เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด – บทที่ 278 ให้ทางเลือกสองทาง

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

เมื่อซูซี่ลงรถมา จึงมองเห็นเฉียวซือเหิงกำลังยืนพิงกำแพงมุมลิฟต์อยู่ด้วยสีหน้าอันนิ่งเรียบ เห็นได้ชัดว่าจงใจมายืนรอเธอ

เห็นดังนั้นเธอจึงตกตะลึงไปทันควัน จากนั้นก็ได้สาวเท้าเดินเข้าไปหาพร้อมจ้องหน้าเขาแสร้งทำสีหน้าสงบนิ่ง : “คุณมาทำไม ?”

“ต้องถามด้วยเหรอ ? แน่นอนว่ามารอเธอไงล่ะ” เฉียวซือเหิงกวาดสายตามองเธอ จากนั้นก็กล่าวยั่วเย้า : “จะย้ายบ้านพรุ่งนี้ใช่ไหม ? ให้ฉันมาช่วยไหม ?”

“ไม่ต้อง ขอบใจ” ซูซี่จ้องหน้าเขา : “ที่คุณมาที่นี่มีธุระอะไรกันแน่ ?”

“มาเยี่ยมลูกชายกับเยี่ยมเธอไง” น้ำเสียงของเฉียวซือเหิงสบายลง มือหนึ่งล้วงกระเป๋าอยู่ พลางจ้องหน้าเธอตาเขม็ง มองดูใบหน้าของเธอที่เปลี่ยนเป็นซีดเซียว มองสายตาอันตกตะลึงปนหวาดกลัวของเธอ

ซูซี่อึ้งไป คาดไม่ถึงว่าเขาจะพูดเช่นนี้ออกมา และมั่นใจว่าเสี่ยวกว้านเป็นลูกชายของตัวเองเสียขนาดนั้น

หลังจากที่ยืนอึ้งอยู่เนิ่นนาน เธอจึงกล่าวขึ้นด้วยความกระวนกระวาย : “เสี่ยวกว้านไม่ใช่ลูกชายคุณ !”

“เมื่อกี้ฉันขึ้นไปหาเขาแล้ว ฉันยังรับปากเขาไว้ด้วยว่าต่อจากนี้จะอยู่กับเขา” เฉียวซือเหิงยิ้มอ่อน : “จริงสิ วันนั้นตอนที่เธอพลัดหลงกับเสี่ยวกว้านที่โรงจอดรถ เสี่ยวกว้านเอาแต่เรียกฉันว่าคุณพ่อ ตอนนั้นเป็นเพราะเขาใส่ผ้าปิดปากเพราะงั้นฉันเลยมองไม่ออก แต่พอเห็นหน้าเขาวันนี้……”

เฉียวซือเหิงส่ายหน้า และชายตามองเธอ : “คุณหนูซู ฉันอยากรู้จริง ๆ ว่าเธอกับผู้ชายคนไหนกันที่มีลูกชายที่หน้าตาเหมือนฉันได้แบบนี้”

“ฉัน……” ซูซี่กระส่ายกระสับยิ่งขึ้น

ทำอย่างไรดี ดูเหมือนว่าคำพูดปลดจะไร้ประโยชน์กับเขาไปเสียแล้ว

“เวลานี้ เธอยังอยากย้ายบ้านอีกงั้นเหรอ ?” เฉียวซือเหิงกล่าว : “ถ้าให้ฉันแนะนำนะ ไม่ต้องย้ายบ้านหรอกขอยืมคำพูดของหมอนั่นหน่อยก็แล้วกัน ไม่ว่าเธอจะไปที่ไหนถึงยังไงฉันก็จะติดตามเธอไปเรื่อย ๆ นอกจากเธอจะเอาเสี่ยวกว้านทิ้งไว้ให้ฉัน”

“ไม่ได้ !” เมื่อซูซี่ได้ยินเขาพูดว่าต้องการแย่งเสี่ยวกว้านไปจากเธอ จึงส่ายหน้าด้วยความร้อนรนใจแล้วพูดว่า : “เฉียวซือเหิง คุณต้องการอะไรฉันให้คุณได้หมดแต่เสี่ยวกว้านไม่ได้ ตอนนั้นที่ออกจากบ้านตระกูลเฉียวฉันไม่ได้เอาอะไรจากตระกูลเฉียวมาเลยสักแดงเดียว นอกจากเสี่ยวกว้าน……เสี่ยวกว้านคือชีวิตของฉัน เป็นกำลังใจหนึ่งเดียวในตอนนี้ของฉัน”

“ตอนนั้นเขาอยู่ในท้องฉันยังไม่ได้เป็นตัวอ่อนฉันตัดใจเอาเขาออกไม่ลง ตอนนี้ไม่ง่ายเลยกว่าจะเลี้ยงเขามาจนโตได้ ฉันไม่มีทางยกเขาให้กับคุณหรอก ได้โปรดอย่าทำให้ฉันลำบากใจเลย ขอร้องละ……” เมื่อพูดถึงสุดท้าย ซูซี่เริ่มกล่าวอ้อนวอนขึ้นมา

เฉียวซือเหิงมองสีหน้าที่อ้อนวอนของเธอ กลับยิ้มขึ้นพร้อมพูดว่า : “คุณหนูซูที่เย่อหยิ่งมาทั้งชีวิตขอร้องฉันเนี่ยนะ ? เป็นครั้งแรกเลยนะเนี่ย”

ซูซี่ก้มหน้าลง ขอเพียงแค่เขาไม่พาเสี่ยวกว้านไป เธอจะข้อร้องเขาสักหน่อยจะเป็นอะไรไป

“แต่ว่าตอนนั้นฉันบังคับให้เธอมีลูกคนนี้ยังไงนะ เธอน่าจะจำได้ใช่ไหม ? เพื่อที่จะให้เธอเก็บเด็กคนนี้ไว้ฉันเลยล้มเลิกการยื่นอุทธรณ์ ฉันถึงขั้นยินยอมทำตามที่เธอต้องการ เธอคิดว่าความรักที่ฉันมีต่อเด็กคนนี้น้อยกว่าเธองั้นเหรอ ? หรือเธอคิดว่าฉันเสียสละน้อยกว่าเธอ ?”

เฉียวซือเหิงกอดอก สายตาที่จับจ้องใบหน้าของเธอมีความถากถาง : “เธอคิดว่าฉันจะปล่อยเด็กคนนี้ไปอย่างนั้นเหรอ ?”

“ไม่……”

เฉียวซือเหิงไม่ให้โอกาสเธอในการปฏิเสธ เขากล่าวตัดทบเธอทันควัน : “คุณหนูซู ในเมื่อเธอรู้แล้วว่าตอนนี้เธอไม่มีอะไรนอกจากเสี่ยวกว้าน ถ้างั้นก็ควรรู้ว่าตัวเองไม่มีความสามารถที่จะช่วงชิงสิทธิการเลี้ยงดูลูกได้เลยแม้แต่น้อย ถ้าไม่อยากให้เรื่องวุ่นวายจนขึ้นโรงขึ้นศาลและยังทำให้เป็นเรื่องราวใหญ่โตอีก ก็ทำตามที่ฉันบอกอย่างว่าง่ายซะ”

“คุณจะเอายังไงกันแน่ ?”

“ให้ทางเลือกสองทาง คือคืนเสี่ยวกว้านให้ตระกูลเฉียว หรือว่าเธอพาเสี่ยวกว้านกลับบ้านตระกูลเฉียวไปด้วยกัน”

“ความหมายของคุณคือ……เราสองคนแต่งงานกันใหม่งั้นเหรอ ?”

“เพื่อให้ครอบครัวที่สมบูรณ์แบบกับเสี่ยวกว้าน นี่คือวิธีที่ดีที่สุด”

“ฉันไม่ต้องการ” ซูซี่ปฏิเสธทันควัน จากนั้นก็จ้องหน้าเขาตาเขม็ง : “คุณไม่ต้องห่วงนะ ฉันจะพยายามด้วยตัวเองอย่างเต็มที่เพื่อเอาชนะคดีให้ได้ สรุปคือฉันไม่มีวันยกเสี่ยวกว้านให้คุณ และไม่มีวันแต่งงานใหม่กับคุณด้วย”

เธอไม่ต้องการแต่งงานกับเขาใหม่แต่อย่างใด เขาเพิ่งออกจากเรือนจำมาหนึ่งเดือนก็มีคู่หมั้นแล้ว สันดอนขุดได้ สันดานขุดไม่ได้เสียจริง !

“ชนะแล้วยังไงต่อ ?” เฉียวซือเหิงขมวดคิ้ว : “พาเสี่ยวกว้านใช้ชีวิตอันแสนเข็นแบบนี้ต่อไปอย่างนั้นเหรอ ? การที่เธอได้รับการบรรเทาทางจิตใจไปทั้งชีวิต เธอก็รู้สึกสบายใจแล้วงั้นเหรอ แต่เธอเคยคิดถึงเสี่ยวกว้านบ้างไหม เธอไม่ละอายใจต่อเสี่ยวกว้านหรือไง ? ในฐานะที่เป็นทายาทคนแรกของครอบครัวตระกูลเฉียว สุดท้ายกลับไม่ได้รับช่วงต่อจากตระกูลเฉียวเลยแม้แต่อย่างเดียว เธอคิดว่าถ้าเขาโตไปแล้วจะโทษเธอหรือเปล่า ? ภรรยาของเขา ลูกชายลูกสาวของเขาจะโทษเธอหรือเปล่า ?”

ซูซี่ได้ยินคำพูดของเขาจนเป็นใบ้ไปชั่วขณะ เรื่องราวเช่นนี้เธอไม่เคยคิดมาก่อนเลยจริง ๆ เนื่องจากอันที่จริงแล้วเมื่อถึงวันนั้นยังเหลือเวลาอีกยาวไกล

ทว่าเมื่อได้ยินที่เขาพูดมาเช่นนั้น เธอไม่ยอมรับไม่ได้ว่าความจริงแล้วที่เขาพูดนั้นมีเหตุผลอยู่มาก หากเสี่ยวกว้านอยู่กับเธอ เติบโตไปแล้วโชคชะตาของเขาคงทำได้เพียงเรียนจบ หางานทำ ดิ้นรนต่อสู้อยู่ภายนอกเพื่อเลี้ยงดูครอบครัวเหมือนอย่างเช่นคนธรรมดาทั่วไป อีกทั้งยังไม่แน่ว่าจะหางานเจอหรือไม่อีกด้วย ทว่าถ้าหากอยู่กับเฉียวซือเหิง ในอนาคตเขาจะต้องกลายเป็นเฉียวซือเหิงคนที่สอง ที่ไม่ต้องกังวลเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ รวมถึงการงาน ได้ใช้ชีวิตอยู่บนสังคมชั้นสูงอย่างเช่นปลาได้น้ำทุกวัน

“เสี่ยวกว้าน……เขาจะต้องได้ใช้ชีวิตที่ดีมากแน่นอน ฉันเชื่อ” เธอกล่าวขึ้นมาด้วยความรู้สึกไม่มีความมั่นใจ

เฉียวซือเหิงขมวดคิ้วมากขึ้นกว่าเดิม พร้อมจ้องหน้าเธอแล้วถามว่า : “ตอนนั้นที่เธอผลักไสฉันเข้าคุกไปฉันให้อภัยเธอได้ ยอมรับเธอได้เพื่อเสี่ยวกว้าน มันเป็นเพราะอะไรกันแน่ที่เธอไม่ยอมกลับมาอยู่ข้างกายฉัน ? เพื่อผู้ชายคนเมื่อกี้น่ะเหรอ ? แต่เท่าที่ฉันดูเธอไม่สนใจเขาเลยแม้แต่น้อย ทั้งตามนิสัยของเธอแล้วเธอไม่ชายตามองคนโง่แบบนั้นด้วยซ้ำ”

“คุณด่าเขาว่าอะไรนะ ? คุณไปด่าเขาว่าคนโง่ได้ยังไง ?” ซูซี่อดไม่ได้จนต้องเอ่ยขึ้นปกป้องเหลียนเฟย

แม้ว่าเหลียนเฟยจะน่ารำคาญมาก ครั้นถึงอย่างไรเขาก็เป็นผู้ที่เป็นห่วงเป็นใยเธอจากใจจริง และเป็นเพื่อนที่แสนดีข้างกายเธอเพียงหนึ่งเดียวที่พึ่งพาได้ โดยสามารถตีและด่าได้ เธอสามารถด่าทอเขาได้ ทว่าเธอไม่ชอบให้ผู้อื่นมาด่าเขา

“โอเค เขาไม่โง่ เขาแอ๊บแบ๊วน่ารักมาก”

“ใช่ เขาไม่ได้ฉลาดมีความสามารถเหมือนคู่หมั้นคนนั้นของคุณ แต่ตอนนี้ฉันชอบผู้ชายที่ใสซื่อแบบนี้แหละพอใจหรือยัง ?” ซูซี่กล่าวจบก็หันหลังเดินไป คิดไม่ถึงว่าเธอเพิ่งก้าวเข้าลิฟต์ได้หนึ่งก้าว เฉียวซือเหิงก็เดินตามเข้ามามาจากด้านหลังทันที

“คุณจะเอายังไงกันแน่ ?” ซูซี่จ้องเขาตาเขม็ง

“กะอีแค่เกาะแกะไม่หยุดเอง ฉันก็ทำได้” เฉียวซือเหิงกล่าวด้วยสีหน้าไร้น้ำใจ

กลยุทธ์ของเขาเมื่อก่อนคือตามหาผู้หญิงมากมายมากระตุ้นเธอ ดื้อรั้นแข่งกับเธอ ทว่าในเมื่อวิธีเหล่านั้นใช้ไม่ได้ผลกับเธอ เขาจึงทำได้เพียงเปลี่ยนรูปแบบใหม่เท่านั้น

“เฉียวซือเหิง คุณทำอย่างนี้จะทำให้ฉันและเสี่ยวกว้านได้รับอันตรายเข้าใจไหม ? ตอนนั้นเพราะฟางมี่ฉันเกือบถูกเสี่ยวกว้านทำร้าย ตอนนี้ยังมีคู่หมั้นคนใหม่อีก ฉัน……” ซูซี่ยังไม่ทันได้กล่าวจบ ก็รู้สึกเพียงว่าเบื้องหน้าดำมืดลง ร่างกายของเฉียวซือเหิงโถมเข้ามาดันเธอหลังชิดเข้ามุมลิฟต์ทันที

เขาประกบริมฝีปากเข้ากับริมฝีปากของเธอ จากนั้นก็พรมจูบอย่างลึกซึ้ง

ซูซี่ชะงักไป นิ้วมือที่วางอยู่บนปุ่มกดปิดประตูคลายออก ลิฟต์เริ่มขึ้นไปชั้นบนทันที

เธอจ้องใบหน้าที่อยู่ใกล้ของเขาด้วยความโมโห สองมือผลักหน้าอกเขาสองครั้ง ครั้นเฉียวซือเหิงกลับไม่คลายเธอออก พรมจูบเธอต่อไปอย่างนั้น

เวลาต่อมาเสียงลิฟต์ดังขึ้น ‘ติ๊ง’ มาหยุดอยู่ชั้นที่ซูซี่พำนักอยู่ เฉียวซือเหิงโอบร่างของเธอไว้ กลับหลังหันพาเธอเดินออกจากลิฟต์ จากนั้นก็กดเธอเข้ากับกำแพงข้าง ๆ และในที่สุดเขาก็คลายเธอออก พร้อมก้มมองหน้าเธอแล้วพูดว่า : “ฉันรู้ว่าเธอไม่มีทางมองไอ้แอ๊บแบ๊วนั่นหรอก แต่เธอกลับมองไม่ออกว่าฉันไม่มีความรู้สึกอะไรกับคุณหนูเหวินนั่นเลยงั้นเหรอ ?”

“เธอเข้าไปอาศัยที่บ้านตระกูลเฉียวแล้วไม่ใช่หรือไง ? ไม่ใช่คู่หมั้นของคุณหรอกเหรอ ?” ซูซี่กล่าวขึ้นมาด้วยความรู้สึกขุ่นเคือง

“เขาคือคู่แต่งงานที่แม่ฉันเลือกให้ แต่ไม่ใช่คนที่ฉันเลือก เธอน่าจะรู้ว่านอกจากเธอแล้วฉันก็ไม่เห็นผู้หญิงคนไหนอยู่ในสายตาอีกเลย”

ซูซี่คาดไม่ถึงว่าเขาจะสารภาพรักกับตนเองในเวลานี้ จึงตะลึงงันไปทันที

เขาแทบจะไม่เคยพูดคำพูดเช่นนี้กับเธอด้วยสีหน้าจริงจังขนาดนี้มาก่อน ไม่เคยเลย !

“คุณไม่เกลียดฉันเหรอ ?” ซูซี่เงยหน้ามองเขา

“ไม่เกลียด ฉันรู้ว่าเธอสับสนเนื่องจากฟางมี่”

“คุณรู้เรื่องแล้ว ?”

“รู้แล้ว ฉันทรมานเขาอย่างเวทนาแล้วด้วย” เฉียวซือเหิงจ้องหน้าเธอ พร้อมกล่าวขึ้นด้วยสีหน้าแน่นิ่ง : “ความจริงแล้วฉันอยากถามเธอมาโดยตลอดว่า ถ้าตอนนั้นไม่มีฟางมี่เล่นแง่อยู่เบื้องหลัง เธอจะยังเป็นพยานให้หนานกงเฉินอยู่หรือเปล่า ?”

“ฉันคิดว่าคงทำ” ซูซี่กล่าวจบก็เบือนหน้าหนีไปอีกทาง

สีหน้าของเฉียวซือเหิงเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย : “ทำไม ?”

“เพราะฉันอยากหย่ากับคุณ” ซูซี่เงยหน้าจ้องเขา : “เฉียวซือเหิง คุณน่าจะรู้ว่าฉันอยากหย่ากับคุณมาตลอด เพียงแค่ไม่ได้พูดขึ้นเพราะเห็นแก่หน้าตาของคุณนายเฉียว”

เฉียวซือเหิงพยักหน้า ประเด็นนี้เขาชัดเจนแก่ใจดี

ซูซี่สูดหายใจเข้าเบา ๆ จ้องหน้าเขาแล้วกล่าวว่า : “ปล่อยฉันออกได้ยัง ? ฉันต้องกลับไปเอาเสี่ยวกว้านเข้านอน ”

เฉียวซือเหิงถอยหลังไป ซูซี่จึงหันหลังพร้อมเดินไปประตูห้องข้าง ๆ แล้วป้อนรหัสผ่านบนตัวล็อกประตู ขณะที่เธอผลักเปิดประตูห้องนั้น ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของเสี่ยวกว้านที่กำลังวิ่งเข้ามาจากข้างใน แถมยังเรียกขึ้นด้วยความรู้สึกตื่นเต้นดีใจอีกว่า : “คุณพ่อกลับมาแล้ว……!”

เมื่อเขาเห็นว่าคนที่มาเปิดประตูคือซูซี่ จึงหยุดชะงักไป รอยยิ้มบนใบหน้าก็เจือจางไปเช่นกัน ครั้นกลับกลายเป็นความหวาดกลัวผุดขึ้นมาแทน เนื่องจากซูซี่ห้ามไม่ให้เขาพูดถึงคุณพ่อ

“เสี่ยวกว้านคิดถึงคุณแม่ไหมคะ ?” ซูซี่ย่อตัวลงไป โอบกอดเสี่ยวกว้านเข้าสู่อ้อมแขน รู้สึกอิ่มเอมหัวใจขึ้นมาทันที

เธอเป็นห่วงว่าในสักวันเสี่ยวกว้านจะจากเธอไปไม่เป็นของเธออีกต่อไปแล้ว

“คิดถึงครับ” เสี่ยวกว้านกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลจบแล้ว จึงกล่าวขึ้นต่อว่า : “คุณแม่ครับ เมื่อกี้คุณพ่อมาหาเสี่ยวกว้านด้วย เสี่ยวกว้านไม่ได้โกหกนะครับ”

“แม่รู้จ้ะ” ซูซี่สูดหายใจเข้าเบา ๆ ด้วยความแสบจมูก

“แต่ว่าคุณพ่อไม่รักษาคำพูด คุณพ่อบอกว่าจะมานอนเป็นเพื่อนผม ตอนนี้ยังไม่กลับมาเลย” ใบหน้าของเสี่ยวกว้านเต็มไปด้วยความผิดหวัง

ในที่สุดเฉียวซือเหิงที่ยืนอยู่หน้าประตูมาตั้งแต่ต้นก็เดินออกมา จากนั้นก็ดึงเสี่ยวกว้านที่อยู่ในอ้อมกอดของซูซี่ออกมา พร้อมทั้งลูบศีรษะน้อย ๆ ของเขาแล้วกล่าวว่า : “ใครบอกว่าคุณพ่อไม่รักษาคำพูดล่ะครับ ? คุณพ่อกลับมาแล้วนี่ไง ?”

“คุณพ่อ –!” ใบหน้าที่เดิมทีเต็มไปด้วยความผิดหวังของเสี่ยวกว้านได้กลายเป็นความดีใจขึ้นมาชั่วพริบตา เขามองเฉียวซือเหิงแล้วกล่าวว่า : “คุณพ่อกลับมาอยู่กับเสี่ยวกว้านแล้วจริง ๆ เหรอครับ ? ไม่ไปไหนแล้วใช่ไหมครับ ?”

“อืม ไม่ไปไหนแล้วครับ” เฉียวซือเหิงโผกอดเขาที่ขณะนี้กำลังดีใจสุดขีดในอ้อมแขน

เมื่อเห็นท่าทีอันสนิทสนมกันของสองพ่อลูก ซูซี่ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็รู้สึกชาที่หัวใจ ไม่ทราบว่าเป็นความรู้สึกดีใจหรือว่าเป็นกังวลใจกันแน่

เรื่องราวดำเนินการมาจนจึงถึงขั้นนี้ เธอยังสามารถไปห้ามปรามไม่ให้สองพ่อลูกเจอหน้ากันได้อย่างไร ? และจะให้พวกเขาแยกจากกันได้อย่างไร ?

จนกระทั่งเสี่ยวกว้านเข้าสู่ห้วงนิทราแล้ว เฉียวซือเหิงค่อยออกจากบ้านของซูซี่ ก่อนที่จะกลับเขายังไม่ลืมที่จะหันหน้ามาจ้องหน้าเธอแล้วกล่าวว่า : “เธอไม่ต้องคิดเรื่องย้ายบ้านแล้ว เธอหนีไปไหนไม่พ้นหรอก”

ซูซี่ฟังคำขู่ของเขา ยืนอยู่ข้างประตูอยู่อย่างนั้นโดยไม่เอ่ยอันใดสักคำ

เฉียวซือเหิงยื่นมือออกมา จากนั้นก็ใช้มือบีบคางเธอเชิดขึ้น พร้อมโน้มตัวลงไปพรมจูบริมฝีปากของเธอ เมื่อพบว่าเธอไม่มีการขัดขืนจึงยิ้มขึ้นอย่างร้ายกาจแล้วพูดว่า : “ฉันชอบท่าทางที่เชื่อฟังแบบนี้ของเธอจริง ๆ”

“คุณรังแกฉันจนถึงขั้นนี้แล้ว ฉันยังทำอะไรได้อีก ?” ซูซี่ยิ้มขมขื่นอย่างดูถูกตัวเองขึ้นมา

“หลังจากเป็นแม่คนแล้วนิสัยอ่อนโยนขึ้นเยอะจริง ๆ ด้วย” เฉียวซือเหิงพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ หากเปลี่ยนเป็นเธอในเมื่อก่อนคงระเบิดอารมณ์ไปตั้งนานแล้ว จะยืนให้เขาจุมพิต ให้เขาข่มขู่แต่โดยดีเช่นนี้ได้อย่างไร ? เขาชักมือออกจากคางของเธอแล้วกล่าวว่า : “พรุ่งนี้ฉันจะมาหาเธอกับเสี่ยวกว้านอีก”

ซูซี่ยังคงไม่เอ่ยอันใดเช่นเคย ครั้นสะบัดมือปิดประตูใหญ่ทันที

เฉียวซือเหิงมองบานประตูที่ถูกปิดไปแล้วเบื้องหน้า หลังจากที่ยืนเหม่อลอยอยู่ที่เดิมเป็นระยะเวลาที่เนิ่นนานแล้วนั้น มุมปากจึงผุดรอยยิ้มเจือจางขึ้นมา

เมื่อสักครู่ที่เขามาหาเสี่ยวกว้านที่นี่ เมื่อเห็นใบหน้าเล็ก ๆ อันคล้ายคลึงกับตนเองเป็นอย่างมากของเสี่ยวกว้านแล้วนั้น เขาจ้องมองไปชั่วครู่ก็ขอบตาแดงขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว แม้แต่คุณป้าแม่บ้านเองก็ยังคิดว่าเขาเป็นอะไรไป

เขาคิดไม่ถึงโดยสิ้นเชิงว่าใบรายงานการแท้งลูกที่ซูซี่ให้เขาดูในตอนนั้นจะเป็นของปลอม และคิดไม่ถึงโดยสิ้นเชิงว่าตนเองจะมีลูกชายแถมยังอายุสองขวบกว่าแล้วเช่นกัน ทั้งยังเป็นลูกที่ซูซี่คลอดออกมาเพื่อเขาอีกด้วย เพียงแค่คิดถึงว่าในเส้นเลือดของเสี่ยวกว้านมีเลือดของเขาและซูซี่ปนอยู่ด้วย เขาก็รู้สึกตื่นเต้นและประทับใจขึ้นมาทุกครา

ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา สิ่งที่เขาต้องการที่สุดก็คือการที่สามารถมีใจที่ตรงกันกับซูซี่ได้ มีลูกที่เป็นของเขาและของเธอ ความปรารถนานี้ได้สลายไปขณะที่ซูซี่นำใบรายงานการแท้งลูกมาให้เขาดูเมื่อสามปีก่อนแล้ว ดังนั้นสามปีมานี้เขาจึงไร้ซึ่งความปรารถนาใด ๆ เมื่ออยู่ในคุก ซึ่งตรงกันข้ามกับทุกคนที่ต่างก็ขยันขันแข็งในการประพฤติตนให้ดีเพื่อที่จะได้ออกจากคุกเร็ว ๆ มีเพียงเขาเท่านั้นที่มีท่าทีไม่เดือดเนื้อร้อนใจอันใด

ครั้นการปรากฏตัวของเสี่ยวกว้าน ได้จุดประกายความหวังของเขาขึ้นมาอีกครา อีกทั้งยังทำให้ความปรารถนาของเขาเป็นจริงได้เกินครึ่งแล้ว

เขาไม่ทราบว่าซูซี่จะรักตนเองหรือไม่ ทว่าเขามีความอดทนในการเสียเวลากับเธอ มีความอดทนในการรอคอยเธอเหมือนเช่นที่ผ่านมา

หลังจากที่ออกจากบ้านของซูซี่ ในที่สุดความรู้สึกที่มืดมนมาสามปีของเฉียวซือเหิงก็เบิกบานขึ้นมา แม้แต่ความเร็วของการขับรถก็ช้าลงมาก เขาลดกระจกรถลงทั้งสองข้าง โต้ลมกลับบ้านตลอดทาง

ขณะที่เขากลับถึงบ้านตระกูลเฉียวนั้นก็เป็นเวลาใกล้จะสี่ทุ่มแล้ว ครั้นคิดไม่ถึงว่าคุณนายเฉียวและเหวินหย่าจะยังอยู่ในห้องรับแขกไม่ได้เข้านอน เขาหุบยิ้มทันที พร้อมกล่าวทักทายทั้งสองคน

“ดูอารมณ์ดีนี่” คุณนายเฉียวชายตามองเขา บนใบหน้าเต็มไปด้วยบันดาลโทสะ

“พอได้อยู่ครับ” เฉียวซือเหิงยิ้มอ่อน พร้อมมานั่งลงบนโซฟา เหวินหย่าจึงรีบรินน้ำชาดอกไม้ให้เขาทันทีพร้อมมองหน้าเขา : “มีเรื่องอะไรทำให้มีความสุขแบบนี้เหรอคะ ?”

“อีกเดี๋ยวจะบอกเธอ” เฉียวซือเหิงกระพริบตาให้เธอ

คุณนายเฉียวกล่าวตำหนิขึ้นมา : “ทำไมไม่รับสายแม่ ?”

“แม่โทรหาผมเหรอครับ ?” เฉียวซือเหิงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู : “จริงด้วยนะ สายที่โทรเข้าห้าสาย ขอโทษด้วยนะครับ ตอนที่ประชุมช่วงบ่ายปิดเสียงโทรศัพท์ไว้ไม่ได้ตั้งค่าคืน”

“ฉันบอกแกกี่ครั้งแล้ว ว่าห้ามไปเจอกับผู้หญิงกระหรี่ข้างนอก ทำไมแกไม่ฟังฉันเลย ? แกอยากให้ฉันโกรธใช่ไหม ?” คุณนายเฉียวตบที่วางแขนของวีลแชร์ : “พวกผู้หญิงเหล่านั้นมีอะไรดีเหรอ ? สมกับตระกูลเฉียวของเราไหม ? จะดูแลคนพิการอย่างแม่ด้วยความอดทนเหมือนเสียวหย่าหรือเปล่า ?”

เพื่อให้เหวินหย่ารู้สึกสบายใจ คุณนายเฉียวจึงจงใจด่าทอเฉียวซือเหิงไป จนกระทั่งเหวินหย่าพูดปลอบประโยนข้าง ๆ : “การที่เฉียวออกไปข้างนอกก็ไม่จำเป็นต้องไปหาผู้หญิงเสมอไปนะคะ อย่าโกรธเลยค่ะ รีบกลับห้องไปพักผ่อนเถอะนะคะ”

สิ้นเสียงเธอจึงยืนขึ้นจากโซฟา : “มาค่ะ เดี๋ยวหนูไปส่งคุณป้ากลับไปพักผ่อนที่ห้อง”

“เสียวหย่ารู้สัมมาคารวะที่สุด” เฉียวซือเหิงกล่าวชื่นชมขึ้นมา

ก่อนที่คุณนายเฉียวจะเดินจากไป ยังไม่ลืมที่จะชี้หน้าเขาแล้วพูดว่า : “ฉันจะบอกแกไว้นะ ถ้าไม่มีผู้หญิงคนไหนรู้สัมมาคารวะเท่าเหวินหย่า ฉันไม่ยอมรับให้หล่อนแต่งงานเข้ามาบ้านตระกูลเฉียวหรอก รอดูก็แล้วกันเฉียวซือเหิง !”

“แม่ครับ ผมเข้าใจแล้วครับ อย่าโมโหเลยครับ” เฉียวซือเหิงกล่าวตามแผ่นหลังของเธอไป

หลังจากที่เห็นคุณนายเฉียวกลับเข้าห้องไปแล้ว เฉียวซือเหิงจึงลุกขึ้นจากโซฟาพร้อมเดินขึ้นชั้นบนไป

เขากลับห้องนอน หยิบเสื้อคลุมนอนออกจากตู้เสื้อผ้าแล้วเดินเข้าห้องน้ำ ขณะที่เดินออกมาก็ได้ยินเสียงคนเคาะประตูพอดี จึงกล่าวขึ้นมา : “เข้ามาได้”

บานประตูเปิดออก เหวินหย่าถือน้ำเชื่อมพุทราเม็ดบัวอ่อนเข้ามาด้วย เธอยิ้มขึ้นแล้วกล่าวว่า : “คุณชายเฉียวคะ นี่คือน้ำเชื่อมที่น้าหงเคี่ยวไว้คืนนี้ค่ะ ดื่มสักหน่อยแล้วค่อยเข้านอนนะคะ” เธอกล่าวพร้อมวางถ้วยน้ำเชื่อมลงบนโต๊ะ

เฉียวซือเหิงกวาดสายตามองถ้วยน้ำเชื่อมแล้วกล่าวขึ้นว่า : “ขอบใจนะ”

“ไม่เป็นไรค่ะ พักผ่อนเร็ว ๆ นะคะ” แม้เหวินหย่าจะพูดเช่นนี้ ครั้นกลับไม่มีท่าทีว่าจะออกจากห้องไปเลยแม้แต่น้อย

เฉียวซือเหิงในวันปกติก็น่าหลงใหลมากพออยู่แล้ว ในเวลานี้เขาเพิ่งเดินออกจากห้องน้ำมา……ช่างน่าหลงใหลจนเธอเขินอายไม่กล้ามองหน้าเขาตรง ๆ

เฉียวซือเหิงนั่งลงบนโซฟา แล้วพูดกับเธอว่า : “เหวินหย่า ฉันยังไม่พูดขอบคุณกับเธออย่างเป็นทางการเลย”

“ขอบคุณฉันเหรอคะ ? ขอบคุณอะไรฉันคะ ?” เหวินหย่ามองหน้าเขาด้วยความไม่เข้าใจ จากนั้นก็เดินมานั่งลงบนโซฟาฝั่งตรงข้ามตามการส่งสัญญาณของเฉียวซือเหิง

“เธอส่งรูปของเสี่ยวซี่มาให้ฉันอย่างยากลำบาก แถมยังทำให้ฉันเจอกับซูซี่ที่โรงละครใหญ่อีก และทำให้ฉันค้นพบตัวตนของเสี่ยวกว้านด้วย เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องที่น่าทึ่งและสำคัญมากสำหรับฉัน ฉันจะไม่ขอบคุณเธอได้ยังไง ?”

เมื่อได้ยินเขาพูดมาเช่นนี้ เหวินหย่าจึ้งอ้าปากค้างเป็นใบ้ไปชั่วขณะ

เขาทราบเรื่องหมดแล้วหรือนี่ !

ครั้นเขาหมายความว่าอย่างไร ? ตำหนิเธอ ? หรือว่า……

ในช่วงเวลาที่เธอกำลังคิดไปต่าง ๆ นานาแล้วนั้น เฉียวซือเหิงกลับยิ้มขึ้น : “ไป๋มู่ชิงคนโง่นั่นเป็นผู้หญิงที่มีเมตตาจนไม่มีขอบเขตที่สุดเท่าที่ฉันเคยเจอมา และเธอก็คือเลขาผู้หญิงที่มีเมตตาที่สุดเท่าที่ฉันเคยเจอมาเหมือนกัน เลขาของคนอื่นมีแต่จะคิดหาวิธีทุกวิถีทางในการยั่วยวนเจ้านาย แต่ว่าเธอกลับเสียสละไปมากมายเพื่อทำให้ฉันได้กลับมาคืนดีกับซูซี่ ฉันรู้สึกประทับใจและซาบซึ้งใจจริง ๆ”

สีหน้าของเหวินหย่าแดงก่ำขึ้นมา เธอรู้สึกอึดอันจนอยากมุดเข้าไปในรู

เฉียวซือเหิงกล่าวต่อว่า : “เสียวหย่า ฉันคิดว่าการที่เธออยู่ตรงกลางระหว่างฉันกับแม่ฉันอยู่จะต้องลำบากใจมากเลยใช่ไหม ขอโทษจริง ๆ นะ แต่ว่าเธอทำเพื่อฉันมาเยอะแล้ว ฉันไม่อาจให้เธอลำบากใจเพื่อฉันต่อไปได้อีก เพราะงั้นเธอไม่ต้องห่วงนะ ฉันจะไปคุยกับคุณแม่โดยเร็วให้ท่านไม่ทำให้เธอลำบากใจอีกต่อไป”

เฉียวซือเหิงหยุดพูดไปสักครู่ เวลาต่อมาจึงพูดขึ้นอีกว่า : “ผู้หญิงที่มีเมตตาอย่างเธอ ไม่ว่าจะเป็นผู้ชายคนไหนคงชอบเธอแน่นอน ถ้าไม่ใช่ว่าฉันมีซูซี่อยู่แล้ว ฉันจะต้องไม่ปล่อยเธอไปแน่ แค่น่าเสียดายที่……” เขาหุบยิ้มแล้วส่ายหน้า : “โชคชะตาไม่ได้อยากให้เราอยู่ด้วยกัน”

เหวินหย่านั่งฟังคำพูดของเขา และมองใบหน้าอันยิ้มแย้มของเขา ภายในใจเดือดดาลขึ้นมาจนกัดฟันกรอบ

คนชั่วเฉียวซือเหิงแม้แต่การไล่ผู้อื่นก็ยังสามารถไล่อย่างมีการศึกษาด้วยท่าทีที่หวังดีต่อเธอโดยสิ้นเชิงได้ถึงเพียงนี้ อีกทั้งยังใช้วิธีนี้ทำให้เธออับจนหนทาง และพูดประจบเธอให้ดูเหมือนเป็นคนที่มีเมตตา หากว่าเธอไม่ไปจากเขาก็จะกลายเป็นคนไม่มีเมตตา จะกลายเป็นเลขาผู้น่าไม่อายที่ทำทุกวิถีทางในการยั่วยวนเจ้านายอย่างที่เขาพูดมา

หากว่าตอนนี้เธอยืนขึ้นแล้วโต้แย้งเขา บอกเขาว่าตนเองไม่ใช่คนที่มีเมตตาอย่างเช่นที่เขาคิด เช่นนั้นก็แสดงว่าเธอยอมรับแล้วว่าตนเป็นคนที่ส่งรูปเข้าโทรศัพท์เขา วางแผนให้เขาเจอหน้าซูซี่โดยมีเจตนาที่ร้ายกาจอย่างเห็นได้ชัดไม่ใช่หรือ ? เฉียวซือเหิงก็พูดแล้วว่าเขาชอบผู้หญิงที่มีเมตตา ผู้หญิงที่ชั่วร้ายอย่างเธอเขาจะหลงรักได้อย่างไร

บางทีเขาอาจขับไสไล่ส่งเธอออกจากบ้านตระกูลเฉียวอย่างรุนแรงเนื่องจากความโมโหด้วย

เธอสูดหายใจเข้าลึก จากนั้นก็ถอนหายใจออกยาว ๆ พยายามรักษารอยยิ้มบนใบหน้าต่อไป

มาคิด ๆ ดูแล้ว……อันที่จริงการที่เฉียวซือเหิงทำเช่นนี้ก็คือว่าเป็นการรักษาหน้าของเธอและให้ทางออกอันสมบูรณ์แบบต่อเธอใช่หรือไม่ ? ท่าทีของเฉียวซือเหิงในเวลานี้ได้ชัดเจนมากแล้ว ว่าเขาจะรับซูซี่และเสี่ยวกว้านกลับบ้าน สำหรับเธอจะถูกไล่ออกไปด้วยความเย็นชาในฐานะผู้หญิงชั่วร้าย หรือว่าจะออกไปโดยไว้หน้าเธออย่างเช่นตอนนี้

เขาเลือกตัวเลือกสุดท้าย เช่นนั้นเวลานี้ก็ถึงตาที่เธอต้องเลือกแล้ว

เธอยังต้องการแย่งชิงเป็นครั้งสุดท้ายต่อหรือไม่ ? ทำเช่นนั้นแล้วจะมีความหมายหรือไม่ ? จะได้ผลหรือไม่ ? เวลานี้เธอสับสนไปหมดแล้ว

“คุณชายเฉียว……” ผ่านมาเนิ่นนาน เธอจึงปริปากพูดขึ้น : “ฉันยอมรับว่าตอนนั้นฉันเข้ามาบ้านตระกูลเฉียวด้วยความฝันที่ว่าอยากแต่งงานกับคุณจริง ๆ แต่หลังจากนั้นฟางมี่มาหาฉันบอกฉันว่าคุณกับคุณหนูซูยังรักกันอยู่ แถมยังบอกเรื่องเสี่ยวกว้านกับฉันด้วย ในใจฉันเข้าใจดีถึงจุดประสงค์ที่เธอบอกฉันเรื่องเหล่านี้ นั่นมันก็คือต้องการยืมมือฉันในการแก้แค้นให้ตัวเอง ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาฉันไม่ชอบให้คนอื่นหลอกใช้ เพราะงั้น……” เธอฉีกยิ้มขึ้น : “ฉันไม่ได้บอกเรื่องซูซี่กับเสี่ยวกว้านกับคุณโดยตรง แต่ใช้วิธีการทำให้พวกคุณเจอหน้ากัน หลัก ๆ คืออยากลองดูความรู้สึกของคุณและซูซี่ ถ้าพวกคุณไม่ได้รักกันเหมือนที่ได้ยินมา ถ้างั้นฉันก็ยังมีโอกาสไม่ใช่เหรอคะ ?”

เฉียวซือเหิงสบตาเธอ แล้วฉีกยิ้มขึ้น “ถ้างั้นตอนนี้ล่ะ ? เธอได้รับบทสรุปว่าอะไร ?”

“ฉันพบว่าพวกคุณยังรักกันอยู่จริง ๆ ซึ่งมองออกได้จากสายตาที่ทั้งสองคนจ้องกันคืนวันนี้” เธอกล่าว

เฉียวซือเหิงพยักหน้า พร้อมยิ้มขึ้นอย่างขมขื่น : “เสียวหย่า ฉันรักซูซี่มา 15 ปี ระยะเวลาแบบนี้เธอจินตนาการออกใช่ไหม ?”

15 ปี……!

เหวินหย่าตกตะลึงอยู่กับที่ เธอทราบเพียงว่าเฉียวซือเหิงรักซูซี่อย่างสุดซึ้งมาตลอด ครั้นไม่เคยทราบมาก่อนเลยว่าเขารักเธอมา 15 ปี

ความรู้สึกเช่นนี้ มิน่าล่ะทั้งที่ฟางมี่พยายามทุกวิถีทางแล้วก็ยังทำลายลงไม่ได้ !

“ความจริงแล้วมันหาได้ยากมาก”

“เพราะงั้นฉันซาบซึ้งใจในการร่วมมือของเธอจริง ๆ”

“ไม่เป็นไรค่ะ” เธอยิ้มขึ้นอย่างฝืนใจ จากนั้นก็ลุกขึ้นจากโซฟาแล้วมองหน้าเขา : “เอาล่ะค่ะ ดึกมากแล้ว คุณพักผ่อนเร็ว ๆ เถอะนะคะ”

“เธอก็เหมือนกัน” เฉียวซือเหิงยังคงนั่งอยู่บนโซฟาอย่างเกียจคร้านเช่นเคย พร้อมเงยหน้าสบตาเธอ

“และก็พรุ่งนี้ฉันจะย้ายออกจากบ้านตระกูลเฉียวแล้วค่ะ” เธอเองก็ยังคงรักษารอยยิ้มอันเชื่อฟังเช่นเดียวกัน ครั้นในใจกลับรู้สึกเคียดแค้น

เฉียวซือเหิงพยักหน้า : “ดี จากนี้ไปถ้ามีเรื่องทุกข์ร้อนหรือสิ่งที่ต้องการมาหาฉันได้เลย ฉันจะช่วยเหลือเธออย่างเต็มที่แน่นอน”

เหวินหย่าพยักหน้า พร้อมหันหลังเดินออกไป

หลังจากที่ปิดประตูห้องแล้ว อยู่ ๆ เธอก็หยุดชะงัก ถอยหลังไปพิงกำแพงเบา ๆ หากออกมาสงบสติอารมณ์ช้ากว่านี้ เธอกลัวว่าตัวเองคงโมโหจนเป็นลมต่อหน้าเฉียวซือเหิงไปเป็นแน่

เธอเหวินหย่าแม้จะไม่ได้เกิดในตระกูลเศรษฐีอะไร และไม่ได้เก่งมากเท่าไร แต่อย่างน้อยก็หน้าตาดีและมีวุฒิการศึกษา ซึ่งเป็นผู้หญิงที่ชายหลายคนต้องการแต่งงานด้วย การที่ตนแจ้นมาทำตัวน่าโมโหและน่าอับอายอยู่ที่นี่ มันไม่คุ้มค่าเกินไป

ที่เฉียวซือเหิงกล่าวมานั้นคือเรื่องจริงทั้งหมด เธอไม่สามารถโต้เถียงได้และไม่สามารถต่อต้านเขาได้เช่นกัน

อีกทั้งเดิมทีก็เป็นตัวเธอที่แบกหน้าหนาเข้ามายังบ้านตระกูลเฉียวเอง ตอนนี้เขาต้องการไล่เธอออกไป นอกจากเธอต้องออกไปจากที่นี่แล้วยังทำเช่นไรได้อีก ?

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

Status: Ongoing
ไป๋มู่ชิงเคยได้ยินเรื่องเล่าตั้งแต่เด็กว่า ตระกูลหนานกงในเมืองซีเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุด แต่น่าเสียดายที่คุณชายใหญ่ของตระกูลกลับป่วยเป็นโรคประหลาด โรคที่เขาเป็นจะทำให้เขามีอายุอยู่ได้ไม่ถึงอายุ30ปี ไป๋มู่ชิงยังได้ยินมาอีกว่า คุณชายหนานกงเฉินแต่งงานใหม่ทุกๆปี แต่เจ้าสาวของเขากลับมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงวันต่อมาหลังคืนเข้าหอ แต่ไม่ทราบสาเหตุของการแต่งงานและยังไม่ทราบถึงสาเหตุการเสียชีวิตของเจ้าสาวด้วย เมื่อตระกูลหนานกงได้ส่งของหมั้นมาให้ตระกูลไป๋ ไป๋มู่ชิงก็คิดไม่ถึงว่าพ่อของเธออยากจะปกป้องชีวิตพี่ของเธอไว้ถึงขนาดผลักเธอเข้าไปในประตูนรกอย่างโหดร้าย บังคับให้เธอแต่งงานกับหนานกงเฉินเป็นเจ้าสาวคนที่เจ็ดของเขา แทนพี่สาวของเธอ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท