เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด – บทที่ 223 หาทางหลุดพ้นจากชะตากรรม

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

ใช่ ชินแล้ว ใช้ไปก็รู้สึกสบายดี ผู่เหลียนเหยาผายมือไปทางโซฟา: “เชิญนั่ง”

ไป๋มู่ชิงไม่ได้พูดอะไร เดินไปนั่งลงบนโซฟาที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ก่อนจ้องมองไปที่เธอ: “นัดฉันมาทำอะไรที่นี่? ไม่กลัวว่าฉันจะพาหนานกงเฉินมาด้วยเหรอ?”

“ฉันรู้ว่าเดี๋ยวนี้เธอกับหนานกงเฉินเข้ากันได้ดี แต่ที่ฉันเชิญเธอมาไม่ได้จะต่อกรกับเขา แต่จะช่วยเขาต่างหาก ถึงเธอจะพาเขามาด้วยก็เห็นไม่เป็นไร” ผู่เหลียนเหยานำชาผลไม้มาให้เธอแก้วหนึ่ง พร้อมยิ้มเล็กน้อย: “นี่เป็นชาส้มโอที่เธอชอบ”

ไป๋มู่ชิงไม่ได้มองชาผลไม้ในมือเธอ แต่กลับถามว่า: “ช่วยหนานกงเฉิน? หมายความว่ายังไง?”

“ในฐานะคู่แท้ตามชะตาลิขิต เธอได้ใช้ชีวิตอยู่ข้างนอกอย่างอิสระ แต่คุณหนูจูที่น่าสงสารกลับต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ในบ้านตระกูลหนานกง เสียแรงที่พี่เฉินรักและไว้ใจเธอมาก ที่แท้เธอก็เป็นพวกกลัวตายถึงขนาดไม่สนใจแม้แต่ชีวิตของพี่เฉิน”

“ฉันไม่ได้กลัวตาย ฉันแค่ไม่เชื่อเรื่องคู่แท้ชะตาลิขิตอะไรนั้น”

“แม้แต่ฉันที่จบหมอมาก็ยังเชื่อ แต่เธอกลับไม่เชื่อ?”

ไป๋มู่ชิงมองเธออย่างแปลกใจ แม้แต่เธอก็เชื่อเหรอ?

“อาการป่วยของหนานกงเฉินมีอยู่จริง คุณผู้หญิงจิ้งก็มีอยู่จริง บ้านตระกูลหนานกงเชื่อกันมากว่าสามสิบปีเธอมีสิทธิ์อะไรไม่เชื่อ?”

“คุณหนูผู่ที่นัดฉันมาวันนี้ก็เพื่อจะโน้มน้าวให้ฉันกลับบ้านตระกูลหนานกงเหรอ?” ไป๋มู่ชิงถามอย่างสับสนรำคานใจ

สำหรับเรื่องนี้แล้วเธอก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง พอได้ฟังผู่เหลียนเหยาพูดแบบนี้เข้าก็มีผลต่อใจเธอไม่น้อย เพื่อยืนหยัดในความเชื่อทางวิทยาศาสตร์ของตนเอง เธอจึงขัดขึ้นไม่ให้ผู่เหลียนเหยาได้พูดต่อ

“ไม่ ฉันไม่ได้จะมาพูดให้เธอกลับไป แต่ฉันมีเรื่องอยากบอกให้เธอรู้ไว้” ผู่เหลียนเหยาจ้องมองเธอด้วยสีหน้าจริงจัง: “คุณหนูจูตกใจจนกลายเป็นบ้าไปแล้ว เธอวางแผนที่จะฆ่าหนานกงเฉินอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เพราะแค่หนานกงเฉินตายเธอก็จะได้รับอิสระและมีชีวิตอยู่ต่อไป เธอเข้าใจมั้ย?”

คำพูดของเธอทำให้หัวใจของไป๋มู่ชิงบีบรัดแน่นขึ้นเรื่อยๆ

ถึงแม้ว่าผู่เหลียนเหยาจะตั้งใจข่มขู่เธอก็ตาม แต่สิ่งที่เธอพูดก็มีเหตุผล จูจูไม่ใช่คนดีอะไรอยู่แล้ว เธอไม่มีทางที่จะยอมตายเพื่อหนานกงเฉินแน่นอน ที่ผ่านมาหนานกงเฉินเองก็ทำร้ายจิตใจเธอไม่น้อย ถ้าเธอคิดจะฆ่าเขาก็ย่อมเป็นไปได้

“เธอบอกเรื่องพวกนี้กับฉันจะมีประโยชน์อะไร?”

“ฉันก็ไม่รู้ว่าจะมีประโยชน์อะไร” ผู่เหลียนเหยายิ้มขื่น: “ถึงฉันจะหวังในสมบัติของพี่เฉินก็จริง แต่ฉันก็ไม่อยากให้พี่เฉินต้องตายเพราะจูจู ยังไงแล้วพี่เฉินก็ดูน่าสงสารไม่น้อย”

ไป๋มู่ชิงนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะพูดต่อ: “ฉันก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าเธอมาบอกเรื่องพวกนี้กับฉันเพื่ออะไร ต้องการให้ฉันกลับไปตายแทนจูจูที่บ้านตระกูลหนานกง? หรือว่าต้องการให้ฉันไปฆ่าจูจู?”

“คุณหนูผู่ ฉันไม่เข้าใจว่าถ้าเธออยากให้หนานกงเฉินมีชีวิตอยู่ต่อจริง ทำไมตอนนั้นเธอต้องช่วยให้จูจูได้แต่งงานกับเขา? เธอบอกว่าเธอเชื่อเรื่องที่เล่าลือ แต่ทำไมถึงยังวางแผนให้ฉันเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์? เธอรู้ทั้งรู้ว่าฉันเป็นคู่แท้ตามชะตาลิขิตของเขา ถ้าฉันตายหนานกงเฉินก็มีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้” ไป๋มูชิงไม่เข้าใจและไม่รู้ว่าผู่เหลียนเหยาต้องการอะไรกันแน่

ผู่เหลียนเหยาถูกเธอถามจนนิ่งไป ก่อนจ้องมองมาชั่วครู่แล้วพูด: “ฉันจะบอกอีกครั้งว่าอุบัติเหตุครั้งนั้นไม่เกี่ยวข้องกับฉัน”

” ไม่เกี่ยวข้องกับเธอ?” ไป๋มู่ชิงส่ายหน้าและยิ้มเย็น: “เธอคิดว่าฉันจะเชื่อเหรอ?”

” เชื่อหรือไม่เชื่อก็แล้วแต่เธอ” ผู่เหลียนเหยายกแก้วกาแฟขึ้นดื่น ก่อนจะพูด: “วันนี้ฉันเชิญเธอมาก็เพื่อจะบอกให้เธอรู้ว่าตอนนี้หนานกงเฉินอยู่ในอันตราย ส่วนเธอจะเชื่อหรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับเธอ ไม่ส่งนะ”

“สบายใจได้ ฉันคอยระวังอยู่แล้ว”

ไป๋มู่ชิงไม่ได้พูดอะไรอีก เธอหันหลังแล้วเดินออกไปทันที

เซิ่งเคอกลับถึงบ้านเห็นทุกคนอยู่ในห้องอาหาร แต่ไม่เห็นผู่เหลียนเหยาจึงรีบถามขึ้น: “เหลียนเหยาล่ะ?”

พี่เหอรีบตอบ: “คุณหนูผู่บอกว่าไม่ค่อยสบาย ยังไม่อยากทานข้าวค่ะ”

คุณผู้หญิงพูดเหยียดขึ้น : ” เหลียนเหยานี่ช่างไม่มีเหตุผลเอาซะเลย เรื่องนิดเดียวทำเป็นไม่กินไม่ดื่ม”

“เกิดอะไรขึ้นกันแน่?” ถึงแม้เซิ่งเคอจะถาม แต่ก็ไม่รอฟังคำตอบจากพวกเธอ เขาถามเสร็จก็เดินขึ้นชั้นบนไปทันที

เขาขึ้นไปในห้องนอน เห็นผู่เหลียนเหยานั่งเหม่ออยู่ตรงระเบียง เลยรีบเดินเข้าไปถามอย่างห่วงใย: “เหลียนเหยา คุณย่าพูดอะไรกับเธอหรือเปล่า?”

เขาสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ เห็นได้ชัดว่าผู่เหลียนเหยาที่นั่งตาบวมช้ำต้องผ่านการร้องไห้มาอย่างยาวนานเป็นแน่

ผู่เหลียนเหยาค่อยๆช้อนตาขึ้นจ้องมองเขา: “ไม่ใช่ความผิดของคุณย่า มันเป็นความต้องการของคุณลุงคุณป้า ก่อนหน้านั้นพวกท่านก็เคยประชดประชันลับหลังว่าฉันไม่เหมาะสมกับคุณ แต่ตอนนี้พวกท่านถึงขนาดเตือนฉันต่อหน้าว่าให้ฉันไปให้ไกลจากคุณ”

เซิ่งเคอ ทำยังไงดี? ฉันไม่อยากไปจากคุณจริงๆ แต่คุณป้าท่านบอกแล้วว่าถ้าฉันไม่ยอมไปจากคุณท่านก็จะตายให้ฉันดู ท่านบอกว่าต่อให้ท่านต้องตายก็จะไม่ให้ฉันแต่งเข้าบ้านตระกูลเซิ้ง” ผู่เหลียนเหยาพูดไปก็เริ่มร้องไห้อีกครั้ง

เซิ่งเคอดึงเธอเข้าสู่อ้อมกอด พูดด้วยนำ้เสียงอ่อนโยน: “เราตกลงกันแล้วนี่ ไม่ว่าท่านทั้งสองจะพูดอะไรเธอก็ห้ามไปจากฉัน”

“แต่ถ้าคุณป้าท่านใช้ความตายมาบีบบังคับล่ะ ฉันจะไม่ไปก็คงไม่ได้ ถ้าเกิดอะไรขึ้นมาชีวิตนี้ฉันจะไม่มีวันสงบสุขได้เลย” ผู่เหลียนเหยาเอามือเช็คน้ำตาขณะที่ยังอยู่ในอ้อมกอดของเขา

“เธอสบายใจได้ ฉันจะคุยกับคุณย่าเอง” เซิ่งเคอตบไหล่เธอเบาๆเพื่อปลอบใจเธอ แต่สีหน้าเขากลับเต็มไปด้วยความโกรธ เขาคบกรามไว้แน่น ไม่คิดว่าพ่อจะใช้ผู่เหลียนเหยามาข่มขู่และบังคับเขา และเริ่มได้ไวมาก

ผู่เหลียนเหยาสูดน้ำมูกก่อนจะดันตัวเองออกจากอ้อมกอดของเขามาจ้องมองหน้าเขาแทน: “คุณป้าปกติกแล้วเป็นคนพูดคำไหนคำนั้น คุณอย่าเพิ่งไปต่อกรกับท่านเลย ไม่งั้นเราทั้งสองก็คงได้จบกันไปแน่ๆ”

“วางใจเถอะ ผมจะพูดกับท่านดีๆ” เซิ่งเคอยกมือขึ้นช่วยเธอเช็คน้ำตาบนหน้า: “ไปเถอะ ลงไปกินข้าวกัน”

“ฉันไม่อยากกินค่ะ”

เซิ่งเคอพยักหน้า: “เดี๋ยวฉันยกขึ้นมาให้ เธอนอนพักก่อนนะ”

พูดจบ เขาค่อยๆลูบหัวเธอเบาๆ ก่อนจะหมุนตัวเดินออกไป

ขณะที่กำลังเดินออกจากห้องนอน เขาก็หยิบมือถือขึ้นมาโทรฯไปที่บ้านตระกูลเซิ่ง คุณผู้หญิงเซิ่งเป็นคนรับสายยังไม่ทันที่เขาจะได้พูดอะไรท่านก็พูดขึ้นก่อน: “เซิ่งเคอ ถ้าจะมาพูดเรื่องผู่เหลียนเหยาก็ไม่จำเป็นแล้ว ฉันกับพ่อเธอตัดสินใจแล้ว นอกซะจากว่าขาของผู่เหลียนเหยาหายดี ไม่เช่นนั้นก็อย่าหวังว่าจะได้แต่งเข้าบ้านตระกูลเซิ่ง”

“แม่……..”

คุณผู้หญิงเซิ่งไม่ให้โอกาสเขาได้พูด: “ฉันกับพ่อเธอแค่อยากให้เธอได้แต่งงานกับผู้หญิงที่ปกติ เพราะเราทั้งสองคนแก่มากแล้วต่อไปยังต้องหวังเพิ่งให้ลูกสะใภ้ดูแล แค่นี้ไม่มากไปใช่มั้ย? ยังไงซะก็เชื่อฟังพ่อแม่ช่วยไปจัดการทุกอย่างให้มันเหมาะสมด้วยเถอะ”

เซิ่งเคอกัดฟันพูดด้วยความโกรธ: “พวกท่านทำไมถึงได้ไม่มีความละอายแบบนี้!”

“ผู่เหลียนเหยาไม่น่าละอายกว่าหรือไง? พิการแล้วยังอยากแต่งเข้าบ้านคนรวย ผู้หญิงแบบนี้ต่อให้ไม่พิการฉันก็ไม่อยากได้!” คุณผู้หญิงเซิ่งพูดทิ้งท้ายอีกประโยค: “เรื่องนี้ตกลงตามนี้นะ เธอเองก็ไปก็คิดให้ดีๆแล้วกัน”

“แม่……..” เซิ่งเคอร้องเรียกไปตามสาย แต่ปลายสายได้วางไปแล้ว เขาทำได้แค่ถอนหายใจก่อนจะเก็บมือถือ

เขากลับมาถึงโต๊ะอาหาร คุณผู้หญิงเงยหน้าจ้องมองไปที่เขา: “ทำไม? เหลียนเหยาไม่ลงมากินเหรอ?”

คุณผู้หญิงอดไม่ได้ที่จะพูดต่อ: “เซิ่งเคอ อย่าไปตามใจเหลียนเหยาให้มากนะเลย ตามใจมากจนกลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว เธอรู้จักเหลียนเหยามั้ย? รู้ว่าในใจเธอคิดยังไงมั้ย? ด้วยนิสัยเธอแล้วแค่คนอื่นพูดอะไรไม่กี่คำจะทำให้ถึงกับกินอะไรไม่ลงเลยเหรอ?”

“คุณย่าเลิกบ่นเถอะ รีบทานข้าวเถอะ” หนานกงเฉินที่ปกติไม่ค่อยชอบพูดบนโต๊ะอาหารได้พูดขึ้น

เขากลัวว่าคุณผู้หญิงจะหลุดปากอะไรออกไป จึงต้องรีบพูดขัดขึ้น

คุณผู้หญิงเข้าใจความหมายของเขา จึงรีบเปลี่ยนเป็นพูด: “เซิ่งเคอ ไม่ต้องกังวลมากหรอก ไปจัดการสื่อสารกับทางพ่อแม่ให้ดีก็พอ ไม่นานพวกท่านก็คงจะยอมเข้าใจ”

“ผมรู้แล้วครับ” เซิ่งเคอมองไปที่คุณผู้หญิงและหนานกงเฉิน ในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด ถ้าพวกเขารู้ว่าพ่อและแม่เขากำลังคิดอะไรอยู่ คาดว่าคงต้องโกรธจนเป็นบ้าแน่

วันนั้นหลังจากที่แยกกับหนานกงเฉิน เขาก็โทรฯมาหาเธอทุกวัน แต่ไป๋มู่ชิงกลับไม่รับแม้แต่สายเดียว

หนานกงเฉินไม่อยากทำให้เธอรำคาญ จึงโทรฯหาเธอแค่วันละครั้ง

เขายังคิดว่าวันนี้ไป๋มู่ชิงก็คงไม่รับสายเหมือนเดิม แต่ไม่คิดว่าเธอจะรับสายทันทีจนเขาไม่รู้จะทำหรือพูดอะไรดี

“มู่ชิง……เธอ……เธอไม่เป็นอะไรใช่มั้ย? ” เขาถามอย่างแปลกใจ

“ทำไม่ถามแบบนั้น” ไป๋มู่ชิงไม่เข้าใจ

หนานกงเฉินยิ้มนิดหนึ่ง: “ก็ก่อนหน้านั้นเธอไม่สนใจฉันเลย”

“ก็รู้ทั้งรู้ว่าฉันไม่สนใจ แล้วจะโทรฯมาอีกทำไม?”

“ชินแล้ว”

ชินเหรอ…..ไป๋มู่ชิงรู้สึกหวั่นไหวในใจ เธอสูดลมหายใจเข้าเบาๆและถาม: “คุณหาฉันมีอะไร?”

“ไม่มีอะไร แค่อยากได้ยินเสียง อยากรู้ว่าเธอสบายดีมั้ย”

“ฉันสบายดี คุณล่ะ?” ไป๋มู่ชิงนึกถึงสิ่งที่ผู่เหลียนเหยาพูด อันที่จริงเธอกะจะโทรฯหาเขาอยู่เหมือนกัน แต่ไม่คิดว่าเขาจะโทรฯมาหาซะก่อน

ถ้าไม่ใช่เพราะผู่เหลียนเหยามาหาเธอ เธอเองก็คงจะไม่มีวันรับสายของหนานกงเฉิน เพราะเธอรับปากเฉียวเฟิงแล้วว่าจะพยายามไม่เจอหนานกงเฉินอีก

“สบายดี” หนานกงเฉินหัวเราะหยัน: “มู่ชิง เธอรู้สึกมั้ยว่าเราสองคนเหมือนเพื่อนที่ไม่สนิทคุ้นเคยไปแล้ว นอกจากถามสารทุกข์สุขดิบของกันและกันแล้ว ก็ไม่มีอะไรจะคุยอีก

“ไม่” ไป๋มู่ชิงส่ายหัว: “ฉันมีเรื่องอยากบอกคุณ”

” เรื่องอะไร? คิดได้แล้วเหรอ?” หนานกงเฉินรู้สึกดีใจขึ้นมา

“คิดได้อะไร?” ไป๋มู่ชิงงงกับสิ่งที่เขาถาม

ไป๋มู่ชิงไม่รู้จะตอบยังไง: “คุณชายเฉิน………”

“เอาเถอะ ฉันรู้ว่ามันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้” น้ำเสียงดีใจของหนานกงเฉินจางลง: “เรื่องอะไร?”

“เราเจอกันหน่อยดีกว่า” ไป๋มู่ชิงพูดเสร็จ ก็รีบพูดต่อ: “แต่ฉันขอร้องคุณชายเฉินเรื่องหนึ่งได้มั้ยคะ เราแค่ออกมาเจอกันแปบเดียว คุณชายเฉินอย่าคิดเป็นอย่างอื่นได้มั้ย”

“กลัวแต่เธอจะทนไม่ไหวจนยอมฉันอีกมากกว่ามั้ย?” หนานกงเฉินยิ้มเจ้าเล่ห์

“หนานกงเฉิน ฉันกำลังซีเรียสนะ” ไป๋มู่ชิงหน้าร้อนผ่าว

“เอาเถอะ เดี๋ยวฉันรีบไปหาที่ร้านกาแฟแถ้วบ้านเธอ”

“ได้ เดี๋ยวเจอกัน” ไป๋มู่ชิงพูดเสร็จก็วางสาย

หลังยี่สิบนาที ทั้งสองก็มาเจอกันที่ร้านกาแฟ หนานกงเฉินมองหน้าไป๋มู่ชิง นึกในใจไม่เจอแค่ไม่กี่วัน ทำไมเขารู้สึกอยากกอดเธอขึ้นมาอีกแล้ว

พอนึกถึงสัญญาที่เขาเพิ่งให้เธอไป ก็ต้องอดใจไม่เข้าไปกอดเธอ เขาชี้ไปที่โซฟา: “เชิญนั่ง”

ไป๋มู่ชิงพยักหน้า ก่อนนั่งลงบนโซฟา

เธอเองก็จ้องมองไปที่เขา ด้วยความละเอียดพี่ถ้วนทำให้เธอสังเกตเห็นว่าวันนี้หนวดเคราเขาดูยาวขึ้นอีกแล้ว นึกสงสัยในใจช่วงนี้เขายุ่งมากเลยเหรอ? ถึงขนาดไม่มีแม้แต่เวลาจะโกนหนวดเครา

“ช่วงนี้ยุ่งมากเหรอ?” เธอถามขึ้นอย่างเป็นห่วงในที่สุด

“ฉันก็ยุ่งแบบนี้ตลอดไม่ใช่เหรอ? ” หนานกงเฉินยิ้มอย่างฝืนใจ: “ช่วยนี้ที่บริษัทฯมีเรื่องมาก เลยยุ่งกว่าปกตินึดหนึ่ง”

“อย่าลืมพักผ่อนด้วยล่ะ”

“เป็นห่วงฉัน แต่ยังทำเป็นเย็นชาได้ขนาดนี้ แบบนี้ไม่ดีมั้ง?”

“เราพูดเรื่องสำคัญกันเถอะ” ไป๋มู่ชิงรีบเปลี่ยนเรื่อง

หนานกงเฉินพยักหน้า: “ก็ได้ หาฉันมีเรื่องอะไร?”

ไป๋มู่ชิงมองเขาก่อนจะพูดขึ้นอย่างลังเล: “ผู่เหลียนเหยามาหาฉันแล้ว”

“แล้วยังไงต่อ?”

“เธอมาบอกฉันว่าตอนนี้คุณกำลังอยู่ในอันตราย จูจูรู้ความจริงเรื่องคู่แท้ตามชะตาลิขิตแล้ว เพื่อความอยู่รอดเธออาจกำลังหาทางลงมือกับคุณ : “ไป๋มู่ชิงลังเลชั่วครู่ก่อนถาม: “ผู่เหลียนเหยาได้บอกเรื่องพวกนี้กับคุณมั้ย?”

“เปล่า”

“เปล่า? ฉันไม่เข้าใจ เขาบอกว่าเขาแค่ต้องการสมบัติของหนานกงเฉิน แต่ไม่ต้องการให้คุณเป็นอะไร แต่ถ้าเขาคิดแบบนั้นจริงๆทำไมไม่บอกคุณโดยตรง แต่เลือกที่จะมาบอกฉัน”

“เขาจะคิดดีกับฉันแบบนั้นได้ยังไง?” หนานกงเฉินยิ้มเย็น

ทั้งสองเงียบไปครู่ใหญ่ ต่างกำลังคิดหาสาเหตุที่ผู่เหลียนเหยาทำแบบนั้น จนที่สุดหนานกงเฉินก็พูดขึ้น: “มู่ชิง ฉันเดาว่าเขาทำแบบนี้เพื่อจะกระตุ้นให้เธอลงมือกับจูจูก่อน ซึ่งมันจะทำให้เธอกลายเป็นคนผิด ดังนั้นเธอห้ามไปฟังเขาเด็ดขาด”

ไป๋มู่ชิงแปลกใจ: “คุณคิดแบบนั้นเหรอ?”

“อืม ถึงฉันจะยังไม่รู้จุดประสงค์ที่แท้จริงของเขา แต่ฉันก็พอดูออกว่าเขาไม่สบายใจเรื่องเธอ” หนานกงเฉินพูดปลอบ: “แต่เธอสบายใจได้ ฉันจะไม่ยอมให้เขาทำร้ายเธอได้”

“แล้วคุณล่ะ?” ไป๋มู่ชิงปรายตามองเขาอย่างเป็นห่วง: “ถึงเขาจะไม่วางใจเรื่องของฉัน แต่ที่เขาบอกก็มีเหตุผล จูจูตอนนี้คงจะกลัวมาก และคงต้องกำลังคิดหาทางหลบหนีชะตากรรมครั้งนี้ และเธอจะหนีชะตากรรมครั้งนี้ได้ก็ต่อเมื่อ……..”

คำพูดต่อจากนั้นไป๋มู่ชิงพูดไม่ออก

“ฉันเข้าใจ” หนานกงเฉินพยักหน้า: “แต่เธอสบายได้ ฉันกักขังเขาไว้ในบ้านแล้ว เขาไม่สามารถทำอะไรได้แน่”

“แต่ยังไงเขาก็ยังอยู่ข้างๆคุณนะคะ แบบนี้มันอัตราเกินไป”

หนานกงเฉินโน้นตัวมาหาและถามเธออย่างจริงจัง: “ถ้าฉันถูกฆ่าตายจริงๆ เธอจะเสียใจมากมั้ย?”

“หนานกงเฉิน คุณทำเป็นล้อเล่นอีกแล้วนะ” ไป๋มู่ชิงพูดสะบัดเสียงใส่เขา

หนานกงเฉินยิ้มแล้วโยกตัวกลับ: “ก็ได้ ฉันผิดไปแล้ว”

ไป๋มู่ชิงหยุดคิดชั่วครู่ก่อนพูด: “คุณย้ายไปอยู่ที่คอนโดดีกว่านะคะ ห่างจากคนพวกนั้นมากหน่อย จะได้ปลอดภัยเยอะหน่อย”

“ฉันคนเดียวเหรอ?”

“หรือไม่ใช่?” ไป๋มู่ชิงตั้งใจล้อเขา: “หรือคุณจะพาสาวไปอยู่ด้วยซะคน แบบนั้นจะได้ไม่เหงามาก”

“ความคิดนี้ก็ไม่เลว แต่สาวที่จะไปอยู่คอนโดกับฉันได้ต้องเป็นเธอเท่านั้น”

“คุณก็รู้ว่าเป็นไปไม่ได้” ไป๋มู่ชิงหันหน้าหนี

หนานกงเฉินไหวไหล่เล็กน้อย: “เฮ้อ ดูแล้วเธอก็ไม่ได้เป็นอะไรฉันมากมาย”

“จริงจังหน่อย สรุปแล้วคุณจะทำยังไง?” ไป๋มู่ชิงพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังมากขึ้น

“คุณย่ายืนกรานไม่ยอมย้ายออกจากคฤหาสน์หลังเก่า ฉันจะทิ้งท่านไว้ที่นั้นคนเดียวก็ไม่ได้ แต่ฉันสัญญากับเธอว่าฉันจะไม่เป็นอะไร หนานกงเฉินยกฝ่ามือขึ้น: “ฉันยังต้องรักษาชีวิตไว้ เพื่อจะได้แย่งเธอคืนกลับมาจากเฉียวเฟิงให้ได้”

ขณะที่ไป๋มู่ชิงรู้สึกกังวลในใจ หนานกงเฉินดูไม่เป็นอะไรเลย เธอเข้าใจแล้วว่าต่อให้เธอพูดอะไรก็คงไม่มีประโยชน์ เลยลุกจากโซฟา: “ถ้างั้นคุณก็ระวังหน่อยละกัน ฉันกลับละ”

“จะกลับเลยเหรอ?” หนานกงเฉินลุกขึ้นจากโซฟายื่นมือไปจับแขนเธอไว้

ฝ่ามือเขาที่อยู่บนแขนเธอส่งผ่านไออุ่นมาจนไป๋มู่ชิงหวั่นไหวและสับสนใจ

“นั่งเป็นเพื่อนฉันก่อนนะ” เขาค่อยๆโอบกอดเธอจากด้านหลังะ

ที่จริงแล้วเขารู้สึกชอบเวลาที่เธอพูดเตือนให้เขาระวังโน้นระวังนี่ เพราะมันทำให้เขารู้สึกได้ว่าเธอเป็นห่วงเขาจริงๆ

“หนานกงเฉิน วันนี้ฉันไม่ได้เมาไม่ต้องมาหลอกล่อฉันเลย” ไป๋มู่ชิงใจแข็งแกะมือเขาออกจากแขนเธอ

“มู่ชิง………..”

“ลาก่อนคุณชายเฉิน” ไป๋มู่ชิงไม่ให้โอกาสเขาได้พูด เธอหมุนตัวเดินออกจากร้านกาแฟทันที

หลังกลับถึงบ้าน ไป๋มู่ชิงคิดไปคิดมาก็ยังเป็นห่วงหนานกงเฉินไม่หยุด

ตกดึก หลังจากไป๋มู่ชิงลังเลอยู่พักหนึ่งก็โทรฯไปหาหนานกงเฉิน

เห็นเบอร์เธอโทรฯมาหนานกงเฉินดีใจอย่างเห็นได้ชัด รับสายด้วยน้ำเสียงดีใจ: “มู่ชิง เธอคิดได้แล้วใช่มั้ย?”

“คิดได้เรื่องอะไร?” ไป๋มู่ชิงถามอย่างงงๆ

“ก็เรื่องที่ไปอยู่คอนโดกับฉันไง”

“ฉันบอกคุณแล้วว่ามันเป็นไปไม่ได้”

หนานกงเฉินก็รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ เขาแค่ล้อเล่น

“แล้วเธอโทรฯหาฉัน……มีเรื่องอะไร?”

“ฉันอยากให้คุณช่วยอะไรหน่อย” ไป๋มู่ชิงพูดอย่างลังเล

“ช่วยเรื่องอะไร?”

“ฉันอยากเจอจูจู”

“จะเจอเขาทำไม? ไม่ใช่จะไปขอร้องเขาแทนฉันหรอกนะ? หรือว่าจะไปข่มขู่เขาถ้ากล้ามาทำร้ายผู้ชายของฉันจบไม่สวยแน่?” หนานกงเฉินพูดไปก็เกิดอาการดีใจไป

ทุกครั้งที่เขาเห็นไป๋มู่ชิงกังวลร้อนรนเพราะเขา ก็จะรู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูก

“คุณคิดว่าฉันจะกล้าขนาดนั้นเลยเหรอ?” ไป๋มู่ชิงไม่รู้จะพูดอะไร ก่อนจะพูดต่อ: “ฉันแค่อยากถามอะไรเขาหน่อย เรื่องระหว่างฉันกับเขา”

“เธออยากไปเจอเขาก็ได้ ฉันต้องไปกับเธอด้วย”

“ไม่ได้ แบบนั้นมันไม่สะดวก”

“มีอะไรไม่สะดวก?” หนานกงเฉินถามอย่างสงสัย: “เธอกับเขานอกจากเรื่องฉันแล้ว ยังมีเรื่องอื่นอีกเหรอ?”

“หนานกงเฉินคุณไม่ต้องถามแล้ว คุณแค่ตอบมาว่าจะช่วยหรือไม่ช่วยก็พอ” ไป๋มู่ชิงพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง และเพื่อให้เขาสบายใจเธอรีบพูดเสริมขึ้น: “คุณไม่ต้องกังวล ตอนนี้เขาอยากให้ฉันคืนดีกับคุณจะแย่ เขาไม่มีทางทำร้ายฉันแน่นอน”

“ฉันก็ว่างั้น” หนานกงเฉินยิ้ม: “ก็ได้ พรุ่งนี้ฉันจะพาเขามาพบเธอ”

“ขอบคุณ” ไป๋มู่ชิงพูดจบก็วางสาย ก่อนจะถอนหายใจอย่างไม่รู้ตัว อันที่จริงเธอก็ไม่รู้ว่าการที่เธอไปพบจูจูมันจะมีประโยชน์อะไร แต่เธอก็อยากไปเจอหน้าซักครั้ง

สายลมยามค่ำคืนโชยมาเบาๆเธอยกมือทับผมแนบหู ก่อนจะหันหลังกลับเตรียมเข้าบ้าน แต่พบว่าเฉียวเฟิงออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้

“อาเฟิง คุณออกมาทำไม?” เธอจ้องมองผมที่ยังไม่แห้งของเขา

เมื่อครู่นี้เธอใช้เวลาช่วงที่เขาอาบน้ำอยู่ออกมาโทรฯหาหนานกงเฉิน

“เพิ่งอาบน้ำเสร็จ จะมาถามเธอว่าไดร์เป่าผมอยู่ไหน เรียกอยู่หลายครั้งก็ไม่ตอบ” เฉียวเฟิงพูดขึ้นขณะที่ยังใช้ผ้าขนหนูเช็คผมไปด้วย

“ขอโทษทีค่ะ เมื่อกี้ฉันกำลังติดสายอยู่เลยไม่ได้ยินคุณเรียก” ไป๋มู่ชิงเข็นรถเข็นเขาเข้าไปในบ้าน: “เดี๋ยวฉันหาไดร์มาเป่าผมให้คุณ”

หลังกลับเข้าบ้าน ไป๋มู่ชิงก็เอาไดร์เป่าผมออกมาจากลิ้นชักแล้วเริ่มเป่าผมให้เฉียวเฟิง เสียงไดร์เป่าผมดังขึ้นขณะที่ทั้งสองต่างก็นิ่งเงียบ จนกระทั่งผมแห้งแล้ว ไป๋มู่ชิงจนพูดขึ้นพร้อมเก็บไดร์ไปด้วย: “เสร็จแล้ว รีบไปพักผ่อนเถอะ”

เฉียวเฟิงเอามือจับมือเธอไว้ มองหน้าเธอด้วยความห่วงใย: “มู่ชิงเธอยังเป็นห่วงความปลอดภัยของหนานกงเฉินอยู่เหรอ?”

“ฉัน…..เปล่านะ…..” ไป๋มู่ชิงส่ายหน้าอย่างรู้สึกผิด

“ไม่ต้องโกหกฉันแล้ว ฉันพอดูออก” เฉียวเฟิงพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่ก็ไม่มีร่องรอยความไม่พอใจ

พอได้ยินเขาพูดแบบนั้น ไป๋มู่ชิงเลยต้องยอมรับ: “ขอโทษค่ะ ฉันยอมรับว่าฉันยังเป็นห่วงเขามาก ฉันไม่อยากให้เขาต้องมาเป็นอะไรในเวลาที่สำคัญแบบนี้ ดังนั้นฉันจึงโทรฯไปให้เขาช่วยนัดจูจูให้ฉัน ฉันอยากลองคุยกับเธอดู”

“เธออยากเจอจูจู?”

“ใช่ ฉันมีเรื่องอยากถามเขามากมาย แต่ฉันก็พอเดาออกว่าเขาคงไม่ยอมบอกอะไรฉัน”

พอเห็นว่าไป๋มู่ชิงลังเล เฉียวเฟิงก็พูดขึ้น: “สบายใจได้ พวกเธอหาห้องริมสุดห้องหนึ่ง ฉันจะไม่ตามเธอเข้าไป”

เขาต้องการแค่ให้ไป๋มู่ชิงปลอดภัย แต่ไม่ได้ต้องการจับตาดูทุกการเคลื่อนไหวของเธอ

ไป๋มู่ชิงไม่ได้ปฏิเสธ เธอยิ้มให้เขา: “ก็ได้ ฉันเชื่อคุณ”

“มีอะไรต้องให้ฉันช่วยมั้ย?” เฉียวเฟิงมองเธอขณะที่ถามขึ้นอย่างอ่อนโยน

“ถ้ามี ฉันจะบอกคุณแน่นอน” ไป๋มู่ชิงตอบ

เฉียวเฟิงทำเสียงตอบรับในลำคอก่อนจะจับมือเธอไว้: “อยากคิดว่ามากเลย รีบนอนพักผ่อนเถอะ”

ไป๋มู่ชิงมองหน้าเขาที่เต็มไปด้วยความห่วงใย ในใจก็เกิดความรู้สึกผิดขึ้นมาอีก เขาต้องทนเห็นภรรยาตัวเองยังรับผู้ชายคนอื่น มันคงเจ็บปวดไม่น้อย แต่เธอก็ดันหยุดรักหนานกงเฉินไม่ได้อีก

พอจูจูได้ยินว่าหนานกงเฉินจะพาเธอออกไปข้างนอก ก็รีบถามขึ้นอย่างดีใจ: “เฉิน เธอจะพาฉันไปไหนเหรอ?”

โดนกักขังมาหลายวันแบบนี้ เธอแทบจะเป็นบ้าแล้ว นอกจากความเบื่อหน่ายแล้ว ที่สำคัญคือชีวิตแบบนี้เหมือนชีวิตของนักโทษประหารที่ต้องหวาดระแวงอยู่ตลอดเวลา

การถูกกักขังอยู่ในบ้านจะมีคนคอยดูเธอตลอดเวลา ทำอะไรไม่ได้เลย

ในที่สุดวันนี้ก็จะได้ออกจากบ้าน ทำให้เธอเริ่มมีความหวังขึ้นมา

“พาเธอไปเจอคนคนหนึ่ง” หนานกงเฉินดูออกว่าเธอกำลังคิดอะไร: “แต่ไม่ต้องมาเล่นลูกไม้อะไร ฉันจะให้คนคอยจับตามองเธอตลอด”

ความหวังในใจเธอจางหายไปทันที ก่อนจะก้มหน้าถาม: “ไปเจอใคร?”

“ไปถึงก็รู้เอง ไปเถอะ” หนานกงเฉินเดินนำไปทางประตู

จูจูปรายตามองผู่เหลียนเหยาที่นั่งอยู่บนโต๊ะอาหาร ลังเลอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะรีบเดินตามหนานกงเฉินไป

หนานกงเฉินพาจูจูมาถึงห้องพิเศษในร้านอาหารตะวันตกหยวนกู้ จูจูเห็นไป๋มู่ชิงที่นั่งอยู่ในห้องเข้า ก็ร้อนรนในใจขึ้นมา

หนานกงเฉินพาเธอมาพบไป๋มู่ชิงทำไม่กัน? คงไม่ใช่จะบังคับให้เธอขอโทษนะ หรือจะพามาให้ไป๋มู่ชิงตบตีแก้แค้น? หรือว่า…….

ขณะที่เธอยังเดาไม่ออกว่าไป๋มู่ชิงมาหาเธอด้วยจุดประสงค์อะไร ไป๋มู่ชิงก็หันมายิ้มเย็นให้เธอ: “ทำไม? เห็นฉันแล้วต้องกลัวขนาดนั้นเลยเหรอ?”

“ฉันไม่ได้กลัว” จูจูปรับอารมณ์ก่อนจะเดินเข้าไป

หนานกงเฉินเดินเข้าไปในห้อง เขาเดินไปยืนข้างๆไป๋มู่ชิง ก่อนจะยกมือไปจับมือเธอแต่ก็ต้องชะงักไว้ แล้วปล่อยมือตามเดิม ในใจเต็มไปด้วยความห่วงใยมากมายแต่ต้องเปลี่ยนเป็นเพียงคำพูดสั้นๆ: “ระวังด้วย มีเรื่องอะไรให้เรียกฉัน”

“เขาพบปืนมั้ย?” ไป๋มู่ชิงถาม

“ไม่”

“พบมีดมั้ย?”

“ก็ไม่”

“งั้นคุณจะกังวลอะไร?” ไป๋มู่ชิงยิ้มให้เขา: “สบายใจเถอะ ต่อให้ตีกันขึ้นมาก็ใช่ว่าฉันจะแพ้”

“ถึงเธอจะไม่แพ้ แต่ถ้าเกิดมีแผลขึ้นมา…..ยังไงก็ไม่ได้”

“ไม่หรอก ไม่มีบาดเจ็บไม่มีแผล คุณรีบออกไปเถอะ” ไป๋มู่ชิงเอาดันแขนเขาทีหนึ่ง

หนานกงเฉินมองเธอ ก่อนจะมองจูจูที่สีหน้าไม่สู้ดี ก่อนจะหันหลังเดินออกไปในที่สุด

หลังจากหนานกงเฉินเดินออกไปแล้ว จูจูก็จ้องมองเธอพร้อมหัวเราะเยาะ : “พาฉันมาเพื่อให้มาดูเธอกับหนานกงเฉินพอดรักกันเหรอ?”

“พอดรักกันเป็นแค่การเปิดฉากเท่านั้น คุณหนูจูแค่นี้ก็รับไม่ได้แล้วเหรอ?” ไป๋มู่ชิงเดินไปนั่งลงบนโซฟา ก่อนจะส่งสัญญาณให้เธอนั่งลงฝั่งตรงข้าม

จูจูปรายตามองเธอด้วยสีหน้าไร้ความละอาย: “ฉันหลงคิดว่าคุณหนูไป๋จะเป็นผู้หญิงทีมีศักดิ์ศรีและสง่างามซะอีก แต่ที่ไหนได้ก็แค่ผู้หญิงเลวที่ไร้ยางอายอ่อยไปมาระหว่าผู้ชายสองคน”

ขอบคุณ แต่วันนี้เราไม่ได้มาแข่งกันว่าใครเป็นผู้หญิงเลวและไร้ยางอายมากกว่ากัน คุณหนูจูเชิญนั่งเถอะ” ไป๋มู่ชิงส่งสัญญาณให้เธอนั่งลงอีกครั้ง จูจูกัดฟันก่อนจะเดินไปนั่งฝั่งตรงข้าม เพราะเธอเองก็อยากรู้ว่าไป๋มู่ชิงนัดเธอออกมาทำไม

ไป๋มู่ชิงมองดูเธอที่นั่งไม่นิ่ง จึงยิ้มเยาะเล็กน้อย: “อันที่จริงฉันควรจะเรียกเธอว่าพี่นะ เราพี่น้องต้องมาแตกหักกันเพราะผู้ชายคนหนึ่งช่างสลดเหลือเกิน”

นึกถึงคุณลุงคุณป้าที่อบรมเลี้ยงดูเธอมา พวกท่านทนทำงานหนักหาเงินส่งเธอไปเรียนอยู่ในเมืองใหญ่ ก็เพื่อวันหนึ่งเธอโตขึ้นจะได้แต่งงานกับคนดีๆ แล้วพาท่านทั้งสองไปดูแล ตอนนี้เป็นไงล่ะ อย่าว่าแต่พาท่านไปดูเล แค่จะรักษาชีวิตทั้งสองท่านไว้ยังยากเลย ถ้าพวกท่านต้องมาเสียชีวิตเพราะเธอจะไม่รู้สึกเสียใจ หรือไม่ปวดใจบ้างเลยเหรอ?”

ฟังสิ่งที่เธอพูดแล้ว หัวใจจูจูสั่นขึ้นมาเล็กน้อย

ช่วงนี้เธอก็คิดถึงแต่เรื่องพวกนี้ ทุกครั้งที่คิดว่าบ้านตระกูลจูอาจจต้องเดิมตามรอยบ้านตระกูลไป๋ เธอก็รู้สึกเจ็บปวดเหลือเกิน

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

Status: Ongoing
ไป๋มู่ชิงเคยได้ยินเรื่องเล่าตั้งแต่เด็กว่า ตระกูลหนานกงในเมืองซีเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุด แต่น่าเสียดายที่คุณชายใหญ่ของตระกูลกลับป่วยเป็นโรคประหลาด โรคที่เขาเป็นจะทำให้เขามีอายุอยู่ได้ไม่ถึงอายุ30ปี ไป๋มู่ชิงยังได้ยินมาอีกว่า คุณชายหนานกงเฉินแต่งงานใหม่ทุกๆปี แต่เจ้าสาวของเขากลับมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงวันต่อมาหลังคืนเข้าหอ แต่ไม่ทราบสาเหตุของการแต่งงานและยังไม่ทราบถึงสาเหตุการเสียชีวิตของเจ้าสาวด้วย เมื่อตระกูลหนานกงได้ส่งของหมั้นมาให้ตระกูลไป๋ ไป๋มู่ชิงก็คิดไม่ถึงว่าพ่อของเธออยากจะปกป้องชีวิตพี่ของเธอไว้ถึงขนาดผลักเธอเข้าไปในประตูนรกอย่างโหดร้าย บังคับให้เธอแต่งงานกับหนานกงเฉินเป็นเจ้าสาวคนที่เจ็ดของเขา แทนพี่สาวของเธอ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท