อเหวินลุกขึ้นจากโซฟาแล้วจ้องไปที่เธอ “หนานกงเฉินรับตัวเสี่ยวอี้ไป? เพราะอะไร?”

“เขาบอกว่าจะพาเสี่ยวอี้ไปเล่นที่เมืองซี แต่ไม่ได้บอกว่าไปที่ไหนแล้วเสี่ยวอี้ก็อยากไปกับเขาด้วย ไม่ว่าฉันจะพูดยังไงก็ไม่ยอม” จูฮุ่ยพูดด้วยสีหน้าเอื้อมระอา “พี่ชาย พี่อย่าโทษฉันเลย ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาหามาถึงที่นี่ได้ยังไง เมื่อวานอยู่ๆเขาก็โผล่มาแล้วบอกว่าเขาคิดถึงมู่ชิง อยากจะกลับมาเยี่ยมมู่ชิง ฉันก็ทำอะไรไม่ได้ เขากับเสี่ยวอี้ก็สนิทกันด้วย เมื่อเขาพูดว่าจะพาไปเที่ยวเล่น เสี่ยวอี้ก็รีบตามเข้าไปทันที”

จูจื้อเหวินคิดไปคิดมาแล้วเอ่ยถาม “เขากลับมาเยี่ยมมู่ชิงจริงหรอ?”

“ใช่……” จูฮุ่ยรีบพยักหน้า

“แล้วเธอไม่ได้พูดอะไรกับเขาใช่ไหม? ไม่ได้บอกเขาเรื่องฉันกับจูจูใช่ไหม?”

จูฮุ่ยส่ายหน้า “ไม่ได้บอกค่ะ เขาแค่มาปักธูปให้มู่ชิง จากนั้นฉันก็ไล่เขาไป”

จูจื้อเหวินพยักหน้าแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงขู่ “ระวังด้วย ต่อไปอย่าให้เสี่ยวอี้ใกล้ชิดกับเขามาก อีกอย่างอย่าเอ่ยกับเขาเรื่องบ้านของเราเด็ดขาด”

“รู้แล้วค่ะ” จูฮุ่ยตอบรับ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พี่ชายเตือนเธอแล้ว เธอจะกล้าพูดได้ยังไง

เมื่อจูจื้อเหวินไปจากบ้านจูฮุ่ย เข้าไปในรถก็รีบโทรหาจูจูทันทีแล้วบอกเธอเรื่องที่หนานกงเฉินรับตัวเสี่ยวอี้ไปที่เมืองซี

เมื่อได้ยินว่าหนานกงเฉินกลับไปเยี่ยมไป๋มู่ชิง จูจูก็โมโหขึ้นมาทันที “ไป๋มู่ชิงตายไปนานแค่ไหนแล้ว เขายังกลับไปหาเธออีก? แล้วยังพาเสี่ยวอี้มาด้วย?”

“ใช่ ดูเหมือนว่าความรู้สึกของเขาที่มีต่อไป๋มู่ชิงจะลึกซึ้งมาก” จูจื้อเหวินถอนหายใจ “จูจู ดูเหมือนว่าใจของหนานกงเฉิน เธอจะแย่งกลับมาได้ยาก เธอดูเอาเองแล้วกัน”

จูจูคิดไปคิดมาแล้วเอ่ยถาม “ถึงแม้ว่าเขาจะยังมีความรู้สึกกับไป๋มู่ชิง แต่ก็ไม่ถึงขั้นที่จะสนิทกับน้องชายขนาดนั้นมั้งคะ? หนานกงเฉินไม่ชอบเด็กอยู่แล้ว ทำไมยังจะไปรับตัวเสี่ยวอี้มาที่เมืองซี?”

“งั้นพ่อก็ไม่รู้เหมือนกัน” จูจื้อเหวินยักไหล่

จูจูคิดไปคิดมา สุดท้ายก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเป็นยังไงกันแน่ จนต้องวางสายไป

กับการกระทำที่ดูผิดปกติช่วงนี้ของหนานกงเฉิน เธอมองไม่ออกเลย

จนกว่าจะถึงวันที่ผลออกมา หนานกงเฉินก็ให้เสี่ยวอี้อยู่ที่คอนโดเซียงตี๋ แล้วให้พนักงานชายมาพาเขาไปเที่ยวเล่นด้วย

แล้วพอตกดึก หนานกงเฉินก็ยังพาเขาไปกินอาหารข้างนอกด้วยตัวเอง จากนั้นค่อยส่งกลับมาที่คอนโด

พอมองเห็นสิ่งของและสภาพแวดล้อมที่คุ้นเคยในคอนโด ในใจหนานกงเฉินก็รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมา แต่เขาต้องพยายามกลั้นความรู้สึกไว้แล้วจัดการให้เสี่ยวอี้อยู่ที่นี่

เสี่ยวอี้มองเห็นความรู้สึกที่เสียใจของเขาก็เลยถามเขาว่า “พี่เขย พี่เหมือนผมหรือเปล่า พอเห็นห้องนี้ก็นึกถึงพี่สาวใช่ไหมครับ?”

หนานกงเฉินพยักหน้าแล้วยิ้มอย่างขมขื่น “ใช่ ทุกครั้งที่มาที่นี่ก็จะคิดถึงเธอ”

“พี่เขย คุณแม่ผมพูดถูก ถ้าพี่สาวมองอยู่บนฟ้าคงไม่อยากเห็นว่าเราเสียใจ เพราะฉะนั้นเราจะเสียใจไม่ได้ พี่เขยก็อย่าเสียใจเลยนะครับ”

หนานกงเฉินพยักหน้าแล้วตบไปที่บ่าเบาๆ “เสี่ยวอี้รีบนอนเถอะ เดี๋ยวพี่กลับก่อน”

“บ้ายบายพี่เขย” เสี่ยวอี้โบกมือให้เขา

หนานกงเฉินก็สั่งการกับพนักงาน จากนั้นค่อยออกไปจากคอนโดแล้วคฤหาสน์

เขาก็เหมือนปกติทุกวัน จอดรถลงที่หน้าคฤหาสน์จากนั้นก็เดินเข้าไปในคฤหาสน์

คุณหญิงก็เรียกเขาไว้ “เฉิน เมื่อคืนไม่กลับทั้งคืนไปที่ไหน?”

“ไปทำธุระที่เมืองเหยียนครับ” หนานกงเฉินพูด

“ทำไมฉันได้ยินว่าแกพาเด็กกลับมาด้วย?” คุณหญิงถาม

เขามองไปทางจูจูที่อยู่ข้างๆ “ใช่ครับ น้องชายของมู่ชิง ไม่ได้เจอกันนานก็เลยพามาเที่ยวเล่นไม่กี่วันครับ”

“นี่แก……ผ่านไปนานขนาดนี้แล้วยังจะยุ่งเกี่ยวกับคนในครอบครัวของไป๋มู่ชิงทำไม?” คุณหญิงไม่สบอารมณ์ “ตอนนั้นที่แกออกเงินให้เด็กนั่นรักษาโรคตัวฉันก็ไม่พอใจมากแล้ว แล้วตอนนี้แกยังพามาเที่ยวเล่นที่เมืองซีอีก?”

แต่หนานกงเฉินกลับยิ้มอย่างไม่แคร์ “คุณย่าครับ ผมชอบเสี่ยวอี้ ก็ถือว่าให้เขามาอยู่เป็นเพื่อนผมไม่กี่วันละกันครับ”

“ฉันว่าแกยังไม่ลืมไป๋มู่ชิงก็เลยพาน้องชายเธอมาที่เมืองซีสินะ”

หนานกงเฉินไม่ได้ปฏิเสธแล้วเอ่ย “ผมไม่เคยปฏิเสธความรู้สึกคิดถึงที่ผมมีต่อมู่ชิง”

คุณหญิงไม่รู้จะเอ่ยพูดอะไรอีกแล้วหนานกงเฉินก็พูดขึ้นอีกว่า “คุณย่าครับ ผมกลับไปที่ห้องก่อนนะครับ”

“หนานกงเฉิน ถ้าแกไม่ทำให้ฉันอารมณ์เสียก็จะไม่ยอมใช่ไหม?” คุณหญิงเอ่ยขึ้นตามแผ่นหลังเขาไป

มองหนานกงเฉินที่เดินขึ้นไปชั้นบนแล้ว ผู่เหลียนเหยาก็รีบพูดปลอบใจ “พี่ชายแค่รับเด็กคนนึงกลับมาไม่กี่วัน ทำไมต้องโกรธขนาดนั้นด้วยคะ?”

“ใช่ค่ะ คุณย่าอย่าหงุดหงิดเลยค่ะ” จูจูก็พูดปลอบใจท่านไปด้วย จากนั้นก็เร่งฝีก้าวขึ้นไปชั้นบน

เมื่อผู่เหลียนเหยาเห็นสีหน้าของคุณหญิงก็ยังไม่ดีมากนัก ก็เลยขยับไปนั่งข้างกายท่านแล้วปลอบใจ “คุณย่าคะ พี่ชายก็ยอมคุณย่าแต่งงานกับพี่สะใภ้แล้ว คุณย่าก็ปล่อยไปเถอะว่าเขาจะคิดถึงคุณหนูไป๋หรือเปล่า ยังไงก็เป็นคนที่ตายแล้ว ก็ไม่มีผลกระทบอะไรกับพวกเรา”

คุณหญิงสูตรหายใจเข้าเบา ท่านก็ต้องรู้อยู่แล้วว่าไม่มีผลกระทบอะไรกับทุกคน ท่านแค่ไม่ชอบท่าทางที่หลานมีต่อท่านเท่านั้น

จูจูตามขึ้นไปชั้นบน ก่อนที่หนานกงเฉินจะเข้าห้องไปก็ดึงแขนเขาไว้แล้วถามอย่างเป็นห่วง “เฉิน คุณทานข้าวหรือยังคะ? ให้ฉันไปหาอะไรให้คุณทานไหมคะ?”

หนานกงเฉินก้มลงมองมือของเธอที่กับข้อมือตัวเองไว้แล้วเอ่ยขึ้นอย่างเยือกเย็น “ปล่อยมือ”

ใจจูจูก็สั่นวูบไปแล้วรีบเอ่ย “เฉิน คุณรู้สึกว่าฉันกำลังสะกิดรอยตามคุณหรือเปล่าคะ ฉันสาบานได้นะคะว่าฉันเปล่า”

“ไม่จำเป็น” หนานกงเฉินยิ้มอย่างเสียดสี “ถ้าอยากจะตามก็ตามไปเถอะ อย่าว่าแต่พาเด็กคนนึงมาเที่ยวเล่นเลย ถึงแม้ผมจะออกไปทำอะไรข้างนอกก็ไม่กลัวให้พวกคุณสะกดรอยตามหรอก”

ในใจจูจูก็ตกวูบไป คำพูดแบบนี้เธอได้ยินบ่อยแล้ว แต่เมื่อได้ยินหนานกงเฉินพูดกับเธอแบบนี้อีกก็อดไม่ได้ที่จะเสียใจ เธอเลยจำใจต้องเอ่ยว่า “ฉันรู้ว่าฉันไม่มีสิทธิ์ไปห้ามคุณ เพราะฉะนั้นฉันเลยไม่เคยห้ามคุณ แค่อยากจะให้คุณดูแลร่างกายตัวเองดีๆ”

“ขอบใจ ผมจะระมัดระวัง” หนานกงเฉินสะบัดมือของเธอออกจากนั้นก็เข้าไปในห้อง

มองไปที่ประตูที่ปิดสนิทแล้วก็จูจูถอนหายใจอย่างหมดคำพูด เธออยากรู้มากว่เป้าหมายหลักที่หนานกงเฉินพาเสี่ยวอี้กลับมา แต่ดูจากสถานการณ์แล้วหนานกงเฉินคงไม่มีทางพูดเรื่องนี้กับเธอ

ทางโรงพยาบาลก็ใช้เวลาที่เร็วที่สุดแล้วนำผลตรวจดีเอ็นเอออกมา

ผู้ช่วยเหยียนรับผลตรวทมาจากมือคุณหมอจากนั้นก็เปิดดูผลตรวจว่าเป็นยังไง แล้วรีบปิดผลตรวจทันที

ผลตรวจแบบนี้ เธอไม่รู้ว่าจะเอ่ยพูดกับหนานกงเฉินยังไง เพราะว่าเธอไม่รู้ว่าหลังจากที่เธอพูดแล้วหนานกงเฉินจะทนรับไหวหรือเปล่า

หนานกงเฉินรู้สึกกระวนกระวาย เมื่อเจอเธอตอนเช้าเรื่องแรกก็รีบเอ่ยถามถึงผลตรวจว่าได้หรือยัง เธอลังเลไปครู่หนึ่งแล้วส่ายหัว “ยังค่ะ”

“ทำไมช้าขนาดนี้?” หนานกงเฉินขมวดคิ้วอย่างไม่สบอารมณ์

“คงจะส่งมาวันนี้แหละค่ะ” ผู้ช่วยเหยียนพูดจบก็จ้องมองไปที่เขา “คุณชายเฉินคะ ฉันคิดว่าก่อนที่จะได้ผลตรวจคุณควรจะเตรียมใจก่อนไหมคะ? ถ้าผลตรวจออกมาว่าคุณหนูอีเป็นคุณหญิงน้อยจริงคุณจะทำยังไงคะ? แล้วถ้าไม่ใช่คุณจะทำยังไงคะ?”

“ผมอยากรู้ผลตรวจตอนนี้เลย ไม่อยากคิดอะไรพวกนั้น” หนานกงเฉินเอ่ยอย่างหงุดหงิด

ผู้ช่วยเหยียนยิ้มให้ “ฉันคิดว่าคุณก็ควรจะเตรียมใจไว้ ไม่งั้นฉันคงไม่กล้าเอาผลตรวจให้คุณดู”

หนานกงเฉินจ้องมองไปที่เธอแล้วน้ำเสียงก็เยือกเย็นทันที “ผลตรวจดีเอ็นเอออกมาแล้วใช่ไหม?”

ผู้ช่วยเหยียนไม่ตอบ แค่ถอยหลังไปหนึ่งเก้า

“ใช่ไหม?” หนานกงเฉินตบโต๊ะทำงานด้วยมือทั้งสองข้างแล้วลุกขึ้นยืนพร้อมจ้องมองเธอด้วยสายตาดุเดือด “เอาผลตรวจออกมาเดี๋ยวนี้”

ผู้ช่วยเหยียนแอบสูดหายใจเข้าลึกๆ รู้ว่าเขาคงจะแสดงท่าทางแบบนี้ แต่ไม่ว่าผลตรวจจะเป็นยังไงก็จะทำให้เขาสะเทือนใจแน่นอน!

และแน่นอน เรื่องนี้ปิดบังยังไงก็ปิดบังไม่อยู่ เธอเลยจำใจต้อง ยื่นผลตรวจในมือไปให้ “คุณชายเฉินคะ ฉันหวังว่าถ้าคุณเห็นผลตรวจจะใจเย็นหน่อยนะคะ

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

Status: Ongoing
ไป๋มู่ชิงเคยได้ยินเรื่องเล่าตั้งแต่เด็กว่า ตระกูลหนานกงในเมืองซีเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุด แต่น่าเสียดายที่คุณชายใหญ่ของตระกูลกลับป่วยเป็นโรคประหลาด โรคที่เขาเป็นจะทำให้เขามีอายุอยู่ได้ไม่ถึงอายุ30ปี ไป๋มู่ชิงยังได้ยินมาอีกว่า คุณชายหนานกงเฉินแต่งงานใหม่ทุกๆปี แต่เจ้าสาวของเขากลับมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงวันต่อมาหลังคืนเข้าหอ แต่ไม่ทราบสาเหตุของการแต่งงานและยังไม่ทราบถึงสาเหตุการเสียชีวิตของเจ้าสาวด้วย เมื่อตระกูลหนานกงได้ส่งของหมั้นมาให้ตระกูลไป๋ ไป๋มู่ชิงก็คิดไม่ถึงว่าพ่อของเธออยากจะปกป้องชีวิตพี่ของเธอไว้ถึงขนาดผลักเธอเข้าไปในประตูนรกอย่างโหดร้าย บังคับให้เธอแต่งงานกับหนานกงเฉินเป็นเจ้าสาวคนที่เจ็ดของเขา แทนพี่สาวของเธอ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท