“ถ้าพูดอย่างนี้หมายความว่าเธอตกลงแล้ว?”
“ใช่ค่ะ ก็ถือซะว่าตอบแทนบุญคุณของคุณชายเฉิน” ผู้ช่วยเหยียนยิ้ม “แต่ว่าเงื่อนไข……ตอนนี้ยังไม่พูดถึงดีกว่าค่ะ รอให้คุณชายเฉินดีขึ้นแล้วแล้วบริษัทก็กลับมาดีเหมือนเดิมค่อยว่ากันค่ะ”
“ได้งั้ นก็ขอบคุณผู้ช่วยเหยียนมาก” ผู้หญิงกับไป๋มู่ชิงก็โล่งอกไป
“ไม่ต้องขอบคุณหรอกค่ะเป็นสิ่งที่ฉันควรทำ” เมื่อผู้ช่วยเหยียนพูดจบก็เงียบไปสักพักก่อนจะเอ่ยขึ้น “คุณหญิงคะ ถ้าคุณหญิงเชื่อใจเซิ่งเคอ ให้เขากลับมาทำงานที่บริษัทก็ได้ค่ะ”
“เซิ่งเคอ?” คุณหญิงรู้สึกประหลาดใจ
“ใช่ค่ะ ถึงแม้เขาจะมีประวัติ แต่ก็เป็นเพราะเซิ่งตงหยางบังคับ” ผู้ช่วยเหยียนพูด “ทำงานกับเขามาตั้งกี่ปี ฉันกับคุณชายเฉินก็เชื่อใจเขามาก แล้วที่ตระกูลหนานกงไม่ได้ส่งเขาเข้าคุก เขาก็รู้สึกขอบคุนมากไม่มีทางทำตามพ่อของตัวเองหรอกค่ะ”
คุณหญิงหันมองไปทางไป๋มู่ชิง ดูเหมือนว่ายังไม่ไว้ใจเซิ่งเคอ
ไป๋มู่ชิงรีบอธิบาย “คุณหญิงคะ ฉันคิดว่าเซิ่งเคอเป็นคนมีประโยชน์ ให้โอกาสเขาอีกสักครั้งก็ได้ค่ะ”
คุณหญิงคิดไปคิดมาแล้วพยักหน้า “ได้ เดี๋ยวฉันไปคุยกับเขาเอง”
—
เฉียวเฟิงมองไปที่เฉียวซือเหิงอย่างประหลาดใจแล้วเอ่ยถาม “พี่พูดว่าอะไรนะ? หว่านชิงถูกคนของผู่เหลียนเหยาลักพาตัวไปจริงหรอ?”
“ใช่ คนคนนั้นเป็นน้องชายแท้ๆของผู่เหลียนเหยา” เฉียวซือเหิงยกแก้วขึ้นจีบแล้วยิ้มเสียดสี “ดูเหมือนว่าผู่เหลียนเหยาจะโกรธแค้นหนานกงเฉินมาก แม้แต่น้องชายตัวเองก็ยอมให้เสี่ยง”
“เธออยากจะฆ่าหนานกงเฉิน ไม่มีทางยอมแพ้หรอก” เฉียวเฟิงสูดหายใจเข้าลึกๆแล้วจ้องไปที่เขา “พี่ชาย พี่เดาได้แล้วไม่ใช่เหรอว่าจะช่วยหนานกงเฉินยังไง? รีบช่วยเขาสิ”
“แกจะให้ฉันช่วยมัน?” เฉียวซือเหิงประหลาดใจ
“พี่เป็นเพื่อนกับหนานกงเฉินมาตั้งนาน พี่คงทำใจเห็นว่าครอบครัวเขาสูญเสียไม่ได้หรอก” สีหน้าเฉียวเฟิงมีความรู้สึกเยาะเย้ย “ผมรู้ว่าพี่กำลังคิดอะไรอยู่ แต่ผมไม่อยากให้พี่ทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับใจตัวเองเพื่อผม”
“ฉันไม่ได้วางยามัน ฉันก็ไม่ได้ทำให้โรคมันกำเริบด้วย ฉันไม่ได้รู้สึกไม่สบายใจอะไร”
“แต่เขาเป็นเพื่อนของพี่ ตอนนั้นที่พี่ขโมยลูกสาวของคนอื่นไปก็ไม่ดีมากแล้ว”
“ฉันเคยบอกแล้ว ฉันช่วยลูกสาวมันต่างหาก ถ้าไม่ใช่เพราะฉันลูกสาวมันตายไปตั้งนานแล้ว มันควรจะขอบใจฉัน” เฉียวซือเหิงลังเลไป “อีกอย่าง ฉันแค่เดาได้นิดหน่อย แต่ไม่กล้ารับรองว่าความคิดของฉันถูกหรือเปล่า”
“ไม่ว่าถูกหรือเปล่าก็ลองดูก่อน ยังดีกว่าที่เขารอเวลาตายแบบนี้” เฉียวเฟิงพูด
เฉียวซือเหิงมองไปที่เขา “ฉันว่าแกใจอ่อนเพราะไป๋มู่ชิงร้องไห้สินะ ก็เลยไม่รู้ว่าตัวเองกำลังพูดอะไรอยู่”
เฉียวเฟิงเป็นใบ้ไป
เขาไม่ปฏิเสธว่าตัวเองใจอ่อนเพราะมองเห็นน้ำตาของไป๋มู่ชิงไม่ได้ แต่ว่า……
“พี่……” เฉียวเฟิงยิ้มอย่างขมขื่น “ตอนนั้นที่พี่พามู่ชิงกับหว่านชิงมาข้างกายผม ผมก็ปฏิเสธแล้ว ถึงแม้สุดท้ายจะเห็นแก่ตัวแล้วยอมรับทั้งสองแม่ลูก แต่กี่ปีนี้มาผมก็ไม่สบายใจเพราะฉะนั้น……ผมไม่ได้ใจอ่อนเพราะมู่ชิงร้องไห้ แต่นิสัยใจอ่อนอยู่แล้ว นี่อาจจะเป็นเหตุผลที่ตั้งแต่เด็กจนโตผมเทียบอะไรกับพี่ไม่ได้มั้งครับ”
เฉียวซือเหิงมองไปที่เขาแล้วเงียบไปสักพัก “คุณชายเฉียว ถ้าหนานกงเฉินฟื้นขึ้นมาแล้ว ทั้งชาตินี้แกก็ไม่ต้องหวังว่าจะได้ไป๋มู่ชิง แกต้องพิจารณาให้ดี”
“ถ้าต้องมองให้เขาตายไปโดยไม่ช่วยอะไรถึงจะได้มู่ชิง ผมว่าถึงแม้ผมจะได้มู่ชิงมาก็ไม่สบายใจหรอกครับ ผมก็เชื่อว่าพี่ก็จะไม่สบายใจเหมือนกัน เพราะว่ายังไงหนานกงเฉินก็เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของพี่ เขาไม่เคยทำอะไรไม่ดีกับพี่เลย”
เฉียวเฟิงพูดอย่างไม่ลังเล เพราะกี่วันนี้มาเขาคิดได้แล้ว
“พี่ ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะผม พี่ยังจะลังเลแบบนี้หรือเปล่า?” เฉียวเฟิงเอ่ยถามขึ้น
เฉียวซือเหิงมองเห็นสีหน้าที่จริงจังบนหน้าเขา แต่ไม่ได้ตอบคำถามเขา สุดท้ายก็พยักหน้า “ก็ได้ ในเมื่อแกพูดแบบนี้ ฉันก็จะไม่บังคับแกอีก”
—
กว่าเฉียวซือเหิงจะได้เจอผู่เหลียนเหยาก็ใช้เส้นสายอย่างยากลำบาก
แต่ผู่เหลียนเหยากลับพูดออกมาโดยที่ไม่คิดเลย “ฉันเคยบอกแล้ว ไม่ว่าใครก็จะไม่เจอ”
“ก็ได้ครับ” ผู้คุมขังพยักหน้าแล้วเอ่ย “ใช่ครับ คุณเฉียวให้ผมพูดกับคุณหนูผู่ว่า ขอให้คุณไม่ต้องกังวล เขาจะช่วยดูแลน้องชายคุณเอง”
คำพูดของผู้คุมขังก็ทำให้ผู่เหลียนเหยาไม่สนใจเลยเงยหน้าขึ้นถาม “เขาบอกว่าอะไรนะ?”
ผู้คุมขังไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงแสดงปฏิกิริยาขนาดนั้น “เขาบอกว่าเขาจะช่วยดูแลน้องชายคุณเอง ทำไมครับ?”
ผู่เหลียนเหยากัดฟันแน่นแล้วกำมือทั้งสองข้างแน่น ก่อนที่ผู้คุมขังจะหันหลังเดินไปก็เอ่ยขึ้น “รอก่อน”
“มีอะไรหรือเปล่าครับ?” ผู้คุมขังหันมามองเธอ
ผู่เหลียนเหยาจำใจเอ่ยพูดออกมา “ฉันจะพบเขา”
ตลอดเวลาที่ผ่านมาผู่เหลียนเหยากับเฉียวซือเหิงไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกันเลย เมื่อได้ยินผู้คุมขังบอกว่าเขาจะเจอเธอ ในใจเธอก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน แต่ไม่ว่าจะเพราะอะไรเธอก็ไม่อยากเจอใครทั้งนั้น แต่เธอคาดไม่ถึงเลยว่าเฉียวซือเหิงจะพูดถึงเรื่องน้องชายเธอ
คนรอบข้างที่รู้จักเธอ ไม่มีใครรู้ว่าเธอยังมีน้องชายอีกคน แม้แต่คนตระกูลหนานกงกับเซิ่งเคอก็ไม่รู้!
ทำไมเฉียวซือเหิงถึงรู้? ทำไม?
ด้วยความสงสัย ผู่เหลียนเหยาก็เดินมาตรงหน้าเฉียวซือเหิงแล้วนั่งลงเก้าอี้หน้าเขาแล้วยิ้มอย่างเยือกเย็น “คุณชายเฉียวที่ยุ่งตลอดเวลาแต่กลับมาเจอฉันที่ไม่เคยเจอกันเลย? รู้สึกเป็นเกียรติมากเลยค่ะ”
“คุณหนูผู่พูดถูก ผมยุ่งมาก” เฉียวซือเหิงเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง “เราคุยกันตรงๆเถอะ บอกผมมาเดี๋ยวนี้ว่าคุณวางยาอะไรใส่หนานกงเฉิน”
“ถ้าฉันไม่บอกคุณล่ะ?”
“ถ้างั้นผมก็ไม่บอกคุณเหมือนกันว่าผู่จี๋ตอนนี้เป็นยังไง”
“คุณ……” ผู่เหลียนเหยาไม่รู้จะเอ่ยพูดยังไง
“โมโหก็ถูกแล้ว ก็แสดงว่าคุณก็ยังเป็นห่วงเขา” เฉียวซือเหิงยิ้มอย่างเยือกเย็น “ใช่สิ เตือนคุณหน่อยก็ดี ผมเรียนหมอมานานกว่าคุณ คุณอย่าโกหกผมจะดีกว่า”
“ตอนนี้เขาเป็นยังไงบ้าง?” ผู่เหลียนเหยาเอ่ยถามขึ้นทันที
“เป็นเพราะคุณ ก็เลยโดนคดีลักพาตัวเด็ก ตอนนี้ถูกตำรวจที่อังกฤษจับตัวแล้ว”
“อะไรนะ……!” ใจผู่เหลียนเหยาสั่นวูบไป สีหน้าก็ซีดขาวทันที
“แต่ว่าจะโดนโทษอะไรบ้างก็ต้องรอความเห็นจากเด็กแล้วก็ผู้ปกครองของเด็ก อย่างมากก็สิบปียี่สิบปี อย่างน้อยก็สามสี่ปีหรือว่าอาจจะพ้นโทษก็ได้” เฉียวซือเหิงหยุดเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้น “สมมุติว่าผู่จี๋เป็นเพื่อนของเฉียวเฟิง เขาแค่ชอบหว่านชิงก็เลยพาตัวเธอไป จากนั้นก็ได้รับการอภัยจากเฉียวเฟิง ทุกอย่างก็จะเปลี่ยนไปทันที”
“เป็นยังไงบ้าง? คุณควรจะคิดพิจารณาแล้วยอมรับแผนของผมใช่ไหม?”
ผู่เหลียนเหยาจ้องไปที่เขาด้วยสีหน้าหงุดหงิด
เธอคิดไม่ถึงเลยว่าผู่จี๋จะถูกจับตัวที่อังกฤษ ในใจก็เสียใจที่ให้เขาไปลักพาตัวหว่านชิง เธอไม่ควรให้เขาไปเสี่ยงเลย!
“คุณอย่าจ้องผมแบบนี้ ผู่จี๋ลีกพาตัวเป็นเรื่องจริง ผมไม่ได้แต่งเรื่อง ไม่งั้นผมก็คงไม่รู้ว่าคุณหนูผู้ยังมีน้องชายอีกคน”
ผู่เหลียนเหยาหายใจเสียงดัง แม้แต่เสียงพูดก็ยังสั่น “ฉันจะรู้ได้ยังไงว่าคุณกำลังโกหกฉันหรือเปล่า?”
“คุณหมายถึงเรื่องที่ผู่จี๋ถูกจับหรือว่าเรื่องหลังจากนั้น?”
ผู่เหลียนเหยาไม่เอ่ยพูดอะไร จากนั้นเฉียวซือเหิงก็ยิ้ม “คุณยังมีสิทธิ์เลือกอีกหรอ? หรือว่าคุณจะยอมเห็นผู่จี๋อยู่ในคุกเพื่อคุณงั้นหรอ?”
“แต่ฉันไม่ยอม ฉันไม่มีทางให้หนานกงเฉินมีชีวิตอยู่ต่อแน่!” ผู่เหลียนเหยากัดฟันแน่นแล้วเอ่ยขึ้น
เฉียวซือเหิงยิ้มอย่างไม่แคร์ “ผมเคยบอกแล้ว ผมเรียนหมอมานานกว่าคุณ ก่อนที่คุณจะลงมือกับหว่านชิง ผมก็เดาอะไรออกแล้ว คุณหนูผู่อย่าดูถูกอำนาจของผมแล้วอย่าเปลืองโอกาสที่ดีแบบนี้ด้วย”
เงียบไปอีกสักพักเฉียวซือเหิงก็เอ่ยขึ้น “คุณหนูผู่ ความจริงหนานกงเฉินจะรอดหรือไม่รอดก็ไม่มีอะไรสำคัญกับผม ถึงแม้คุณจะปฏิเสธ ผมก็ไม่เสียใจหรอกเพราะฉะนั้น……ผมให้เวลาคุณหนึ่งนาทีในการคิด”
พูดจบเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้
หนึ่งนาทีสั้นมาก แค่กระพริบตาก็ผ่านไปแล้ว เฉียวซือเหิงจะหันหลังเดินไปอย่างลังเล
“รอก่อน” ในใจที่กำลังตีกันวุ่นไปหมดของผู่เหลียนเหยาก็เรียกเขาไว้
ฝีก้าวของเฉียวซือเหิงก็หยุดลงแล้วหันมายิ้มอย่างมีเลศนัยให้เธอ……
—
ไป๋มู่ชิงยกถ้วยโจ๊กที่ตัวเองทำกับมือเข้าไปในห้องพักฟื้นของหนานกงเฉิน เมื่อหนานกงเฉินเห็นเธอก็หันหน้าหนีไปไม่สนใจเธอ
หลังจากที่รู้ถึงความคิดในใจของเขา ไป๋มู่ชิงไม่สนใจความเยือกเย็นของเขาเลยแต่กลับนั่งลงข้างเตียงเขาแล้วทอดมองไปที่เขา “นายกับผู้ช่วยเหยียนยังคุยกันก็นานขนาดนั้น แต่ไม่อยากพูดกับฉันสักคำเลยหรอ? นายไม่กลัวว่าฉันจะหึงหรอ?”
เมื่อเห็นว่าเขาไม่เอ่ยพูดอะไร ไป๋มู่ชิงก็พูดขึ้นอีกว่า “ฉันบอกความลับกับคุณก็ได้ ความจริงฉันเป็นคนขี้หึงมาก”
“ผมให้อิสระคุณแล้ว ทำไมคุณยังไม่ไปอีก?” สุดท้ายหนานกงเฉินก็หันหน้ามาแล้วจ้องเธออย่างไม่สบอารมณ์ “ผมไม่แย่งหว่านชิงกับคุณแล้ว ไม่ห้ามให้คุณอยู่กับเฉียวเฟิงด้วย คุณกลับไปได้ทุกเมื่อ”
ไป๋มู่ชิงเอนตัวลงไปบนตัวเขาแล้วจูบริมฝีปากเขา “เฉิน นายอย่าแกล้งอีกเลย ฉันรู้ว่าในใจนายกำลังคิดอะไรอยู่”
เมื่อหนานกงเฉินถูกจูบ ในใจก็ใจอ่อน ความเสแสร้งที่แกล้งมาตลอดก็หายไปทันที
แต่เขาก็แค่ทอดมองไปที่เธอ ไม่เอ่ยพูดอะไรออกมา
ไป๋มู่ชิงยิ้ม “แต่ก่อนฉันเอาแต่แกล้งว่าไม่รักนายแล้วทำสีหน้าต่างๆ ตอนนี้เปลี่ยนเป็นนายแล้วหรอ? ตอนนั้นนายบอกว่าฉันยังแสดงได้ไม่ดี แสดงได้ไม่สมจริงเลย นายก็ไม่ดูตัวเองตอนนี้แสดงได้แย่กว่า……อือ……”
ร่างกายของไป๋มู่ชิงก็เอนลงไป ริมฝีปากสีแดงก็จุมพิตที่ริมฝีปากเขาอีกครั้ง
เธอขยับร่างกาย ฝ่ามือของหนานกงเฉินที่จับที่ท้ายทอยไว้ก็แน่นขึ้น ไม่ให้โอกาสเธอหลบหนี
จนสุดท้ายเธอไม่ขยับแล้วเขาถึงปล่อยตัวเธอ
ไม่ได้ลิ้มลองรสชาติของเธอมาตั้งนาน เมื่อกี้ถูกเธอจูบก็รู้สึกคิดถึงขึ้นมาทันที
“ไม่แกล้งล่ะ?” ไป๋มู่ชิงมองไปที่สายตาที่โหยหาของเขาแล้วยิ้มอ่อน
หนานกงเฉินก็ทอดมองไปที่เธอแล้วเอ่ยว่า “เธอจะมองฉันค่อยๆตายไปแล้วเหลือรอยด่างไว้ในใจถึงจะพอใจงั้นหรอ?”
ตอนนั้นที่เธอเดินจากไป เขาเสียใจมาก รู้สึกว่าเธอรังเกียจเขา ก็เลยชอบหายตัวไป จากนั้นก็โมโหหงุดหงิด แต่ตอนนี้เธอกลับมาแล้ว แต่เขาก็ทำใจไม่ได้ ทำใจไม่ได้ที่จะให้เธอลำบากอยู่ข้างกายตัวเอง ทำใจไม่ได้ที่เธอต้องร้องไห้เสียใจเพราะโรคของเขา
“นายไว้ใจเถอะ นายไม่มีตายหรอก” ไป๋มู่ชิงซบลงไปที่อกเขาแล้วฟังเสียงหัวใจเขา “ฉันได้ยินเสียงหัวใจนายยังเต้นปกติ ไม่อ่อนแรงลงไปเลยสักนิด”
“เธอภาวนาให้ผมตายไปดีกว่า ไม่งั้น……” หนานกงเฉินจับที่คางเธอไว้แล้วเงยหน้าเธอขึ้น จ้องเธอด้วยสีหน้าเยือกเย็น “เธอโกหกผมครั้งแล้วครั้งเล่า โกหกผมเยอะขนาดนั้น ถ้าผมยังปล่อยคุณไปอีกผมก็คงไม่ใช่ผู้ชายแล้ว”
“แล้วนายจะไม่ปล่อยฉันไปยังไงล่ะ?” ไป๋มู่ชิงทำท่าทางรู้สึกกลัว
“ถึงเวลาค่อยว่ากัน” หนานกงเฉินพูด
ไป๋มู่ชิงไม่แยแส “นอกจากนายจะขังฉันยังทำอะไรได้อีก? มัดตัวฉันไว้แล้วเฆี่ยนตีฉันหรอ? ใช้มีดฟันฉัน?” เธอพูดแล้วยักไหล “นายไม่กล้าหรอก”
ถึงแม้หนานกงเฉินจะหงุดหงิดกับคำพูดของเธอ แต่ก็ปฎิเสธไม่ได้ว่านั่นคือความจริง
เธอพูดถูก กับเธอ……เขาทำร้ายไม่ได้จริงๆ
“หว่านชิงจะกลับมาเมื่อไหร่?” หนานกงเฉินเอ่ยถามขึ้น
เมื่อพูดถึงหว่านชิง ไป๋มู่ชิงก็ยิ้มอย่างอ่อนโยน “ไม่กี่วันก็กลับมาแล้ว รอเธอกลับมาฉันจะรีบพาเธอมาเจอนายเลยดีไหม?”
เฉียวเฟิงบอกว่าหาตัวหว่านชิงเจอแล้ว ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร ตอนนั้นเธอก็ดีใจจนร้องไห้ รู้สึกว่าทั้งชีวิตนี้ไม่เคยดีใจขนาดนั้นมาก่อน
หนานกงเฉินพยักหน้าแล้วจ้องไปที่เธอ “แต่ว่าอย่าเพิ่งบอกเธอว่าผมเป็นพ่อ”
“ทำไม?”
“อยู่ดีๆหว่านชิงก็เปลี่ยนพ่อ เธอคงยอมรับไม่ได้ ถ้าคุณพ่อคนใหม่จากไปอีกเธอก็ยิ่งยอมรับไม่ได้”
“นายอย่าพูดอย่างนี้” น้ำตาของไป๋มู่ชิงก็ไหลลงมาทันทีแล้วซบไปบนตัวเขา “นายเอาแต่บอกให้ฉันรู้อย่าเสียใจ แต่นายก็เอาแต่พูดคำพูดที่ทำให้คนอื่นเสียใจ”
“ขอโทษ” หนานกงเฉินยกมือขึ้นลูบเส้นผมของเธอ “ผมแค่ไม่อยากให้ดวงใจน้อยๆของหว่านชิงเสียใจ ไม่อยากให้เธอรู้ว่าพ่อแท้ๆของเธอไม่อยู่บนโลกนี้แล้ว อยากให้เธอมีชีวิตที่มีความสุขแบบนี้”
ในสมองของเขาก็มีภาพที่เสี่ยวหว่านชิง เฉียวเฟิงกับไป๋มู่ชิงอยู่ด้วยกัน ทุกครั้งก็มีความสุขมาก เขาหวังว่านางฟ้าตัวน้อยของเขาจะมีความสุขแบบนี้ไปตลอด ถึงแม้อยากจะได้ยินเธอเรียกตัวเองว่า’พ่อ’ แต่เพื่ออนาคตของเธอก็จำใจหักห้ามไว้
“นายดีที่สุด” ไป๋มู่ชิงเอ่ยพูดทั้งน้ำตา เขาคิดได้รอบคอบมากไม่ว่าจะเรื่องหว่านชิงหรือว่าเธอ
“หว่านชิง……” หนานกงเฉินเอ่ยพูดเสียงเบา “ชื่อนี้ใครเป็นคนตั้งให้?”
“เฉียวเฟิงเป็นคนตั้งให้” ไป๋มู่ชิงมองไปที่เขาแล้วรีบอธิบาย “เฉิน นายไม่ชอบหรอ? ถ้าไม่ชอบ……นายเปลี่ยนชื่อให้เธอก็ได้”
“หว่านชิง……” หนานกงเฉินเอ่ยซ้ำไปซ้ำมาแล้วยิ้มอย่างอ่อนโยน “ชื่อนี้เหมาะกับความรู้สึกของผมมาก ถ่ายทอดคำพูดในใจผม ผมชอบ”
ตอนนั้นที่เฉียวเฟิงตั้งชื่อให้ก็เป็นความรู้สึกในใจของเขาเหมือนกัน
ไป๋มู่ชิงซบไปที่อกเขาแล้วยิ้มอ่อน “นายต้องรีบดีแข็งแรง อีกหน่อยฉันจะคลอดลูกชายให้ด้วย ชื่อว่าหว่านเฉิน”
“หว่านเฉิน? ฟังดูไม่แมนเลย”
“ฉันไม่ต้องการให้เขาแมนมาก แค่ร่างกายแข็งแรงแล้วมีความสุขก็พอแล้ว”
“อื้อ ถ้าเขาเหมือนผมไม่มีทางไม่แมนแน่นอน”
“หลงตัวเอง!”
“ถ้าเหมือนเธอทำยังไงล่ะ?”
“ถ้าเหมือนฉัน?” ไป๋มู่ชิงคิดไปคิดมา “ใช่สิ ถ้าเหมือนฉันทำยังไงดีล่ะ? จะโดนคนอื่นรังแกหรือเปล่า?”
“ไม่หรอก หว่านชิงจะปกป้องเขาเอง” หนานกงเฉินพูด
“ใช่แล้ว พวกเราก็จะปกป้องเขาด้วย” ไป๋มู่ชิงยิ้มพูด “เหมือนกับว่าเรามีแล้วสะอีก”
“เราผลิตตอนนี้เลยไหมล่ะ?” หนานกงเฉินพูด
“ได้สิ นายลุกให้ฉันดูก่อน” ไป๋มู่ชิงมองกวาดไปที่เขา
“เธออุ้มผมสิ”
“ไม่ นายหนักขนาดนั้น”
ทั้งสองยิ้มหัวเราะอยู่ในห้องพักฟื้น เป็นภาพเหตุการณ์กี่วันนี้ที่มีความสุขที่สุดแล้ว
เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะของพวกเขา คุณหญิงที่ยืนอยู่หน้าประตูก็ไม่อยากเคาะประตู แต่สุดท้ายท่านก็ยกมือแล้วเคาะประตู
ไป๋มู่ชิงที่อยู่ในห้องพักฟื้นก็ยืดตัวตรง ก็เห็นคุณหญิงกับพี่เหอเดินเข้ามา
คุณหญิงมองสำรวจไปที่หนานกงเฉินแล้วถาม “เฉิน วันนี้รู้สึกดีขึ้นบ้างไหม?”
“ดีขึ้นแล้วครับ” หนานกงเฉินพูด
ไป๋มู่ชิงค่อยนึกขึ้นได้ว่าอาหารเช้ายังไม่ได้ให้หนานกงเฉินกินเลยก็เลยรีบพูด “เดี๋ยวจะมีบอร์ดบริหารมา คุณชายคุณรีบทานอาหารเช้าก่อนเถอะ”
“ใช่ กินเยอะหน่อยจะได้มีแรงกดคนพวกนั้นได้” คุณหญิงพูด
เมื่อหนานกงเฉินรับประทานอาหารเช้าไปไม่นาน ผู้ช่วยเหยียนกับเซิ่งตงหยางก็มา
ครั้งนี้เป็นผู้บริหารที่ถือหุ้นใหญ่ในบริษัทมา ทุกคนก็รู้ว่าทำไมหนานกงเฉินถึงเรียกพวกเขามา
แต่เมื่อหนานกงเฉินมอบอำนาจให้ผู้ช่วยเหยียนต่อหน้าผู้บริหารกับทนายความทุกคน ก็รู้สึกไม่พอใจ เซิ่งตงหยางสงสัยแล้วคิดว่าผู้ช่วยเหยียนไม่ใช่คนตระกูลหนานกง ไม่ควรจะให้เธอดูแลบริษัท
หุ้นส่วนคนอื่นก็ให้หนานกงเฉินพิจารณาอีกครั้ง ทุกคนก็คิดว่าเขาบ้าไปแล้ว
หนานกงเฉินมองกวาดไปที่เซิ่งตงหยางแล้วเอ่ยเสียดสี “แล้วจะให้ใครดูแลล่ะ? คุณหรอ?”
เซิ่งตงหยางอเาบปากจะพูด แต่ก็เงียบไป
หุ้นส่วนอีกคนก็มองไปทางเซิ่งตงหยางแล้วรวบรวมความกล้าแล้วเอ่ย “คุณชายเฉินครับ ตอนนี้ประธานเซิ่งเป็นหุ้นส่วนลำดับที่สามของบริษัท ในเมื่อคุณกับคุณหญิงไม่สะดวกที่จะออกหน้า ก็ควรจะให้ประธานเซิ่งรับมือตำแหน่งผู้บริหาร แต่ไม่ใช่ให้ผู้ช่วยที่เป็นคนนอกมาดูแลบริษัทต่อ”
“เป็นหุ้นส่วนลำดับที่สามของบริษัทเร็วขนาดนั้นเลย? เร็วมากเลยหนิ” หนานกงเฉินมองกวาดไปที่เซิ่งตงหยางแล้วเอ่ยอย่างเสียดสี
เซิ่งตงหยางก็ยิ้มแห้งๆ “ช่วงนี้บริษัทมีเรื่องเยอะ หุ้นส่วนเล็กๆก็กังวลเกี่ยวกับบริษัท ก็เอาแต่พูดว่าจะขายหุ้นในมือ ฉันก็เลยซื้อหุ้นที่พวกเขาไม่เอาก็เท่านั้น”
“ไม่เลวเลยหนิ หลอกใช้เซิ่งเคอแล้วยักยอกเงินของบริษัทไปสี่ร้อยล้าน แล้วใช้เงินสองร้อยล้านซื้อหุ้นของบริษัด้วยวิธีสกปรก ถ้าพูดตรงๆก็คือใช้เงินของบริษัทซื้อหุ้นบริษัทตัวเอง ฉลาดมากเลยนี่”
กับการกระทำของเซิ่งตงหยาง คนอื่นก็หลับตาข้างเดียวมาตลอด แม้แต่ตอนนี้ก็ไม่มีใครกล้าลุกขึ้นมาพูดเลย
สถานการณ์เงียบไปสักพัก เซิ่งตงหยางก็ยิ้มแห้งขึ้น “คุณชายเฉิน คุณป่วยหนักเกินไปแล้ว พูดอะไรที่คนอื่นฟังไม่รู้เรื่อง……”
เขาคาดไม่ถึงเลยว่าหนานกงเฉินจะรู้การกระทำของเขาได้ละเอียดขนาดนี้
“บัญชีนี้อีกหน่อยเราค่อยคิด” หนานกงเฉินเก็บสายจะกลับมาจากบนตัวเขาแล้วพูดกับทุกคน “ที่วันนี้ผมเชิญทุกคนมาไม่ได้จะมาขอความคิดเห็น แต่แค่ให้พวกคุณเป็นพยาน ตั้งแต่วันนี้ไปผู้ช่วยเหยียนจะดำรงตำแหน่งผู้บริหารแทนผม จนกระทั่งผมกับภรรยากลับมารับมือต่อ” หนานกงเฉินยื่นมือไปจับมือของไป๋มู่ชิงไว้
ไป๋มู่ชิงมองไปที่เขาอย่างประหลาดใจ ให้เธอรับมือบริษัทหนานกงงั้นหรอ? บริษัทใหญ่โตขนาดนั้นเธอจะทำได้ยังไง?
“นี่เป็นการตัดสินใจของผมกับคุณย่า เกี่ยวกับความกังวลของพวกคุณ พวกคุณวางใจได้ ผู้ช่วยเหยียนแค่ทำหน้าที่แทนผมแล้วใช้อำนาจของผมเพื่อประโยชน์แล้วก็กำไรของบริษัท ไม่มีทางทำให้ทุกคนเสียผลประโยชน์แน่นอน”
“แต่ยังไงผู้ช่วยเหยียนก็ยังอายุน้อย……”
“แต่ความสามารถในการบริหารบริษัทเก่งกว่าพวกคุณทุกคน”
ทุกคนก็เงียบไปอีกครั้ง ผู้ช่วยเหยียนก็มองกวาดไปที่ทุกคน “ทุกท่านไว้ใจเถอะค่ะ มีทนายกับทุกคนเฝ้ามองอยู่ทุกวันฉันไม่กล้าสร้างความเสียหายให้บริษัทหรอกค่ะ”
“ใครยังมีข้อขัดแย้งอีกไหม?” หนานกงเฉินถาม
ไม่มีใครตอบ หนานกงเฉินก็เลยพูดขึ้นอีกว่า “ในเมื่อไม่มีอะไรแล้ว ทุกคนก็กลับไปทำงานเถอะครับ”
ทุกคนต่างเดินออกจากห้องพักฟื้น หนานกงเฉินก็เอ่ยกับเซิ่งตงหยางว่า “ประธานเซิ่ง คุณอยู่ก่อน”
เซิ่งตงหยางที่เก็บอารมณ์ไว้ก็หยุดลงแล้วหันหลังมา
ไป๋มู่ชิงมองไปที่ทั้งสองแล้วพยุงแขนของคุณหญิงแล้วเอ่ย “คุณย่าคะ เดี๋ยวหนูพาคุณย่าไปนั่งที่ห้องรับรองค่ะ”
คุณหญิงมองไปทางหนานกงเฉินอย่างไม่วางใจ จากนั้นก็พยักหน้าแล้วเดินออกไปนอกประตูพร้อมเธอ
ในห้องเหลือแค่หนานกงเฉินกับเซิ่งตงหยาง เซิ่งตงหยางมองไปที่แล้วหนานกงเฉินเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “คุณชายเฉิน คุณจะไม่คิดบัญชีกับเซิ่งเคอแล้วหรอ? ไม่งั้นทำไมต้องให้เขาเข้ามาทำงานในบริษัทด้วย?”
“คุณคิดเยอะไป ผมแค่รู้สึกว่าคดีความผิดแค่นี้ยังไม่พอ ปล่อยเขาเข้าไปในบริษัทแล้วให้เขาดูว่าพ่อของตัวเองใช้วิธีสกปรก ทำลายบริษัท เผื่อวันไหนเขาจะคิดได้แล้วเปิดเผยความผิดของคุณออกมา แล้วพวกคุณสองพ่อลูกก็เข้าคุกด้วยกัน”
“แก……” เซิ่งตงหยางหงุดหงิด “นี่ใช่ไหมคือเป้าหมายหลักที่แกให้เขากลับไปในบริษัท”
“ใช่”
เซิ่งตงหยางโมโหแล้วสูดหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็ยิ้มอย่างเยือกเย็น “เซิ่งเคอเป็นลูกชายฉัน แกคิดว่าเขาจะขายฉันงั้นหรอ?”
เขามองกวาดไปบนเตียง “แกคิดว่าแกยังจะมีชีวิตรอจนถึงตอนนั้นหรอ?”
สีหน้าของหนานกงเฉินเปลี่ยนไป เซิ่งตงหยางก็เอ่ยพูดต่อ “คุณต่างหากคุณชายเฉิน ไม่กี่วันคุณก็ตายแล้ว คุณคิดว่าคุณหญิงจะไม่ล้มหรอ? บริษัทจะไม่ล่มหรอ? หรือว่าคุณคิดว่าภรรยาที่ไม่เคยเข้าวงการจะรับบริษัทไปดูแลได้? ให้ผมพูดนะ ถึงแม้ตระกูลหนานกงจะล้มไปก็ช่างเถอะ อย่าให้บริษัทล่มเลย แล้ววิธีที่จะไม่ทำให้บริษัทล้มละลายก็คือให้ผมดูแลบริษัทแทน เพราะว่าตอนนี้ผมต่างหากที่เป็นเสาหลักของบริษัท”
หนานกงเฉินจ้องไปที่เขา แล้วฟังคำพูดที่โอ้อวด ความหงุดหงิดก็เอ่อล้นเต็มอก
เขาแอบสูดหายใจเข้าแล้วเอ่ย “อยากจะเป็นผู้บริหารของบริษัท? แก……”
“เวลายังอีกยาวนาน ก็คงมีโอกาสแน่นอน” เซิ่งตงหยางยิ้มอย่างมีเลศนัยแล้วพูดแทรกเขา “แต่เสียดาย ที่สถานการณ์แบบนั้นแกคงไม่มีวันเห็นแล้ว คุณชายเฉิน ป่วยจนขนาดนี้ก็อย่ากังวลเรื่องบริษัทอีกเลย รอตายที่นี่ดีๆเถอะ”
จุดประสงค์ของเซิ่งตงหยางก็คือจะทำให้หนานกงเฉินโมโหจนตาย เพราะไม่อยากให้เขาขัดการใหญ่ของตัวเอง
หนานกงเฉินรู้จุดประสงค์ของเขา ก็แอบเตือนตัวเองในใจว่าห้ามเดินตามแผนเขาเด็ดขาด แต่ยังไงก็ถูกเขากระตุกอารมณ์จนหัวใจเต้นเร็ว
ไป๋มู่ชิงไม่วางใจให้พวกเขาอยู่ด้วยกัน หลังจากที่ออกมาจากห้องพักฟื้นก็แอบฟังอยู่หน้าประตู เมื่อฟังถึงตอนนี้ เธอก็อดไม่ไหวเคาะประตูแล้วเปิดเข้าไปเลย “ประธานเซิ่ง คุณไสหัวออกไปจากที่นี่เถอะ กลับไปเพ้อฝันต่อที่บ้านเถอะค่ะ”
เธอเดินมาข้างกายหนานกงเฉินแล้วกุมมือของเขาไว้แน่น “เฉิน นายอย่าฟังเขา อย่าใส่ใจคำพูดของเขา นายต้องดีขึ้นแน่นอน”
“เอาแต่โกหกตัวเอง ทั้งบริษัทมีใครไม่รู้บ้างว่าคุณชายเฉินยังมีชีวิตอีกได้กี่วัน?” เซิ่งตงหยางยิ้มอย่างเสียดสี
“ไสหัวออกไปเดี๋ยวนี้!” ไป๋มู่ชิงเดินไปเปิดประตูห้องพักฟื้นแล้วผลักเขาออกไป
หลังจากที่ผลักเขาออกไปแล้วปิดประตูทันที เมื่อแน่ใจแล้วว่าเขาจะไม่กลับมาอีกค่อยหันหลังแล้วเดินไปหาหนานกงเฉินบนเตียง
“เฉิน นายเป็นอะไรหรือเปล่า?” ไป๋มู่ชิงถามอย่างเป็นห่วงแล้วก้าวเดินไปด้วย
“ไม่เป็นไร” หนานกงเฉินพูด
“ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว” ไป๋มู่ชิงแอบโล่งใจ “เดี๋ยวฉันช่วยวางเตียงลงมา นายจะได้หลับสบายหน่อย”
“อื้อ” หนานกงเฉินพยักหน้า
ไป๋มู่ชิงเดินไปปลายเตียงแล้ววางเตียงลงมา หนานกงเฉินก็โบกมือให้เธอ “มานี่”
“ทำไมหรอ?” ไป๋มู่ชิงเดินไปแล้วจับมือที่เขายื่นมาให้
“ไม่มีอะไร แค่อยากจะจับมือเธอแล้วหลับไป”
“ได้ นายไว้ใจเถอะ ฉันจะอยู่ข้างนายตลอด” ไป๋มู่ชิงยื่นมืออีกข้างไปจับใบหน้าของเขาแล้วยิ้มอ่อน “เฉิน นายไว้ใจเถอะ ฉันจะทำสุดความสามารถแล้วรักษาบริษัทไว้ จากนั้นก็เลี้ยงดูหว่านชิงให้เป็นคนเก่งเหมือนผู้ช่วยเหยียน ไม่ ควรจะพูดว่าเป็นคนที่เก่งเหมือนนายแล้วให้เธอบริหารบริษัทให้รุ่งเรืองต่อไป แน่นอน ถ้านายรีบดีขึ้นมาก็คงจะดีที่สุด ถึงเวลานายก็เป็นคนดูแลบริษัท ฉันก็จะคลอดคนรับช่วงบริษัทให้ด้วย แล้วหว่านชิง……ก็ให้เธอเหมือนเด็กผู้หญิงคนอื่นที่ร้องรำทำเพลงก็พอแล้ว ใช่สิ ฉันยังไม่ได้บอกนายหว่านชิงชอบเต้นมากแล้วก็ชอบวาดรูปด้วย อีกหน่อยก็คงชอบวาดรูปเหมือนฉันหรือว่าเหมือนซูซี่ที่ไปเต้นรำทั่วโลก……”
เธอพูดไปด้วยน้ำตาก็ไหลลงมาด้วย จากนั้นก็ไม่ได้เอ่ยพูดอะไรอีก
เธอเห็นหนานกงเฉินหลับตาลงทั้งสองข้างแล้วเอ่ยเสียงเบา “เฉิน นายหลับหรือยัง? นายเหนื่อยมากเลยใช่ไหม?”
หนานกงเฉินหลับแล้ว ไม่ว่าเธอจะเรียกยังไงก็ไม่มีการตอบรับ
ไป๋มู่ชิงก็เลยใช้มือเขย่าไปที่แขนเขา “เฉิน นายสัญญากับฉันก่อน เฉิน……”
เธอส่ายหัว “เฉิน นายอย่าล้อเล่นกับฉัน……ฉันตกใจนะ……”
จนกระทั่งเธอยื่นมือไปกดกริ่งบนเตียง ร้อนลนจนไม่รู้จะทำยังไง
คุณหมอก็มาอย่างรวดเร็วแล้วไป๋มู่ชิงก็เอ่ยเสียงเบา “คุณหมอคุณรีบดูคุณชายเขาเป็นอะไร? เมื่อกี้เขาคงโมโหกับตาแก่นั่น ตอนนี้เรียกยังไงก็ไม่ตื่น……ทำยังไงดี?”
“คุณหญิงน้อยอย่าเพิ่งใจร้อนนะครับ ให้ผมตรวจเช็คก่อน” คุณหมอจางตรวจเช็คร่างกายของหนานกงเฉินไปด้วยแล้วเอ่ยไปด้วย
ถึงจะรู้ไม่มีประโยชน์ แต่ไป๋มู่ชิงก็เอ่ยพูดทั้งน้ำตา “คุณหมอ พวกคุณต้องช่วยเขาให้ได้ ต้องช่วยให้ได้……”
“พวกผมจะทำสุดความสามารถครับ” คุณหมอจางเอ่ยสัญญา
สุดท้ายไป๋มู่ชิงก็ยอมออกจากห้องพักฟื้นของหนานกงเฉิน
เมื่อคุณหญิงเห็นเธอร้องไห้อย่างเสียใจก็เป็นห่วงขึ้นมาทันที “เป็นอะไร? เฉินสลบไปอีกแล้วหรอ?”
ไป๋มู่ชิงพยักหน้าแล้วมองไปที่คุณหญิงทั้งน้ำตา “ทำยังไงดีคะคุณย่า……ฉันสัญญากับคุณชายแล้วว่าจะพาหว่านชิงมาเจอเขา ฉันกลัวว่าคุณชายจะรอไม่ไหว……”
“ไม่มีทาง เธออยากพูด!” คุณหญิงเอ่ยตำหนิอย่างหงุดหงิด
ไป๋มู่ชิงกัดริมฝีปากแน่น เธอก็ไม่อยากพูดเหมือนกัน แล้วไม่อยากคิดมากด้วย แต่อาการของหนานกงเฉินตอนนี้เธอจะคิดในแง่บวกไม่ได้เลย
ครึ่งชั่วโมงต่อมา คุณหมอจางก็เดินออกมาจากห้องพักฟื้นของหนานกงเฉิน ไป๋มู่ชิงจ้องไปที่เขา ไม่กล้าเดินเข้าไปถามเกี่ยวกับอาการของหนานกงเฉินเลย
สุดท้ายคุณหญิงก็อดไม่ไหวก็ถามขึ้น
คุณหมอจางมองไปที่ไป๋มู่ชิงร้องไห้ยังเสียใจ สุดท้ายก็เอ่ยอย่างเอื้อมระอา “ตอนนี้รักษาชีวิตของคุณชายได้แล้วครับ แต่ว่าเส้นชีพจรไม่มั่นคงเลยก็หมายความว่า……สามารถเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ……”
คุณหมอจางพูดต่อไม่ได้ แต่ไป๋มู่ชิงก็เอ่ยขึ้นทันที “ไม่! เฉินไม่มีทางไปจากพวกเรา”
“ใช่ใช่ใช่……เราควรจะคิดในแง่บวก คุณชายต้องดีขึ้น เราทุกคนอย่าเสียใจเลยครับ” คุณหมอจางพยักหน้าพูด