หนานกงเฉินขับรถมาจอดที่หน้าบ้าน เสียวหว่านชิงที่กำลังเล่นซนอยู่ภายในสวนดอกไม้เห็นรถของเขาจึงรีบวิ่งพุ่งเข้ามาหาพร้อมร้องเรียกด้วยรอยยิ้ม : “คุณพ่อกลับมาแล้ว !”
หนานกงเฉินเปิดประตูรถออก พร้อมหันหลังไปมองจึงพบกับร่างน้อย ๆ ของเสียวหว่านชิงกำลังวิ่งเข้ามา บนใบหน้าจึงผุดเป็นรอยยิ้มอบอุ่นจาง ๆ ขึ้นมาทันที เขาอ้าสองแขนออกเพื่อโอบกอดร่างน้อย ๆ ของเธอ
เรื่องที่มีความสุขที่สุดของชีวิตคนเราก็เป็นเช่นนี้ไม่ใช่หรือ การที่มีคนในครอบครัวสุดที่รักรอคอยและต้อนรับตนเองกลับมาบ้าน ความรู้สึกเช่นนี้เขาไม่เคยมีมาก่อนเลย
“วันนี้อยู่บ้านเป็นเด็กดีไหมคะ ?” หนานกงเฉินอุ้มเธอขึ้นมาจากพื้น จากนั้นก็จูบไปยังแก้มน้อย ๆ ของเธอ : “ชอบอยู่ที่นี่ไหมคะ ?”
“ชอบค่ะ ที่นี่ใหญ่มากเลยและมีหลายคนเล่นเป็นเพื่อนหนูด้วย” เสียวหว่านชิงพยักหน้าหงึก ๆ พร้อมกล่าว
คุณผู้หญิงที่เดินตามมาเบื้องหลังของเธอนั้นจึงยิ้มพร้อมกล่าวขึ้นว่า : “ตอนนี้รู้สึกสนุก ผ่านไปอีกหลายวันเมื่อความรู้สึกแปลกใหม่ผ่านไปแล้ว เห็นทีว่าคงไม่รู้สึกสนุกแล้วละมั้ง”
“เมื่อความรู้สึกแปลกใหม่ผ่านไปแล้ว หว่านชิงก็น่าจะชินแล้วละครับ” หนานกงเฉินกล่าวด้วยความสบาย ๆ กล่าวจบจึงถามหว่านชิงว่า : “คุณแม่ล่ะคะ ?”
“คุณแม่ทำกับข้าวอยู่ในห้องครัวค่ะ”
“งั้นเหรอคะ ?”
“ค่ะ คุณแม่บอกว่าคุณแม่จะทำกับข้าวให้คุณพ่อกินด้วยฝีมือตัวเอง”
“โอ้ว คุณแม่นี่เป็นเด็กดีจริง ๆ พ่อไปดูคุณแม่สักหน่อยนะ” หนานกงเฉินวางเสียวหว่านชิงลงบนพื้น จากนั้นก็สาวเท้าเดินเข้าตัวบ้านไป
เธอเห็นไป๋มู่ชิงกำลังเรียนรู้การทำกับข้าวกับเชฟอยู่ในห้องครัวจริง ๆ เมื่อไป๋มู่ชิงเห็นหนานกงเฉินเดินเข้ามา จึงยิ้มพร้อมถามขึ้นว่า : “คุณกลับมาแล้วเหรอคะ ?”
“อืม หอมจังกำลังทำอะไรอร่อย ๆ ทานอยู่เหรอ ?” หนานกงเฉินก้าวมายืนอยู่ข้างกายเธอ จากนั้นก็ยื่นคอมองไปยังหม้อ
“อันนี้เชฟใหญ่เขาทำน่ะ ฉันก็แค่มาวุ่นวายเท่านั้น” ไป๋มู่ชิงฉีกยิ้มขึ้นอย่างเคอะเขิน
เชฟใหญ่ที่อยู่ในห้องครัวจึงยิ้มพลางกล่าวด้วยความหยอกล้อว่า : “คุณชายใหญ่ไม่เคยเดินเข้ามาในห้องครัวมาก่อนเลย ต้องยกความดีความชอบให้นายหญิงน้อยแท้ ๆ วันนี้คุณชายใหญ่เลยเข้ามาเดินเล่นในห้องครัวแล้ว”
“อย่างนั้นเหรอคะ ? มิน่าล่ะแค่บะหมี่ก็ทำไม่เป็น” ไป๋มู่ชิงเงยหน้าสบตาหนานกงเฉินพร้อมกล่าว
“ฉันคิดว่าบะหมี่ที่ฉันทำเองอร่อยมาก” หนานกงเฉินกล่าวด้วยความไม่ยอมแพ้ : “อีกอย่างสามปีมานี้ก็มีความพัฒนาขึ้นด้วย”
“งั้นเหรอคะ ?” ไป๋มู่ชิงทำสีหน้าฉงนสงสัย
“แน่นอนสิ อยากให้ฉันลองทำให้เธอชิมดูสักวันไหมล่ะ ?”
“ได้เลย” ไป๋มู่ชิงพยักหน้า
—
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จแล้ว จึงพากันดื่มน้ำชาพูดคุยอยู่ในห้องรับแขกต่อ
คุณผู้หญิงกวาดสายตามองพ่อแม่ลูกที่นั่งอยู่บนโซฟายาว มองดูหว่านชิงและหนานกงเฉินกำลังหัวเราะเฮฮากันอยู่อย่างสนุกสนาน จึงยิ้มขึ้นตาม : “ในที่สุดคฤหาสน์หลังใหญ่ของตระกูลหนานกงก็มีคนกันเองมาพักกันทั้งหมดเสียที ดีจริง ๆ เลย !”
คิด ๆ ดูแล้วเมื่อครั้งอดีตแม้จะมีคนอาศัยอยู่มาก ครั้นก็เป็นคนต่างนามสกุลกันทั้งนั้น ต่อให้คึกครื้นเพียงใดภายในใจก็ว่างเปล่าอยู่ดี
เธอไม่เคยเห็นหนานกงเฉินหัวเราะยิ้มแย้มอย่างมีความสุขเช่นตอนนี้มาก่อนเลยด้วยซ้ำ แค่เห็นก็ทราบทันทีว่าเป็นรอยยิ้มที่มาจากภายในจิตใจจริง ๆ !
“คุณผู้หญิงคะ จากนี้ไปในบ้านหลังนี้ก็จะคึกคักยิ่งกว่าเดิมอีกนะคะ” พี่เหอกล่าว
“อืม นั่นมันแน่อยู่แล้ว” คุณผู้หญิงพยักหน้า
“คุณย่ารอก่อนนะครับ มู่ชิงบอกว่ายังอยากมีหลานตัวน้อยอีกสองคนด้วยนะ” หนานกงเฉินโอบเสียวหว่านชิงผู้ซุกซนพร้อมพูดขึ้น
“อย่างนั้นเหรอ ? ถ้างั้นก็ดีจริง ๆ เลยนะ” คุณผู้หญิงมองหน้าไป๋มู่ชิงพร้อมกล่าวว่า : “แค่มู่ชิงยินยอม จะ10 คนหรือ 20 คนฉันก็ไม่คิดว่าเยอะเลย”
“คุณย่าครับ 10 คน 20 คนพวกเราจะเอาอะไรมาเลี้ยงครับเนี่ย ” หนานกงเฉินตอบกลับเธอทันควัน ทันใดนั้นสีหน้าของคุณผู้หญิงก็หมองลงทันที เวลาต่อมาก็กล่าวขึ้นมาด้วยสีหน้าเศร้าใจ : “เฮ้อ ตอนนี้บริษัทถูกไอ้เซิ่งเคอนั่นเอาไปแล้ว ไม่อย่างนั้นไม่ต้องพูดว่า 20 คนหรอก สองหมื่นคนพวกเราก็เลี้ยงไหว”
เมื่อพูดถึงเรื่องบริษัท บรรยากาศก็เงียบงันลงทันที ไป๋มู่ชิงหันหน้ามองหนานกงเฉิน อันที่จริงเธอเองก็อยากถามเขาเช่นกันว่าบริษัทย่ำแย่จนถึงขั้นไหน ทว่าเธอเกรงว่าเขาจะกลัดกลุ้มใจจึงไม่กล้าถาม
หลังจากที่หนานกงเฉินเงียบไปสักพักจึงกล่าวกับคุณผู้หญิงว่า : “คุณย่าครับ ผมมีเรื่องจะคุยกับคุณย่าพอดีเลยครับ”
ไป๋มู่ชิงมองหน้าเขาสลับกับมองหน้าคุณผู้หญิง จากนั้นก็เอ่ยขึ้นว่า : “ถ้างั้นพวกคุณคุยกันไปเถอะค่ะ เดี๋ยวฉันพาหว่านชิงกลับห้องไปอาบน้ำก่อน”
สิ้นเสียงเธอก็จูงมือหว่านชิงขึ้นชั้นบนไป
—
เมื่อคุณผู้หญิงทราบจากปากหนานกงเฉินว่าตนนั้นได้ตกหลุมพรางถูกผู้อื่นหลอกเข้าแล้ว จึงตกตะลึงจนอ้าปากค้าง พูดไม่ออกไปชั่วครู่หนึ่ง สีหน้าพลางเปลี่ยนแปลงไปในทันที
“แกบอกว่า……ฉันถูกไอ้เวรเซิ่งตงหยางหลอกเข้างั้นเหรอ ?” คุณผู้หญิงอ้าปากถามอย่างสับสนงุนงง จากนั้นจึงยืนขึ้นจากโซฟาพร้อมตะคอกเสียงดังด้วยบันดาลโทสะ : “ฉัน……ฉันจะไปคิดบัญชีกับมันเอง !”
“คุณย่าครับอย่าเพิ่งใจร้อนไปเลยครับ” หนานกงเฉินกล่าวปลอบประโยน และส่งสัญญาณบอกให้พี่เหอพยุงเธอนั่งลงโซฟาพร้อมกล่าวว่า : “ผมไม่กล้าบอกความจริงเรื่องนี้กับคุณย่ามาโดยตลอด ก็เพราะกลัวว่าคุณย่าจะสะเทือนจิตใจแล้วกระทบกับสุขภาพร่างกาย”
ความจริงเรื่องนี้ทำให้คุณผู้หญิงได้รับความสะเทือนใจไม่น้อยจริง ๆ เธอนั่งลงบนโซฟาตามเดิมอย่างช้า ๆ
เมื่อก่อนเธอยังคิดว่าการใช้หุ้นส่วน 15% ในการแลกกับชีวิตของหนานกงเฉินนั้นคุ้มค่ามาก ครั้นคิดไม่ถึงว่าเฉินนั้นไม่ใช่เซิ่งตงหยางที่ช่วยเหลือชีวิตมาโดยสิ้นเชิง เขาหลอกเอาบริษัทไปเกินครึ่งหนึ่งไปโดยฟรี ๆ
“คุณย่าครับ ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ ผมจะคิดหาวิธีนำหุ้นส่วนนั้นกลับมาให้ได้”
“แกจะเอามายังไงล่ะ ? คงไม่ใช่ว่าไปฆ่าไอ้เวรนั่นหรอกใช่ไหม ?” อยู่ ๆ คุณผู้หญิงก็ร้องไห้โฮออกมา
บริษัทที่อยู่มาดี ๆ ถูกเขาผู้นั้นฮุบเอาไปชั่วพริบตา เธอจะไม่โศกเศร้าเสียใจได้อย่างไร ? อีกทั้งยังเป็นรากฐานธุรกิจที่สืบทอดกันมาเป็นหลายปีของตระกูลหนานกงเชียว ! เธอใช้มือเช็ดน้ำตาพร้อมกล่าวด้วยความรู้สึกผิดว่า : “ขอโทษ……เฉิน……ย่าแก่จนสมองไม่ดีแล้วเลยถูกหลอกได้ ย่านี่โง่จริง ๆ เลย……”
“คุณย่าครับ……การที่ผมบอกความจริงให้คุณย่าฟังไม่ได้มีเจตนาที่จะตำหนิคุณย่านะครับ แต่เพื่ออยากจะมาปรึกษาหารือกับคุณย่าเรื่องของวิธีกู้สถานการณ์”
“แกมีวิธีอะไร ?” คุณผู้หญิงสอบถามพร้อมใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตา
หนานกงเฉินพยักหน้า : “มีวิธีอยู่อย่างครับ แต่ต้องให้คุณย่าร่วมมือด้วย”
“ได้ ขอแค่แย่งชิงหุ้นส่วนกลับมาได้ แกจะให้ย่าทำอะไรได้หมด” คุณผู้หญิงปาดน้ำตาบนใบหน้า : “ต่อให้ย่าต้องตายก็ยอม !”
“ไม่หนักหนาขนาดนั้นหรอกครับ” หนานกงเฉินฉีกยิ้มขึ้น : “คืออย่างนี้นะครับ ผมคิดว่าจะร้องเรียนไปยังฝ่ายที่เกี่ยวข้องว่าเซิ่งตงหยางฉวยโอกาสตอนที่ผมป่วยหนักอยู่หลอกคุณย่าเพื่อฮุบหุ้นส่วนจากคุณย่าไป เหตุผลที่ร้องเรียนคือคุณย่าอายุมากแล้ว สุขภาพร่างกายและจิตใจไม่ค่อยดี ไร้ความสามารถในการแยกแยะถูกผิด นั่นก็คือไม่มีคุณสมบัติในการลงนามโอนหุ้น แต่ว่าเรื่องนี้ต้องให้คุณย่าร่วมมือ คุณย่าทำได้ไหมครับ ?”
“แกจะให้ย่าแกล้งทำเป็นคนบ้าปัญญาอ่อนงั้นเหรอ ?”
“แหะ ๆ……คุณย่า……ไม่ต้องแกล้งทำเป็นคนบ้าปัญญาอ่อนหนักมากหรอกครับ”
คุณผู้หญิงพูดไม่ออก : “แกจะแหะ ๆ ทำไม ? ปูนนี้แล้ว อย่าว่าแต่แกล้งทำเป็นคนบ้าปัญญาอ่อนเลย ให้แกล้งทำเป็นตายย่าก็ต้องทำ”
“แต่ว่า……” คุณผู้หญิงครุ่นคิด จากนั้นก็กล่าวขึ้นด้วยความเป็นกังวลว่า : หลังจากที่คดีถูกรับไว้แล้ว ฝ่ายตุลาการจะต้องทดสอบสภาพจิตใจของย่าสิ ? ตอนนั้นความก็แตกน่ะสิ ?“
“คุณย่าไม่ต้องห่วงนะครับ ถึงเวลานั้นผมจะจัดการเอง” หนานกงเฉินกล่าวปลอบประโยน
คุณผู้หญิงพยักหน้า : “โอเค ถ้างั้นย่าจะเริ่มฝึกฝนดู นับแต่วันนี้เป็นต้นไป……โรคอัลไซเมอร์ ?”
“ครับ ได้ครับ” หนานกงเฉินพยักหน้า : “ขอแค่แสดงออกได้ว่าความสามารถในการคิดของคุณย่าเลือนลางก็พอแล้วครับ”
“เฮ้อ……ไม่รู้เหมือนกันนะว่าอย่างนี้จะได้ผลหรือเปล่า” คุณผู้หญิงถอนหายใจอีกครั้ง ความเป็นกังวลในใจไม่ลดน้อยลงเลย
เซิ่งตงหยางจะปล่อยหุ้นออกมาอย่างง่ายดายเช่นนั้นได้อย่างไร ? ต้องโทษเธอทั้งนั้นที่ตอนนั้นใจร้อนเกินไป
“ตอนนี้ยังไม่ทราบครับ ต้องลองดูก่อน” หนานกงเฉินกล่าว
“อืม มีอะไรต้องการให้ย่าทำก็บอกมาได้เลย ย่าจะพยายามอย่างเต็มที่” น้ำเสียงของคุณผู้หญิงยังคงมีความรู้สึกผิดเต็มไปหมด
หนานกงเฉินพยักหน้าจากนั้นก็ลุกขึ้นจากโซฟา : “คุณย่าผมขึ้นไปก่อนนะครับ คุณย่ารีบเข้าไปพักผ่อนนะครับ”
“โอเค แกเองก็พักผ่อนเร็ว ๆ เหมือนกัน”
—
ขณะที่หนานกงเฉินเดินจากห้องรับแขกขึ้นไปข้างบนนั้น ไป๋มู่ชิงได้อาบน้ำให้หว่านชิงเสร็จเรียบร้อยแล้ว
“คุยกันเสร็จแล้วเหรอ ?” ไป๋มู่ชิงมองหน้าเขา เมื่อพบว่านัยน์ตาของเขายังมีความเป็นกังวลเจือจางอยู่ จึงได้ถามขึ้นด้วยความเป็นห่วงว่า : “เป็นอะไรไปคะ ? คุยกับคุณย่าไม่ลงตัวเหรอคะ ?”
“ไม่ใช่” หนานกงเฉินยิ้มพลางลูบศีรษะน้อย ๆ ของหว่านชิงไป จากนั้นก็บอกให้เธอไปเล่นชั้นล่าง เวลาต่อมาค่อยพูดกับไป๋มู่ชิงว่า : “ความจริงแล้วก็ไม่ใช่ว่าอยากปิดบังเธอหรอกนะ ก็แค่ไม่อยากคุยเรื่องบริษัทต่อหน้าหว่านชิงน่ะ”
หนานกงเฉินกล่าวต่อว่า : “ฉันอยากใช้วิธีฟ้องร้องในการชิงหุ้นส่วนในมือของเซิ่งตงหยางกลับคืนมา และใช้เหตุผลที่ว่าร่างกายและจิตใจของคุณย่าไม่ดี ไม่รู้ว่าจะสำเร็จหรือเปล่า”
“น่าจะยากมากเลยใช่ไหมคะ”
“อืม ยากอยู่ ถึงยังไงเซิ่งตงหยางก็ไม่ใช่คนธรรมดา”
“มีอะไรให้ฉันช่วยคุณไหมคะ ?”
“เธออยากช่วยฉันจริง ๆ เหรอ ?” หนานกงเฉินยิ้มขึ้นอย่างชั่วร้าย
ไป๋มู่ชิงพยักหน้า : “แน่นอนค่ะ”
“ถ้างั้นก็……ช่วยอาบน้ำให้ฉันก่อน” หนานกงเฉินพูดเสร็จ ก็อุ้มเธอขึ้นจากพื้นพร้อมเดินมุ่งไปยังห้องอาบน้ำ
ไป๋มู่ชิงโอบคอของเขาไว้พร้อมหัวเราะคิกคักขึ้นมา : “หนานกงเฉิน เวลาน่าสิ่วน่าขวานแบบนี้คุณยังมีอารมณ์เล่นสนุกแบบนี้อยู่เหรอ คุณนี่มันเข้าท่าไหมเนี่ย ?”
“ถึงจะน่าสิ่วน่าขวานก็ไม่สามารถเพิกเฉยกับภรรยาสุดน่ารักที่บ้านได้หรอกนะ” หนานกงเฉินวางเธอลงบนพื้นของห้องอาบน้ำ จากนั้นก็เปิดก๊อกน้ำของอ่างอ่าบน้ำ น้ำอุ่น ๆ ค่อย ๆ ไหลเข้าสู่อ่างอาบน้ำอย่างช้า ๆ
ไป๋มู่ชิงยืนอยู่เบื้องหน้าเขา เธอช่วยปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตให้เขาพร้อมยิ้มและพูดว่า : “ความจริงแล้วก็ไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่โตอะไรเลย ถ้าเกิดบริษัทหายไปจริง ๆ พวกเราก็ยังมีมือมีเท้านี่นา ฉันยังเปิดสอนวาดรูปให้คนอื่นได้อยู่ และหารายได้มากมายได้ด้วย”
“อืม ถึงคราวนั้นฉันจะเป็นผอ.เอง เป็นอาจารย์ของเธอสามีภรรยาเข้าขากันได้อย่างดีไงล่ะ”
“ฉันพูดจริง ๆ นะ”
“ฉันก็พูดจริง ๆ เหมือนกัน”
“ในเมื่อเป็นอย่างนี้ ถ้างั้นคุณก็ไม่ต้องหน้านิ่วคิ้วขมวดบ่อย ๆ แล้วนะ” ไป๋มู่ชิงเคลื่อนสองมือขึ้นข้างบน เปลี่ยนมาเป็นโอบคอเขาเอาไว้พร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน : “ฉันรู้ว่าบริษัทคือรากฐานธุรกิจที่สืบทอดมาหลายรุ่นของตระกูลหนานกง การสูญเสียมันไปเป็นความสะเทือนใจของคุณและคุณย่าเป็นอย่างมาก แต่ว่าตอนนี้เรื่องราวดำเนินการมาถึงขั้นนี้แล้ว คุณเองก็ไม่มีทางเลือกเหมือนกันใช่ไหม ? ถ้าไม่เป็นเพราะอาการป่วยของคุณ บริษัทคงไม่ต้องเป็นอย่างนี้”
เธอพูดพลางยิ้มขึ้นมา : “แต่ว่าร่างกายของคุณฟื้นฟูแล้ว เรื่องนี้มันสำคัญกว่าอะไร ๆ อีกถูกต้องไหมคะ เรื่องเงินพวกเราค่อย ๆ หามาช้า ๆ ได้ บริษัทก็สามารถบริหารใหม่ได้เหมือนกัน ฉันเชื่อในความสามารถของคุณค่ะ……บริษัทหนานกงกรุ๊ปแห่งใหม่จะต้องได้ปักหลักอยู่ในเมืองซีอีกครั้งในสักวันแน่นอน”
“เธอคิดอย่างนี้จริง ๆ เหรอ ?” หนานกงเฉินจ้องตาเธอ นัยน์ตาและในใจเต็มไปด้วยความซาบซึ้งใจ
ไป๋มู่ชิงพยักหน้า : “ค่ะ คุณคิดว่าถ้ามีโรงเรียนศิลปะหนานกงเป็นยังไงคะ ?”
“ดีมากเลย” หนานกงเฉินพยักหน้า
ไป๋มู่ชิงหัวเราะคิกคักขึ้น : “ถ้างั้นขอรบกวนถามผอ.หนานกงหน่อยค่ะ ตอนนี้คุณกำลังทำอะไรคะ ?”
“ยั่วยวนอาจารย์สาว……” หนานกงเฉินยิ้มพลางอุ้มเธอลงไปภายในอ่างอาบน้ำอุ่น ๆ ทั้งที่ยังใส่เสื้อผ้าอยู่ทันที
“นี่……ฉันเพิ่งอาบน้ำไปนะ” ไป๋มู่ชิงดิ้นรนขัดขืนอยู่ในน้ำ
“อาบแล้วก็อาบอีกได้นี่นา” หนานกงเฉินอุ้มเธอขึ้นวางบนลำตัวตนเอง จากนั้นก็ถอดเสื้อผ้าอันเปียกปอนของเธอออก และใช้ฝ่ามือกดร่างของเธอนอนลง พร้อมพรมจูบริมฝีปากของเธอ
เนื่องจากอาการหนาวเหน็บเกินไป ไป๋มู่ชิงที่ถูกถอดเสื้อผ้าออกหมดจึงทำได้เพียงนำร่างตนเองจมลงสู่อ่างอาบน้ำเรื่อย ๆ ไปแนบชิดกับร่างกายของเขาเอาไว้
นี่มันคือการเปลือยกายยั่วยุชัด ๆ !
หนานกงเฉินรู้ตื่นเต้นกับการยั่วยุที่ดูเหมือนจะไม่ได้ตั้งใจของเธอ พลางยิ้มขึ้นด้วยความพึงพอใจ
มีเพียงช่วงเวลาที่เขาโอบกอดเธอ และจูบเธออย่างร้อนแรงเท่านั้นที่จะทำให้เขารู้สึกได้ว่าโลกทั้งใบนี้สวยสดงดงามยิ่ง และถึงจะสามารถสลัดความหงุดหงิดใจที่มาจากบริษัททิ้งไปจนหมดเกลี้ยงได้