เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด – บทที่ 221 นอนด้วยกัน

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

“นี่เธอกล้าแกล้งผมหรอ?” หนานกงเฉินใช้มือข้างหนึ่งจับหน้าเธอมาแล้วใช้อีกข้างปาดวิปครีมไปตรงหน้าเธอ

ไป๋มู่ชิงพยายามดิ้นหลุดจากเขา หนานกงเฉินก็เอนตัวลงมาใช้ริมฝีปากตัวเองปิดริมฝีปากของเธอไว้ ให้เธอเบาเสียงแล้วใช้มือชี้ไปทางประตูด้วย

ไป๋มู่ชิงปรับน้ำเสียงให้เบาที่สุดแล้วดิ้นให้หลุด “ปล่อยฉันนะ! หนานกงเฉินนายได้ยินหรือเปล่า……อื้อ……”

“หวานมาก ไม่อยากปล่อย” เขาดูดวิปครีมบนริมฝีปากเธอไปแล้วใช้ลิ้นทำให้เธออ้าปาก จากนั้นก็ป้อนเข้าไปในปากเธอให้เธอลิ้มลองด้วยกัน

“อี๋……หนานกงเฉินนายน่าเกลียดมาก……” ไป๋มู่ชิงพูดเสียงเบาแล้วใช้มือกวาดไปทั่ว พยายามจะหาอะไรบางอย่างมาทุบหัวเขาให้สลบ เมื่อมือแตะไปโดนเค้กบนโต๊ะ ก็มีความคิดไม่ดี จากนั้นก็จับวิปครีมแล้วปาดหน้าเขา “ยังไม่ออกไปอีก……!”

หนานกงเฉินโดนเค้กปาดหน้าจนหายใจไม่ออก เลยรีบใช้มืออีกข้างมาปาดเค้กบนหน้าตัวเอง แต่ว่าเขาก็ไม่ได้ปล่อยเธอ แต่กลับกอดเธอให้แน่นขึ้นแล้วจูบอย่างดูดดื่ม เดิมทีที่จูบอย่างดูดดื่มแล้วบวกกับวิปครีมนี้อีกก็ทำให้มีความหวานจนทั้งสองหลงไหล

เดิมทีที่ไป๋มู่ชิงเอาแต่ดิ้นหนีก็หมดสติไปทันทีแล้วเอนซบไปในอ้อมกอดเขา

พอไป๋มู่ชิงได้สติมาอีกครั้งก็เป็นตอนที่น้ำไหลลงมาจากหัว เธอลืมตาขึ้นแล้วรีบปาดน้ำบนใบหน้า ค่อยรู้ว่าตัวเองอยู่ใต้ฝักบัวของห้องอาบน้ำ

นี่มันอะไรกันน่ะ? ทำไมอยู่เธอถึงมาอยู่ในห้องน้ำได้?

“หนานกงเฉิน! ไอ้บ้า……!” เธอยันตัวลุกขึ้นอย่างหงุดหงิด ใครจะอาบน้ำกับเขา เธอจะอาบน้ำกับเขาได้ยังไง? เวลานี้แล้วเขายังมีอารมณ์มาทำแบบนี้อีก? เป็นไปไม่ได้!

“ชู่ว……เงียบหน่อย……” หนานกงเฉินก็ใช้วิธีเดิมมาขู่เธอ

ไป๋มู่ชิงก็พูดเสียงเบาลง แต่ความหงุดหงิดไม่ลดลงเลย “นายจะทำอะไร นายทำเสื้อผ้าฉันเปียกหมดแล้วฉันจะใส่อะไรกลับ?”

หนานกงเฉินมองสำรวจไปที่เสื้อผ้าบนตัวเธอ “ไม่เห็นหรอ? มีวิปครีมเต็มตัว เธอจะออกไปแบบนี้หรอ?”

“ฉัน……” ไป๋มู่ชิงก้มมองก้มโปรงตัวเอง มีวิปครีมจริงด้วย แต่ก็ยังดีกว่าตอนนี้

“เธอเป็นคนทำเค้กจนเละเอง อย่ามาโทษผม” หนานกงเฉินใช้มือทั้งสองข้างปาดใบหน้าตัวเองแล้วล้างวิปครีมบนใบหน้า

ไป๋มู่ชิงมองไปที่ตัวเองในกระจก ก็เห็นว่าทั้งใบหน้าทั้งผมของเธอก็มีแต่วิปครีม โทษที่เธอทำไมต้องใช้เค้กปาดเขาด้วย จนตอนนี้บนตัวทั้งสองก็มีแต่วิปครีม

หนานกงเฉินปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตตัวเองไปด้วยแล้วลากเธอกลับมาใต้ฝักบัวด้วย “รีบถอดเสื้อเถอะแล้วปล่อยผมด้วย”

“นายคิดจะทำอะไร?” ไป๋มู่ชิงใช้มือทั้งสองข้างกอดตัวเองไว้แล้วจ้องเขาที่ถอดเสื้อเชิ้ตไปแล้ว เมื่อรู้ว่าเขาจะทำอะไร เธอก็หันหลังเดินหนีออกจากห้องอาบน้ำ แต่เป็นเพราะเมื่อกี้ดื่มไวน์ไป เธอแค่ก้าวไปก้าวเดียว ร่างกายก็เซไปเซมาจนเกือบจะล้มลงพื้น

หนานกงเฉินมีไหวพริบดีก็รีบดึงตัวเธอกลับมา “เธอดื่มจนเมาแล้ว ผมจะช่วยอาบน้ำให้”

“ฉันไม่ได้เมา ฉันไม่ต้องการให้นายมาช่วยฉันอาบน้ำ” ไป๋มู่ชิงดิ้นรนไปด้วยแล้วส่ายหน้าไปด้วย “หนานกงเฉิน นายหน้าด้าน นายหลอกให้ฉันดื่มก็เพื่อจะเอาเปรียบฉันใช่ไหม……นาย……”

“ดูตัวเองสิ เมาจนเริ่มพูดอะไรบ้าบอแล้ว” หนานกงเฉินจับแขนเธอแล้วก็ยังเอ่ยเสียดสี “จะอายทำไม เรื่องแบบนี้เราก็เคยทำกันไม่น้อย บนตัวเธอมีขี้แมลงวันที่ไหนผมรู้หมด……”

“เมื่อก่อนก็เป็นเมื่อก่อน แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกันแล้ว เราไม่ใช่สามีภรรยากันแล้ว!”

“แต่เราก็รักกันไม่ใช่หรอ?”

“หนานกงเฉิน ถ้านายยังไม่ปล่อยมือฉันจะตะโกนเรียก ฉันจะทำให้นักข่าวทุกคนเห็นว่านายกำลังล่วงละเมิดฉัน” ไป๋มู่ชิงพูดขู่เตือน

“ไป๋มู่ชิง เธอรู้ว่าผมเกลียดอะไรเธอมากที่สุดไหม? ก็เหมือนตอนนี้ไง ทั้งๆที่รักผมมากแต่ก็แกล้งทำตัวรังเกียจผม เธอทำแบบนี้ไม่น่ารักเลยรู้ไหม?”

ไป๋มู่ชิงโมโหมากแล้วเอ่ยเสียงต่ำ “ก็ฉันไม่ดีน่ารักไง! แน่จริงก็ปล่อยฉันสิ!”

“ผมไม่แน่จริง! ผมไม่แน่จริงอยู่แล้ว! ถ้าผมแน่จริงก็ปล่อยเธอไปตั้งนานแล้ว!” หนานกงเฉินพูดเสียงดังแล้วกระชากกระโปรงเธอออก

“อ๊าย……!” ไป๋มู่ชิงกรีดร้องขึ้น รู้สึกเย็นที่ร่างกายแล้วแผ่นหลังก็เผยออกมา

หนานกงเฉินที่หงุดหงิดโมโหจนสติเกือบจะหลุดไปก็อึ้งไปทันที จากนั้นก็ใช้มือจับกระโปรงเธอไว้แล้วจองไปที่แผ่นหลังที่ว่างเปล่าของเธอ แผ่นหลังที่ใสสะอาดในความทรงจำแต่ตอนนี้กลับรู้สึกตกใจ เป็นร่องรอยที่ถูกไฟไหม้ที่เห็นได้ชัดเจน

หนานกงเฉินไม่เคยรู้เลยว่าร่างกายเธอจะมีรอยแผลเป็นใหญ่ขนาดนี้ เขาไม่เคยเห็นเลย!

ไป๋มู่ชิงรู้ว่าแผลบนตัวน่าเกลียดมากแค่ไหน เมื่อเห็นสีหน้าที่ตกใจของหนานกงเฉิน ในใจก็รู้สึกขายหน้าแล้วอายมาก เธอรีบดึงกระโปรงจากมือเขาแล้วห่มไว้บนตัว แต่กระโปรงเปียกสนิท ในขณะที่เธอทำอะไรไม่ถูกก็ไม่สามารถปิดบังรอยแผลเป็นของเธอได้เลย

สีหน้าของหนานกงเฉินนิ่งไปแล้วเอ่ยถาม “ทำไมเธอไม่เคยบอกผมว่าบาดเจ็บขนาดนี้?”

“รู้ตอนนี้ก็ไม่สายมั้ง?” ไป๋มู่ชิงพยายามจะดิ้นรนจากฝ่ามือที่จับแขนตัวเองไว้แล้วพูดอย่างหงุดหงิด “นายดูพอหรือยัง? ถ้าดูพอแล้วก็รีบปล่อยฉัน เดี๋ยวตอนนอนจะฝันร้าย……!”

หนานกงเฉินไม่ได้ปล่อยเธอ แต่กลับดึงเธอเข้ามาในอ้อมกอด

ไป๋มู่ชิงซบไปที่อกของเขา ไม่รู้สึกเจ็บ แต่น้ำตาของเธอก็ไหลออกมา ไม่รู้ว่าเป็นเพราะแอลกอฮอล์หรือเปล่าก็เลยทำให้อ่อนไหวง่าย หรือว่าเป็นเพราะสีหน้าที่ตกใจของเขา แต่ยังไงน้ำตาก็ไหลออกมาอยู่ดี

เธอรู้ว่าร่างกายตัวเองน่าเกลียดมากแค่ไหน น่าเกลียดจนเธอไม่กล้าใส่เสื้อผ้าเปิดไหล่หรือว่ากระโปรงที่สั้นกว่าเข่า แต่หนานกงเฉินตรงหน้าก็ยังหล่อเหลาน่าหลงไหลเหมือนเคย แต่ก่อนเธอไม่คิดเลยว่าตัวเองเหมาะสมกับเขา ตอนนี้ยิ่งไม่เหมาะสม

เมื่อรู้สึกถึงความว่างเปล่าบนร่างกาย ไป๋มู่ชิงก็ดึงสติกลับมาแล้วเอ่ยขึ้น “นี่! หนานกงเฉินนายจะทำอะไร?”

“ก็จะโยนร่างกายนี้ออกไปไง!”

“นี่……ฉันออกไปเองได้……นายไม่ต้องโยนฉัน……!” ไป๋มู่ชิงใจหายไป เธอเปลือยกายอยู่แต่เขาจะโยนเธอออกไปข้างนอก? แล้วข้างนอกก็ยังมีนักข่าวดักรออยู่เยอะขนาดนั้น……!

‘ปึง’สุดท้ายเขาก็โยนเธอออกไปจริงๆ แต่ไม่ใช่โยนออกไปนอกประตู แต่กลับโยนไปบนเตียง

ไป๋มู่ชิงรีบหันตัวมาจะลงเตียง แต่ก็ถูกเขากดลงไปกับเตีย งริมฝีปากก็ถูกเขายึดไปทันที

ไป๋มู่ชิงอึ้งไปแล้วเบิกตากว้างมองไปที่ใบหน้าอันหล่อเหลา ไม่เข้าใจเลยว่าเขาจะทำอะไร

หนานกงเฉินไม่ได้จุมพิตที่ริมฝีปากของเธอนานนัก ก็ค่อยๆขยับลงไป สุดท้ายก็ยันตัวขึ้นแล้วมองสำรวจร่างกายเธอ

บนร่างกายเธอก็ยังขาวใสเหมือนตอนนั้น บนร่างกายก็มีหยดน้ำเต็มไปหมด หนานกงเฉินหยุดนิ่งไปพักนึง จากนั้นฝ่ามือก็ลูบตั้งแต่บนลงไปข้างล่าง สุดท้ายก็หยุดลงที่ขาข้างซ้ายของเธอ ที่นั่นมีรอยแผลที่แผลใหญ่มาก แต่เล็กกว่าบนหลังนิดหน่อย แต่ก็ยังทำให้รู้สึกเป็นห่วง

ไป๋มู่ชิงดึงผ้าห่มมาปิดหน้าตัวเองไว้แล้วหดตัวเข้ามาก็เพื่อที่จะหลบสายตาเขาแล้วเอ่ยขอร้อง “อย่ามองอีกเลย ขอร้องนะอย่ามองอีกเลย……”

หนานกงเฉินยกมือขึ้นดึงผ้าห่มไปจากหน้าเธอแล้วเอ่ยข้างหูเธอเสียงเบา “ทำไมอย่ามอง?”

บนร่างกายเขาก็มีหยดน้ำเหมือนกันท่าทางเซ็กซี่มาก

“นายว่าล่ะ……!” เขาจับไหล่ทั้งสองข้างของเธอไว้แล้วดึงเข้ามากอด

ถึงแม้ในใจจะโมโหแต่พอเห็นใบหน้าที่มีน้ำตาของเธอเขาก็รู้สึกเป็นห่วงขึ้นมาทันที

ร่างกายของไป๋มู่ชิงถูกเขาจับไว้แล้วมองสบตาไปที่เขาผ่านม่านน้ำตาไปสักพักค่อยเอ่ยขึ้น “เพราะว่าฉันไม่อยากให้นายเห็นฉันตอนนี้ ฉันกลัวว่านายจะฝันร้าย……”

“แล้วทำไมเธอไม่กลัวว่าเฉียวเฟิงจะฝันร้ายล่ะ?” หนานกงเฉินพูดอย่างหงุดหงิด

ไป๋มู่ชิงกัดริมฝีปากแน่น ไม่รู้ว่าจะตอบคำถามเขายังไง

“เธอพูดสิ!” หนานกงเฉินหงุดหงิดมากกว่าเดิม “ผมผ่านความยากลำบากมากับเธอขนาดนั้นแล้ว ความรู้สึกก็ลึกซึ้งมาก แต่เทียบกับคำโกหกของเขาไม่ได้หรอ? เธอนอนกับเขาทุกวันแต่ไม่กล้าให้ผมเห็นรอยแผลเป็นบนร่างกายงั้นหรอ?”

“เปล่า……” ไป๋มู่ชิงขยับร่างกายตัวเองพยายามจะโต้ตอบฝ่ามือที่รุนแรงของเขา

เธอจะบอกเขายังไง เธอไม่กล้าให้เขาดูเพราะกลัวเขาจะตกใจ กลัวว่าเขาจะรู้สึกกลัว

แล้วเธอควรจะพูดยังไงกับเขา ว่าระหว่างเธอกับเฉียวเฟิงแค่ต้องการความอบอุ่นเป็นพึ่งพาซึ่งกันและกันแค่นั้น

ตั้งแต่ที่เธอฟื้นมา เธอก็อยู่ในฐานะภรรยาของเฉียวเฟิงแล้วคุณแม่ของหว่านชิง ตั้งแต่ตอนนั้นเธอก็มีความรู้สึกลึกซึ้งกับเฉียวเฟิง แต่เธอก็ไม่สามารถแบ่งแยกได้เลยว่าความรู้สึกนี้เป็นความรู้สึกใกล้ชิดหรือความรัก จนกระทั่งเธอฟื้นคืนความจำ เธอค่อยรู้ว่านี่ไม่ใช่ความรักแต่ผู้ชายที่เธอรักก็เป็นผู้ชายตรงหน้าคนนี้ต่างหาก

หนานกงเฉินก็ไม่ได้เพอร์เฟคมาก ถ้าโรคกำเริบก็น่ากลัว เขาหงุดหงิดก็น่ากลัว เทียบกับความอ่อนโยนของเฉียวเฟิงไม่ได้เลย แต่ความรู้สึกก็เป็นแบบนี้แหละ ความรู้สึกผูกพันก็คือผูกพัน ความรักก็คือความรัก

สองปีนี้มา เฉียวเฟิงไม่เคยล่วงเกินเธอเลย แม้แต่ร่างกายของเธอก็ไม่เคยดู เธอรู้ว่าไม่ใช่กลัวแต่เฉียวเฟิงแค่รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเพราะว่าเขาไม่มีความสามารถเหมือนผู้ชายคนอื่น

แล้วความน้อยเนื้อต่ำใจกับความอ่อนแอของเขาทำให้เธอก็ปล่อยวางเขาไม่ได้ เธอไม่กล้าคิดเลยว่าถ้าวันหนึ่งเธอกับหว่านชิงไปจากเขา เขาจะเสียใจมากแค่ไหน

หนานกงเฉินบอกว่าเธอแยกไม่ออกระหว่างความรักกับความรู้สึกขอบคุณ ความจริงเธอไม่ใช่แยกไม่ออก แต่เป็นเพราะเป็นห่วงเฉียวเฟิง เพราะว่ามีแค่เธอเท่านั้นที่รู้ว่าเฉียวเฟิงเสียสละเพื่อเธอมากแค่ไหน ผ่านวันเวลาที่ยากลำบากกับเธอมามากแค่ไหน

เมื่อรู้สึกถึงริมฝีปากของหนานกงเฉินจุมพิตลงรอยแผลบนหลังของเธอ ร่างกายไป๋มู่ชิงก็สะดุ้งไป แม้แต่ตัวเธอเองก็ยังกลัวรอยแผลนั้น แต่เขาไม่กลัวงั้นหรอ?

เธอใช้มือกำผ้าปูที่นอนไว้แน่นแล้วพูดอย่างเสียใจ “หนานกงเฉิน นายอย่าทำแบบนี้……”

“ผมอยากทำแบบนี้ ผมชอบทำแบบนี้ ได้ไหม?” หนานกงเฉินย้ายริมฝีปากมาจุมพิตที่หูของเธอแล้วกัดไปที่ติ่งหู “ผมเคยบอกแล้ว ตอนคุณยังมีชีวิตอยู่ก็ต้องเป็นของผม ถึงจะตายแล้วก็ต้องเป็นของผม ถึงแม้จะถูกไฟไหม้แต่ก็เป็นคนของผม”

“เธอวิ่งหนีไปนานขนาดนั้น วิ่งไปไกลขนาดนั้น กว่าจะกลับมาได้เธอคิดว่าผมจะยอมปล่อยเธอไปเพราะรอยแผลเป็นงั้นหรอ?” เขาลูบใบหน้าเธออย่างเบามือแล้วจับคางเธอขึ้นพร้อมจุมพิตริมฝีปากเธอ “ที่เธอร้องไห้เสียใจขนาดนี้เพราะอะไร? กลัวว่าผมจะรังเกียจหรอ?”

ไป๋มู่ชิงไม่เอ่ยพูดอะไร ที่เงียบก็แสดงว่ายอมรับแล้ว เพราะยังไงตอนนี้หนานกงเฉินก็คิดว่าอย่างนี้

เขารู้ว่าไป๋มู่ชิงยังรักเขาแล้วรู้ว่าที่เธอไปจากเฉียวเฟิงไม่ได้ก็เพราะกลัวว่าจะทำร้ายเขา ตั้งแต่เรื่องของหลินอันหนาน ภรรยาของเขาก็เป็นคนที่ใจอ่อนแบบนี้มาตลอด

“ถ้าผมบอกว่าผมไม่รังเกียจ ผมรักเธอ แล้วอยากจะกอดร่างกายนี้นอนทุกวัน เธอจะรู้สึกตื้นตันใจหรือเปล่า จากนั้นก็กลับมาข้างกายผม?”

ไป๋มู่ชิงมองผ่านม่านน้ำตา คำพูดที่อ่อนโยนของเขา เธอหลับตาลงแล้วในใจก็คิดว่านี่แค่ภาพหลอน เป็นภาพหลอนหลังจากที่เธอดื่มแอลกอฮอล์

เธอคิดว่าถ้าหนานกงเฉินเห็นรอยแผลบนร่างกายของเธอ ก็คงจะวิ่งหนีไป แต่เขาไม่ แถมยัง……จูบเธอด้วย

เขาจูบเธออีกครั้ง พร้อมกับจูบรอยแผลบนหลังเธอด้วย

ไป๋มู่ชิงรู้สึกชาไปทั้งตัว สมองก็เริ่มเบลอไป ทุกอย่างเหมือนอยู่ในความฝัน……

เธอยกมือขึ้นอย่างไม่รู้ตัว นิ้วมือก็สอดแทรกไปที่เส้นผมที่เปียกปอนด์ของเขาแล้วเอ่ยถามขึ้น “ฉันกำลังฝันหรือเปล่า?”

แม้แต่ฝันเธอก็ไม่กล้าคิดเลยว่าตัวเองสามารถปล่อยวางทุกอย่างแล้วกลับไปที่อ้อมกอดของหนานกงเฉินได้ แล้วจูบพัวพันแบบนี้กับเขาเหมือนตอนนั้น

หนานกงเฉินหันตัวมาทับเธอไว้แล้วทอดมองไปที่ตาทั้งสองข้างของเธอ “เธอกำลังฝันอยู่ เป็นฝันหวานที่เราฝันด้วยกัน”

ทำไมเขาจะไม่รู้สึกว่าตัวเองกำลังฝันล่ะ? เขาหวังว่าความฝันนี้จะดำเนินต่อไปเรื่อยๆ อย่างน้อยก็ไม่ให้เธอได้สติ เพราะว่าเขารู้ดี ถ้ารอเธอได้สติคงจะตอบโต้เขาเหมือนแต่ก่อนแล้วหลบหน้าเขาด้วย

ไป๋มู่ชิงรู้สึกใจอ่อน สุดท้ายก็ยอมเปิดใจให้เขาแล้วจมอยู่กับฝันหวานที่กล้าจินตนาการแค่ในความฝัน

ในบ้านที่อบอุ่น เหยียนเยว่ทรงตัวไม่อยู่ก็ล้มลงไปในกองขวดเหล้า

เฉียวเฟิงยกขวดเหล้าขึ้นอีกขวด พอหันไปก็เห็นว่าเธอนอนอยู่บนโต๊ะก็เลยใช้มือสะกิดเธอ “คุณหนูเหยียน ผมช่วยเปิดขวดให้คุณแล้ว เรามาดื่มกันต่อเถอะ”

เหยียนเยว่ขยับร่างกายเงยมองไปที่เขาแล้วส่ายหัว “ไม่ไหวแล้ว……ดึกมากแล้วฉันต้องกลับไป……”

“ยังไง……คืนนี้หนานกงเฉินก็ไม่มีเวลาอยู่กับคุณ……คุณรีบกลับไปมีประโยชน์หรอ……?” แล้วเฉียวเฟิงก็ยัดขวดลงไปในมือของเธอ

เหยียนเยว่รู้สึกลำไส้ปั่นป่วนก็เลยยันตัวขึ้นจากบนโต๊ะแล้วเดินเซไปเซมาไปทางห้องน้ำ เธออ้วกต่อหน้าชักโครก อ้วกน้ำแอลกอฮอล์ทั้งหมดออกมา จากนั้นก็ใช้มือทั้งสองข้างยันตัวอยู่ที่อ่างล้างมือแล้วมองตัวเองในกระจกอย่างทุลักทุเล

นี่เป็นครั้งแรกที่เธอเห็นเหยียนเยว่สภาพนี้ เลอะเทอะมาก เธอเปิดก๊อกน้ำแล้วใช้น้ำเย็นล้างหน้าพร้อมแอบถอนหายใจจากนั้นค่อยเดินออกจากห้องน้ำ

อาจจะเป็นเพราะดื่มเยอะเกินไป แม้แต่เดินก็ยังเซไปเซมา แต่เธอก็เดินไปถึงโซฟาแล้วหยิบกระเป๋าตัวเองขึ้นกำลังจะกลับไป

“คุณหนูเหยียน……คุณไม่รู้สึกเสียใจหรอ?” เฉียวเฟิงเอ่ยถามขึ้น

เหยียนเยว่นิ่งไปแล้วถาม “ทำไมฉันต้องเสียใจด้วย?”

“ตอนนี้หนานกงเฉินคงจะกอดมู่ชิงหลับไปแล้ว……พวกเขาสองคน……คงหลับสบายมาก……” เขาหันมามองเธอ “คุณไม่เสียใจ……หรือว่าคุณไม่รักเขากันแน่?”

เดิมที่เหยียนเยว่กำลังจะเดินออกไป ก็นั่งลงที่โซฟาจับขวดขึ้นชนกับเขา จากนั้นก็กระดกดื่ม “ไม่ใช่ว่าฉันไม่รักเขา……แต่ฉันรักเขามากกว่าตัวเองก็เลย……ฉันอยากให้เขามีความสุขมากกว่า……ฉันขอแค่เขามีความสุข……ฉันก็ไม่สนว่าเขาจะนอนกอดใคร จริงๆ……ไม่สนใจเลยสักนิด……”

เธอพูดจบก็ยิ้มแห้งๆ “คุณชายเฉียว……ฉันโง่มากเลยใช่มั้ย?”

“อือ……”

“ฉันก็รู้สึกว่าฉันโง่ ฉันสวยหุ่นก็ดีด้วย……แต่กลับเทียบกับคุณไม่ได้เลย คุณสามารถทำทุกอย่างได้เพื่อความสุขของตัวเอง……แต่ฉันไม่ได้ทำอะไรเลย ก็แค่……คอยอยู่ข้างกายเขาดูแลเขาช่วยเขา……แล้วยังช่วยเขาตามหาคุณหนูไป๋กลับมาครั้งแล้วครั้งเล่า”

“คุณเป็นคนรักที่ดี”

“ไม่……ฉันไม่ใช่แม้แต่คนรัก……ฉันไม่อยากเป็นคนรัก……” เหยียนเยว่ยกขวดขึ้นกระดกดื่ม นี่เป็นครั้งแรกที่เธอยิ้มอย่างขมขื่นตั้งแต่มาถึงที่นี่

“ถ้าคุณรักเขามาก ก็คงไม่คิดแบบนี้”

“ไม่……”เหยียนเยว่ส่ายหน้า “ตอนที่ฉันเห็นเค้าแว๊บแรก……ก็ถูกภาพลักษณ์ของเขาดึงดูดเหมือนผู้หญิงทั่วไป เพื่อที่จะได้เป็นเลขาของเขา……ฉันพยายามทุกอย่างแล้วหักห้ามความหลงไหลที่มีต่อเขา……จนสุดท้ายก็ได้ตามที่หวัง……แต่ว่าฉันรู้สึกแล้วว่าเขาไม่ได้มีความรู้สึกแบบนั้นกับฉัน แล้วรู้แล้วว่าเขาไม่มีทางเป็นของฉัน เพราะว่าฉันรู้ในใจเขามีผู้หญิงที่ชื่อจูจูอยู่แล้ว อาจจะเป็นเพราะว่าความเคยชินกับความหักห้ามความรู้สึกนี้ไว้……จนตอนนี้ฉันก็ชินกับการเก็บซ่อนความรู้สึกตัวเอง……”

เฉียวเฟิงเอ่ยยิ้มอย่างเยาะเย้ย “ก็ว่า……คุณอายุขนาดนี้แล้วก็ยังไม่แต่งงาน”

“ความจริง……” เหยียนเยว่มองไปที่เขาแล้วลังเล “คุณชายเฉียว……ฉันรู้สึกมาตลอดเลยว่าความสุขที่ไม่เต็มใจยังไงก็ต้องหายไป เพราะฉะนั้นฉันไม่เคยจำใจทำเลย……ลองคิดดูสิไป๋ยิ่งอันตอนนั้น แล้วดูคุณหนูจูตอนนี้ ฉันไม่อยากให้ตัวเองเป็นเหมือนพวกเธอ……แล้วถูกคุณชายเฉินรังเกียจ……”

เฉียวเฟิงทอดมองไปที่เธอ “นี่คุณกำลังบอกให้ผมปล่อยมือหรอ?”

เหยียนเยว่ส่ายหัว “ฉันไม่ได้บอกให้คุณปล่อยมือ……แต่แค่อยากให้คุณเข้าใจความจริง……ในใจคุณรู้ดีที่สุด คนที่ไป๋มู่ชิงรักมาตลอดคือคุณชายเฉิน ความรู้สึกที่เธอมีต่อคุณเป็นแค่ความขอบคุณกับความผูกพันเท่านั้น……”

“ผมรู้ยิ้ม……” เฉียวเฟิงยิ้มอย่างขมขื่นแล้วเงยหน้ากระดกดื่ม

เขารู้ว่าที่เขาสามารถยื้อให้ไป๋มู่ชิงอยู่ข้างกายได้ไม่ใช่เพราะความรัก แล้วรู้ว่าในใจเธอดิ้นรนมากแค่ไหน แต่ว่า……

“ในเมื่อรู้แล้ว……ทำไมยังไม่ปล่อยเธออีกล่ะ?”

“เพราะว่าผมไม่อยากให้เธอถูกทำร้าย” เฉียวเฟิงส่ายหัว “หนานกงเฉินปกป้องมู่ชิงไม่ได้……แม้แต่จูจูก็ทำอะไรเธอไม่ได้ ถ้าผมคืนมู่ชิงให้เขา……ยังไงมู่ชิงก็คงตกอยู่ในมือพวกคนเลว……”

“เป็นเพราะแค่นี้จริงเหรอคะ?” เหยียนเยว่มองไปที่เขาอย่างสงสัย

“ใช่……” เฉียวเฟิงพยักหน้าแล้วยกขวดเหล้าขึ้น “อย่าพูดถึงเรื่องนี้เลย……มาดื่มกันดีกว่า……”

“ได้ ฉันดื่มเป็นเพื่อนคุณ” ผู้ช่วยเหยียนยกขวดไปชนกับเขาจากนั้นก็เงยหน้าขึ้นดื่ม

หลังจากที่หมดไปอีกขวด ทั้งสองก็เมาจนไม่ได้สติแล้ว

เหยียนเย่วพยายามยันตัวขึ้นแล้วใช้สติที่หลงเหลือหยิบกระเป๋าขึ้นกำลังจะกลับบ้าน เธอลืมตาที่มึงมัวก็เห็นว่าเฉียวเฟิงนอนอยู่บนพื้นก็เลยก้มลงไปสะกิดแขนของเขา “คุณชายเฉียวคะ……บนพื้นเย็นคุณไปนอนบนเตียงเถอะค่ะ”

เฉียวเฟิงเอ่ยเสียงเบาแล้วเงยหน้ามองไปที่เธอจากนั้นก็ยิ้ม “มู่ชิง……คุณกลับมาแล้วหรอ……”

“ฉันไม่ใช่คุณหนูไป๋ค่ะ ฉันคือเหยียนเยว่” เหยียนเยว่พยายามทรงตัวให้อยู่แล้วใช้แรงที่หลงเหลือพยุงตัวเขาขึ้นจากพื้นแต่ก็ไม่สำเร็จสักที ก็เลยเอ่ยพึมพำในปาก “คุณชายเฉียว……คุณหนักมาก……”

“อือ……ขอโทษ……ฉันลืมไปคุณอัมพาต……” เธอส่ายหัวจากนั้นก็ออกแรงแล้วพยุงตัวขึ้นมา

“ผมไม่ได้……อัมพาต……” เฉียวเฟิงส่ายหัวแล้วยิ้มพร้อมกอดเหยียนเยว่ไว้ “มู่ชิง……ผมไม่ได้อัมพาต……ผมให้ความสุขคุณได้……ขอแค่คุณรักผม……”

“คุณชายเฉียวคุณอย่าทำแบบนี้……” เหยียนเยว่พยายามดิ้นออกมาจากอ้อมกอดของเขา กว่าจะพยุงตัวเขาขึ้นมาบนเตียงได้แต่ขาก็พลิกแล้วทั้งสองก็ล้มลงไปบนเตียง

เหยียนเยว่ถูกเขาทับตัวไว้ เขาก็เอาแต่เอ่ยพึมพำข้างหูว่า “มู่ชิง……”

ในใจเธอก็รู้สึกขมขื่นแล้วพูด “มู่ชิง……ดีขนาดนี้เลยหรอ? ดีกว่าฉันอีกหรอ? สวยกว่าฉันอีกหรอ?”

เมื่อเธอถูกเฉียวเฟิงจูบไปที่คอ ร่างกายก็รู้สึกเหมือนโดนไฟช็อตทันที

เธอยื่นมือไปจับใบหน้าที่หล่อเหลาของเฉียวเฟิงแล้วใช้สายตาที่งัวเงียมองไปที่เขาแล้วยิ้ม “คุณว่า……ฉันสวยไหม? ฉันแย่กว่าคนอื่นหรือเปล่า?”

“ไม่เลย……” เฉียวเฟิงก็ใช้สายตาที่เคลิ้มมองที่ใบหน้าสวยงามของเหยียนเยว่ เขากระพริบตามองไปที่ปากเธอแล้วจุมพิตลงไปที่ริมฝีปากเธอ……

วันรุ่งขึ้น ไป๋มู่ชิงถูกอะไรบางอย่างทำให้สะดุ้งตื่น

รู้สึกคันคอมาก เธอเลยยกมือขึ้นปัดแต่กลับจับโดนหน้าของหนานกงเฉินจนสะดุ้งตกใจแล้วรีบลืมตาขึ้น

บริเวณรอบๆแปลกตามาก นี่คือโรงแรม ใช่ เธอก็ยังอยู่ในโรงแรม สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนค่อยๆลอยมาในสมอง เธอกับหนานกงเฉินกินเค้กของเฉียวเฟิง แล้วยังอาบน้ำด้วยกัน แล้วก็ยัง……

เธอหลับตาลง โกรธจนอยากจะกัดลิ้นตัวเองตาย

เธอไม่กล้าก้มลงไปมองผู้ชายในอ้อมกอดตัวเองเลย แต่ถ้าจะเอาแต่หลบหน้าก็ไม่ได้ แล้วไม่มีทางหนีได้ด้วย

“ตื่นแล้วหรอ?” ข้างหูมีเสียงที่มีชีวิตชีวาของหนานกงเฉินดังขึ้น

“ฉันกำลังฝันใช่ไหม?” เธอก็ยังหลับตาอยู่

“ใช่ นี่เป็นฝันหวานที่เธอไม่ยอมตื่น” หนานกงเฉินจูบไปที่ริมฝีปากของเธอ “แต่ว่าตอนนี้เก้าโมงแล้ว เธอต้องตื่นมายอมรับกับความจริง”

เก้าโมงแล้ว……!

ไป๋มู่ชิงลุกขึ้นนั่งบนเตียงแล้วมองไปรอบๆ จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์บนโต๊ะขึ้น เก้าโมงแล้วจริงๆด้วย

“ทำไมนายไม่เรียกฉันตื่นเร็วกว่านี้?” เธอเอ่ยถามอย่างหงุดหงิด

“ผมเห็นว่าคุณหลับสบายมากก็เลยไม่อยากปลุก” หนานกงเฉินก็นั่งขึ้นจากบนเตียง ไป๋มู่ชิงก็เอาแต่จับผ้าห่มมาปิดไว้ตรงอกแล้วจ้องไปที่เขา “นายหันหน้าไป ห้ามมองฉัน”

“เธอแน่ใจเหรอว่าจะทำอะไรแบบนี้อีก?” หนานกงเฉินลูบไปมาที่หลังของเธอ “ที่ที่เมื่อคืนยังดูไม่พอ เมื่อกี้ผมก็ดูไปแล้วอีกรอบหนึ่ง”

“นาย……” ไป๋มู่ชิงไม่รู้จะเอ่ยอะไร สีหน้าก็ร้อนแดงขึ้น

ไป๋มู่ชิงมองไปรอบๆ แต่ก็ไม่เห็นเสื้อผ้าตัวเอง ค่อยนึกขึ้นได้ว่าเสื้อผ้าตัวเองเปียกอยู่ในห้องน้ำ แล้วเมื่อคืนเธอก็ไม่ได้ตากเสื้อผ้าด้วย

“เสื้อผ้าของฉัน……”

“ยังแช่อยู่ในน้ำ”

ไป๋มู่ชิงจ้องไปที่เขา “แล้วจะทำยังไง?”

“ถึงแม้มีเสื้อผ้าเธอก็ออกไปไม่ได้” หนานกงเฉินหันตัวมากดเธอลงบนเตียงแล้วจูบริมฝีปากเธอไปด้วย “อย่ากังวลเลย เดี๋ยวผมเรียกคนมาส่งเสื้อผ้า”

“นายก็เรียกสิ” ไป๋มู่ชิงหันหน้าหลบหลีกจูบของเขา

“เมื่อกี้ผมโทรไปหาผู้ช่วยเหยียนแล้วแต่ว่าไม่รับ” หนานกงเฉินก็ยังไล่ตามริมฝีปากเธอแล้วจูบให้มอนิ่งคิสที่ดูดดื่มกับเธอ

ไป๋มู่ชิงพยายามปรับลมหายใจ เมื่อหลบหลีกริมฝีปากของเขาไม่ได้แล้วผลักร่างกายที่แข็งแรงของเขาไม่ได้ด้วย ก็เลยจำใจต้องยอมแพ้

เมื่อรู้สึกว่าเธอยอม หนานกงเฉินก็ยิ้มอย่างพอใจ จากนั้นก็พยายามยั่วยุอารมณ์เธอ

แต่ไป๋มู่ชิงกลับปัดมือของเขาออกแล้วพูดขอร้อง “หนานกงเฉิน เราทำแบบนี้ไม่ได้……”

หนานกงเฉินหยุดการกระทำทันทีแล้วทอดมองไปที่เธอ “เธอยังอยากจะกลับไปที่ข้างกายผู้ชายคนนั้นอีกหรอ?”

“ใช่ ขอร้องให้นายช่วยจัดการให้หน่อยได้ไหม?”

“ไป๋มู่ชิง เธออย่าหัวดื้อแบบนี้ได้ไหม?” หนานกงเฉินพูดอย่าหงุดหงิด

ไป๋มู่ชิงก็โมโหขึ้นมา “หนานกงเฉิน นายอย่าไร้เดียงสาหน่อยเลย นายคิดว่าแค่ความรักก็จะมัดฉันกลับไปข้างตัวได้หรอ? ฉันบอกแล้วฉันมีความคิดของตัวเอง ฉันมีทางเลือกของตัวเอง ขอให้คุณให้เกียรติฉันด้วย!”

“ทั้งๆที่เมื่อคืนเธอยังรักผมแล้วให้ความร่วมมือกับผม”

“เมื่อคืนฉันเมา”

“……”

ทั้งสองสบตากันแล้วไม่เอ่ยพูดอะไรอีก

หลังจากสบตาไปสักพัก สุดท้ายหนานกงเฉินก็ยอมแพ้แล้วดึงเธอกลับมาในอ้อมกอดแล้วจูบหน้าผากของเธอ “ก็ได้ อย่าโมโหเลย ผมรู้ว่าในใจเธอคิดอะไรอยู่ แล้วเข้าใจความรู้สึกตอนนี้ด้วย แต่ว่ามีอะไรบางอย่างที่ไม่ต้องสงสัยเลยก็คือ เรารักกันและคิดถึงกัน คุณดูสิผมรักนวลสงวนตัวมาตั้งสองปี จะหิวหน่อยก็ไม่แปลก……ขอโทษ”

ไป๋มู่ชิงเงยหน้ามองไปที่เขาด้วยสีหน้าไม่เชื่อ “นายโกหก นายกับจูจูแต่งงานสองปีกว่าแล้ว……ยังรักนวลสงวนตัว? อีกอย่างฉันดูท่าทางของนายเมื่อคืนไม่เหมือนกับว่าผ่านสองปีนี้มาเก็บกดเลย”

“ใครบอกว่าเก็บกดนานแล้วก็จะเร็ว……” เขาไอเสียงเบาแล้วเปลี่ยนคำพูด “ผมเคยบอกแล้ว ที่ผมแต่งงานกับจูจูเป็นเพราะคุณย่าบังคับ ผมแต่งงานกับเธอแล้วเคยสัญญากับเธอ ผมจะให้ฐานะกับเธอ แต่ก็ไม่ได้ให้ใจไป ถ้าไม่เชื่อก็ไปถามสิ”

“ฉันไม่ไป” เดินไปถามจูจูคำถามนี้? เธอยังถูกทำร้ายไม่พออีกเหรอ?

หนานกงเฉินยิ้มแล้วทอดมองไปที่เธอ ความจริงเขารู้สึกได้ว่าสองปีนี้มาเธอก็ยังรักษาร่างกายเพื่อเขา เขารู้สึกได้

ดูเหมือนว่าเฉียวเฟิงจะไม่มีความสามารถด้านนี้เลย เมื่อนึกถึงจุดนี้เขาก็รู้สึกมีความสุขมาก

“คิดอะไรอยู่? กำลังตื่นตันในใจอยู่หรอ?” หนานกงเฉินพูดข้างหูเธอ

ไป๋มู่ชิงดึงสติกลับมา มีความรู้สึกร้อนตัวแต่เธอก็หันหน้าหนี “เปล่า”

แต่เธอก็จ้องไปที่เขาทันที “นายจะจัดการคนข้างนอกให้ไปเมื่อไหร่?”

“ผมโทรไปหาโรงแรมให้จัดการแล้ว” หนานกงเฉินพูด

ถึงแม้เขาจะไม่อยากออกจากห้องนี้ แต่ก็จำใจต้องโทร เพราะว่านี่ก็ไม่ใช่เวลาที่จะมารื้อฟื้นความอบอุ่นกับเธอ เขายังมีเรื่องที่ต้องไปจัดการแล้วเธอก็ไม่อยากอยู่ที่นี่กับเขาด้วย

“แล้วเสื้อผ้าล่ะ? เมื่อไหร่จะมีคนส่งมา?”

“เดี๋ยวผมโทรไปถามอีกที” หนานกงเฉินเอื้อมไปทางหัวเตียงแล้วกอดเธอเข้ามาในอ้อมกอดพร้อมจูบหน้าผากของเธอ “ให้ผมกอดอีกสักหน่อยก็ได้ใช่ไหม?”

เขาพูดคำพูดที่ตื้นตันใจแบบนี้ออกมา ไป๋มู่ชิงจะปฏิเสธเขาได้ยังไง ก็เลยปล่อยให้เขากอดไป

แต่เธอก็ไม่มีทางยอมรับว่าหลงไหลกับอ้อมกอดของเขา

เธอเร่งให้เขาโทรศัพท์เร็วๆ

หนานกงเฉินก็โทรไปหาเบอร์ของผู้ช่วยเหยียนต่อหน้าเธอจริงๆ โทรศัพท์โทรออกแล้ว แต่ดังไปสักพักก็ไม่มีใครรับ หนานกงเฉินก็เลยยักไหล่ไปทางเธอ

“หาคนอื่นไม่ได้หรอ?”

“ไม่ใช่ไม่ได้ แต่ว่า……” หนานกงเฉินยิ้มเอ่ย “ผมไม่แคร์ถ้าจะให้คนอื่นเห็นเราสภาพแบบนี้ แต่เธอก็ไม่แคร์หรอ?”

ไป๋มู่ชิงหันหน้าไปไม่เอ่ยพูดอะไร

เธอจะไม่แคร์ได้ยังไง ดูเหมือนว่าจะโทรหาผู้ช่วยเหยียนได้เท่านั้น เพราะว่าผู้ช่วยเหยียนรู้ว่าเธอเป็นใคร

แล้วอีกฝั่งของโทรศัพท์ เมื่อเหยียนเยว่ได้ยินเสียงโทรศัพท์ตัวเองดังขึ้นแต่ยังไงก็ควานหาโทรศัพท์ตัวเองไม่เจอ ควานหาไปสักพักก็สัมผัสโดนคนที่มีอุณหภูมิอยู่ข้างกาย

เธอลืมตาขึ้นอย่างสงสัย เมื่อเธอเห็นใบหน้าอันหล่อเหลาที่อยู่ใกล้ชิดก็อุทานขึ้น จากนั้นก็ขยับถอยหลังไปสุดท้ายก็ล้มลงไปข้างเตียง

เธอโอดร้องขึ้นแล้วยันตัวขึ้นจากพื้น ค่อยๆเงยหน้าอย่างระมัดระวังไปดูบนเตียง

สมองเบลอมัวไปทันที

เธอเห็นอะไร? เธอเห็นเฉียวเฟิงนอนเปลือยกายอยู่บนเตียง ใช่ เปลือยกายอยู่

เธอก้มมองตัวเอง ตัวเองก็เปลือยกายเหมือนกัน

เธอใช้มือทุบหัวตัวเองแล้วนึกย้อนถึงเมื่อคืน แต่เธอนึกไม่ออกเลยว่าเมื่อคืนตัวเองกับเฉียวเฟิงอยู่บนเตียงได้ยังไง แล้วเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น? ทั้งสองที่เปลือยกายทำอะไรไปบ้าง?

เธอหลับตาลงแล้วนึกย้อนถึงความรู้สึกของตัวเอง เธอกับเฉียวเฟิงไม่เหมือนกับว่านอนเปลือยกายอยู่บนเตียงแค่นั้น!

กว่าเธอจะดึงสติกลับมาได้ เมื่อเงยหน้าขึ้นเฉียวเฟิงก็ตื่นแล้ว ก็กำลังมองไปที่เธออย่างประหลาดใจเหมือนกัน

ทั้งๆที่เคยเจอหน้ากันไม่กี่ครั้ง แต่กลับตื่นมาบนเตียงแล้วนอนเปลือยกายด้วยกัน ไม่ประหลาดใจสิถึงจะแปลก

“นายอัมพาตไม่ใช่หรอ?” เหยียนเยว่จ้องไปที่เขาแล้วเอ่ยขึ้น “โกหกงั้นหรอ?”

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

Status: Ongoing
ไป๋มู่ชิงเคยได้ยินเรื่องเล่าตั้งแต่เด็กว่า ตระกูลหนานกงในเมืองซีเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุด แต่น่าเสียดายที่คุณชายใหญ่ของตระกูลกลับป่วยเป็นโรคประหลาด โรคที่เขาเป็นจะทำให้เขามีอายุอยู่ได้ไม่ถึงอายุ30ปี ไป๋มู่ชิงยังได้ยินมาอีกว่า คุณชายหนานกงเฉินแต่งงานใหม่ทุกๆปี แต่เจ้าสาวของเขากลับมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงวันต่อมาหลังคืนเข้าหอ แต่ไม่ทราบสาเหตุของการแต่งงานและยังไม่ทราบถึงสาเหตุการเสียชีวิตของเจ้าสาวด้วย เมื่อตระกูลหนานกงได้ส่งของหมั้นมาให้ตระกูลไป๋ ไป๋มู่ชิงก็คิดไม่ถึงว่าพ่อของเธออยากจะปกป้องชีวิตพี่ของเธอไว้ถึงขนาดผลักเธอเข้าไปในประตูนรกอย่างโหดร้าย บังคับให้เธอแต่งงานกับหนานกงเฉินเป็นเจ้าสาวคนที่เจ็ดของเขา แทนพี่สาวของเธอ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท