เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด – บทที่ 275 ลูกหายตัวไป

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

เฉียวซือเหิงจอดรถใต้ตึกสามที่ใกล้กับลิฟต์มากที่สุด จากนั้นก็ลงรถแล้วเดินเข้าลิฟต์

นี่เป็นคอนโดที่ซูซี่อยู่ตลอด เขาไม่รู้ว่าซูซี่ยังจะอยู่ที่นี่หรือเปล่า แค่มาลองเสี่ยงดวงดู

พอเขาก้าวเข้าไปรอก็ได้ยินเสียงเด็กเบาะแบะเรียกว่า’คุณพ่อ’มาจากข้างหลัง

คำเรียกนี้ไม่คุ้นเคยกับเฉียวซือเหิงเลยเขาเลยไม่ใส่ใจ แล้วไม่ได้หันกลับไปดูด้วยแต่กลับกดปุ่มขึ้นรอลิฟต์

หนึ่งในลิฟต์อยู่ชั้นใต้ดินพอดี เฉียวซือเหิงก้าวเข้าไป พอหันหลังก็มีเด็กตามมาด้วยตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้

“คุณพ่อ……ทำไมคุณพ่อไม่สนใจผม?” เสี่ยวกว้านยืนอยู่หน้าเฉียวซือเหิงแล้วเงยหน้ามองไปที่เขา

เฉียวซือเหิงอึ้งไปแล้วมองไปรอบๆ ในลิฟต์มีแค่เขากับเด็กตัวเล็กไม่มีคนอื่นอีก แล้วเด็กตัวเล็กก็จ้องเขาแล้วเรียกเขาว่าพ่อแถมยังใช้สายตาที่จริงจังมองไปที่เขาด้วย

เฉียวซือเหิงชี้ตัวเอง “หนูเรียกอาเหรอ?”

“ใช่ครับ คุณอาเป็นพ่อของผม” เสี่ยวกว้านพยักหน้า

“เด็กน้อย จำผิดคนแล้ว อาไม่ใช่พ่อของหนู” เฉียวซือเหิงไม่รู้จะทำยังไง

“คุณพ่อโกหก คุณพ่อเคยบอกว่าคุณเป็นพ่อของผม” เสี่ยวกว้านเอ่ยอย่างเสียใจ “ทำไมคุณพ่อไม่มาหาผม คุณพ่อไม่เอาผมแล้วเหรอครับ?”

“เด็กน้อย อาไม่ใช่พ่อของหนู” เฉียวซือเหิงมองใบหน้าเสี่ยวกว้านที่ถูกแมสปิดไว้ครึ่งหน้าแล้วส่ายหัว ในใจคิดว่าเด็กคนนี้คงไม่สบายจนเบลอไปเลยเรียกคนอื่นว่าพ่อ

เสียงลิฟต์’ติ้ง’ถึงชั้นที่เขาจะไปแล้ว เขาค่อยนึกขึ้นได้ว่ามีเด็กตามเข้ามาด้วย ถเาเขาออกลิฟต์ไปเด็กคนนี้ก็ต้องอยู่ในลิฟต์คนเดียว? ตัวเขายังเล็กขนาดนี้จะกดลิฟต์ได้หรือเปล่า? จะเกิดอุบัติเหตุหรือเปล่า?

เมื่อกี้เด็กคนนี้ตามเขาขึ้นมาจากชั้นใต้ดิน บ้านของเขาก็ต้องอยู่ชั้นใต้ดินแน่นอน

ด้วยความสงสาร เฉียวซือเหิงก็เลยจูงมือเขาออกจากลิฟต์ แล้วกดลิฟต์ลงจะไปส่งเขากลับชั้นใต้ดิน

เมื่อซูซี่ปิดท้ายรถแล้วเตรียมตัวจะขึ้นรถค่อยรู้ว่าเสี่ยวกว้านไม่ได้นั่งอยู่ที่นั่งคาร์ซีทบนรถ

เธอหารอบรถแล้วตะโกนเรียกชื่อเสี่ยวกว้าน แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับของเสี่ยวกว้าน

แต่เธอก็ไม่ได้ร้อนรน เธอสตาร์ทรถไปด้วยแล้วโทรหาเหลียนเฟยไปด้วย หลังจากที่โทรออกเธอเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่ง “เหลียนเฟย ฉันขอสั่งให้นายจอดรถข้างทางเดี๋ยวนี้”

“ซูซี่เธอพูดอะไร?” เธอเปลี่ยนใจแล้วหรอ? เธอไม่ไปแล้ว?”

“นายจะจอดหรือไม่จอด?”

“ผมจอดแล้ว ผมรอที่หน้าซุปเปอร์มาร์เก็ต” น้ำเสียงของเหลียนเฟยรู้สึกตื่นเต้น

เมื่อซูซี่วางสายก็ขับรถไปทางซุปเปอร์มาร์เก็ต เธอก็เห็นเหลียนเฟยพิงอยู่ที่เบาะนั่งแล้วโบกมือมาทางเธอ

เธอจอดรถข้างทางแล้วเปิดประตูรถลงไป เดินตรงไปที่รถของเหลียนเฟย เมื่อเธอเปิดประตูรถแต่ข้างในก็ว่างเปล่า ใจก็สั่นไปทันทีแล้วไปถามเขา “เสี่ยวกว้านล่ะ? นายซ่อนเสี่ยวกว้านไว้ที่ไหน?”

“เสี่ยวกว้าน? เสี่ยวกว้านไม่ได้อยู่บนรถผม”

“เหลียนเฟย!” ซูซี่ตะคอกใส่เขา “นายจะล้อเล่นเรื่องอะไรก็ได้ แต่เรื่องเสี่ยวกว้านไม่ได้ได้ยินหรือเปล่า?”

เหลียนเฟยตกใจกับการที่เธอตะคอกแล้วรีบเดินไปจับมือเธอไว้ “เกิดเรื่องอะไร? ซูซี่ เสี่ยวกว้านไม่ได้อยู่บนรถผมจริงๆ ผมรู้ว่าเธอเป็นห่วงเสี่ยวกว้านมาก จะเอาเสี่ยวกว้านมาล้อเล่นได้ยังไง? ผม……”

“แล้วเสี่ยวกว้านวิ่งไปไหน?” ซูซี่เอ่ยด้วยเสียงสั่น

ในใจเธอค่อยๆเกร็งขึ้นเรื่อยๆ เสี่ยวกว้านไม่อยู่บนรถของเหลียนเฟยแล้วไม่อยู่บนรถของเธอด้วย แล้วเขาอยู่ไหน? อยู่ไหนกันแน่?

“เสี่ยวกว้านอยู่กับเธอไม่ใช่หรอ?” เหลียนเฟยก็ใจร้อนเหมือนกัน

“ไม่! ตอนฉันเก็บของบนรถเสร็จก็ไม่เห็นเสี่ยวกว้านอยู่บนรถแล้ว”

“เขาเล่นอยู่ที่ลานจอดรถหรือว่าเล่นซ่อนแอบอยู่หรือเปล่า?” เหลียนเฟยไม่มีเวลาคิดแล้วก็ดึงมือเธอแล้วเอ่ย “ไปเถอะ รีบกลับไปหาที่ลานจอดรถ”

ซูซี่ไม่ได้ลังเลก็ขึ้นรถไปกับเขา

ในระหว่างทาง ซูซี่กลัวจนร้องไห้แล้วในปากก็เอาแต่พึมพำว่า “ทำยังไงดี? เสี่ยวกว้านยังเด็กขนาดนั้น เขายังขอความช่วยเหลือคนอื่นไม่เป็นแล้วดูรถไม่เป็นด้วย แล้วที่ร้านจอดรถก็มืดขนาดนั้นถ้าถูกชนจะทำยังไง? หรือว่าเขาถูกคนอื่นอุ้มไปจะทำยังไง?”

เสี่ยวกว้านโตขนาดนี้ แม้แต่อยู่ในบ้านก็ไม่เคยหลุดออกจากสายตาเธอเกินสามนาที แต่ตอนนี้เสี่ยวกว้านหายตัวไป ในใจเธอก็ต้องร้อนรนแน่นอน

เหลียนเฟยขับรถไปด้วยแล้วเอ่ยปลอบใจไปด้วย “ซูซี่เธออย่ากังวล เสี่ยวกว้านต้องยังอยู่ที่ลานจอดรถแน่นอน”

ความจริงเขาก็ร้อนรนเหมือนกัน เพราะเสี่ยวกว้านยังเด็กขนาดนี้ ถ้าหาคุณแม่ไม่เจอก็ต้องกลัวแน่นอน แต่สถานการณ์ตอนนี้เขาจะใจร้อนเหมือนกับซูซี่ไม่ได้ ต้องมีสติไว้

ถ้าเขาไม่พูดยังดี พอพูดซูซี่ก็จ้องเขาอย่างโมโห “เป็นเพราะนาย! บอกให้นายอย่าตามฉันนายเอาแต่ตาม! ถ้าไม่ใช่เพราะนายเสี่ยวกว้านจะหายตัวไปได้ยังไง?”

ถ้าไม่ใช่เพราะเหลียนเฟย เธอก็คงไม่คิดว่าเขาพาตัวเสี่ยวกว้านไป ก็เลยไม่ได้ไปตามหาที่ลานจอดรถ

“ครับครับ……ความผิดผมเอง โทษผม” เหลียนเฟยเอ่ยขอโทษ

ซูซี่เสียใจมากแล้วใช้มือปิดหน้าไว้ไม่เอ่ยพูดอะไร เวลานี้โทษเหลียนเฟยจะมีประโยชน์อะไร? เหลียนเฟยวก็คืนเสี่ยวกว้านให้เธอไม่ได้!

เมื่อรถแล่นเข้ามาโซนคอนโดเหลียนเฟยก็เอ่ยถาม “ซูซี่ เธอไปหานิติแล้วเช็คกล้องวงจรปิด เดี๋ยวผมไปหาที่ลานจอดรถ เดี๋ยวโทรคุยกัน”

“ได้……” ซูซี่พยักหน้าแล้วรีบลงรถทันทีพร้อมวิ่งไปทางนิติ

เมื่อได้ยินว่าซูซี่เอ่ยจะขอดูกล้องวงจรปิด พนักงานนิติก็เอ่ยอย่างลำบากว่ามีแค่พวกเขาเท่านั้นที่ดูกล้องวงจรได้ ซูซี่ก็เลยโมโห “งั้นคุณก็รีบไปดูสิ ยี่สิบนาทีก่อนหน้านี้ที่ลานจอดรถใต้ดินตึกสาม เด็กผู้ชายอายุสองขวบที่ใส่แมส รบกวนพวกคุณรีบดูให้ฉันด้วย……”

เมื่อเห็นท่าทางที่ร้อนรนของเธอ พนักงานนิติก็เลยหันไปดูกล้องวงจรปิด จากนั้นก็หันหน้าจอคอมพิวเตอร์ไปทางเธอ “เด็กคนนี้หรือเปล่า?”

ซูซี่รีบวิ่งไปหน้าคอมพิวเตอร์ เมื่อเธอเห็นว่าในหน้าจอเป็นเสี่ยวกว้านก็รีบพยักหน้า “ใช่คนนี้ คนนี้……พวกคุณช่วยฉันดูหน่อยว่าเขาไปที่ไหนต่อ……”

คำพูดของซูซี่ยังอยู่ในปาก แต่สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที

เธอเห็นเงาของเฉียวซือเหิงในหน้าจอ เสี่ยวกว้านกับเฉียวซือเหิงเดินเข้าไปในลิฟด้วยกัน

เฉียวซือเหิง! ทำไมเขาถึงอยู่ที่นี่? ทำไมถึงอยู่กับเฉียวซือเหิง?

“คุณผู้หญิง ผู้ชายคนนี้คุณรู้จักหรือเปล่า?” พนักงานเอ่ยถาม

“รู้จัก……” ซูซี่เอ่ยอย่างไม่รู้ตัว

พนักงานก็เลยเอ่ย “งั้นเด็กก็คงถูกคนรู้จักพาตัวไป คุณไปหาผู้ชายคนนี้เถอะครับ”

“ไม่……” ซูซี่ค่อยได้สติแล้วรีบส่ายหัว “ฉันไม่รู้จักเขา ไม่รู้จัก ขอร้องคุณช่วยตามหาเด็กด้วยว่าไปที่ไหนขอร้อง……”

“คุณผู้หญิง เดี๋ยวคุณบอกว่ารู้จักเดี๋ยวก็ไม่รู้จัก นี่กำลังโกหก ในเมื่อเด็กถูกคนรู้จักพาไป งั้นก็อย่าเสียเวลาให้พวกเราไปย้อนดูกล้องวงจรเลยครับ รบกวนคุณโทรหาเพื่อนของคุณแล้วให้ส่งตัวเด็กกลับมาเถอะครับ ขอภัยด้วยครับ”

“ฉัน……ฉันไม่มีเบอร์ของเขา”

“งั้นก็ลองถามเพื่อนสิครับ” พนักงานตัดภาพวงจรปิดอย่างไม่เกรงใจ

นี่มองก็รู้ว่าเป็นความขัดแย้งในครอบครัวแล้วแย่งเด็ก พวกเขาไม่มีอารมณ์มาเสียเวลากับเธอที่นี่

ซูซี่เดินออกมาจากห้องนิติอย่างอารมณ์เสีย โทรศัพท์เธอดังขึ้นเหลียนเฟยเป็นคนโทรมา เมื่อรับโทรศัพท์แล้วเหลียนเฟยก็รีบเอ่ย “เป็นไงบ้างซูซี่? กล้องวงจรปิดเห็นอะไรไหม? ผมหาที่โรงจอดรถแล้วไม่เจอ ผมยังหาอยู่……”

“เหลียนเฟยไม่ต้องหาแล้ว” ซูซี่เอ่ยอย่างเรียบนิ่ง

“เธอพูดอะไรนะ? ทำไมไม่ต้องหา?”

“เสี่ยวกว้านถูกเพื่อนของฉันรับตัวไป” ซูซี่พูด ตอนนี้ในใจเธอไม่รู้ว่าควรจะเสียใจหรือว่าดีใจ เฉียวซือเหิงรับตัวเสี่ยวกว้านไปงั้นก็แสดงว่าตอนนี้ปลอดภัย ไม่เกิดอุบัติเหตุหรือว่ามีใครลักพาตัวไป แต่พอนึกขึ้นได้ว่าเฉียวซือเหิงพาตัวเสี่ยวกว้านไปแล้วเป็นไปได้ว่าจะแย่งกลับไปตระกูลเฉียว เธอก็ควบคุมอารมณ์ไม่อยู่แล้วเริ่มร้อนรนใจ

เธอนั่งอยู่หน้าบันไดห้องนิติไปสักพัก ก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นโทรหาไป๋มู่ชิง

ย้ายบ้านครั้งนี้ นอกจากเหลียนเฟยที่เอาแต่ตามตื้อเธอเขาเลยรู้ นอกนั้นก็ไม่มีใครรู้อีกเลย แม้แต่ไป๋มู่ชิงก็ไม่รู้

เมื่อได้รับโทรศัพท์จากซูซี่ ไป๋มู่ชิงก็เอ่ยทักทายเธอด้วยน้ำเสียงปกติ จนกระทั่งได้ยินเสียงซูซี่สะอึกสะอื้นเธอค่อยถามอย่างเป็นห่วง “ซูซี่เธอเป็นอะไร? เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”

“มู่ชิง เสี่ยวกว้านถูกเฉียวซือเหิงพาตัวไป” ซูซี่เอ่ยอย่างเสียใจ

“หะ? เกิดอะไรขึ้น?”

“ไม่รู้ เมื่อกี้ตอนที่ฉันย้ายบ้านเสี่ยวกว้านก็หายตัวไป”

“แล้วเธอรู้ได้ยังไงว่าเขาถูกเฉียวซือเหิงพาตัวไป?” ไป๋มู่ชิงถามจบก็รีบเอ่ยถามอีกว่า “อีกอย่าง เธอจะย้ายบ้านทำไม? ช่างเถอะ ตอนนี้เธออยู่ไหนฉันไปหาเธอเดี๋ยวนี้”

“มู่ชิงเธอช่วยฉันโทรหาเฉียวซือเหิงได้ไหม? ลองถามเขาว่าตอนนี้เขาคิดจะเอายังไงกันแน่?”

“เธอให้ฉันโทรไปหาเฉียวซือเหิง?” ไป๋มู่ชิงรู้สึกไม่เข้าใจ

“ใช่ เฉียวซือเหิงคงยังไม่รู้ว่าเสี่ยวกว้านเร็วขนาดนี้ว่ามีตัวตนอยู่บนโลก แล้วแอบพาตัวเด็กไปก็ไม่ใช่นิสัยของเขาเพราะฉะนั้น……รบกวนเธอหน่อย”

“เธอหมายความว่า……อาจจะเกิดความเข้าใจผิด?”

“อื้อ ฉันหวังว่าจะเป็นอย่างนั้น”

หลังจากที่ไป๋มู่ชิงวางสาย คิดไปคิดมาสุดท้ายก็โทรไปหาเฉียวซือเหิง ตอนที่เธอโทรไปหา เฉียวซือเหิงก็ออกมาจากบ้านซูซี่แล้วกำลังขับรถออกจากคอนโดพอดี

“คือ……คุณชายเฉียว เมื่อกี้คุณไปที่คอนโดซูซี่ใช่ไหมคะ?”

“ใช่ ทำไม?”

“อื้อ เมื่อกี้ฉันไปเก็บค่าห้องให้ซูซี่แล้วบังเอิญเจอคุณ” ไป๋มู่ชิงยิ้มแห้ง “ฉันเห็นว่าคุณพาเด็กคนนึงอยู่ เด็กคนนั้น……”

ไป๋มู่ชิงลังเลไม่ได้พูดต่อ เฉียวซือเหิงก็เอ่ยขึ้นเอง “ผมเก็บมา”

ในใจลึกๆเขาไม่อยากให้ไป๋มู่ชิงเข้าใจเขาผิดแล้วทำให้ซูซี่เข้าใจผิดด้วย เพราะว่าซูซี่เข้าใจเขาผิดมากเกินไปแล้ว

“เก็บได้? เก็บได้ที่ไหนคะ? เก็บกลับบ้านแล้วหรอคะ?” ไป๋มู่ชิงเอ่ยอย่างตกใจ

“เก็บได้ที่ลานจอดรถ ส่งไปที่ห้องยามแล้ว” เฉียวซือเหิงพูดจบก็เอ่ย “คุณหนูไป๋ ผมถามอะไรคุณหน่อยได้ไหม?”

“เรื่องอะไรคะ?” ไป๋มู่ชิงรู้สึกตกใจแล้วใจร้อน เธอยังต้องโทรกลับไปหาซูซี่ด้วย

“นอกจากซูซี่ผมยังมีเรื่องอะไรอีก?” เฉียวซือเหิงเอ่ยอย่างเรียบนิ่ง “คุณบอกผมได้หรือเปล่าว่าตอนนี้ซูซี่เธออยู่ที่ไหน?”

“คือ……คุณชายเฉียวคุณก็รู้จักนิสัยซูซี่ดี ถ้าเธอจะหายตัวไปก็ไม่นับญาติกับใครเลย จะให้ฉันรู้ได้ไงว่าเธออยู่ที่ไหน?” ไป๋มู่ชิงเดาได้อยู่แล้วว่าเฉียวซือเหิงจะถามเกี่ยวกับซูซี่ เธอได้เตรียมใจล่วงหน้าแล้วพอพูดโกหกตอนนี้ก็เลยพูดได้ลื่นปาก

หลังจากเงียบไปเธอก็แอบถาม “คุณจะหาเธอทำไมคะ? พวกคุณ……ตัดขาดกันแล้วไม่ใช่หรอ?”

เฉียวซือเหิงไม่ได้ตอบคำถามเธอ เงียบไปสักพักค่อยเอ่ย “เธอเช่าห้องออกไปแล้วหรอ?”

“ใช่ เมื่อกี้คุณไปดูแล้วไม่ใช่หรอคะ?” เธอคิดว่าเฉียวซือเหิงต้องลองไปเคาะประตูแน่นอน แล้วไม่ได้เจอซูซี่ไม่งั้นเขาก็คงไม่ถามแบบนี้

“คุณชายเฉียว คุณคงไม่ใช่อยากจะคืนดีกับซูซี่หรอกมั้งคะ? ความจริง……”

“ถ้าคุณมีข่าวของเธอรบกวนบอกด้วย ขอบคุณ” เฉียวซือเหิงพูดแทรกเธอ

ไป๋มู่ชิงถูกเขาเอ่ยแทรกก็เลยพยักหน้า “ได้ค่ะ เดี๋ยวฉันจะบอก”

หลังจากที่ไป๋มู่ชิงวางสาย เธอเดินไปนอกประตูด้วยแล้วโทรหาซูซี่ด้วยแล้วบอกเธอว่าเสี่ยวกว้านอยู่ที่ห้องยาม

ซูซี่ไม่กล้าเชื่อหูตัวเองแล้วเอ่ย “จริงหรอ? เฉียวซือเหิงพูดเองเลยหรอ?”

“ใช่ แล้วฉันก็ฟังออกว่าเขาไม่รู้ว่าเสี่ยวกว้านเป็นลูกของเธอกับเขา” ไป๋มู่ชิงเอ่ย “ซูซี่เธอพาเสี่ยวกว้านกลับบ้านก่อนเถอะ เดี๋ยวฉันไปหาแล้วค่อยคุยกัน”

“ได้ ฉันไปหาเสี่ยวกว้านก่อน” ซูซี่ไม่ได้เอ่ยถามอะไรต่อแล้วลุกขึ้นเดินไปที่ห้องยามทันที

“หาเสี่ยวกว้านเจอหรือยัง? อยู่ไหน?” เหลียนเฟยเดินตามเธอไปแล้วเอ่ยอย่างเป็นห่วง

ซูซี่หยุดฝีเก้าหันไปทุบตีเขาแล้วเอ่ยอย่างหงุดหงิด “ไอ้บ้า! ดีที่ครั้งนี้เสี่ยวกว้านไม่เป็นอะไร ไม่งั้นฉันจะฉีกนายทิ้งแน่!”

“ครับครับ…เสี่ยวซี่ใจเย็นก่อน ถ้าเกิดอะไรกับเสี่ยวกว้านผมก็คงจะฉีกตัวเองทิ้งแน่นอน” เหลียนเฟยนวดขาที่ถูกเธอเตะไปด้วยแล้วรีบตามเธอไปแล้วเอ่ยอย่างไม่กลัวตาย “แต่ว่าครั้งหน้าเธอก็ต้องระวังหน่อย เด็กก็ชอบวิ่งไปทั่ว……ขอโทษ ผมผิดแล้ว” เมื่อได้รับสายตาที่เยือกเย็นของเธอเหลียนเฟยก็รีบกลืนคำพูดทันที

“เรียกฉันว่าพี่ซี่หรือว่าพี่ซูซี่” ซูซี่เอ่ยยิ้มที่มุมปากอย่างเยือกเย็น

มีข่าวของเสี่ยวกว้าน อารมณ์เธอค่อยดีหน่อย

“ไม่” เหลียนเฟยเอ่ย

ซูซี่สั่ง “นายไปประตูหลังห้องยาม ฉันไปหน้าประตู”

“ได้ครับ!” เหลียนเฟยรีบไปอย่างยิ้มแย้ม

เมื่อไป๋มู่ชิงมาถึงบ้านซูซี่ ซูซี่ก็รับเสี่ยวกว้านกลับบ้านแล้ว ตอนนี้เสี่ยวกว้านที่กำลังยืนสำนึกผิดอยู่ที่กำแพงแล้วโดนอบรมสั่งสอนกับการกระทำที่เขาวิ่งเล่นไปทั่ว

เมื่อเห็นท่าทางเสี่ยวกว้านที่น่าสงสาร ไป๋มู่ชิงก็รีบกอดเขาเข้ามาในอ้อมกอดแล้วลูบศีรษะเขา “เสี่ยวกว้าน เราขอโทษกับคุณแม่แล้วสัญญาว่าอีกหน่อยจะไม่วิ่งไปเรื่อยดีมั้ยคะ?”

“ผมไม่ได้วิ่งไปเรื่อย” เสี่ยวกว้านเอ่ยด้วยน้ำตา

“ยังจะปากแข็งอีก!” ซูซี่ถือไม้เรียวขึ้นแล้วตีมือเขา

เสี่ยวกว้านก็ร้องไห้เสียงดังทันที “คุณแม่ใจร้าย ผมจะไปบอกคุณพ่อ……!”

“เธอพูดว่าอะไรนะ!?”

“ผมไม่ได้วิ่งไปเรื่อย ผมอยู่กับคุณพ่อ ผมไม่ได้วิ่งไปเรื่อย……ฮือฮือ……”

“ใครคือพ่อเธอ? แม่บอกกับเธอแล้วไม่ใช่หรอว่ากว่าคุณพ่อจะกลับมาก็ต้องอีกนาน?”

“แต่ผมเจอคุณพ่อแล้ว……”

“เสี่ยวกว้าน!” ซูซี่หงุดหงิด

“แค่ก……” ไป๋มู่ชิงดึงชายเสื้อเธอแล้วเอ่ยเสียงเบา “เธอทำเกินไป เสี่ยวกว้านไม่ได้พูดผิดสักหน่อย”

ซูซี่ไม่รู้จะเอ่ยพูดยังไงแล้วมองตาขวางใส่เธอ

“ฉันพูดผิดหรอ? เฉียวซือเหิงก็ใช่อยู่แล้ว……” ไป๋มู่ชิงยักไหล่ “ก็ได้ ฉันไม่พูดอะไรแล้ว”

“เธอยังกล้าพูดอีก ก็เป็นเพราะเธอไม่ใช่หรอ” ซูซี่ชี้ไปทางไป๋มู่ชิง “ถ้าตอนนั้นไม่ใช่เธอบอก……เขาจะไปกับเฉียวซือเหิงได้ยังไง?”

ไป๋มู่ชิงรู้สึกร้อนตัว ความจริงเป็นเพราะตอนนั้นที่เธอดูรูปถ่ายที่บ้านซูซี่แล้วเห็นรูปครอบครัวของตระกูลเฉียว จากนั้นก็ชี้ไปที่เฉียวซือเหิงแล้วบอกกับเขาว่านี่เป็นพ่อ

“ฉันจะรู้ได้ไงว่าเสี่ยวกว้านตัวเล็กขนาดนี้ แต่ความจำดีมาก” เธอเอ่ย “พอแล้ว ฉันมีเรื่องจะคุยกับเธอ”

ซูซี่กำลังคิดนึกถึงจุดประสงค์ที่เฉียวซือเหิงมาที่นี่ เลยจ้องไปที่เสี่ยวกว้านแล้วเอ่ย “เธอยืนอยู่ที่นี่ ยืนจนกระทั่งจะรู้ว่าตัวเองทำอะไรผิด”

เสี่ยวกว้านเบะปากด้วยน้ำตา รู้สึกน้อยใจมาก

ไป๋มู่ชิงลูบศีรษะของเขาแล้วเอ่ยปลอบใจ “หนูยืนอยู่ที่นี่ก่อนนะ รอคุณแม่อารมณ์ดีแล้วก็พอแล้วนะ เด็กดี”

เมื่อปลอบใจเสี่ยวกว้านเสร็จก็ตามซูซี่ไปนั่งลงที่โซฟาห้องรับแขก

ซูซี่มองไปที่เธอแล้วเอ่ย “สรุปเป็นยังไงกันแน่? ทำไมเฉียวซือเหิงถึงมาที่นี่?”

ไป๋มู่ชิงคิดไปคิดมาแล้วเอ่ย “ซูซี่ฉันมองออก เฉียวซือเหิงยังตัดใจจากเธอไม่ได้เขาอยากจะคืนดีกับเธอก็เลยมาหาเธอที่นี่”

“อยากคืนดีกับฉันหรือว่าอยากจะมาแก้แค้นกันแน่?” ซูซี่ยิ้มอย่างขมขื่น

“ดูไม่เหมือนว่ามาแก้แค้นเธอเลย ฉันฟังน้ำเสียงไม่เหมือน” ไป๋มู่ชิงเอ่ย “เขายังย้ำกับฉันว่าถ้ารู้ว่าเธออยู่ไหนต้องบอกเขาด้วย”

“ยังดีที่ฉันตัดสินใจย้ายบ้านเช้านี้” ซูซี่ยิ้มอย่างขมขื่น และโชคดีที่เธอให้เสี่ยวกว้านใส่แมสไว้ ไม่งั้นเฉียวซือเหิงก็คงดูออก เธอไม่กล้าคิดเลยถ้าเฉียวซือเหิงเห็นหน้าเขาจะทำยังไง

“ทำไมเธอย้ายบ้านก็ไม่บอกฉันล่ะ?”

“ถ้าบอกเธอ เธอก็ต้องให้ฉันอยู่ต่อก็เลยไม่บอกดีกว่า” ซูซี่สูดหายใจเข้าแล้วเอ่ย “ดูเหมือนว่าฉันต้องรีบย้ายไปจากที่นี่แล้ว”

“เธอจะย้ายไปที่ไหน?”

“เมืองเยว่ ที่นั่นไม่มีธุรกิจของตระกูลเฉียว เฉียวซือเหิงคงไม่ไปที่นั่น”

“ซูซี่” ไป๋มู่ชิงเอ่ย “เมื่อกี้เฉียวซือเหิงถามฉัน ฉันบอกเขาแล้วว่าเธอเช่าบ้านหลังนี้ให้คนอื่น อีกหน่อยเขาก็คงไม่มาที่นี่แน่นอน เธออยู่ที่นี่ต่อเถอะอย่าย้ายเลย”

“ซูซี่ส่ายหน้า “เมืองซีเล็กขนาดนี้ ถ้าเกิดวันไหนเจอกันล่ะ?”

“ไม่บังเอิญขนาดนั้นหรอก” ไป๋มู่ชิงเอ่ยปลอบใจ “เธอคิดสิ ที่เมืองเยว่แม้แต่เพื่อนคนเดียวเธอก็ไม่มี ถ้าเกิดเรื่องเหมือนวันนี้อีกเธอจะไปขอให้ใครช่วย? แล้วเสี่ยวกว้านก็คุ้นชินกับที่นี่ ถ้าเธอเปลี่ยนสภาพแวดล้อมให้เขาก็ไม่ดีต่อตัวเขาด้วย”

ซูซี่ไม่เอ่ยพูดอะไร เพราะว่าสิ่งที่ไป๋มู่ชิงพูดเป็นความจริง

เมื่อไป๋มู่ชิงเห็นว่าท่าทางของเธอเริ่มใจอ่อนเลยเอ่ย “ถ้างั้นเธออยู่ต่ออีกไม่กี่วัน รอดูสถานการณ์ไปก่อน เหมือนที่เขาว่ากันว่า ที่ที่อันตรายที่สุดก็คือที่ที่ปลอดภัยที่สุด เฉียวซือเหิงคิดว่าเธอไปต่างประเทศแล้วถึงแม้เขาจะหาตัวเธอก็คงไปหาต่างประเทศไม่ใช่หรอ?”

ไป๋มู่ชิงปฎิเสธไม่ได้เลยว่า ความจริงเธอก็เห็นแก่ตัว เพราะว่าเธอฟังออกว่าเฉียวซือเหิงอยากจะคืนดีกับซูซี่ ไม่ใช่ว่าซูซี่ไม่มีความรู้สึกกับเฉียวซือเหิงด้วย ยังมีเสี่ยวกว้านอีก เธอก็ต้องหวังว่าทั้งครอบครัวจะกลับมาเจอกันแล้วอยู่อย่างมีความสุข

ตอนเลิกงาน เมื่อเฉียวซือเหิงเดินออกมาจากห้องทำงาน เหวินหย่าก็รีบต้อนรับแล้วเอ่ออย่างมีมารยาท “เฉียว คุณจะกลับบ้านตอนนี้หรอ?”

เฉียวซือเหิงมองไปที่เธอแล้วพยักหน้า

“ช่วยส่งฉันไปได้ด้วยหรือเปล่า? เวลานี้คนบนรถเมล์เยอะมาก” เหวินหย่าเอ่ยอย่างมีเหตุผล

ในเมื่อคนอื่นพูดแบบนี้ เฉียวซือเหิงก็ปฏิเสธไม่ได้เขาเลยเอ่ยว่า “ได้”

“ขอบใจ” เหวินหย่ายิ้มอย่างมีความสุข

แต่คำพูดนี้ทำให้เฉียวซือเหิงรู้สึกแสบหูมาก

ในระหว่างทาง เฉียวซือเหิงก็หันไปถาม “ขับรถเป็นหรือเปล่า?”

เหวินหย่าส่ายหน้า “ไม่เป็น”

ทีแรกเฉียวซือเหิงอยากจะพูดว่าที่บ้านมีรถหลายคัน ให้เธอเลือกขับเองได้ แต่พอเธอตอบแบบนี้เขาก็ไม่รู้จะเอ่ยพูดยังไงต่อ

“ให้ลุงหลิ่วรับส่งเธอไปทำงานก็ได้” เขาเอ่ย

“ไม่ต้องหรอก แบบนี้ลำบากเกินไป” เหวินหย่ายิ้มอ่อน “ถ้าอีกหน่อยคุณสะดวกก็พาฉันไปด้วย แต่ถ้าไม่สะดวกฉันก็นั่งรถเมล์ ไม่เป็นไรหรอก”

“คนบ้านเดียวกันจะเกรงใจทำไม?” เฉียวซือเหิงยิ้มแล้วมองไปที่เธอ

เหวินหย่ายิ้มแล้วไม่ได้เอ่ยพูดอะไรอีก

เมื่อกลับถึงบ้าน พอเฉียวซือเหิงก้าวเข้าไปก็เห็นสีหน้าคุณหญิงเฉียวไม่ดีมากนักแล้วจ้องมาที่ตัวเอง เขายกมือขึ้นจับจมูกแล้วเอ่ย “คุณแม่ ผมทำอะไรให้คุณแม่โมโหอีกครับ?”

“แกว่าล่ะ?” คุณหญิงเฉียวมองไปที่เขาแล้วเอ่ยอย่างหงุดหงิด “แกยังมีติดต่อกับผู้หญิงที่ชื่อฟางใช่ไหม? ผู้หญิงคนนี้มันดีตรงไหนถึงทำให้แกออกจากคุกแล้วก็ไปหาเธออีก?”

เมื่อกี้พอเห็นสีหน้าของคุณหญิงเฉียวไม่ดีมากนัก เฉียวซือเหิงก็เดาได้แล้วว่าเป็นเพราะฟางมี่ เขายักไหล่แล้วยิ้มอย่างมีเลศนัย “ฟางมี่หรอครับ? ผมรู้สึกว่าเธอดีทุกอย่าง ผิวก็ดูสวย ท่าทางบนเตียงก็ดีแล้วอีกอย่าง……”

“เฉียวซือเหิงแกหุบปากเดี๋ยวนี้!” คุณหญิงเฉียวคาดไม่ถึงเลยว่าเขาจะเอ่ยพูดแบบนี้ต่อหน้าเหวินหย่าเลยเอ่ยตำหนิไป

“คุณแม่ถามผมไม่ใช่หรอครับ?” เฉียวซือเหิงทำสีหน้าไร้เดียงสา

เหวินหย่าที่อยู่ข้างๆ สีหน้าก็เดี๋ยวแดงเดี๋ยวซีดสลับกันไป

เมื่อคุณหญิงเฉียวเห็นว่าสีหน้าเหวินหย่าไม่ดีมากเลยเอ่ย “ต่อไปห้ามไปหาเธออีกได้ยินไหม?”

“แม่ครับ คำพูดนี้ห้าปีก่อนแม่ก็เคยพูดแล้ว ถ้าผมตัดขาดกับเธอได้คงไม่ต้องให้แม่มาย้ำซ้ำๆแบบนี้หรอกครับ”

“แก……!”

“พอแล้วครับแม่ เรื่องของผมคุณแม่ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกครับ” เฉียวซือเหิงยกมือขึ้นแล้วตบบ่าท่านเบาๆแล้วเอ่ย “ผมขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะครับ รอผมทานข้าวด้วย”

“แก……ลูกไม่รักดี! ฉันว่าแกควรจะอยู่ในคุกอีกสามปี……ฉันจะบ้าตาย……!” คุณหญิงเฉียวเอ่ยด่าตามหลังเขาไป

เหวินหย่าพยายามปรับอารมณ์แล้วนั่งลงข้างตัวท่านพร้อมเอ่ยปลอบใจ “คุณน้าอย่าโมโหเลยค่ะ เดี๋ยวจะทำร้ายร่างกายเปล่าๆ”

คุณหญิงเฉียวกลัวว่าเธอจะคิดมากเลยหันไปจับมือเธอไว้ “ฉันไม่เป็นอะไร เป็นเพราะไม่มีใครห้ามซือเหิงก็เลยเป็นแบบนี้ อีกหน่อยถ้าเธอแต่งเข้ามาเขาก็คงจะเก็บใจได้เองรู้ไหม?”

“จริงหรอคะ?” เหวินหย่าเอ่ยถามอย่างน้อยใจ

เมื่อเห็นว่าเฉียวซือเหิงกับฟางมี่สนิทสนมกันแบบนี้ เธอก็รู้สึกเสียใจมาก แล้วรู้สึกผิดหวังกับเฉียวซือเหิงมากด้วย

“แน่นอน ผู้ชายก็เป็นแบบนี้ไม่ใช่เหรอ?” คุณหญิงเฉียวยิ้มอ่อนแล้วตบหลังมือเธอเบาๆ “เธอไว้ใจเถอะ มีฉันอยู่เขาไม่กล้าทำอะไรแน่นอน”

เหวินหย่าที่รู้สึกผิดหวังมาก พอได้ยินคุณหญิงเฉียวเอ่ยพูดแบบนี้ความมั่นใจก็ค่อยๆเพิ่มขึ้ม

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

Status: Ongoing
ไป๋มู่ชิงเคยได้ยินเรื่องเล่าตั้งแต่เด็กว่า ตระกูลหนานกงในเมืองซีเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุด แต่น่าเสียดายที่คุณชายใหญ่ของตระกูลกลับป่วยเป็นโรคประหลาด โรคที่เขาเป็นจะทำให้เขามีอายุอยู่ได้ไม่ถึงอายุ30ปี ไป๋มู่ชิงยังได้ยินมาอีกว่า คุณชายหนานกงเฉินแต่งงานใหม่ทุกๆปี แต่เจ้าสาวของเขากลับมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงวันต่อมาหลังคืนเข้าหอ แต่ไม่ทราบสาเหตุของการแต่งงานและยังไม่ทราบถึงสาเหตุการเสียชีวิตของเจ้าสาวด้วย เมื่อตระกูลหนานกงได้ส่งของหมั้นมาให้ตระกูลไป๋ ไป๋มู่ชิงก็คิดไม่ถึงว่าพ่อของเธออยากจะปกป้องชีวิตพี่ของเธอไว้ถึงขนาดผลักเธอเข้าไปในประตูนรกอย่างโหดร้าย บังคับให้เธอแต่งงานกับหนานกงเฉินเป็นเจ้าสาวคนที่เจ็ดของเขา แทนพี่สาวของเธอ

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท