“มู่ชิง ฉันอยากให้คุณพบคนสองคน”หนานกงเฉินกล่าว
“ไม่จำเป็นค่ะ”ไป๋มู่ชิงมองเขาด้วยสีหน้าจริงจัง“คุณชายเฉินค่ะ จริงๆแล้วไม่จำเป็นต้องมาเสียเวลาของกันและกันอีกเลยนะค่ะ ตั้งแต่ตอนที่คุณพูดถึงเรื่องลูก ฉันก็กล้ามั่นใจ 100% ได้เลยว่าฉันไม่ใช่คนที่คุณต้องการหา ล้มเลิกเถอะค่ะ ”
“ถ้าคุณไม่พบพวกเขาก่อนแล้วจะรู้ได้อย่างไร?”หนานกงเฉินพูดจบจึงลุกขึ้นเดินไปที่ประตูห้องนอนแล้วเคาะประตูตะโกนเสียงดังว่า:“เสี่ยวอี้พวกเธอออกมาได้แล้ว”
ประตูห้องนอนถูกคนเปิดออก เสียวอี้และเหยาเหม่ยเดินออกมาจากด้านใน เหยาเหม่ยถามว่า:“พวกคุณคุยกันเสร็จแล้วหรอคะ?”
“เพราะประตูห้องเก็บเสียงได้ดีมาก เธอไม่ได้ยินเลยว่าเมื่อครู่พวกเขาคุยกันอะไรกัน ”
หนานกงเฉินพยักหน้าพาทั้งสองคนไปยังห้องรับแขกพูดกับไป่มู่ชิง:“คุณดูสิ คุณยังรู้จักพวกเขาอยู่หรือเปล่า?”
ไป๋มู่ชิงมองไปที่เสียวอี้และเหยาเหม่ย เสียวอี้และเหยาเหม่ยก็กำลังมองไปที่ไป่มู่ชิง ในสายตาของทั้งคู่นั้นแสดงให้เห็นว่าแปลกหน้า
หนานกงเฉินเดินไปตรงหน้าไป่มู่ชิง ลากเธอลุกขึ้นจากโซฟา ชี้ไปที่เสียวอี้พูดว่า:“มู่ชิง นี่เป็นน้องชายที่คุณรักมากที่สุดไง เพื่อเขาแล้วคุณสามารถเสียสละได้ทุกอย่าง คุณจำไม่ได้หรอ?”
“ไป๋มู่ชิงมองเสียวอี้อย่างค้นคิดเล็กน้อย สายตายังคงบ่งบอกว่าแปลกหน้า เธอส่ายหัวไปมา:“ขอโทษนะ ฉันไม่รู้จักจริงๆค่ะ ”
หลังจากที่เสียวอี้จ้องสังเกตไป่มู่ชิงแล้ว เงยหน้าขึ้นมองหนานกงเฉินพูดว่า:“พี่เขยครับ เขาไม่ใช่พี่สาวของผมจริงครับ”
“เสียวอี้”หนานกงเฉินแอบสะกิตที่เอวของเขาเล็กน้อยพูดว่า:“เขาเป็นพี่สาวขอเธอจริงๆเขาแค่สูญเสียความทรงจำแล้วจำเธอไม่ได้นะ”
“เป็นไปได้ไงที่พี่สาวของผมจะจำผมไม่ได้ พี่สาวผมเอ็นดูและรักผมมากที่สุด ”เสียวอี้จ้องมองไป๋มู่ชิงอีกครั้ง ส่ายหัวไปมา:“ เขาไม่ใช่พี่สาวผมครับ”
ใช่ค่ะคุณชายเฉิน” เหยาเหม่ยเดินเข้ามา หลังจากที่สังเกตมองไป๋มู่ชิงไปสักพักแล้วพูดกับหนานกงเฉิน:“คุณชายเฉินคุณหยุดเพ้อเจ้อได้แล้วค่ะ ฉันรู้ว่าคุณคิดถึงมู่ชิงมาก แต่เธอไม่เหมือนมู่ชิงแม้แต่นิด จะเป็นมู่ชิงได้ยังไง?”
“เธอเป็นเขาจริงๆ!”หนานกงเฉินตะคอกใส่เหยาเหม่ยอย่างอารมณ์เสีย
เสียวอี้พูดกลับคำกะทันหันก็ยังพอให้อภัยได้ เพราะเขายังเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง เธอคาดคิดไม่ถึงว่าเหยาเหม่ยก็ยังพูดกลับคำขึ้นมาอย่างกะทันหันเช่นกัน ในตอนนี้เขารู้สึกกังวลโมโหมาก
เหยาเหม่ยโดนเขาตะคอกใส่จนอึ่ง แต่ก็รวบรวมความกล้าทั้งหมดแล้วพูดว่า:“ คุณชายเฉิน รถของมู่ชิงระเบิดใหม้ไปแล้ว คุณคิดว่ายังจะมีชีวิตรอดหรอคะ?นอกจากนั้นคุณป็นคนไปรับศพด้วยตัวเอง แม้แต่แหวนก็เอากลับมาแล้ว คุณเลิกหลอกลวงตัวเองสักที……”
“พอได้แล้ว!”หนานกงเฉินขัดเธอด้วยความโกรธจัด
ไม่มีใครเชื่อเขาเลย ทุกคนคิดว่าเขาเป็นบ้าไปแล้ว แต่เห็นได้ชัดเจนว่าคนตรงหน้านี้เป็นคนที่เขาเฝ้าคิดถึงมาโดยตลอดทำไมไม่มีคนเชื่อเขา แม้แต่ไป่มู่ชิงก็ยังไม่เชื่อ!
เหยาเหมยกลัวจนต้องหดคอ และก็ไม่กล้าพูดอะไรอีกสักคำ
หนานกงเฉินเอื่อมมือไปลากเสียวอี้ที่อยู่ข้างๆเขา ผลักเข้าไปยังตรงหน้าของไป่มู่ชิงพูดอย่างดุเดือด:“ เสียวอี้ เธอดูให้ชัดเจน เธอคือพี่สาวแท้ๆของเธอ เธอบอกว่าเธอคิดถึงเธอมากไม่ใช่หรอ คิดถึงเธอเสมอไม่ใช่หรอ แล้วทำไมตอนนี้เธอยืนอยู่ตรงหน้าเธอแล้ว?แต่เธอกลับจำเธอไม่ได้?”
“พี่เขยครับ……”เสียวอี้ตื่นกลัวมากที่เห็นกิริยาอันดุเดือดของเขา
หนานกงเฉินเพิกเฉยไม่สนใจเธอ แต่กลับหันไปหาไป๋มู่ชิง:“มู่ชิง คุณลองมองดูดีๆสิ คิดดูดีๆสิ เธอคือเสียวอี้ ชอบกินนองไก่มากที่สุด เสียวอี้ที่ชอบตื๊อให้คุณคอยซื้อไก่ย่างให้เธอกินตลอด คุณจำเธอไม่ได้แล้วจริงๆหรอ?คุณลืมเธอไปได้ยังไง?”
ไป๋มู่ชิงจ้องมองที่เสียวอี้ เริ่มมีอาการเวียนหัวอีกครั้ง เธอกังวลว่าเธอจะปวดหัวรุนแรงเหมือนเมื่อกี้อีก จึงรีบละสายตาจากตัวเสียวอี้ พูดกับหนานกงเฉินว่า:“ขอโทษนะคะ ฉันไม่รู้จักเธอจริงๆ สามารถปล่อยฉันกลับไปได้ยังคะ?ขอร้องล่ะ……”
“ไม่ใช่ว่าคุณไม่รู้จักเธอ แต่คุณกำลังวิ่งหนีมัน!”หนานกงเฉินเริ่มกังวลและโกรธ
ไป๋มู่ชิงหันหลังกำลังจะกลับออกไป หนานกงเฉินรีบคว้ามือดึงเธอกลับมา:“มู่ชิง คุณอย่าพึ่งไปนะ ฉันยังมีเรื่่องต้องคุยกับคุณ……!”
“หนานกงเฉิน!คุณพอได้แล้ว?”ไป๋มู่ชิงตะโกนและดิ้นมือออก ใช้มือทั้งสองข้างผลักดันหน้าอกของเขาอย่างแรง หนานกงเฉินถอยหลังออกอย่างไม่ทันตั้งตัว ได้แต่มองเธอจากไป ครั้งนี้เขาไม่ได้ตามออกไป แต่ระบายอารมณ์โดยการชกมือลงไปทั้งสองข้าง ทันทีนั้นเหมือนกับลูกบอลโดนปล่อยลม
ภายในห้องอยู่ในความเงียบเหยาเหม่ยเหลือบมองประตูที่ถูกปิดลง คอยๆจ้องมองไปที่หนานกงเฉินอย่างระวัง:“คุณชายเฉินค่ะ……คุณโอเคไหมคะ?”
หนานกงเฉินได้สูดลมหายใจเบาๆ หลังจากสงบอารมณ์แล้วพูดกับเธอ รบกวนคุณช่วยส่งเธอกลับไปหน่อย ขอบคุณครับ”
“เธอหรอ?”เหยาเหม่ยชี้ไปทางประตู รีบพยักหน้า:“อืม
ได้ค่ะ ไม่มีปัญหา”
เหยาเหม่ยก็ไม่อยากอยู่ที่นี่นานไปกว่านี้ เธอจึงรีบหันตัวเดินไปที่ประตูอย่างรวดเร็ว
หนานกงเฉินก้าวถอยหลังสองสามก้าว แล้วล้มตัวลงบนโซฟาข้างๆ ในใจเขาเต็มไปด้วยความผิดหวังและพ่ายแพ้
เขาคิดไม่ถึงว่าไป่มู่ชิงจะลืมเขาอย่างหมดจด ลืมทุกสิ่งทุกอย่างไปหมดแล้ว แม้แต่เสียวอี้ที่เธอรักมากที่สุดก็ยังลืมไปอย่างสิ้นเชิง
เสียวอี้จ้องมองเขาแล้วคิดอยู่ครู่นึ่ง จึงหันตัวเดินไปที่ตู้น้ำเทน้ำมาให้เขาแก้วหนึ่ง ยืนอยู่ข้างๆเธอถามด้วยความเป็นห่วง:“พี่เขยครับ คุณไม่เป็นไรนะครับ?”
หนานกงเฉินยกมือขึ้นตบไหล่เขาเบาๆ พูดอย่างขมขื่นว่า:“ ขอบคุณมาก ฉันไม่เป็นไร”
เสียวอี้ได้แต่พยักหน้า รีบพูดต่อว่า:“พี่เขยครับ ผมรู้ว่าคุณคิดถึงถึงพี่สาวมาก แต่พี่สาวจากไปนานแล้วครับ”
หนานกงเฉินยิ้มอย่างทำอะไรไม่ได้ มองไปที่เธอพูดว่า:“เสียวอี้ อันที่จริงพี่ไม่ได้โทษพวกเธอที่ไม่เชื่อ ตอนที่ฉันเห็นเธอครั้งแรกฉันก็ไม่คาดคิดและจำไม่ได้ว่าเป็นเธอ”
“เพราะฉะนั้น พี่เขยครับ”อย่ามัวแต่หาข้ออ้างอีกเลยครับ”
หนานกงเฉินพยักหน้ารับ:“ฉันรู้ล่ะ”เขาพูดจบ เขายืนมือขึ้นโอบไหล่เล็ก ๆ ของเธอพูดว่า:“เสียวอี้ เรื่องที่ฉันให้เธอไปตรวจร่างกายและเรื่องเมื่อกี้ที่ให้เธอมาดูว่าใช่พี่สาวเธอหรือเปล่าอย่าบอกใครได้ไหม?รวมถึงคุณแม่เธอด้วย”
เขาไม่อาจบังคับให้เสียวอี้เชื่อเขา เพราะเสียวอี้เป็นแค่เด็กคนหนึ่งจะให้เขารู้มากเกินไปมันก็ไม่ดี
“ผมรู้แล้วครับ พี่เขยครับ ”เสียวอี้ให้คำสัญญา:“รับรองว่าผมจะไม่บอกแม่ครับ”
เหยาเหม่ยมองใบหน้าที่ไม่พอใจของไป่มู่ชิง ถามด้วยความเป็นห่วง:“คุณหนูอีค่ะ คุณโอเคไหมค่ะ?”
ไป๋มู่ชิงรู้สึกสับสนวุ่นวายใจมาก มันจะโอเคได้ไง แต่เธอก็ยังพยักหน้ารับ:“ยังโอเคค่ะ”
ลิฟต์หยุดอยู่ที่ชั้นหนึ่ง เหยาเหม่ยเดินตามหลังเธอนอกจากคุยโทรศัพท์แล้ว ก็เดินไปตรงทางออกประตูสวนดอกไม้ ไป่มู่ชิงรู้สึกว่าเธอยังตามหลังตัวเองอยู่ เลยหันหลังไปถามว่า:“ขอโทษนะคะคุณยังมีธุระอะไรหรือเปล่าคะ?”
“โอ้ คุณชายเฉินไม่ไว้วางใจคุณ ก็เลยให้ฉันไปส่งคุณกลับบ้านนค่ะ ”เหยาเหม่ยชี้ไปยังรถคันหนึ่งที่จอดอยู่ข้างๆ :“คุณหนูอีขึ้นรถเถอะค่ะฉันไปส่งคุณนะคะ”
ไป๋มู่ชิงคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นหันหลังเดินขึ้นไปรถของเธอ
รถถูกขับออกจากคอนโดเซียงตีไปได้สักพัก เหยาเหม่ยค่อยแอบมองไป่มู่ชิงที่นั้งอยู่ข้างๆตลอด ตอนรถจอดรอสัญญาณไฟก็เอาแต่แอบมองเธอโดยสัญชาตญาณ พูดขึ้นว่า:“คุณหนูอี อย่าโทษคุณชายเฉินที่จำคนผิดนะคะ ฉันยิ่งมองยิ่งรู้สึกว่าบนตัวคุณมีเงาของมู่ชิง”
ไป๋มู่ชิงมองไปที่เธอ ถามอย่างเรียบๆ:“มีเหรอคะ?”
“มีค่ะ”เหยาเหม่ยคิดอยู่ครู่หนึ่ง:“ใช่แล้วค่ะ ฉันจำได้ว่าตรงข้อมือของมู่ชิงมีรอยฟันกดหลายอัน คุณ…… ”ก่อนที่จะพูดจบ เธอก็สังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนว่าบนข้อมือของไป่มู่ชิงไม่มีรอยฟันกดใดๆทั้งสิ้น เธอเอียงหัวคิดอยู่สักพัก พึมพำอย่างเบาๆ:“หรือว่าจะเป็นหนานกงเฉินคิดมากไปจริงๆ?”
“คุณเป็นเพื่อนของคุณชายเฉินหรอคะ?”ไป๋มู่ชิงมองหน้าถามเขาอย่างไม่ต้องการคำตอบ:“ถ้าหากใช่แล้วล่ะก็ รบกวนคุณช่วยฉันเกลี้ยกล่อมเขาหน่อย ฉันไม่ใช่อดีตภรรยาของเขาจริงๆค่ะ ฉันเป็นคนมีลูกและสามีแล้ว และฉันไม่มีวันทอดทิ้งพวกเขา ”
“ไม่ใช่ค่ะ ฉันไม่ใช่เพื่อนของคุณชายเฉิน ฉันกับมู่ชิงเป็นเหมือนพี่น้องกัน”เหยาเหม่ยรับอธิบายขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
“โอ้”ไป๋มู่ชิงได้แต่พยักหน้ารับ แล้วหันหน้ากลับไป
เหยาเหม่ยมองไปที่เธออีกครั้ง:“คุณหนูอี คุณอย่าโทษคุณชายเฉินที่รุกรานคุณเลยนะคะ เขาแค่คิดถึงมู่ชิงมากจนเกินไป ก็เลยหากห้ามใจไม่ได้คิดว่าคุณเป็นเธอ จริงๆแล้วเขา……ไม่มีเจตนาร้ายใดๆเลยนะคะ ”
“ฉันรู้ ฉันแค่……”ไป๋มู่ชิงใช้เวลาคิดอยู่สักพักสุดท้ายเธอก็เลือกที่จะส่ายหัวและไม่พูดอะไรอีกเลย
เธอเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงต่อต้านสิ่งที่หนานกงเฉินทำให้เธอ หรือว่าจะเป็นอย่างที่หนานกงเฉินพูดจริงๆ เธอกำลังตั้งใจวิ่งหนีอะไรบางอย่างอยู่?
ไม่……
ในใจเธอคัดค้านทันที เธอไม่เชื่อในสิ่งที่หนานกงเฉินพูดแม้แต่เรื่องเดียว ไม่เชื่อแม้แต่ประโยคเดียว แล้วเธอมีอะไรให้ต้องวิ่งหนีล่ะ?
เมื่อไป๋มู่ชิงกลับมาถึงบ้าน เสียวหว่านชิงที่กำลังเล่นกับสุนัขอยู่ในสวนก็วิ่งเข้าไปกอดไป่มู่ชิงทันที พูดว่า:“แม่คุณ หายไปไหนมาคะ ?พ่อกับหนูเรากำลังรอคุณแม่กลับค่ะ ”
ร่างเล็กๆกระแทกเข้ากับขาของเธอ มันเป็นความสัมผัสที่อบอุ่นใจมาก เธอก้มหน้าลงไปเห็นหน้ากลมๆเล็กๆของหว่านชิงที่จองมองเธออยู่ ด้วยรักที่เต็มเปี่ยม เธอจึงย่อตัวลง กอดเสียวหว่านชิงไว้ในอ้อมแขน ลูบหัวอันน้อยๆของเขาพูดว่า:“ขอโทษนะคะ แม่แค่ออกไปทำธุระแปปเดียวเอง ”
“คุณแม่ค่ะ คุณแม่เป็นอะไรหรือเปล่าคะ?”เมื่อรู้สึกว่าเธอกำลังร้องไห้ เสี่ยวหว่านชิงก้าวถอยออกจากอ้อมแขนของเธอ จ้องมองเธอด้วยความเป็นห่วง
“ไม่เป็นอะไรค่ะ เป็นเพราะแม่เห็นหว่านชิงรู้สึกดีใจมาก ”ไป๋มู่ชิงลูบหน้ากลมๆของเสียวหว่านชิง มองหน้าที่คล้ายคลึงกับเธอมาก นึกถึงคำพูดของหนานกงเฉิน
เป็นไปได้ไงที่หว่านชิงจะไม่ใช่ลูกสาวแท้ๆของเธอ?ทั้งๆที่หน้าเหมือนเธอมากขนาดนี้ ติดเธอมาก รวมถึงพฤติกรรมการกินและวิธีพูดของเธอก็คล้ายกัน เธอไม่เคยสงสัยในตัวตนของเสียวหว่านชิงเลย แม้แต่ตอนนี้เธอก็ไม่อยากสงสัย
เธออ้อมกอดเสียวหว่านชิงไว้ในอ้อมแขนอีกครั้ง ลูบหัวแล้วยิ้มพูดขึ้นว่า:“หว่านชิงเป็นเด็กดีของแม่”
หว่านชิงพยักหน้าอย่างมีดีใจสุดๆ:“หว่านชิงยังเป็นเด็กดีของคุณพ่อด้วยค่ะ”
“ถูกต้องค่ะ หว่านชิงเป็นเด็กดีของคุณพ่อและคุณแม่ ”ไป๋มู่ชิงพยักหน้า
หลังจากกอดเธออยู่สักพัก ไป๋มู้ชิงถึงยอมคลายมือปล่อยเธอ ลุกขึ้นยืนจากพื้นเงยหน้าขึ้นพึ่งเห็นว่าเฉียวเฟิงออกมาจากในบ้านตั้งแต่เมื่อไร ซึ่งตอนนี้กำลังจ้องมองเธออย่างหน้าเรียบๆ
ไป๋มู่ชิงตัวแข็งไปครู่หนึ่ง ทักเขาเบา ๆ ถามขึ้นว่า:“ทำไมพวกคุณกลับมาเร็วจัง?”
“คุณไปไหนมา?ทำไมโทรศัพท์ก็ไม่รับ?”เฉียวเฟิงจ้องไปที่เธอ
“ฉัน……”ไป่มู่ชิงเงียบ ไม่รู้ว่าควรบอกเขาหรือเปล่าเรื่องที่เธอไปพบหนานกงเฉินมา
เฉียวเฟิงรีบพูดขัดว่า:“ไปพบหนานกงเฉินมาใช่ไหม?”
ที่แท้เขารู้!ไป๋มู่ชิงจ้องมองเขาพูดออกมาอย่างไม่รู้ตัวว่า:“คุณรู้ได้อย่างไง?”
สีหน้าของคุณเขียนไว้อย่างชัดเจน เฉียวเฟิงกล่าว นอกจากเขา ยังจะมีใครอีกที่สามารถทำให้เธออารมณ์แปรปรวนขนาดนี้
เฉียวเฟิงขยับตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย จ้องมองแววตาของเธอแล้วรู้สึกกังวลขึ้นมา:“เขายังคงใช้ข้ออ้างเดิม ๆ เพื่อขอให้คุณเห็นอกเห็นใจ คุณเริ่มใจอ่อนต่อเขาแล้วใช่ไหม? เริ่มรู้สึก …”
“ไม่ใช่ค่ะ!”ไป่มู่ชิงรีบขัดเขา:“อาเฟิง คุณอย่าคิดเอาเองสิคะ มันจะเป็นไปได้ยังไงฉันจะเห็นใจกับข้ออ้างของเขาได้อย่างไร?ฉันไปพบเขาเพราะต้องการขอแหวนของฉันคืน จริงๆนะ นี่คุณดู ……”
เธอยกมือขวาขึ้นยื่นมือไปตรงหน้าเฉียวเฟิง:“คุณดูสิ ตอนนั้นฉันได้ทำแหวนตกหล่นที่บริษัทของเขาจริงๆด้วย เขาพึ่งจะช่วยฉันหามันเจอ”
“แค่ไปเอาแหวนทำไมต้องใช้เวลานานขนาดนี้ด้วย?ทำไมคุณต้องไปเอาด้วยตัวเอง?” เฉียวเฟิงพูดอย่างโมโห
“เพราะว่า ……”ไป๋มู่ชิงเงียบไป
“เขายังคงตามตื้อคุณใช่ไหม?ยังคงพูดเรื่องไร้สาระอะไรไม่รู้กับคุณใช่ไหม?”เฉียวเฟิงยังคงถามต่อ
ไป๋มู่ชิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง รีบก้มลงไปกุมมือของเขาแล้วพูดว่า:“เฟิง ขอโทษน่ะคะ ฉันไม่น่าจะไปเอาด้วยตัวเองเลย คุณอย่าโกธรเลยได้ไหม?”
“พึ่งกลับจากต่างประเทศไม่กี่วัน คุณก็ไปสนิทสนมกับผู้ชายที่ไหนก็ไม่รู้ จะไม่ให้ฉันโกธรได้อย่างไร?”
“ฉันกับเขาไม่มีอะไรกันจริงๆ ฉันได้บอกเขาไปแล้วว่า วันนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เราพบกัน อาเฟิง พรุ่งนี้เราก็จะไปต่างประเทศแล้ว คุณยังไม่เชื่อความรู้สึกที่ฉันมีต่อคุณหรือคะ?”
เฉียวเฟิงมองหน้าเล็กที่เริ่มกังวลของเธอ ถามว่า:“ถ้าคุณกับเขาไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันจริงๆ เมื่อกี้ทำไมคุณถึงร้องไห้ ทำไมทุกครั้งที่พบเขาคุณถึงมีอารมณ์แปรปรวนแบบนี้ ?คุณเป็นแบบนี้จะให้ฉันเชื่อใจได้ยังไง?”
“ฉัน … ฉันแค่รู้สึกอารมณ์ไม่ค่อยดีนะ”
“อารมณ์ไม่ดีเรื่องอะไร?”
“อาเฟิง อย่าถามฉันอีกเลยได้ไหมเปล่า?” ไป๋มู่ชิงเงยหน้าขึ้นจ้องมองเขาแล้วถาม:“ถ้ามีใครตื่นคุณทั้งวันพูดแต่เรื่องราวที่ซึ้งใจมากมายให้คุณฟัง ใจคุณก็ต้องรู้สึกเครียดไปตามกันใช่ไหม?วันนี้ฉันได้บอกเขาไปอย่างชัดเจนแล้วว่ามันเป็นไปไม่ได้ ที่ฉันจะเป็นอดีตภรรยาของเขาและเราจะไปต่างประเทศในเร็ว ๆ นี้”
“เขายังบอกฉันอีกว่าหว่านชิงไม่ใช่ลูกสาวแท้ๆของฉัน ฉันได้ยินเรื่องนี้แล้วจะให้ฉันเฉยเมยได้อย่างไร?”
“เขาบอกคุณว่าหว่านชิงไม่ใช่ลูกสาวของคุณ?”
“อืม…”
“คุณเชื่อไหม?”
“ฉันไม่เชื่อแน่นอน”ไป๋มู่ชิงหันหลังเข้าไปกอดหว่านชิงใว้ในอ้อมแขนของเธอ:“ฉันจะไม่รู้ว่าได้ยังไงว่าหว่านชิงเป็นลูกสาวแท้ๆของฉันหรือเปล่า?คำพูดแบบนี้ฉันจะเชื่อได้อย่างไร?”
เฉียวเฟิงสูดลมหายใจเบาๆ พูดว่า:“ดีแล้วที่คุณไม่เชื่อ จำไว้ว่า คุณเป็นผู้ให้กำเนิดหว่านชิง จริงแท้ยิ่่งกว่าอะไรอีก”
“ฉันเชื่อค่ะ”ไป๋มู่ชิงพยักหน้า ใช่มือทั้งสองข้างกุมมือของเขาไว้อีกครั้ง:“จ้องมองเขาอย่างอ่อนโยนให้สัญญาว่า:“สามีคะ คุณวางใจได้ หลังจากผ่านพรุ่นนี้ไปแล้วทุกอย่างก็จบลง ผ่านไปแล้วชีวิต ของเราจะกลับสู่ความสงบเหมือนเดิม หนานกงเฉินก็จะไม่สามารถมาวุ่นวายกับชีวิตของเราอีกแล้ว”
เฉียวเฟิงพยักหน้า เปลี่ยนมาจับมืออันเล็กน้อยของเธอแทน:“ขอโทษน่ะ อาหลินฉันกังวลมากกลัวเขาจะตื้อจนคุณเอ่อออกับเขาไปด้วย แล้วทิ้งฉันกับหว่านชิงไป ดังนั้นฉันจึงกังวลใจมาก ฉันไม่ได้ตั้งใจโมโหใส่คุณ ”
“ฉันรู้ ฉันเข้าใจ”ไป๋มู่ชิงพยักหน้า
“พอได้แล้วพวกเราเข้าบ้านกันเถอะ”ไป๋มู่ชิงมองสองพ่อลูก:“พวกเธอคงยังไม่ได้ทานข้าวใช่ไหม?ขอโทษน่ะฉันไปทำให้เดี๋ยวนี้ล่ะ”
“คุณแม่คะ หนูหิวมากเลยค่ะ”เมื่อเสียวหว่านชิงเห็นว่าทั้งสองเลิกทะเลาะกันแล้ว ก็ยิ้มออกมาอย่างน่ารัก
“โอเคค่ะ—แม่รู้แล้วว่าหว่านชิงหิวมาก แม่จะทำอาหารกลางวันให้เร็วที่สุด”ไป๋มู่ชิงบีบหน้าเล็ก ๆ ของเธอเล่น เร่งฝีเท้าเดินเข้าไปในบ้าน
เช้าวันรุ่งขึ้น หนานกงเฉินได้รับสายโทรศัพท์จากเลขาเหยียนบอกเขาว่าไป๋มู่ชิงกำลังไปสนามบินเมื่อกี้นี้
หนานกงเฉินอึ้งไปชั่วขณะ รีบถามขึ้นมาอย่างรีบร้อน:“ไม่ใช่พรุ่งนี้หรอเหรอ?”
“ฉันไม่ทราบค่ะ คงจะเปลี่ยนแปลงกะทันหันก็ได้ค่ะ”เลขาเหยียนรีบถามขึ้นอย่างกังวล:“คุณชายเฉินค่ะ คุณจะเอายังไงดีคะ?”
“เที่ยวบินไฟท์กี่โมง?”
“เก้าโมงค่ะ แต่แปดโมงก็ต้องเช็คอินขึ้นเครื่องแล้วค่ะ”
“โอเค ฉันเข้าใจล่ะ”หนานกงเฉินวางสายโทรศัพท์รีบคว้ากุญแจรถบนโต๊ะเร่งเท้าเดินออกไปทางประตูอย่างรวดเร็ว
เขาลงจะห้อง เดินตรงไปยังทิศทางของประตูใหญ่
“คุณชายใหญ่คะ คุณไม่ทานอาหารเช้าเหรอคะ?”พี่เหอเธอถาม
“ไม่ทานล่ะ” หนานกงเฉินหน้าก็ไม่หัน
“ไม่ทานอาหารเช้าจะไหวไหมคะ?”จูจูรีบเดินตามลงมาจากชั้นบน ดึงแขนเขาไว้พูดอย่างเป็นห่วง:“ เฉิน การงานสำคัญก็จริง แต่สุขภาพร่างกายก็สำคัญเช่นกันใช่ไหมคะ ? มากินอะไรกันหน่อยคอยไปนะคะ”
“ฉันมีเรื่องเร่งด่วนที่ต้องไปจัดการ”หนานกงเฉินเอามือของเธอออกจากแขนของเขา และเหลือบตามองเวลาที่ข้อมือ จะถึงแปดโมงในเร็วๆนี้แล้ว
“เฉิน …”จูจูดึงแขนเขาไว้อีกครั้ง เมื่อกี้เธอแอบได้ยินเลขาเหยียนโทรมาหาเขา เห็นว่าหนานกงเฉินเร่งร้อนไปพบเธอเช่นนี้ แน่นอนมันทำให้เธอไม่พอใจ แต่ก็ไม่รู้จะหาเหตุผลอะไรมารั้งเขาในตอนนั้น จนกระทั่งรู้สึกได้ว่าคุณผู้หญิงกำลังเดินออกมาจากห้องนอน เธอจึงจงใจอ้าปากพูดว่า:“เฉิน คุณไม่ทานอาหารเช้า เดียวคุณย่าก็ดุให้ค่ะ มากหรือน้อยทานนิดหนึ่งก็ยังดี”
หนานกงเฉินใช้สายตาที่เย็นชากวาดมองมือเล็ก ๆ ที่วางอยู่บนแขนของเขา จูจูจำใจต้องปล่อยตามสัญชาตญาณ
หนานกงเฉินหันหลังกำลังจะออกไป ในที่สุดคุณผู้หญิงก็ออกคำสั่ง:“หยุด ใครเป็นคนบอกว่าไม่ทานอาหารเช้าแล้วออกไปได้?ช่วยกลับไปนั่งลงบนโต๊ะอาหารเดียวนี้”
“คุณย่าครับ เดียวผมไปหาอะไรทานข้างนอกเองครับ ”หนานกงเฉินพูดจบก็เดินออกไปเลย เพราะเวลาเร่งรีบ เขาไม่สนใจแม้แต่คำสั่งของคุณผู้หญิง
“เจ้าหนุ่มดื้อคนนี้นี่ ยิ่งนานวันเข้ายิ่งไม่เห็นย่าแก่อย่างฉันอยู่ในสายตา ”คุณผู้หญิงตวาดด้วยความโกรธเล็กน้อย
จูจูเดินเข้าไปกอดแขนของท่านเหลือบมองรถที่แวบออกไปนอกประตูแล้วบ่นว่า:“เมื่อกี้เลขาเหยียนโทรเข้ามาค่ะ คุณชายใหญ่*ก็รีบออกไปทันที ไม่รู้ว่ามีเรื่องเร่งด่วนอะไร ”
“เลขาเหยียนอีกล่ะ?”
“ก็ใช่นะสิค่ะ”ช่วงนี้คุณชายใหญ่*ชอบอยู่กับเลขาเหยียนตลอด วันนั้นหนูบอกท่านแล้วว่า หนูผลักประตูเข้าเห็นเธอกอดคุณชายใหญ่ไว้แน่นอย่างกับคนรักกัน อย่างงี้จะตั้งใจทำงานให้ดีได้อย่างไร?”
“อุกอาจมากขึ้นทุกวัน ”คุณผู้หญิง*ดุอย่างเบาเสียง ส่ายหัวแล้วหันหลังเดินไปยังห้องอาหาร
จูจูมองตามเงาของท่าน รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
รุ้งเช้าตรู่ไป๋มู่ชิงและเฉียวเฟิงได้รับการดูแลจากลุงหลิวส่งไปยังสนามบินหลังจากเช็คอินเสร็จเรียบร้อย ไป๋มู่ชิงก็ขอให้ลุงหลิวกลับไปก่อน
เฉียวเฟิงที่กำลังคุยโทรศัพท์ น้ำเสียงที่ไม่รู้ร้อนไม่รู้หนาว แค่ดูสีหน้าท่าทีของเขาไป๋มู่งชิงก็สามารถรู้ได้แล้วว่าต้องเป็นเฉียวซิงเหิงโทรมาแน่ๆ หลังเห็นเฉียวว่างสายโทรศัพท์แล้ว เธออมยิ้มถามว่า:“มีอะไรเหรอคะ?พี่ใหญ่จะมาส่งพวกเราเหรอคะ?”
“ฉันบอกเขาว่าไม่ต้องมา”เฉียวเฟิงพูด
ไป๋มู่ชิงพยักหน้า:“จริงๆแล้วไม่จำเป็นต้องมาส่ง แต่ฉันคิดว่าเขาคงอยากมาอำลาและส่งว่านชิงมากกว่า”
“คุณลุงรักหนูที่สุดเลย เมื่อวานเขารับปากว่าเขาจะมาส่งหนู”เสียวหว่านชิงที่อยู่ด้านข้างพูดด้วยรอยยิ้ม
“แต่คุณลุงต้องไปทำงาน ดังนั้นพ่อจึงบอกให้เขาไม่ต้องมา”เฉียวเฟิงกล่าว
หว่านชิงทำปากคว่ำลง แต่เธอก็ยังคงพูดอย่างน่ารัก:“โอเคค่ะ งั้นก็ไม่มาแล้วนะคะ”
“หว่านชิงยังคงน่ารักเป็นเด็กดี ”ไป๋มู่ชิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“คุณแม่คะ หนูหิวน้ำค่ะ”เสียวหว่านชิงพูดขึ้นกะทันหัน
ไป๋มู่ชิงมองเวลา:“แต่เราจะต้องผ่านด่านตรวจสอบความปลอดภัยเร็ว ๆ นี้ รอเราขึ้นเครื่องบินก่อนค่อยซื้อได้ไหมคะ?”
“แต่ว่าตอนนี้หนูหิวน้ำนี่คะ”
เฉียวเฟิงเหลือบมองเวลาแล้ว:“หลิน คุณไปซื้อให้แกขวดหนึ่ง ให้แกดืมน้ำก่อนพวกเราคอยผ่าน”
ไป๋มู่ชิงเหลือบมองไปรอบ ๆแถวนี้ไม่มีร้านสะดวกซื้อเลย เธอจำได้ตรงทางเข้ามีร้านสะดวกซื้อร้านหนึ่งขายน้ำอยู่ ดังนั้นจึงเดินไปยังทางเข้า
หนานกงเฉินนำรถจอดข้างทางโดยไม่สนใจใคร ผลักประตูรถออกลงจากรถ เร่งเท้าเดินเข้าไปในอาคารสนามบินอย่างรวดเร็ว
เขามาที่อาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ พวกเขาน่าจะเช็คอินแถวนี้ถึงจะถูก ผลลัพธ์คือเขาโชคดีมาก ทันทีที่เข้ามาในอาคารก็ได้เห็นร่างที่คุ้นเคย
ไป๋มู่ชิงที่ซื้อน้ำเสร็จแล้วเดินออกจากร้านสะดวกซื้อระหว่างนำกระเป๋าสตางค์ใส่เข้าในกระเป๋าเท้าก็เดินไปด้วย เธอเกือบชนโดนร่างหนานกงเฉิน เธอรู้สึกว่าเธอเกือบจะชนใครบางคนเธอรีบก้าวถอยหลังด้วยความรู้สึกผิด:“ฉันขอโทษค่ะ………”
เมื่อเธอเห็นว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอนั้นเป็นหนานกงเฉิน เธอตกตะลึงมากโดยสัญชาตญาณ เงยหน้าขึ้นมองเขา:“คุณชายเฉิน?ทำไมคุณถึงอยู่ที่นี้?”
ในขณะเดียวกันเธอรู้สึกมีลางสังหรณ์ไม่ดี เขามาที่นี่คงไม่ใช่เพื่อเธอโดยเฉพาะ?คงไม่ใช่ว่าอยากทำอะไรบางอย่างกับเธอ บังคับให้เธอยอมรับว่าเธอเป็นอดีตภรรยาของเขา?
เขาจ้องมองเธอ พูดขึ้นทีละคำทีละประโยค:“ถ้าผมปล่อยคุณไปวันนี้ ผมคิดว่าผมจะต้องเสียใจและเสียใดมาก ดังนั้นผมไม่อาจปล่อยคุณไปได้ และไม่ยอมปล่อยคุณไป
ไป่มู่ชิงใจตื่นตระหนก เขามาสร้างปัญหาให้เธอจริงๆด้วย!
“หนานกงเฉิน คุณต้องการให้ฉันพูดอีกกี่ครั้ง … ”
“พูดกี่ร้อยครั้งก็ไม่มีประโยชน์!”หนานกงเฉินคว้าข้อมือของเธอ ดึงเธอออกไปยังประตูอาคาร
“หนานกงเฉินคุณจะทำอะไร?คุณปล่อยฉันนะ!”ไป่มู่ชิงร้อนใจ ทั้งกังวลดิ้นรนทั้งหงุดหงิดโมโห
“พาคุณกลับบ้าน”หนานกงเฉินดึงเธอไปยังรถของเขา แล้วเปิดประตูเบาะหลัง
ในเวลานี้เขาไม่มีเวลาสนใจอะไรทั้งสิ้น ไม่สนว่าเธอจะความจำเสื่อม ไม่สนว่าเธอจะเกลียดเขาไหม เขารู้แค่ว่าไม่อาจปล่อยเธอไปต่างประเทศ ไม่อาจให้เธอห่างเขาไกลขนาดนี้ และนี่เป็นวิธีเดียว เขาก็ไม่อยากทำแบบนี้ แต่เขาทำอะไรไม่ถูกไม่รู้จะทำยังไง
เมื่อไป๋มู่ชิงรู้สึกถึงสิ่งที่เขากำลังจะทำ ใช้มือทั้งสองข้างดันประตูรถสุดแรง ความโมโหโกธรแต่ยิ่งวิตกกังวลมากขึ้น:“อย่า ! หนานกงเฉินคุณอย่าทำแบบนี้ ! ฉันกำลังจะขึ้นเครื่องบินเร็ว ๆ นี้ ได้โปรดอย่าทำแบบนี้ … …”
หนานกงเฉินไม่สนใจคำวิงวอนของเธอ แต่เอามือเธอออกจากประตูรถ ผลักเธอเข้าไปในรถ
“ปล่อยฉันออกไป ……!”ไป๋มู่ชิงรีบลุกขึ้นจากที่นั่ง กรีดร้องเสียงดังกับประตูรถ:“ช่วยด้วยคะ!ช่วยด้วยคะ … !”
เธอรู้ดีว่าขอหนานกงเฉินปล่อยมือนั่นเป็นไปไม่ได้ เธอจึงต้องขอผู้คนที่เดินผ่านไปมา และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่อยู่ข้างๆ ..…
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเห็นพวกเขาทั้งสองดึงๆลากๆสักพักแล้วหลังจากได้ยินเธอร้องขอความช่วยเหลือจึงเดินเข้าไปถามมีเรื่องอะไรครับ
หนานกงเฉินปิดประตูรถ หันกลับมาตอบเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยว่า:“ไม่มีอะไรครับ เธอเป็นภรรยาผมครับ ไม่เห็นหรือครับว่าเธอเรียกชื่อผมตลอด?”
“ไม่! ฉันไม่ใช่ภรรยาของเขา เขาโกหก ..…!”. ไป่มู่ชิงตะโกนเสียงดังผ่านกระจกรถ
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยมองไปที่หนานกงเฉิน จากนั้นมองไปที่รถมูลค่าหลายสิบล้านตรงหน้าเขา สุดท้ายก็หันหลังกลับไปยังตำแหน่งของตัวเองโดยไม่พูดอะไรอีก
หนานกงเฉินเดินไปยังทางคนขับนั่งแล้วเข้าไป มองไปที่ไป่มู่ชิงที่ดูเป็นกังวลมาก แม้ว่าไม่อย่าทำ แต่ในที่สุดก็สตาร์ทรถขับออกไป
เมื่อเห็นรถกำลังออกจากสนามบิน ไป่มู่ชิงตกใจจนร้องไห้เสียงดังออกมา ขณะดึงลูกบิดประตูรถร้องไห้ไปตะโกนไปว่า:“หนานกงเฉินคุณอย่าทำแบบนี้ สามีและลูกสาวของฉันยังอยู่ที่สนามบิน ฉันไม่อาจปล่อยพวกเขาไว้ที่นั้นโดนไม่สนใจ……ได้โปรดปล่อยให้ฉันลงจากรถเถอะ ..…!”
หนานกงเฉินมองผ่านกระจกหลังเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตาของเธอ พูดอย่างเฉยเมย:“ฉันขอร้องคุณอย่าไป คุณก็ยังจะไป คุณเป็นคนบังคับให้ฉันทำแบบนี้เอง”
“ฉันบอกไปแล้วว่าฉันไม่ใช่อดีตภรรยาของคุณ ฉันกับคุณไม่มีความแค้นต่อกัน ทำไมคุณถึงทำร้ายฉันแบบนี้?”ไป๋มู่ชิงพุ้งตัวไปข้างหน้าอย่างสุนัขบ้า มือทั้งสองข้างดึงไหล่เขาเขย่าอย่างรุนแรง:“คุณหยุดรถนะ!ฉันสั่งให้คุณหยุดรถ –!”
“ถ้าไม่อยากตายก็ปล่อยมือซะ?”หนานกงเฉินพูดเตือนขณะพยายามควบคุมพวงมาลัยรถ
“ถ้าคุณต้องการพรากครอบครัวของเราสามคนให้แยกกันแบบนี้ ก็ให้ไปฉันตายสักดีกว่า!”คำพูดของเธอเข้าหูหนานกงเฉิน ใจเขาเจ็บปวดอย่างกับโดนฉีกเป็นชิ้นๆ เธอถึงขั้นยอมตายแต่ไม่ยอมแยกกับเฉียวเฟิงแล้วหรอ?ความรู้สึกของเธอที่มีต่อเฉียวเฟิงมาถึงจุดนี้แล้วหรอนี่?
ครอบครัวสามคน … เป็นคำอธิบายที่น่าตื้นตันใจมาก!
ความรู้สึกของหนานกงเฉินพร่ามัวไปหมด เจ็บปวดใจจนชาไปหมดอย่างเขา ขนาดไปมู่ชิงใช้ปากกัดเขาตรงไหล่ก็ไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดนั้นเลย
ยกเว้นอาการสั่นของสัญชาตญาณ เขาไม่ได้ขัดขืนใดๆ ปล่อยให้เธอกัดผ่านเสื้อเชิ้ตบางๆจนลงไปบนเนื้อ
ไม่เป็นไร แต่ก่อนนั้นเขาเคยกัดเธอคำแล้วคำเล่า ครั้งนี้ก็ปล่อยให้เธอกัดจนพอใจ ถ้าจะทำให้ใจเธอรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง
ไป๋มู่ชิงได้กลิ่นคาวของเลือด เธอคิดว่าหนานกงเฉินจะต้องเจ็บจนกระโดดขึ้นมา คงจะหันมาตบหรือต่อยเธอ แล้วหยุดรถ แต่เขากลับไม่ได้ทำอย่างนั้น นอกจากรถแกว่งไปมาครู่เดียวจากนั้นไม่มีปฏิกิริยาใดเกิดขึ้น ราวกับเนื้อที่เธอกัดไม่ใช่เนื้อของเขา กลิ่นคาวเลือดที่เธอได้กลิ่นนั้นไม่ใช่เลือดของเขา
เธอทรุดตัวลงนั่งใต้เบาะ สะอื้นแล้วถามว่า:“หนานกงเฉิน!คุณต้องการอะไรกันแน่?ฉันเคยบอกคุณไปแล้ว สามีฉันกับลูกสาวฉันยังอยู่ที่สนามบิน ฉันไม่สามารถปล่อยพวกเขาไว้ตรงนั้นโดนไม่สนใจพวกเขา……”
“คุณไม่ต้องกังวล เฉียวเฟิงมีความสามารถในการแย้งภรรยาของคนอื่น ก็มีความสามารถดูแลตัวเองให้ดีได้เหมือนกัน”
“เฉียวเฟิงไม่ได้แย้งภรรยาของคนอื่น!”
หนานกงเฉินยืนมือไปหยิบเอกสารรายงานผลการตรวจดีเอ็นเอที่อยู่ในลิ้นชักยืนไปให้เธอ:“นี่คือผลการตรวจดีเอ็นเอโดยใช้เลือดบนแหวนของคุณและเลือดของเสียวอี้ คุณดูเอาเอง”
“ไป๋มู่ชิงไม่ดูแม้แต่มองก็ยังไม่มองก็โยนรายงานนั้นไปข้างๆตะโกนว่า:“ฉันไม่เชื่อ! ฉันบอกแล้วว่าฉันไม่ใช่อดีตภรรยาของคุณก็คือไม่ใช่ คุณจะพูดอะไรฉันก็ไม่มีทางเชื่อ!
“ถ้าฉันไม่แน่ใจเต็มร้อยจริงๆ ฉันจะทำบางอย่างกับคุณมากขนาดนี้ได้อย่างไร?”หนานกงเฉินได้หยุดรถตรงสัญญาณไฟ หันตัวกลับมาจ้องเธอ:“ไป๋มู่ชิง ทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณเป็นอยู่ในตอนนี้เป็นของปลอมทั้งนั้นมันถูกสร้างขึ้นมาโดยความคิดของคนอื่น ถ้าหากคุณสามารถฟื้นความทรงจำมาได้ สามารถจำทุกอย่างได้คุณก็คงจะไม่มีวันกลับไปอยู่กับเฉียวเฟิงอีก เพราะแต่ก่อนคุณเคยบอกฉันไม่ใช่แค่ครั้งเดียว ว่าคุณไม่ได้รักเฉียวเฟิง นอกจากผมแล้วคุณจะไม่รักผู้ชายคนไหน!”
ไป๋มู่ชิงน้ำตาไหลกลิ้งลงเรื้อยๆ เธอได้แต่ส่ายหัว:“ไม่ หนานกงเฉินคุณไม่จำเป็นต้องพูดอีกต่อไป ฉันรักหรือไม่รักเฉียวเฟิงฉันรู้ตัวเองดี ถึงแม้แต่ก่อนฉันอาจจะไม่รักเขา ตอนนี้ฉันรู้แค่ว่าฉันรักเขามาก ในใจฉันตอนนี้มีเพียงเฉียวเฟิงกับหว่านชิงเท่านั้น ขอคุณอย่ามายุ่งวุ่นวายอีกเลยปล่อยฉันไปเถอะ … ได้โปรด ……”
เห็นได้ชัดว่าเฉียวเฟิงฉกฉวยโอกาส!คุณจะตกหลุมรักเขาได้อย่างไร?”หนานกงเฉินโกรธจนคว้าแขนเธอ ดึงร่างของเธอไปข้างหน้าจ้องมองเธออย่างหมดหนทาง:“มู่ชิง คุณกับเขาไม่ใช่ว่าไม่มีรัก แต่เป็นความรักแบบครอบครัวพี่น้อง?”
“ไม่ใช่นะ!ฉันรักเขา … !”
“ไม่ได้!”หนานกงเฉินเพิ่มแรงที่จับแขนของเธอ
ไป๋มู่ชิงรู้สึกถึงความเจ็บที่แขน เธอร้องไห้สะอึกสะอื้น ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความเจ็บปวดหรือว่าความวิตกกังวล
ไม่ได้รับการตอบรับจากเธอ หนานกงเฉินยังคงไม่ยอมปล่อยมือ จนกระทั่งเสียงแตรดังมาจากด้านหลังหลายครั้ง เขาจึงยอมปล่อยแขนของเธออย่างไม่เต็มใจ สตาร์ทรถใหม่วิ่งไปบนถนน
ภายในสนามบิน เสียวหว่านชิงนอนอยู่บนตักของเฉียวเฟิง สองตามองไปทางที่ไป่มู่ชิงเดินหายตัวออกไปถามขึ้นว่า:“คุณพ่อค่ะ ทำไมคุณแม่ยังไม่กลับมาคะ? หว่านชิงรู้สึกหิวน้ำมากค่ะ ”
เฉียวเฟิงลูบหัวเล็ก ๆ ของเธออย่างปลอบโยน:“ น่าจะเร็ว ๆ นี้แล้วล่ะหว่านชิงอดทนรออีกนิดได้ไหม?”
เขาเหลือบมองเวลา หากภายในห้านาที ยังไม่ผ่านด่านการตรวจสอบความปลอดภัย ก็จะไม่ทันขึ้นเครื่องบินแน่
ไป่มู่ชิงไม่ใช่คนที่ไม่รักษาเวลา แค่ซื้อน้ำขวดเดียวก็ไม่น่าจะใช้เวลานานขณะนี้ สายขนาดนี้แล้วยังไม่กลับมาต้องเกิดอะไรขึ้นแน่ๆ”
โทรศัพท์ของไป่มู่ชิงก็เอาให้เสียวหว่านชิงเล่นเมื่อกี้ ตอนนี้ยังอยู่ในมือของเสียวหว่านชิงอยู่เลย เขาอยากโทรหาเธอก็ไม่สามารถโทรได้
สิบนาทีผ่านไป ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของไป่มู่ชิง เฉียวเฟิงยิ่งลุกลี้ลุกลน เขาเริ่มสี่ด้านมองหาคน หาไปครึ่งค่อนวันก็ยังไม่พบแม้แต่เงาของเธอ
ในท้ายที่สุด เขาก็โทรหาเฉียวซือเหิงยังไม่มีทางเลือก บอกเขาว่าไป่มู่ชิงหายตัวไปอย่างกะทันหัน
เฉียวซือเหิงเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะพูดว่า :“ เธอกับหว่านชิงกลับบ้านไปก่อน ฉันจะให้คนลองไปหาดู”
เฉียวเฟิงพูดออกมาอย่างขมขื่น:“ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเธอจำทุกอย่างได้แล้ว ก็เลยหนีไปเลย ”
นี่คือความสุขที่ขโมยเขามา ไม่มีไม่มั่งคง ไม่ปลอดภัยแม้แต่น้อย สิ่งที่เขากังวลที่สุดตั้งแต่เช้ายังเย็นทั้งวันก็คือไป่มู่ชิงจะจำอดีตขึ้นมาได้เมื่อไหร่ แล้วจะถูกหนานกงเฉินแย้งกลับไปเมื่อไร
“ไม่น่าจะเป็นไปได้ คุณหมอบอกแล้วว่า ถ้าเธอไม่ได้ทานยาช่วยมันยากมากที่ความทรงจำของเธอจะกลับมา”เฉียวซือเหิงกล่าว:“ฉันเดาว่าน่าจะโดนหนานกงเฉินแย้งตัวไป เธออย่าพึ่งกังวล พาหว่านชิงกลับบ้านไปก่อน”
เฉียวเฟิงวางสายโทรศัพท์ เหลือบมองไปรอบ ๆในฝูงคนเขาไม่เคยเกลียดความไร้ค่าไร้ความสามารถของตัวเองขนาดนี้มาก่อน
ถ้าหากไม่ใช่เพราะเขาพิการ ก็ไม่จำเป็นต้องให้ไป๋มู่ชิงเป็นคนไปซื้อน้ำ และในขณะที่ไป่มู่ชิงหายตัวไป เขายังไม่มีปัญญาไปตามหาเธอกลับมา?
“คุณพ่อคะ คุณแม่หายตัวไปใช่ไหมคะ?”เสียวหว่านชิงได้ยินเฉียวเฟิงคุยโทรศัพท์เมื่อกี้ รู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง ตอนนี้หน้าเต็มไปด้วยความเป็นห่วง
เฉียวเฟิงสูดลมหายใจลึกๆ คว้ามืออันเล็ก ๆ ของเธอมาจับไว้ปลอบโยนว่า:“หว่านชิงอย่ากังวลไปเลยนะ คุณแม่น่าจะมีเรื่องเร่งด่วนไปทำก่อน พวกเรากลับบ้านก่อนดีไหม?”
“ถ้างั้นเราจะไม่ไปต่างประเทศกันแล้วใช่ไหม?”
“อืม วันนี้ไม่ไปล่ะ ไว้วันอื่นค่อยไป”เพื่อที่จะสงบอารมณ์ของเธอ เฉียวเฟิงพยายามฝืนยิ้มอย่างหนัก