ครั้นหนานกงเฉินไม่ให้โอกาสเธอได้ปฏิเสธ เขาคว้ากุญแจรถในมือของเธอมาทันทีจากนั้นก็ลากไป๋มู่ชิงเดินมุ่งไปหารถ
หลังจากที่เห็นพวกเขาทั้งสองคนขึ้นรถและขับออกไปแล้ว เลขาเหยียนจึงสูดหายใจเข้าลึกด้วยความรู้สึกเอือมละอา จากนั้นก็หันหน้ามามองเฉียวเฟิง : “ดูเหมือนว่าทั้งบ่ายนี้พวกเราจะเสียเวลารอเปล่า ๆ เสียแล้ว ไปกันค่ะ เดี๋ยวฉันไปส่ง”
สายตาของเฉียวเฟิงชักกลับจากหน้าประตู เวลาต่อมาก็สูดหายใจเข้าลึกเช่นกันพร้อมพูดขึ้นมาด้วยความขมขื่น : “ขอบคุณครับ”
“ขอบคุณอะไรกัน ฉันเองก็ถูกคนอื่นขอร้องมาเหมือนกัน” เลขาเหยียนผลักเขาออกจากภายในสถานีตำรวจ ขณะที่กำลังจะไปโบกรถแท็กซี่ข้างทางก็นึกถึงว่าไป๋มู่ชิงไม่อยู่ที่บ้าน หากส่งเฉียวเฟิงกลับไปแล้ว ตัวเขาทำกับข้าวเองไม่เป็น หาอะไรทานที่ข้างนอกก่อนแล้วค่อยกลับไปจะดีกว่า
“เอ่อ……” เธอมีความพูดไม่ออก : “เราต่างก็หิวกันพอดีเลย ไปกินข้าวก่อนค่อยกลับดีกว่าไหมคะ”
“โอเค” เฉียวเฟิงตอบกลับด้วยอาการเหม่อลอยเล็กน้อย : “คุณอยากทานอะไร ?”
“ทานอะไรง่าย ๆ ก็ได้ค่ะ”
เบื้องหน้ามีร้านอาหารตะวันตกที่ดูเข้าท่าอยู่พอดี ทั้งสองคนเดินตามพนักงานเข้าไปนั่งยังที่นั่งชิดหน้าต่าง
หลังจากที่ทั้งคู่สั่งอาหารเสร็จแล้ว พนักงานจึงมองพวกเขาพร้อมถามว่า : “ขอโทษนะคะ ทั้งสองท่านรับไวน์หน่อยไหมคะ ?”
“ไม่หรอกค่ะ ขอบคุณนะคะ” เลขาเหยียนปฏิเสธไปด้วยสัญชาตญาณ คืนนี้จะดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไม่ได้อีกเด็ดขาด
เฉียวเฟิงเห็นใบหน้าที่ยังมีความหวาดกลัวกับเหตุการณ์ที่ผ่านมาอย่างเห็นได้ชัดของเธอ ภายในใจจึงมีความรู้สึกผิดผุดขึ้นมา เขาทราบว่าเลขาเหยียนกำลังกลัวว่าเหตุการณ์ครั้งที่แล้วจะซ้ำรอย
หลังจากที่พนักงานจากไปแล้ว เลขาเหยียนจึงครุ่นคิดอย่างหนักอยู่พักใหญ่ จากนั้นก็จ้องหน้าเฉียวเฟิงพร้อมถามขึ้นด้วยความลังเลใจ : “คุณชายเฉียวคะ ฉันสงสัยมาก……คุณทราบตัวตนที่แท้จริงของคุณหนูไป๋ตั้งแต่แรกแล้วใช่ไหมคะ ?”
สีหน้าของเฉียวเฟิงแสดงได้ชัดว่าเขาคาดไม่ถึงว่าเธอจะถามเช่นนี้ จึงพยักหน้าอย่างลังเลพร้อมพูดขึ้นว่า : “ถูกต้อง”
“นี่ก็คือเหตุผลที่คุณไม่ปล่อยเธอไปมาตลอดเหรอคะ ?”
“ถูกต้อง”
“ถ้างั้นตอนนี้ล่ะคะ ? หนานกงเฉินทราบเรื่องทุกอย่างแล้ว คุณยังไม่คิดจะปล่อยมือไปเหรอคะ ?” เลขาเหยียนถามต่อ
“คุณคิดว่าผมควรปล่อยมืองั้นเหรอ ?” ในที่สุดเฉียวเฟิงก็เคลื่อนสายตาจากแก้วน้ำไปยังใบหน้าของเธอ พร้อมถามขึ้นด้วยสีหน้าสงบนิ่ง : “ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่อันตรายที่สุด การที่คุณผู้หญิงสามารถกักขังจูจูบีบบังคับจนเธอต้องจุดไฟเผาห้องได้ ถ้างั้นก็จะต้องทำแบบนั้นกับมู่ชิงได้เหมือนกัน ถ้าตอนนี้ผมปล่อยมือไปเธอจะต้องตายสถานเดียวไม่ใช่เหรอครับ ?”
เลขาเหยียนมีความรู้สึกนับถือและเข้าอกเข้าใจกับความคิดนี้ของเขา ทว่ายังคงอดไม่ได้ที่จะพูดแทนหนานกงเฉินว่า : “คุณชายเฉินไม่ยอมให้คุณผู้หญิงทำแบบนั้นหรอกค่ะ”
“คุณชายเฉินไม่มีทางขวางคุณผู้หญิงได้” เฉียวเฟิงกล่าว ในความคิดของเขา หนานกงเฉินไม่มีความสามารถในการปกป้องไป๋มู่ชิงได้เลย โดยเฉพาะเมื่ออยู่บนเรื่องของคู่ครองฟ้าลิขิต
“ถ้างั้นคุณจะทำยังไงต่อไปคะ ?”
“มู่ชิงบอกว่าถ้าเธอจัดการธุระเสร็จสรรพแล้วก็จะไปจากที่นี่พร้อมผม ตอนนี้จูจูตายแล้วผู่เหลียนเหยาก็น่าจะอยู่ใกล้ความตายเข้ามาทุกทีแล้วเหมือนกัน” เฉียวเฟิงยกแก้วน้ำขึ้นมาดื่ม จากนั้นก็กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง : “ผมอยากพาเธอออกจากสถานที่วุ่นวายอย่างนี่ที่ และอยู่ห่างไกลจากหนานกงเฉิน”
“คุณจะพาเธอออกนอกประเทศเหรอคะ ?”
เฉียวเฟิงมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยความตกตะลึงของเธอแล้วถามกลับว่า : “หรือมันไม่ควรทำเหรอครับ ?”
“เอ่อ……” เลขาเหยียนฝืนยิ้มขึ้นมา : “ฉันไม่มีสิทธิ์ในการแสดงความคิดเห็นหรอกค่ะ ฉันแค่คิดว่า……คุณควรให้โอกาสคุณชายเฉินหน่อย บางทีครั้งนี้เขาอาจปกป้องคุณหนูไป๋ได้อย่างดีจริง ๆ นะคะ ?”
“ทุกคนต่างก็มีเพียงชีวิตเดียว หัวใจดวงเดียว ผมจะให้เธอลองดูได้เหรอ ?” อยู่ ๆ เฉียวเฟิงก็กล่าวขึ้นอย่างโกรธเคืองเล็กน้อย
เลขาเหยียนตกตะลึงกับสีหน้าที่ปนความโมโหของเขา จึงรีบกล่าวขึ้นทันควัน : “ขอโทษค่ะ ฉันก็แค่พูดเรื่อยเปื่อยเท่านั้น คุณชายเฉียวอย่าโกรธนะคะ”
เฉียวเฟิงพยายามสงบความเดือดดาลที่อยู่ในใจ ความจริงแล้วเขาไม่อยากโมโหใส่เลขาเหยียนเลย และไม่สมควรทำด้วย บันดาลโทสะของเขาต่างก็มาจากหนานกงเฉิน เขาควรไปเผชิญหน้ากับเขาโดยตรงถึงจะถูกต้อง ทว่า……เขาไม่มีความอดทนเช่นนั้น เขาทำได้เพียงปล่อยโทสะใส่ผู้หญิงที่ใสซื่อผู้หนึ่งเท่านั้น
“ขอโทษครับ……” เขาสูดหายใจเข้าเบา ๆ จากนั้นก็กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่สงบ : “คุณเหยียนครับ คนที่ควรพูดว่าขอโทษคือผมต่างหาก……”
“ไม่เป็นไรค่ะ” เลขาเหยียนยิ้มขึ้นมาด้วยความอึดอัดใจ : “อันที่จริงพวกเราต่างก็หวังว่าคนรอบกายจะมีชีวิตที่ดี ไม่มีเจตนาร้ายเลยใช่ไหมล่ะคะ”
ไม่ยอมรับไม่ได้ว่า เธอเคารพเฉียวเฟิงมากทีเดียว นอกจากหนานกงเฉินแล้วเฉียวเฟิงคือคนเดียวที่เป็นผู้ที่มีความรักอยากลึกซึ้งทั้งหวังดีกับคนรักเต็มที่เท่าที่เธอเคยเจอมา ครั้นน่าเสียดายที่ผู้ที่เขาตกหลุมรักคือผู้หญิงของหนานกงเฉิน ส่วนนี้น่าเห็นอกเห็นใจเป็นอย่างยิ่ง
—
หลังจากที่ผ่านมาสองชั่วโมงแล้วนั้น ในที่สุดไป๋มู่ชิงผู้ที่ตกอยู่ในห้วงนิทราก็ตื่นขึ้นเนื่องจากความหิว เธอบิดขี้เกียจไปมา จากนั้นก็รู้สึกว่าร่างกายยืดได้ไม่เต็มที่
เธอลืมตาขึ้นอย่างช้า ๆ จากนั้นก็พบว่าตนเองกำลังนอนอยู่บนที่นั่งภายในรถยนต์ เมื่อสูดหายใจเข้าก็มีกลิ่นของน้ำหอมอันคุ้นเคยตลบอบอวนอยู่ ซึ่งเป็นกลิ่นไม้ที่หนานกงเฉินเอาใส่ไว้ในรถมาตลอด เธอมองดูบนร่างกายของเธออีกครั้ง พบว่ามีเสื้อคลุมสูทของหนานกงเฉินคลุมร่างเธอเอาไว้อยู่
สติสัมปชัญญะค่อย ๆ ฟื้นกลับมายังหัวสมองทีละนิด เธอนึกขึ้นได้ว่าตนเองถูกหนานกงเฉินพามารถ จากนั้นก็ไม่รู้ว่านอนหลับไปได้อย่างไร
ถูกต้อง เธอนอนหลับอยู่บนรถของหนานกงเฉินเสียแล้ว
“ตื่นแล้วเหรอ ?” หนานกงเฉินเอามือมาอังบนหน้าผากของเธอ จากนั้นก็กดเบา ๆ
“ฉันนอนหลับไปยังไงเหรอ ?” ไป๋มู่ชิงนั่งตัวตรงด้วยอาการงุนงง หนานกงเฉินจึงช่วยปรับที่นั่งให้เธอ
“ฉันว่าเธอน่าจะเหนื่อยเต็มทน”
“ฉันหลับไปนานแค่ไหน ?” ไป๋มู่ชิงใช้มือกดแก้มของตนเอง จากนั้นก็จัดระเบียบเสื้อผ้าของตนเองให้เรียบร้อย
หนานกงเฉินยกแขนขึ้นมองเวลาบนนาฬิกาข้อมือ : “ไม่นานหรอก แค่สองชั่วโมงเอง”
“แม่เจ้า ! ทำไมคุณไม่ปลุกฉันให้เร็วกว่านี้ ?” เธอนอนหลับอยู่บนเขาสองชั่วโมงงั้นหรือ ? เช่นนั้นเขาเล่า ? เธอหันหน้าไปมองหน้าเขา คงไม่ใช่ว่าอยู่เป็นเพื่อเธอในรถสองชั่วโมงหรอกใช่ไหม ?
“อยากกินอะไร ?”
“ฉันไม่หิว”
“เธอยังไม่กินข้าวเย็นเลยจะไม่หิวได้ยังไง ? ต่อให้เธอไม่หิวแต่ฉันหิว” หนานกงเฉินสตาร์ทรถยนต์ จากนั้นก็ขับมุ่งไปยังร้านกาแฟที่อยู่บริเวณนั้น ดึกขนาดนี้แล้ว ดูเหมือนว่าจะมีเพียงร้านกาแฟเท่านั้นที่เหมาะสมในการรับประทานอะไรเรียบง่ายอย่างเงียบสงบ
ไม่นานรถก็ขับมาจอดหน้าร้านกาแฟแห่งหนึ่ง หนานกงเฉินลงรถไปจากนั้นก็เดินอ้อมไปข้างเธอ หลังจากที่เปิดประตูรถเสร็จก็ยื่นมือไปให้เธอ
ไป๋มู่ชิงไม่ได้จับมือที่เขายื่นเข้ามาแต่อย่างใด ครั้นลงรถไปด้วยตนเอง
น่าจะสืบเนื่องจากนอนขดอยู่บนรถนานเกินไป เมื่อสองขาของเธอแตะพื้นก็เซเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดเขาทันที
“บอกเธอกี่ครั้งแล้ว ตอนที่อดทนไม่ไหวก็ไม่ต้องฝืน” หนานกงเฉินกล่าวตำหนิข้างใบหูของเธอ จากนั้นก็ใช้มือหนึ่งปิดประตูรถ อีกมือหนึ่งคล้องแขนเธอเดินเข้าไปยังประตูทางเข้าร้านกาแฟ
หนานกงเฉินบอกพนักงานจัดเตรียมห้องส่วนตัวให้ ทั้งยังสั่งอาหารให้ไป๋มู่ชิงและตนเองเรียบร้อย เมื่อพนักงานเดินออกไปแล้ว หนานกงเฉินจึงคว้าข้อมือของไป๋มู่ชิงเอาไว้แล้วดึงเธอเข้าสู่อ้อมกอด จากนั้นก็ใช้มือกดแผ่นหลังของเธอ พร้อมพรมจูบเส้นผมของเธอ : “ตกใจแย่เลยใช่ไหม ? ฉันก็ตกใจเธอเหมือนกัน จนขาอ่อนหมดเลย……”
ไป๋มู่ชิงถูกเขาโอบเข้ามาในอ้อมกอดอย่างแน่น จนรู้สึกว่าหายใจลำบาก
เธอตกใจจริง ๆ โดยเฉพาะเมื่อมองเห็นจูจูจมอยู่บนกองเลือด ตกใจจนขยับตัวไม่ได้
เธอฝืนยิ้มขึ้นมา จากนั้นก็กอดเอวเขาไว้ : “บอกแล้วไม่ใช่หรือไงว่าฉันไม่มีทางเป็นอะไรหรอก คุณก็ไม่มีทางเป็นอะไรเหมือนกัน”
“มือเธอได้รับบาดเจ็บหรือเปล่า ?” อยู่ ๆ หนานกงเฉินก็ปล่อยเธอออก จากนั้นก็จับสองมือเธอขึ้นมามองดูบริเวณข้อมือ โดยบริเวณนี้เป็นส่วนที่ถูกกุญแจมือคล้องไว้ ยังคงมีสีแดงปรากฏขึ้นอย่างชัดเจน
หนานกงเฉินใช้นิ้วลูบรอยบริเวณนั้นไปมาด้วยความอ่อนโยน รู้สึกเจ็บหัวใจอย่างยิ่ง สิ่งที่เขารู้สึกเจ็บหัวใจนั้นไม่ใช่เพียงแค่รอยรัดบนข้อมือเธอเท่านั้น ที่เจ็บหัวใจมากกว่านี้คือท่าทางอันซมซานขณะที่เธอถูกคล้องกุญแจมือเอาไว้เพราะถูกคิดว่าเป็นคนร้ายฆาตกรในวันนี้ต่างหาก
“แค่เป็นรอยนิดเดียวไม่เจ็บเลยสักนิด คุณอย่าเป็นอย่างนี้เลย” ไป๋มู่ชิงกล่าวปลอบประโยน
“เธอบอกฉันมาว่าเรื่องทั้งหมดมันเป็นยังไงกันแน่ ทำไมเธอถึงไปพักที่โรงแรมสับปะรังเคนั่นได้ ? แถมยังกลายเป็นผู้น่าสงสัยรายสำคัญที่ฆ่าจูจูอีกต่างหาก” น้ำเสียงของหนานกงเฉินมีความกังวลอยู่ไม่น้อย
ไป๋มู่ชิงเบือนหน้าเรียวเล็กหนีเล็กน้อย จากนั้นก็กล่าวอย่างลำบากใจ
ทว่าเรื่องราวเหล่านี้ไม่ควรปิดบังหนานกงเฉินตั้งแต่แรกอยู่แล้ว และไม่มีความจำเป็นต้องปิดบังด้วย เธอลังเลชั่วครู่จากนั้นก็กล่าวขึ้น : “ฉันรู้ว่าคุณปล่อยจูจูไป ฉันไม่สบายใจ ฉันเดาไว้แล้วว่าหลังจากที่เธอหลุดออกจากบ้านตระกูลหนานกงแล้วจะต้องวางแผนทำเรื่องชั่ว ๆ กับผู่เหลียนเหยาต่อไปเป็นแน่ เพราะงั้น……เพราะงั้นฉันเลยปิดบังทุกคนแล้วสะกดรอยตามเธอไปยังโรงแรมที่เธอเข้าพัก แถมยังใช้ชื่อปลอมในการลงทะเบียนเข้าพักห้องข้าง ๆ เธอด้วย”
“ตอนเช้าฉันได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวในห้องของเธอ แถมยังได้ยินเสียงของผู่เหลียนเหยาด้วย ผู่เหลียนเหยาวางแผนให้จูจูทิ้งจดหมายลาตายเอาไว้ จูจูก็ตอบตกลง จากนั้นก็เขียนจดหมายลาตายที่แย่ ๆ เกี่ยวกับคุณตามคำแนะนำของผู่เหลียนเหยา ตอนนั้นฉันแอบอัดวิดีโอขณะที่พวกเขาวางแผนลับกันไว้เรียบร้อยแล้ว และคิดว่าหลังจากเสร็จเรื่องก็จะเปิดโปงพวกเขา แต่คิดไม่ถึงว่าผู่เหลียนเหยาจะฉวยโอกาสตอนที่จูจูไม่ทันระวังผลักเธอลงตึกไปตายคาที่” เมื่อพูดถึงสถานการณ์ตอนนั้น ไป๋มู่ชิงยังคงรู้สึกหวาดผวาอยู่จนถึงตอนนี้ เธอหวาดผวาจนร่างกายสั่นเทาเล็กน้อย
หนานกงเฉินรู้สึกได้ถึงความหวาดกลัวของเธอ จึงยื่นมือไปโอบเธอเข้าสู่อ้อมแขน เพื่อเป็นการปลอบประโยนโดยไร้เสียง
ไป๋มู่ชิงพูดต่อไปว่า : “ตอนนั้นที่จูจูตกลงไปแล้ว ฉันร้องกรี๊ดขึ้นมาตามสันชาตญาณ ผู่เหลียนเหยาได้ยินเข้า เธอกลัวเรื่องราวจะล้มเหลวถูกเปิดโปง จึงส่งคนปลอมเป็นพนักงานโรงแรมแล้วแย่งโทรศัพท์ของฉันไป ต่อจากนั้นฉันก็ถูกตำรวจจับตัวไป พวกเขาพบว่าฉันใช้ชื่อปลอมในการเข้าพัก แถมยังอยู่ห้องข้าง ๆ จูจูอีกด้วย เพราะงั้นเลยถือว่าฉันเป็นผู้ต้องสงสัยรายสำคัญ”
น้ำเสียงของเธอเบาลง ภายในน้ำเสียงเต็มไปด้วยความเอือมละอา : “ต้องโทษฉันแท้ ๆ ที่ตอนนั้นรีบหนีจากโรงแรมเร็วเกินไป เลยทำให้ผู่เหลียนเหยามีโอกาสแย่งโทรศัพท์ของฉันไปได้”
หนานกงเฉินนิ่งเงียบ ผ่านมาสักพักจึงพูดขึ้นด้วยความรู้สึกหวาดกลัวกับเหตุการณ์ที่ผ่านมา : “เรื่องอันตรายขนาดนี้ครั้งหน้าห้ามไปทำอีกแล้วนะ……”
ไป๋มู่ชิงไม่ได้กล่าวอันใด
“ดีไม่ดีถ้าคนของผู่เหลียนเหยาไม่ได้แค่แย่งโทรศัพท์จากเธอไป แต่แทงเธอล่ะจะทำยังไง ? เธอเคยคิดถึงผลที่จะตามมาไหม ?” เขากล่าวเสริมขึ้นอีกครั้ง
ในที่สุดไป๋มู่ชิงก็พูดขึ้น โดยน้ำเสียงที่มีความน้อยเนื้อต่ำใจเล็กน้อย : “ก็มันช่วยไม่ได้นี่นา ใครใช้ให้คุณปล่อยตัวจูจูล่ะ ฉันทำได้แค่พึ่งตัวเองในการแก้แค้นให้ตัวเองแล้วละ”
“คนโง่ เขาหลอกฉัน แถมยังทำให้เธอสูญเสียคุณยายผู้ที่เธอเคารพรักมากที่สุดไปอีก ทั้งยังทำร้ายเธอจนเกือบเสียชีวิตไปด้วย เธอคิดว่าฉันจะปล่อยเขาไปง่าย ๆ ขนาดนั้นเลยเหรอ ? ที่ฉันปล่อยเขาไป ก็เพราะว่า……” หนานกงเฉินยิ้มขึ้นด้วยความข่มขื่นเล็กน้อย : “เพราะว่าวันนั้นเขาบังคับให้ฉันสาบานว่าจะปล่อยเขาไป ไม่อย่างนั้นก็จะไม่บอกเรื่องจริงเกี่ยวกับจูจูตัวจริง ถ้าฉันไม่ปล่อยเขาไปเธอก็คงไม่ตายดีแน่ แม้ฉันจะไม่เชื่อคำแช่งแต่เพราะเป็นเธอ ฉันเลยทำได้แค่เชื่อแถมยังปล่อยเขาไปตามคำพูดตัวเอง”
ไป๋มู่ชิงเงยใบหน้าเรียวเล็กของตนเองขึ้นมามองหน้าเขาด้วยความซาบซึ้งใจ เธอคิดไม่ถึงโดยสิ้นเชิงว่าเหตุผลที่เขาปล่อยจูจูไปนั้นจะเป็นเรื่องนี้ !
“ฉันรู้เหมือนกันว่าผู่เหลียนเหยาไม่มีทางปล่อยเขาไปหรอก เพราะว่าเขามีหลักฐานการกระทำผิดของผู่เหลียนเหยาอยู่”
“แล้วยังไงต่อ ? คุณเลยเล่นเกมตั๊กแตนจับจักจั่นนกขมิ้นอยู่ด้านหลังงั้นเหรอ ?”
หนานกงเฉินพยักหน้า จากนั้นก็ยื่นมือไปบีบปลายจมูกของเธอ : “หลักการสูงสุดของการเล่นเกมก็คือไม่เอาชีวิตตัวเองเข้าไปเล่นด้วย เพราะงั้นตอนที่ฉันเห็นเธอถูกคล้องกุญแจมือที่สถานีตำรวจ ตอนนั้นฉันตกใจแทบแย่ ฉันกลัวจริง ๆ ว่าเธอจะโง่ไปฆ่าจูจูตาย จากนั้นก็ถูกตัดสินประหารชีวิตเนื่องจากฆ่าคนตาย”
“ฉันไม่โง่ขนาดนั้นหรอก” ไป๋มู่ชิงพึมพำเสียงเบา
“ไม่เป็นอย่างนั้นก็ดีแล้ว” หนานกงเฉินโอบเธอจากนั้นก็เงยหน้าสูดหายใจเข้าลึก : “เธอรู้ไหม ? ตอนที่ตำรวจเอาจดหมายลาตายนั่นส่งมาให้ฉัน แถมยังบอกอีกว่าเธอเป็นผู้ต้องสงสัยรายสำคัญ ตอนนั้นฉันคิดอย่างโง่เขลาว่าเธอใช้วิธียิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวในการฆ่าจูจูเพื่อปกป้องชีวิตของตนเอง”
“คุณคิดว่าฉันจะใส่ร้ายคุณเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวงั้นเหรอ ?” ไป๋มู่ชิงหัวเราะเยาะตนเองขึ้น
“ขอโทษด้วยนะ ตอนนั้นฉันใจร้อนเกินไปหน่อย ใจร้อนจนขึ้นสมอง” หนานกงเฉินกล่าวด้วยความรู้สึกผิดและตำหนิตนเอง : “ความจริงถ้ามาคิด ๆ ดูตอนนี้ เธอเป็นคนดีขนาดนี้จะไปฆ่าจูจูได้ยังไง ? จะไปทำร้ายผู้ชายที่ตนเองรักได้ยังไง ? ฉันมันประสาทจริง ๆ ที่ไปสงสัยเธอ”
ยิ่งพูดเขาก็ยิ่งรู้สึกผิด จนแทบอยากย้อนเวลากลับไปแก้ไขใหม่
ไป๋มู่ชิงกลับยิ้มขึ้นด้วยความขมขื่น อันที่จริงเธอเข้าใจเขาได้ หากเปลี่ยนเป็นเธอที่อยู่ในสถานการณ์ตอนนั้น อย่าว่าแต่หนานกงเฉินเลยเธอคงเองคงคิดไปต่าง ๆ นานาเหมือนกัน ตอนนั้นขนาดตำรวจยังแต่งตั้งเธอเป็นบุคคลน่าสงสัยรายสำคัญเลย
หลังจากที่โอบกอดเธอนานพอสมควรแล้ว หนานกงเฉินจึงคลายเธอออกพร้อมมองหน้าเธอแล้วพูดปลอบประโยนว่า : “สำหรับเรื่องของผู่เหลียนเหยาเธอไม่ต้องห่วงนะ ฉันคิดว่าครั้งนี้ตำรวจจะต้องเจอเบาะแสอะไรบ้างแล้วตั้งข้อหาเขาแน่นอน”
เมื่อพูดถึงผู่เหลียนเหยา อยู่ ๆ ไป๋มู่ชิงก็คิดถึงเรื่อง ๆ หนึ่ง
ดังนั้นจึงเงยหน้าสบตาเขาพร้อมพูดขึ้นว่า : “จริงสิ ก่อนจูจูจะตายยังพูดกับผู่เหลียนเหยาด้วยว่า เขามีอีเมลกำหนดวันส่งกำลังส่งมาที่อีเมลของฉันด้วย ด้านในคือหลักฐานการกระทำความผิดของผู่เหลียนเหยาอยู่ ไม่รู้ว่าเรื่องจริงหรือเปล่า”
“กำหนดส่งมาตอนไหน ?”
“อีกสามวัน” ไป๋มู่ชิงกล่าว : “ตอนนั้นผู่เหลียนเหยาเสียใจภายหลังอยากจะดึงเธอขึ้นมา สุดท้ายก็คว้าไม่ได้”
หนานกงเฉินนิ่งเงียบไปด้วยความรู้สึกประหลาดใจ ไป๋มู่ชิงจึงมองหน้าเขาพร้อมถามว่า : “คุณคิดว่าเชื่อได้ไหม ?”
“ไม่จำเป็นว่าจะเชื่อได้” หลังจากที่เงียบไปนานสองนานหนานกงเฉินจึงส่ายหน้า : “น่าจะเป็นเพราะตอนนั้นจูจูจงใจขู่ผู่เหลียนเหยาเฉย ๆ และผู่เหลียนเหยาเองก็จะไปฆ่าเธอเพื่อทำลายหลักฐาน จากนั้นตัวเขาเองก็จะหนีจากกฎหมายไปไม่ได้ คราวนี้จูจูก็จะได้ตายตาหลับแล้ว แน่นอนว่ามีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นเรื่องจริงเหมือนกัน”
อยู่ ๆ หนานกงเฉินก็กุมข้อมือเธอเอาไว้แน่น : “แต่ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือเท็จ สามวันนี้เธอมีอันตรายอยู่ ผู่เหลียนเหยาไม่มีทางปล่อยเธอไปแน่”
ไป๋มู่ชิงขนหัวลุกขึ้นมา ถ้าหากเป็นอย่างที่เขาว่าจริง ๆ เช่นนั้นสามวันนี้เธอคงตกอยู่ในอันตรายอย่างมากใช่หรือไม่ ?
“มู่ชิง……” หนานกงเฉินปล่อยข้อมือของเธอออก เปลี่ยนมาใช้สองมือประคองใบหน้าเรียวเล็กของเธอเอาไว้แทน : “เพื่อความปลอดภัยของเธอ สามวันนี้เธอห้ามไปไหนทั้งนั้น อยู่กับฉันนี่แหละเข้าใจไหม ?”
“ฉันไม่……”
“เธอห้ามปฏิเสธฉัน” หนานกงเฉินกล่าวตัดบทเธอ สีหน้ามีความเจ็บปวดเล็กน้อย : “แม้เธอจะไม่ยินยอมอยู่กับฉันมากเท่าไหร่ แต่ก็เป็นแค่ช่วงเวลาสามวันเท่านั้น อดทนแปป ๆ ก็ผ่านไปแล้ว”
“ฉันจะดูแลตัวเองให้ดีแน่ ไม่อย่างนั้นฉันก็จ้างบอดี้การ์ดเพิ่มอีกก็ยังได้”
“แต่ว่าฉันอยากปกป้องเธอด้วยตัวเอง ไม่อย่างนั้นฉันไม่สบายใจ” หนานกงเฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม : “อีกอย่าง ถ้าที่จูจูพูดมาเป็นความจริงล่ะ ? ฉันมีความจำเป็นต้องปกป้องหลักฐานสำคัญชิ้นนี้นะ”
ไป๋มู่ชิงพูดไม่ออก คำพูดปฏิเสธตันอยู่ในลำคอ เขาพูดถึงขนาดนี้แล้วเธอยังมีเหตุผลอันใดในการปฏิเสธอีก
—
ผู่เหลียนเหยารีบกลับบ้านตระกูลหนานกงภายในเวลาอันรวดเร็วที่สุด เธอเพิ่งกลับบ้านได้ไม่นาน ตำรวจก็มาจับกุมตัวเธอเสียแล้ว
คุณผู้หญิงมองดูผู่เหลียนเหยาถูกจับกุมตัวไป ไม่เพียงแค่ไม่มีความรู้สึกเห็นอกเห็นใจ แถมยังจงใจพูดกับตำรวจด้วยว่า “คุณตำรวจคะ ขาของหล่อนคือของปลอมค่ะ อย่าว่าแต่ฆ่าคุณหนูจูเลย ฆ่าสองคนก็ไม่มีปัญหา”
ผู่เหลียนเหยาร้องห่มร้องไห้พลางจ้องหน้าเธอ นัยน์ตาเต็มไปด้วยความโกรธเคือง : “คุณย่า ฉันรู้ว่าคุณย่าไม่ชอบฉัน แต่ว่าทำไมคุณย่าถึงดูถูกฉันแบบนี้ล่ะคะ ? ฉันจะไปฆ่าคนได้ยังไง ? ฉันไม่ได้……”
“แต่ว่ามีคนยืนยันบอกว่าเห็นคุณผลักคุณหนูจูลงตึกไปนะครับ” คุณตำรวจเห็นแก่การที่ขาเธอพิการ แถมยังเป็นผู้หญิงอีก จึงไม่กล้าแตะต้องเธอนัก ทำได้เพียงกล่าวโน้มน้าวว่า : “คุณหนูผู่ เชิญไปโรงพักกับพวกเราด้วยครับ”
“คุณตำรวจคะ คุณหนูอีคนนั้นแย่งผู้ชายกับคุณหนูจูมาตลอด เขาเป็นคนร้ายตัวจริงนะคะ ทำไมพวกคุณถึงปล่อยเขาไปแบบนี้ล่ะคะ ?” ผู่เหลียนเหยายังคงใช้ความอ่อนแอในการขอความเห็นอกเห็นใจต่อไป
“พวกเราไม่ได้บอกว่าคุณหนูผู่ต้องเป็นคนร้ายเท่านั้น แค่อยากให้คุณหนูผู่ให้ความร่วมมือพวกเราในการเข้าร่วมสืบสวนที่โรงพักหน่อยเท่านั้น ขอบคุณในความร่วมมือครับ” คุณตำรวจเรียนเชิญเธอขึ้นรถด้วยความใจเย็น
เมื่อเห็นรถตำรวจขับออกจากคฤหาสน์ไปอย่างรวดเร็วแล้ว คุณผู้หญิงจึงหัวเราะเยือกเย็นขึ้นมา : “คนชั่วต้องได้รับเรื่องแย่ ๆ สนองกลับอยู่วันยังค่ำ ในที่สุดผู้หญิงคนนี้ก็ได้รับการลงโทษเสียที”
“จริงด้วยนะคะคุณผู้หญิง”
“ในที่สุดก็ไม่ต้องเห็นหล่อนเดินเตรดเตร่ต่อหน้าฉันอีกต่อไปแล้ว” คุณผู้หญิงกล่าวขึ้นอีกครั้ง
“สงสารก็แต่คุณชายเซิ่งเคอที่ไม่รู้ตัวมาตลอดว่าตัวเองมีแฟนที่จิตใจดำอำมหิตแบบนี้”
“เซิ่งเคอเขาเองก็ไม่ใช่คนดีอะไรเหมือนกัน” คุณผู้หญิงกล่าวด้วยความเหน็บแนม จากนั้นก็กลับหลังหันเดินเข้าบ้านไป
—
หลังจากที่เลขาเหยียนรับประทานอาหารกับเฉียวเฟิงเรียบร้อยแล้ว จึงไปส่งเขากลับบ้าน
ตั้งแต่กลับบ้านมาจนถึงตอนนี้ก็เป็นเวลาห้าทุ่มแล้ว ครั้นไป๋มู่ชิงยังไม่กลับมาเช่นเคย เฉียวเฟิงจึงรู้สึกเป็นห่วงขึ้นมา ขณะเดียวกันก็คิดอยู่ในใจอย่างเศร้าหมองว่าเธอคงไม่ใช่ว่าไปอยู่กับหนานกงเฉินอีกแล้วใช่หรือไม่ ?
สิบนาทีผ่านไป เขาไม่ได้เจอกับไป๋มู่ชิงครั้นเลขาเหยียนมาหาแทน
เลขาเหยียนยืนอยู่หน้าประตูบ้านอย่างเคอะเขิน เธอยิ้มพร้อมพูดขึ้นว่า : “คุณชายเฉิน ฉันมาคุยสองสามคำก็จะกลับแล้วค่ะ ไม่เข้าไปหรอกค่ะ”
“คุณมาบอกผมว่ามู่ชิงอยู่กับหนานกงเฉินเหรอ ?” เฉียวเฟิงเลื่อนวีลแชร์ออกมาจากในบ้านอย่างช้า ๆ จากนั้นก็ทำมือบอกให้เธอเข้ามานั่งที่เก้าอี้ในสวน
หลังจากที่เลขาเหยียนนั่งลงแล้วนั้น จึงเล่าสถานการณ์ของหนานกงเฉินและไป๋มู่ชิงให้เขาฟังอย่างละเอียด จากนั้นก็กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยน : “คุณชายเฉียว ที่คุณชายเฉินทำแบบนี้ก็เพื่อปกป้องชีวิตของคุณหนูไป๋นะคะ และก็เพื่อหลักฐานการกระทำความผิดของผู่เหลียนเหยาที่อาจจะมีอยู่ด้วยค่ะ”
“ผมเข้าใจ” เฉียวเฟิงยิ้มขึ้นอย่างขมขื่น : “ใครใช้ให้ผมไม่มีความสามารถปกป้องเขาล่ะ”
“คุณอย่าพูดแบบนี้สิคะ ความจริงแล้วคุณดูแลเขามาอย่างดีมากแล้วค่ะ” เลขาเหยียนยกมือขึ้นตบไปยังหลังมือของเขาสองครั้ง พร้อมยิ้มและพูดขึ้นว่า : “ความจริงฉันอิจฉามู่ชิงมาโดยตลอด เพราะว่าเธอมีผู้พักพิงคนที่ปกป้องเธออย่างเต็มที่อย่างคุณแถมยังหวังดีกับเธอด้วย”
“ช่างเถอะ พูดยอแบบนี้มันมีประโยชน์อะไร ?” เฉียวเฟิงเงยหน้ามองเธอด้วยความรู้สึกขมขื่น : “คุณเหยียนคุณกลับไปเถอะครับ ดึกมากแล้ว”
“คุณอยู่คนเดียวได้จริง ๆ เหรอคะ ?”
“ได้น่า ไม่ต้องห่วง”
“งั้นฉันกลับจริง ๆ แล้วนะคะ” เลขาเหยียนลุกขึ้นยืน ลังเลเล็กน้อยจากนั้นก็กลับหลังหันเดินออกจากสวนไป
—
หนานกงเฉินพาไป๋มู่ชิงมาพักที่คอนโดเป็นการชั่วคราวก่อน เธอเพิ่งเดินออกจากห้องอาบน้ำก็เห็นหนานกงเฉินวางสายโทรศัพท์
เมื่อเห็นไป๋มู่ชิงเดินออกจากห้องน้ำ หนานกงเฉินจึงเดินเข้าไปหาพร้อมส่งยิ้มให้เธอ : “เมื่อกี้คุณย่าโทรมาน่ะ บอกว่าผู่เหลียนเหยาถูกตำรวจจับไปจากคฤหาสน์หลังเก่าแล้ว”
“ผู่เหลียนเหยายังกล้ากลับคฤหาสน์หลังเก่าด้วยเหรอเนี่ย ?” ไป๋มู่ชิงตกตะลึง จากนั้นก็ส่ายหน้า : “ไม่ถูกสิ เธอไม่แม้แต่จะหนีไปเพราะงั้นจะต้องเล่นกลอุบายอะไรอยู่แน่นอน”
“ที่เธอเล่นอยู่ก็คงเป็นเกม ‘ตัวตรงไม่หวั่นเงาเฉเฉียงน่ะสิ’ ฉันไม่เชื่อว่าเขาจะจัดการทุกอย่างได้แบบไร้ช่องโหว่เลย” หนานกงเฉินลากเธอมายังเตียงนอน จากนั้นก็ใช้ผ้าขนหนูเช็ดผมที่เปียกปอนของเธอพร้อมกล่าวกำชับ : “แต่ว่าเธอก็อย่าวางใจเพราะว่าเขาถูกจับไปแล้วนะ ผู้ช่วยของเขาจะต้องไม่ได้มีแค่หนึ่งคนแน่นอน”
“ฉันทราบค่ะ” ไป๋มู่ชิงพยักหน้า
หลังจากที่หนานกงเฉินช่วยเธอเป่าผมจนแห้งแล้วนั้น จึงให้เธอนอนบนเตียงพร้อมโน้มตัวลงไปพรมจูบบนหน้าผากเธอ : “แต่ว่ามีฉันอยู่ด้วยทั้งคน เธอนอนอย่างสบายใจได้เลย ราตรีสวัสดิ์”
“คุณ……” ไป๋มู่ชิงมองเขาด้วยความรู้สึกที่ไม่เป็นตัวของตัวเองเท่าไร
“ไม่ต้องห่วงฉันจะไปนอนโซฟา เป็นเทพผู้พิทักษ์”
“คุณไปนอนห้องรองรับแขกสิ”
“ไม่เป็นไร เธอไม่ต้องห่วงฉันหรอก” หนานกงเฉินพรมจูบหน้าผากเธออีกครั้ง จากนั้นก็ลุกขึ้นข้างเตียง พร้อมหันหลังเดินไปยังประตูห้องนอน
—
ไป๋มู่ชิงนอนหลับใหลอย่างสงบภายในคอนโดของหนานกงเฉิน ขณะที่ตื่นนอนขึ้นในวันถัดมา เธอก็ต้องตกใจกับสภาพแวดล้อมรอบ ๆ ห้องที่เปลี่ยนไปกะทันหัน เธอลืมความง่วงไปทันที จากนั้นก็ลุกขึ้นนั่งบนเตียง
สิ่งที่เกิดขึ้นทุกอย่างในเมื่อวานนี้ไม่ใช่ความฝัน เธอได้ผ่านคดีฆ่าคนอันน่ากลัวมาจริง ๆ จากนั้นก็ถูกหนานกงเฉินพามายังคอนโด
เธอขยี้ดวงตาสองข้าง ลุกขึ้นเดินลงเตียง จากนั้นก็เดินไปยังประตูห้องนอนด้วยเท้าเปล่า
หนานกงเฉินกำลังนั่งพลิกหนังสือพิมพ์อยู่บนโซฟาอยู่ เมื่อได้ยินเสียงเท้าจึงเงยหน้าขึ้นมามองเธอจากนั้นก็ถาม : “ตื่นแล้วเหรอ ?”
“อืม” เธอสาวเท้าเดินเข้าไปหาเขา
“เธอรู้ไหมเรื่องที่มีความสุขที่สุดบนโลกนี้คืออะไร ?” เขาอ่านหนังสือพิมพ์เนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องอื้อฉาวครอบครัวของตนเองแตกแยกไปพลางถามขึ้น
“อะไรเหรอ ?” ไป๋มู่ชิงกวาดสายตามองหนังสือพิมพ์ในมือของเขา : “พาดหัวข่าวทุกวันเหรอ ?”
หนานกงเฉินส่ายหน้าพร้อมปิดหนังสือพิมพ์ลงพลางจ้องหน้าเธอ : “เมื่อตื่นมาตอนเช้า ลืมตาขึ้นมาก็มองเห็นหน้าเธอไง”
ไป๋มู่ชิงไร้คำพูด เวลาเช่นนี้เขายังมีอารมณ์พูดคำพูดเหล่านี้ด้วยหรือ
เขายกมือขึ้นมาขยี้ผมที่ยุ่งเหยิงของเธอพร้อมกล่าวว่า : “แม้ตอนนี้เธอจะดูเหมือนหญิงบ้าก็เหอะ”
ไป๋มู่ชิงใช้มือจัดการผมและเสื้อผ้าตัวเอง จากนั้นก็หยิบหนังสือพิมพ์ที่เขาวางไว้ข้าง ๆ ขึ้นมาอ่าน เนื้อหาบนหนังสือพิมพ์ส่วนมากจะเป็นข้อกล่าวหาและข้อสงสัยเกี่ยวกับตัวเขาทั้งสิ้น ถึงขั้นมีคนแอบถ่ายรูปเมื่อคืนที่เขาและเธออยู่ด้วยกันเป็นหลักฐานการนอกใจด้วย
เมื่อเห็นรูปตนเอง ไป๋มู่ชิงจึงสูดหายใจเข้าลึกโดยไม่รู้ตัว ไม่รู้ว่าหลังจากที่เฉียวเฟิงเห็นเนื้อหาข่าวนี้แล้วจะมีความรู้สึกอย่างไร ?
“เรื่องแบบนี้ คุณไม่สนใจเลยสักนิดเหรอคะ ?” เธอมองหน้าหนานกงเฉินที่ทำสีหน้าราวกับไม่มีเรื่องอันใดเกิดขึ้นอย่างไรอย่างนั้น
“ฉันจะนอกใจ หรือครอบครัวแตกแยกต่างก็เป็นเรื่องของครอบครัวฉัน ไม่เกี่ยวอะไรกับโลกภายนอกเลยสักนิด เมื่อคดีเผยความจริงมาแล้วทุกอย่างก็ดีขึ้นมาเองตามธรรมชาติ” หนานกงเฉินยิ้มขึ้นอย่างเยือกเย็น : “อีกอย่าง ข่าวลือเมื่อก่อนทั้งน่ากลัวและไม่เพราะยิ่งกว่านี้อีก ฉันยังไม่ใส่ใจเลย ตอนนี้จะมาสนใจได้ยังไง ?”
“ดูหุ้นของวันนี้หรือยัง ? ตกฮวบลงอีกแล้วล่ะสิ ?”
“ไม่เป็นไร เรื่องทางบริษัทเธอไม่ต้องเป็นกังวลหรอกนะ”
“ฉันไม่ได้เป็นกังวลสักหน่อย”
“ถ้างั้นเธอก็กำลังเป็นห่วงชื่อเสียงของฉันอยู่งั้นเหรอ ? บอกแล้วไงฉันไม่แคร์หรอก”
“แต่ฉันแคร์นี่ มันส่งผลกระทบที่ไม่ดีกับฉันมากนะ” ไป๋มู่ชิงรู้สึกเอือมละอาเล็กน้อย
หนานกงเฉินยิ้มขึ้นมา จากนั้นก็โน้มตัวเข้ามาพรมจูบบนริมฝีปากเธอ : “อีกไม่นานเธอก็จะเข้าสู่ตำแหน่งเมียน้อยสำเร็จ และกลายมาเป็นผู้หญิงของฉันแล้ว กลัวอะไร ?”
“หนานกงเฉิน ฉันไม่มีอารมณ์มาล้อเล่นกับคุณหรอกนะ”
“ก็ได้” หนานกงเฉินดึงเธอขึ้นมาจากโซฟา : “รีบไปล้างหน้าแปรงฟันและก็ไปกินมื้อเช้าได้แล้ว”
ไป๋มู่ชิงเดินไปยังห้องน้ำ จากนั้นก็จัดการแต่งตัวสะอาดสะอ้าน ขณะที่กำลังหนักใจอยู่ว่าจะใส่ชุดอะไรดี ในตู้เสื้อผ้าก็มีเสื้อผ้าชุดใหม่อยู่หลายชุดด้วยกัน มีทั้งชุดชั้นในเสื้อคลุม ดูเหมือนว่าหนานกงเฉินจะใช้ให้คนจัดเตรียมไว้กะทันหัน เธอจึงหยิบออกมาสวมใส่ทันที