เฉียวเฟิงพาตัวหว่านชิงไปสนามบินตั้งแต่เช้า เมื่อผ่านหน้าประตูบริษัทหนานกงก็ให้ลุงหลิ่วจอดรถ แล้วเข้ามานั่งที่ร้านกาแฟใต้ตึกบริษัทหนานกง
ผู้ช่วยเหยียนก็มาถึงอย่างรวดเร็วแล้วยิ้มเอ่ย “คุณชายเฉียวมาหาฉันมีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ?”
เฉียวเฟิงทอดมองไปที่เธอแล้วส่ายหัว “ไม่มีอะไรสำคัญ แค่จะมาบอกลากับคุณ”
“ตัดสินใจที่จะไปอังกฤษแล้ว?”
“อื้อ ผมอยากไป” เฉียวเฟิงเอ่ย “ผมรู้สึกว่าควรจะบอกลาคุณก่อน แล้วขอบคุณที่คุณดูแลผมด้วย”
“ความจริงไม่ต้องลำบากขนาดนั้นก็ได้ เราเป็นเพื่อนกันหนิ”
“ก็เพราะเป็นเพื่อนกันก็เลยต้องบอกลากันก่อน”
ผู้ช่วยเหยียนมองไปที่เขาแล้วยิ้ม “ก็ได้ค่ะ ในเมื่อคุณตั้งใจแบบนี้ งั้นฉันก็ขอให้คุณเดินทางปลอดภัย ขอให้คุณกับคุณหนูไป๋……อยู่ด้วยกันดีๆ”
ความจริงคำพูดคำหลังเธอไม่อยากพูด เพราะว่าเธอก็ไม่สนับสนุนให้พาไป๋มู่ชิงไปจากตัวหนานกงเฉิน แต่ว่านี่เป็นสิ่งที่เฉียวเฟิงเลือก เธอก็ไม่ควรเอ่ยพูดอะไร
แต่เฉียวเฟิงกลับยิ้ม “คุณสนับสนุนผมขนาดนี้เลยหรอ?”
“ถ้าพูดความจริง ก็ไม่ค่อยค่ะ แต่ในเมื่อคุณจะทำแบบนี้ฉันก็ทำได้แค่อวยพร” ผู้ช่วยเหยียนพูด
“งั้นก็ได้ ขอบคุณสำหรับคำอวยพร”
“ขอบคุณอะไรกัน เพื่อนกันหนิ”
เฉียวเฟิงมองสำรวจเธอแล้วเอ่ย “คุณล่ะ คิดจะอยู่ช่วยเหลือเขาเหรอ?”
“คุณชายเฉินยังไม่ฟื้น ฉันก็จะทำสุดความสามารถแล้วรักษาบริษัทไว้”
“ภายใต้สายตาที่หิวโหยของตาแก่พวกนั้น คุณรับมือไหวหรอ?”
ผู้ช่วยเหยียนส่ายหน้า” ถ้าคุณชายเฉินยังไม่ฟื้นอีก ฉันก็คงรับไม่ไหวแล้วค่ะ”
“อย่าลำบากขนาดนั้นเลย” น้ำเสียงของเขามีความเป็นห่วง
“ขอบคุณค่ะ ฉันจะระวัง”
“อื้อ ดีใจมากที่มีเพื่อนแบบคุณ” เฉียวเฟิงยกแก้วน้ำบนโต๊ะขึ้นดื่ม จากนั้นก็วางแก้วน้ำกลับไป “เอาล่ะ ผมไปสนามบินก่อนนะ”
“ให้ฉันไปส่งคุณไหมคะ?” ผู้ช่วยเหยียนลุกขึ้นจากโซฟา
“ไม่ต้อง ลุงหลิ่วจะส่งผมไปเอง”
“ค่ะ ฉันส่งคุณออกไป” ผู้ช่วยเหยียนเดินอ้อมไปหลังเขาแล้วเข็นเขาออกจากร้านกาแฟ
จนกระทั่งส่งเขาขึ้นรถแล้วมองรถของเขาแล่นหายไป ผู้ช่วยเหยียนค่อยหันหลังเดินเข้าตึก
—
เมื่อไป๋มู่ชิงมาถึงสนามบิน เฉียวเฟิงกับหว่านชิงก็รออยู่ที่สนามบินแล้ว
เสี่ยวหว่านชิงโบกมือให้เธอแล้ววิ่งมาที่เธอแล้วเอ่ย “คุณแม่ ตรงนี้ค่ะ……”
ไป๋มู่ชิงเอนตัวอุ้มเธอเข้ามาในอ้อมกอดแล้วก้มหน้าไหลเธอ แล้วร้องไห้ยังไม่มีเสียง
เสี่ยวหว่านชิงที่สีหน้ายิ้มแย้มรู้สึกได้ว่าคุณแม่เสียใจ รอยยิ้มบนหน้าก็หายไปแล้วเอ่ยอย่างเป็นห่วง “คุณแม่เป็นอะไรคะ?”
ไป๋มู่ชิงส่ายหัว ไม่เอ่ยพูดอะไร
“คุณแม่ไม่อยากไปจากคุณพ่อเหรอคะ?” เสี่ยวหว่านชิงตบบ่าเธอปลอบใจ “คุณแม่ไว้ใจเถอะค่ะ คุณพ่อมีคุณทวดดูแล ต้องดีขึ้นมาแน่นอนค่ะ”
“ใครบอก……?”
“คุณพ่อเฉียวค่ะ” หว่านชิงเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง
ไป๋มู่ชิงพยักหน้าแล้วปล่อยตัวเธอพร้อมเช็ดน้ำตาบนใบหน้า
“คุณแม่ไม่เสียใจนะคะ ถ้าคุณแม่เสียใจหนูกับคุณพ่อก็จะเสียใจด้วย”
“ได้ คุณแม่ไม่เสียใจ” ไป๋มู่ชิงพยายามฝืนยิ้มออกมา
นี่เป็นทางเลือกที่เธอเลือกเอง ไม่ว่าจะฝืนใจแค่ไหนเธอก็ต้องเดินต่อไปไม่ใช่หรอ?
ไป๋มู่ชิงยังไม่ได้ปรับสีหน้าอารมณ์หางตาก็เห็นคุณหญิงกับพี่เหอเดินมา เธอสูดจมูกจากนั้นก็จูงมือหว่านชิงไปทางคุณหญิง
“คุณย่า……” เธอเอ่ยเสียงเบา
“คุณทวด” หว่านชิงทักทายอย่างมีมารยาท
“หว่านชิง……” คุณหญิงจับมือทั้งสองข้างของเสี่ยวหว่านชิงแล้วมองสำรวจ “เด็กดี หนูจะไปจริงหรอ? จะไปจากคุณทวดหรอ?”
เสี่ยวหว่านชิงพยักหน้าแล้วพูดอย่างอ่อนโยน “คุณทวดไว้ใจเถอะค่ะ เดี๋ยวอีกหน่อยจะกลับมาเยี่ยมคุณทวดนะคะ”
“อื้อ ต้องกลับมานะ คุณทวดต้องคิดถึงหว่านชิงมากๆ”
“หว่านชิงก็คิดถึงเหมือนกันค่ะ” หว่านชิงเอ่ย “คุณทวดต้องอยู่กับคุณพ่อดีๆนะคะ หว่านชิงก็จะคิดถึงคุณพ่อ”
“ได้ คุณทวดจะดูแลคุณพ่อให้ดีแน่นอน……” คุณหญิงลูบศีรษะของเธอแล้วลุกขึ้นเอ่ยขอร้องไป๋มู่ชิง “เธอบอกว่าจะส่งหว่านชิงกลับมาจริงหรอ?”
ไป๋มู่ชิงพยักหน้า “คุณย่าไว้ใจเถอะค่ะ จะส่งกลับมาแน่นอน”
ถึงแม้เธอจะไม่อยากแยกกับเสี่ยวหว่านชิง แต่เธอจะให้หนานกงเฉินเสียทั้งเธอแล้วก็หว่านชิงไม่ได้ ไม่งั้นหนานกงเฉินคงทนรับไม่ไหว!
“งั้นก็ดี งั้นก็ดี……” คุณหญิงพยักหน้าแล้วจูงมือของหว่านชิงไว้
เฉียวเฟิงเข็นรถเข็นมาแล้วมองกวาดไปที่ทุกคนพร้อมเอ่ยทักทายคุณหญิง จากนั้นก็ยิ้มอ่อนไปทางไป๋มู่ชิง “มู่ชิง เราต้องเข้าไปแล้ว”
คุณหญิงมองไปทางเฉียวเฟิงแล้วเอ่ยอย่างหงุดหงิด “คุณชายรองเฉียว คุณปล่อยมู่ชิงไม่ได้หรอ? เธอกับเฉินรักกันขนาดนั้น แม้แต่ยายแกแบบฉันก็ใจอ่อนกับความรักของพวกเขา ทำไมคุณถึงใจดำขนาดนี้ เห็นแก่ตัวขนาดนี้……ขอร้องให้คุณปล่อยพวกเขาไปเถอะ……”
เฉียวเฟิงไม่ได้โมโหอารมณ์เสียเพราะคำตำหนิของคุณหญิง ใบหน้าก็ยังมีรอยยิ้ม “คุณหญิง ผมกับมู่ชิงตัดสินใจแล้ว เครื่องบินก็จะบินแล้ว คุณกลับไปเถอะ”
ไป๋มู่ชิงจับมือของคุณหญิงไว้ “คุณย่าคะ อีกหน่อยเฉินก็ต้องขอร้องคุณย่า แล้วก็คุณย่ารักษาร่างกายด้วยนะคะ อย่าเกิดอุบัติเหตุอะไรอีก”
“ได้ เธอไว้ใจเถอะ” คุณหญิงพยักหน้า
ไป๋มู่ชิงปล่อยมือของท่านแล้วหันไปทางเฉียวเฟิง “เราไปกันเถอะ”
เธอรู้สึกหม่นหมอง เฉียวเฟิงก็เห็น แต่ว่าเขาไม่ได้เอ่ยอะไร เพราะว่าตอนนี้เขาไม่รู้ว่าตัวเองควรจะเอ่ยพูดอะไรถึงจะเหมาะสม
—
หลังจากที่ไป๋มู่ชิงไปแล้วหนึ่งอาทิตย์ สุดท้ายหนานกงเฉินก็ฟื้น
เขามองกวาดไปรอบๆ ก็ไม่เห็นเงาของไป๋มู่ชิงกับหว่านชิง ทั้งที่สัญญาแล้วว่าจะเฝ้าอยู่ข้างกายเขาแล้วรอเขาฟื้นแต่กลับไม่อยู่!
เขาสูดหายใจเข้าเบาๆแล้วหลับตาลง นึกถึงเมื่อสามปีก่อนตอนที่ตัวเองฟื้น แต่ข้างเดียวก็ขาดแค่เงาของไป๋มู่ชิง แล้วครั้งนี้ด้วย!
แต่ว่าครั้งนี้เป็นเพราะอะไร? เขาไม่อยากให้เกิดอะไรกับไป๋มู่ชิง เขากลัว
คุณหญิงเอ่ยอย่างระมัดระวัง “เฉิน แกฟื้นแล้วใช่ไหม? หรือว่าฉันตาฝาดไป?”
“คุณหญิงคุณไม่ได้ตาฝาดค่ะ คุณชายเฉินฟื้นแล้วจริงๆค่ะ” ผู้ช่วยเหยียนยิ้มอ่อน
“แล้วทำไมเขา……?” คุณหญิงชี้ไปที่แขนของหนานกงเฉิน “เป็นอะไร? ไม่อยากเห็นยายแก่คนนี้หรอ?”
สุดท้ายหนานกงเฉินก็ลืมตาขึ้นอีกครั้งแล้วเอ่ยอย่างเข้มงวด “คุณย่า คุณย่าทำอะไรมู่ชิงหรือเปล่า?”
คุณหญิงเอ่ยอย่างเยือกเย็น “ใช่ ฉันควักหัวใจเธอ ไม่งั้นแกจะฟื้นมาได้ยังไง?”
“คุณย่า……!” หนานกงเฉินลุกขึ้นนั่งบนเตียง คุณหญิงตกใจจนถอยหลังไป เมื่อผู้ช่วยเหยียนเห็นว่าสีหน้าของหนานกงเฉินเปลี่ยนไปก็รีบยิ้มแล้วอธิบาย “คุณหญิงคะ คุณอย่าล้อคุณชายเลยค่ะ เดี๋ยวคุณชายจะเป็นลมไปอีก”
พูดจบก็หันไปมองหนานกงเฉินที่กำลังจ้องจะฆ่าคนแล้วยิ้ม “คุณชายเฉินไว้ใจเถอะค่ะ คุณหนูไป๋เธอสบายดี”
“จริงหรอ? แล้วเธออยู่ไหน?” หนานกงเฉินมองไปที่เธออย่างไม่เชื่อใจ
“อยู่……” ผู้ช่วยเหยียนไม่รู้จะเอ่ยพูดยังไงก็หันไปทางคุณหญิง
คุณหญิงรีบเอ่ย “เธอรู้ว่าแกจะฟื้นก็เลยจะไปทำโจ๊กให้แก ตอนนี้กำลังต้มโจ๊กอยู่ที่บ้าน”
“เป็นความจริงหรือเปล่า?” หนานกงเฉินเอ่ยเสียงดังขึ้น
“จริง!” คุณหญิงพยักหน้า
ถึงแม้หนานกงเฉินจะไม่เชื่อ แต่ก็รอดูไปก่อน
เมื่อเห็นหนานกงเฉินฟื้น คุณหญิงก็ดีใจมากแล้วพูดคุยกับไปหนานกงเฉินสักพัก จากนั้นก็ใช้สายตามองผู้ช่วยเหยียนแล้วออกไป
ก่อนที่หนานกงเฉินจะฟื้น ทุกคนก็ปรึกษากันแล้วว่าจะให้ผู้ช่วยเหยียนเป็นคนบอกความจริงกับหนานกงเฉิน เพราะว่าเธอเป็นคนที่สามารถควบคุมอารมณ์ของหนานกงเฉินได้
เมื่อคุณหญิงเดินจากไป ผู้ช่วยเหยียนก็เทน้ำให้หนานกงเฉิน จากนั้นก็นั่งกลับไปที่เก้าอี้แล้วจ้องเขาด้วยสีหน้าเข้มงวด “คุณชายเฉินคะ ฉันรู้ว่าตอนนี้จะคุยเรื่องงานกับคุณไม่ค่อยเหมาะสม แต่ว่าฉันจำเป็นต้องพูดความจริงบางอย่างกับคุณ”
“บริษัทยัง?” หนานกงเฉินอยู่ยิ้มอย่างขมขื่น
“ตอนนี้ยังอยู่ แต่อีกหน่อยก็ไม่แน่แล้วค่ะ”
“หมายความว่ายังไง?”
“คุณชายเฉินคะ ถ้าฉันบอกคุณแล้วคุณอย่าอารมณ์ขึ้นนะคะ” ผู้ช่วยเหยียนลังเลไปแล้วเอ่ย “เซิ่งตงหยางใช้อาการป่วยของคุณแล้วหลอกหุ้นสิบห้าเปอร์เซ็นต์ในมือของคุณหญิงไป แล้วบวกกับก่อนหน้านั้นที่เขาซื้อหุ้นมาจากหุ้นส่วนคนอื่น ตอนนี้ในมือเขาก็มีคุณของบริษัทยี่สิบเปอร์เซ็นต์แล้วเยอะกว่าคุณนิดหน่อย”
“เขาหลอกหุ้นของคุณย่าไป?” หนานกงเฉินเอ่ยด้วยสีหน้าเยือกเย็น
เขาคิดว่าเขาจะกวาดซื้อหุ้นของบริษัทในระหว่างที่เขาสลบอยู่ แล้วบริษัทก็ค่อยๆล้มละลาย แต่ไม่คิดเลยว่าหุ้นของตระกูลหนานกงจะถูกเซิ่งตงหยางหลอกไป
“ใช่ค่ะ” ผู้ช่วยเหยียนไม่ได้บอกเขาเรื่องที่คุณหญิงหกล้มเพราะกลัวว่าเขาจะโมโห
เธอหยุดไปสักพักค่อยเอ่ย “เพราะฉะนั้น……คุณชายเฉินคะ สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือแย่งบริษัทกลับมาก่อน เรื่องอื่นค่อยว่ากัน ไม่อย่างงั้นการประชุมคณะกรรมการเดือนหน้าคุณก็จะไม่ใช่ผู้บริหารของบริษัทหนานกงอีก แล้วบริษัทก็จะเปลี่ยนชื่อด้วย”
“เรื่องอื่นหมายถึงเรื่องอะไร?” ในใจของหนานกงเฉินรู้สึกมีลางร้าย “เกี่ยวกับมู่ชิงหว่านชิงหรอ?”
ที่ผู้ช่วยเหยียนบอกเขาเรื่องบริษัทก่อน ก็เพื่อที่จะให้เขาเข้าใจว่าเวลานี้เขาจะเสียสติไปเพราะเรื่องของไป๋มู่ชิงไม่ได้ เขายังมีเรื่องที่สำคัญกว่าต้องทำ เพราะว่าถ้าบริษัทเสียไปจะแย่งกลับมาได้ยากมาก แต่ยังไงไป๋มู่ชิงก็ตามกลับมาได้แน่นอน
แต่ดูท่าทางของหนานกงเฉินจะสนใจเรื่องไป๋มู่ชิงมากกว่า
เรื่องของไป๋มู่ชิงจะปิดบางเขาได้ชั่วคราวเท่านั้นเธอเลยเอ่ย “เป็นแบบนี้ค่ะ โรคของคุณเกี่ยวกับเลือดในร่างกาย คนที่เลือดกรุ๊ปเดียวกับคุณมีเยอะ แต่ว่าพอให้เลือดเข้าในร่างกายคุณก็จะเกิดความผิดปกติ นอกเสียจากเลือดของหว่านชิงที่เหมือนกับคุณ แล้วผู่เหลียนเหยาก็รู้ความลับนี้เธอก็เลยให้คนไปลักพาตัวหว่านชิง เป็นเพราะการกระทำของเธอ เฉียวซือเหิงก็เลยเดาอะไรออกแล้วบีบบังคับให้เธอบอกว่าเธอวางยาอะไรกับคุณ ก็หมายความว่า……เฉียวซือเหิงกับหว่านชิงช่วยชีวิตคุณไว้”
หนานกงเฉินมองไปที่เธออย่างประหลาดใจ ผ่านไปครู่หนึ่งค่อยเอ่ย “หว่านชิงล่ะ? เธอเป็นยังไงบ้าง?”
“เธอให้เลือกคุณสามครั้งทั้งหมดแปดร้อยซีซีจนเธอช็อคไป เด็กคนนั้นน่าสงสารมาก แต่ว่าคุณไว้ใจได้ตอนนี้เธอไม่เป็นอะไรแล้ว ฟื้นฟูร่างกายกลับมาเหมือนเดิมแล้ว” ผู้ช่วยเหยียนยิ้มอย่างขมขื่น “คุณชายเฉินคะ ที่ฉันบอกคุณก็เพราะอยากให้คุณเข้าใจว่า หว่านชิงเสี่ยงชีวิตเพื่อจะช่วยชีวิตคุณไว้ เพราะฉะนั้นคุณห้ามคิดสั้นเด็ดขาด แล้วห้ามทำร้ายตัวเองด้วย ไม่งั้นก็คงไม่คุ้มกับที่เธอเสียสละ”
ลางสังหรณ์ไม่ดีในใจหนานกงเฉินรุนแรงขึ้นไปอีก เขาจ้องไปที่ผู้ช่วยเหยียนรอเธอพูดต่อ
ผู้ช่วยเหยียนแอบสูดหายใจเข้าแล้วเอ่ย “มีแค่เฉียวซือเหิงเท่านั้นที่รู้ว่าจะช่วยชีวิตคุณยังไง แต่เพื่อที่เขาจะช่วยคุณก็มีเงื่อนไขว่าให้คุณหนูไป๋กลับไปข้างกายคุณชายรองเฉียว”
“เขาให้มู่ชิงกลับไปข้างกายเฉียวเฟิง?” หนานกงเฉินเอ่ย “แล้วมู่ชิงล่ะ? ตอบตกลงเขา? แล้วไปกับเขา?”
“คุณชายเฉินคะ ตอนนั้นคุณตกอยู่ในภาวะอันตรายมาก ไม่รู้ว่าจะผ่านวันนั้นไปได้หรือเปล่า คุณหนูไป๋ก็เลยต้องตอบตกลง”
“หมายความว่า……เธอไปจริงหรอ” หนานกงเฉินเอ่ยเสียงเบาที่ “พวกคุณบอกว่าเธอกลับไปต้มโจ๊กโกหกผมงั้นหรอ?”
สมองของเขาเบลอไปทันที แล้วหัวใจก็เต้นแรงขึ้นมา
“คุณชายเฉินอย่าเพิ่งใจร้อนนะคะ ระวังร่างกายด้วย” ผู้ช่วยเหยียนรีบเอ่ย “คุณนึกถึงหว่านชิงที่เสี่ยงอันตรายแล้วให้เลือดกับคุณถึงแปดร้อยซีซีสิ อย่าทำให้ร่างกายตัวเองเป็นอะไรเด็ดขาด……”
“กับคนที่หน้าด้านแบบนี้ผมจะไม่อารมณ์เสียได้ยังไง?” หนานกงเฉินเอ่ยอย่างโมโห โกรธจนกัดฟันแน่น “ทำไมเฉียวซือเหิงถึงเห็นแก่ตัวแล้วใจดำขนาดนั้น? เพื่อเฉียวเฟิง เขาก็ยอมให้หว่านชิงเสี่ยงชีวิต ถ้าหว่านชิงตายไปล่ะ?”
“คุณชายเฉินคะ ถึงแม้การกระทำของเฉียวซือเหิงจะเห็นแก่ตัวมาก แต่สุดท้ายคนหนูไป๋ก็เป็นคนตัดสินใจ คุณหนูไป๋เป็นคนยอมตอบตกลง เพราะว่าสถานการณ์ตอนนั้นคุณหนูไป๋ก็ทำอะไรไม่ได้เหมือนกัน”
“ผมยอมตายก็ไม่อยากให้หว่านชิงทำเรื่องอันตรายแบบนี้!” หนานกงเฉินตะคอก
ผู้ช่วยเหยียนไม่รู้จะเอ่ยพูดยังไงต่อจากนั้นค่อยพูด “แต่ว่า……คุณเคยนึกถึงความรู้สึกของคนอื่นหรือเปล่า? ถ้าเปลี่ยนมาเป็นคุณแล้วมู่ชิงนอนอยู่บนเตียงกำลังจะตาย คุณจะทำแบบนี้หรือเปล่า?”
คำถามนี้ทำให้หนานกงเฉินเป็นใบ้ไป
เขากัดฟันแน่นแล้วเอ่ย “คุณบอกผมมาสิ ตอนนี้มู่ชิงอยู่ไหน?”
“อาทิตย์ก่อนเธอไปอังกฤษกับเฉียวเฟิง เพราะว่าเฉียวซือเหิงบอกถ้าเธอไปก็จะทำให้คุณฟื้น” ผู้ช่วยเหยียนเอ่ยด้วยสีหน้าเห็นใจ “คุณชายเฉินคะ ฉันรู้ว่าตอนนี้คุณรู้สึกเสียใจมาก แต่ว่าบริษัทสำคัญกว่า รอให้บริษัทกลับมาเหมือนเดิมแล้วคุณค่อยไปจัดการเรื่องของเธอได้ไหมคะ?”
ถ้ารอให้บริษัทกลับมาเป็นปกติ เธอก็คงเป็นคนของเฉียวเฟิงแล้ว……
“ตอนนั้นที่พวกเขาอยู่ด้วยกันสองปีกว่าคุณลืมแล้วหรอคะ?” ผู้ช่วยเหยียนก้มลงไปหยิบโทรศัพท์ของหนานกงเฉินออกมาจากลิ้นชักแล้วเปิดวิดีโอยื่นไปต่อหน้าเขา “นี่เป็นวิดีโอที่คุณหนูไป๋ถ่ายเก็บให้คุณ คุณดูก่อนเถอะค่ะ”
หนานกงเฉินมองไปที่โทรศัพท์ในมือเธอ ลังเลไปครู่หนึ่งค่อยรับไป เขาสูดหายใจลึกๆ แล้วพยายามปรับอารมณ์ความหงุดหงิดในใจ
ไป๋มู่ชิงเป็นคนถ่ายวิดีโอไว้เอง เธอไม่วางใจหนานกงเฉิน กลัวว่าเขาจะกระทบกระเทือนเกินไปจนทำให้ร่างกายตัวเองสาหัส ก็เลยให้วิดีโอนี้ไว้
ในวิดีโอสายตาของเธอดูมีชีวิตชีวาแล้วยิ้มอวยพรให้เขาหายดี แต่ว่าน้ำเสียงก็มีความเสียใจ
ความจริงวิดีโอนี้เธอจะใช้เพื่อปลอบใจหนานกงเฉิน แต่กลับทำให้ในใจของหนานกงเฉินเสียใจมากกว่าเดิม เขาจับโทรศัพท์ไว้แน่น แน่นจนเกือบจะแตก
ไป๋มู่ชิงบอกให้เขาปล่อยเธอไปแล้วหาผู้หญิงที่ดีกว่าเธอแล้วแต่งงานมีลูก เขาจะแต่งงานกับผู้หญิงคนอื่นได้ยังไง? เป็นไปได้ยังไง?
—
ไป๋มู่ชิงกับเฉียวเฟิงกลับไปที่พักเก่าตอนที่อยู่อังกฤษ
เฉียวเฟิงกับโรเซ่พูดคุยอยู่ในสวน ไป๋มู่ชิงก็เดินวนไปวนมาในบ้านคนเดียว วันนี้ก็เป็นวันที่เจ็ดที่เธอกลับมาอังกฤษแล้ว ไม่รู้ว่าหนานกงเฉินฟื้นหรือยัง?
เธออดทนไปสักพัก แต่สุดท้ายก็ทนไม่ไหวแล้วโทรหาเบอร์ของผู้ช่วยเหยียน เมื่อได้ข่าวว่าหนานกงเฉินฟื้นแล้วเธอก็กรีดร้องอย่างดีใจ “จริงหรอ?” เมื่อกรีดร้องเสร็จเธอก็ถาม “เขาเป็นยังไงบ้าง? ตามหาฉันหรือเปล่า? โมโหหรือเปล่า?แล้วก็……”
“ผู้ช่วยเหยียนยิ้มอย่างขมขื่น “คุณหนูไป๋คุณว่าล่ะ?”
ในใจไป๋มู่ลิงก็สั่นไป ก็ใช่ ยังต้องถามอีกหรอ? นิสัยของหนานกงเฉินเธอยังไม่รู้อีกหรอ?
“แล้วตอนนี้เขาเป็นยังไงบ้าง? บ่นว่าจะมาตามหาฉันที่อังกฤษหรือเปล่า?”
“แน่นอน แต่ว่าคุณหนูไป๋ไว้ใจเถอะค่ะ ฉันจะพยายามห้ามเขาไว้”
“ได้ อย่าให้โรคเขากำเริบเด็ดขาด” ไป๋มู่ชิงเป็นห่วงเรื่องนี้มากที่สุด
“ฉันจะพยายามค่ะ”
“ได้ งั้นฉันวางสายก่อนนะ”
หลังจากที่ไป๋มู่ชิงวางสาย ก็อยู่เงียบๆคนเดียวในห้อง เธอไม่กล้าคิดเลยว่าเวลานี้ปฏิกิริยาของหนานกงเฉินจะเป็นยังไง ยิ่งไม่กล้าคิดเลยว่าในใจเขาจะเสียใจแค่ไหน
เธอที่อยู่อังกฤษก็เสียใจมาก อย่าว่าแต่เขาเลย!
หลังจากที่อยู่ในห้องไปเนิ่นนาน เธอก็ก้าวเดินออกไปหน้าประตู
ในสวน ทั้งครอบครัวของโรเซ่ยังอยู่ หว่านชิงกับแจ็คกำลังเล่นจิ๊กซออยู่ข้างๆ ผู้ใหญ่ก็ไม่รู้ว่าคุยอะไรกันถึงได้มีความสุขขนาดนั้น
เมื่อเธอก้าวเดินออกไป คุณหญิงโรเซ่ก็เอ่ยยิ้มมาทางเธอ “หลิน เฉียวจองที่สนุกๆจะพาเธอกับหว่านชิงไปเที่ยว ฉันอิจฉามาก……”
ไป๋มู่ชิงมองไปที่เฉียวเฟิงแล้วรับเมนูทริปมาดูแล้วเงยหน้าไปทางเฉียวเฟิง “เราเคยไปมาหมดแล้วไม่ใช่หรอ? ทำไมยังจะไปอีก?”
“ไปทุกครั้งก็ได้ความรู้สึกที่ไม่เหมือนกัน แล้วที่เหล่านี้ก็สนุกมากด้วย” เฉียวเฟิงพูด
“แต่ว่าฉัน……” ไป๋มู่ชิงนิ่งไปแล้วยิ้มอย่างรู้สึกผิด เธอไม่ได้เอ่ยพูดต่อ เพราะว่าไม่อยากทำลายความตั้งใจของเฉียวเฟิง
ถึงแม้จะรู้สึกผิดหวังกับเฉียวเฟิง แล้วโกรธด้วย แต่ทางเรื่องนี้เธอเป็นคนเลือกเองก็เลยจำใจต้องเดินต่อไป
“คุณเป็นอะไร? ไม่มีความสุขหรอ?” เฉียวเฟิงมองสำรวจเธอแล้วเอ่ยอย่างเป็นห่วง
ไป๋มู่ชิงส่ายหัว “เปล่า……ฉันแค่……อือ……ไม่อยากไปที่อื่น”
“หลินกังวลว่าหว่านชิงจะเจอคนร้ายอีกหรอ?” โรเซ่ยิ้มแล้วปลอบใจ “เธออย่ากังวลเลย คนที่ลักพาตัวครั้งก่อนได้รับโทษแล้ว ไม่มีใครกล้าเสี่ยงแล้วลักพาตัวหว่านชิงไปอีกหรอก”
ไป๋มู่ชิงพยักหน้าแล้วเอ่ย “ครั้งก่อน……ขอบคุณพวกคุณที่ช่วยตามหาหว่านชิงกลับมา”
“ขอบคุณอะไร เราเป็นคนทำให้หว่านชิงหายตัวไป” โรเซ่พูด “ยังดีที่หว่านชิงไม่เป็นอะไร ไม่งั้นเราก็ต้องรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต”
เมื่อไป๋มู่ชิงนึกถึงหว่านชิงถูกลักพาตัว ก็ทำให้ในใจเธอมีรอยด่าง ยังดีที่ผู่จี๋ไม่ได้ทำร้ายหว่านชิง แค่ซ่อนเธอไว้ในหมู่บ้านชนบท ไม่งั้นหว่านชิงก็คงไม่มีชีวิตแล้ว หนานกงเฉินก็คงไม่รอดเหมือนกัน
เมื่อเห็นหว่านชิงกับแจ็คเล่นกันอย่างมีความสุข ไป๋มู่ชิงค่อยรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย
“เราพาหว่านชิงไปด้วย เธอไม่ได้ออกไปเที่ยวนานแล้ว แต่ว่าถ้าคุณไม่อยากไปผมก็ยกเลิกตั๋วได้” เฉียวเฟิงยิ้มอ่อนให้เธอ “ไม่เป็นไร”
ไป๋มู่ชิงมองไปที่เขา สุดท้ายก็เอ่ย “ไม่เป็นไร เราไปด้วยกันเถอะ”
ก็ถือซะว่าพาหว่านชิงออกไปเที่ยวเล่นแล้วกัน