เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด – บทที่ 279 คุณพ่อรอผมอยู่ด้านล่าง

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

ขณะที่ท้องฟ้ากำลังสลัว ๆ นั้น ซูซี่ก็ได้ปลุกเสี่ยวกว้านลุกขึ้นไปปัสสาวะในห้องน้ำเช่นที่เคยทำ

หลังจากที่เสี่ยวกว้านปัสสาวะเสร็จด้วยความสลึมสลือแล้วนั้น ก็ถูกซูซี่อุ้มกลับเตียงด้วยความสลึมสลืออีกครั้ง หลังจากที่ซูซี่ห่มผ้าให้เขาเรียบร้อยแล้วกำลังจะล้มตัวลงนอน ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงพึมพำอันงัวเงียของเสี่ยวกว้าน : “คุณแม่ครับ คุณพ่อรอผมอยู่ด้านล่าง……”

ได้ยินดังนั้นซูซี่จึงยิ้มขึ้นพร้อมลูบศีรษะของเขา : “ทำไมตอนฝันยังฝันถึงคุณพ่ออีกล่ะเนี่ย ? คุณพ่อบอกแล้วว่าฟ้าสว่างแล้วจะมาหาหนูไม่ใช่เหรอคะ ?”

เธอคิดว่าลูกตนจะงอแงใส่ ครั้นคิดไม่ถึงว่าเขาพลิกตัวแล้วนอนหลับไปทันที

ดูเหมือนว่าจะฝันไปจริง ๆ ซูซี่ส่ายหน้าแล้วนอนลงบนเตียง

วันก่อน ๆ ในเวลานี้ซูซี่จะนอนหลับไปพร้อมกับเสี่ยวกว้านโดยเร็ว ครั้นวันนี้หลังจากที่ทิ้งตัวลงนอนเธอกลับตาสว่างขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ว่าจะนอนอย่างไรก็นอนไม่หลับ

เธอปิดตาลง สิ่งที่วนเวียนอยู่ในหัวกลับเป็นคำพูดเมื่อสักครู่นี้ของเสี่ยวกว้าน : คุณพ่อรอผมอยู่ด้านล่าง……

แม่เจ้า หรือว่าเธอถูกเสี่ยวกว้านแพร่เชื้อให้แล้ว ? เธอคิดว่าเฉียวซือเหิงอยู่ด้านล่างจริง ๆ หรือนี่ ?

เธอดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมไว้จนถึงศีรษะ ทว่าความรู้สึกอันแปลกประหลาดเช่นนี้ไม่ได้เลือนหายไปเลย สุดท้ายเธอจึงลุกขึ้นจากเตียงนอน จากนั้นก็เดินเท้าเปล่าไปยังหน้าต่าง และใช้มือเลื่อนผ้าม่านเอาไว้พร้อมโผล่หัวออกไป ขณะที่สายตาของเธอเคลื่อนลงด้านล่างนั้น เธอก็เห็นรถของเฉียวซือเหิงจอดอยู่ด้านล่างจริง ๆ ด้วย

เธอชะงักไป นึกว่าตนเองมองผิด จึงใช้นิ้วมาขยี้ตาของตัวเอง

ถูกต้อง นั่นคือรถยนต์ของเฉียวซือเหิงจริง ๆ แถมยังมองเห็นเฉียวซือเหิงกำลังนั่งอยู่ที่นั่งคนขับเลือนลางอีกด้วย

ตอนนี้ฟ้าเพิ่งเริ่มสลัว ๆ ขึ้นเท่านั้น ยังไม่ถึงหกโมงเช้าเขาก็มาแล้วงั้นหรือ ?

เป็นกังวลว่าเธอจะย้ายบ้าน ? หรืออยากเจอหน้าเสี่ยวกว้านจนอดทนรอไม่ไหว ?

หลังจากที่ซูซี่ยืนอยู่ขอบหน้าต่างเป็นเวลาเนิ่นนานแล้ว จึงหันหลังแล้วเดินกลับขึ้นเตียงไป

“เขาชอบรอขนาดนั้นก็ให้เขารอไปเถอะ” เธอกล่าวปลอบใจตัวเองอยู่ลึก ๆ จากนั้นก็ดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมไว้จนถึงศีรษะ ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่าจะไม่สนใจเขา

หลังจากที่นอนพลิกไปพลิกมาบนเตียงเป็นเวลาราวครึ่งชั่วโมงแล้วนั้น เธอจึงหลับใหลไปช้า ๆ เมื่อเธอตื่นขึ้นมาก็พบว่าเสี่ยวกว้านไม่ได้นอนอยู่ข้าง ๆ เธอแล้ว ครั้นมีเสียงอันร่าเริงของเสี่ยวกว้านดังเข้ามาจากห้องรับแขก และก็มีเสียงของเฉียวซือเหิงที่กระซิบกระซาบปนอยู่ด้วย : “ชู่……คุณแม่กำลังนอนอยู่นะครับ อย่าเสียงดังทำคุณแม่ตื่นนะ”

เสี่ยวกว้านเอานิ้วมือมาไว้ที่ปากพร้อมทำเสียง ‘ชู่’ ขึ้นมาตามเขา

ซูซี่หยิบโทรศัพท์ที่อยู่บนโต๊ะมามองดูเวลา ตอนนี้แปดโมงแล้ว ทว่าเธอไม่ได้ลุกขึ้นจากเตียง ครั้นนอนฟังเสียงพวกเขาทั้งสองคนที่อยู่ด้านนอกต่อไป……ดูเหมือนว่ากำลังทานอะไรอยู่ ?

“คุณพ่อครับ อาหารเช้าที่คุณพ่อซื้อมาอร่อยจังเลยครับ อร่อยกว่าที่คุณแม่ซื้อมาอีก” เสี่ยวกว้านกล่าวประจบประแจงด้วยน้ำเสียงร่าเริง

กำลังทานอะไรอยู่จริง ๆ ด้วย

ซูซี่ลุกขึ้นจากเตียง พร้อมเดินออกจากประตูไปและใช้มือสางเส้นผมไปด้วย

“คุณแม่ ตื่นแล้วเหรอครับ ?” เมื่อเสี่ยวกว้านเห็นเธอเดินออกมาจึงกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงดีอกดีใจ : “คุณพ่อซื้ออาหารเช้าอร่อย ๆ มาให้ผมด้วย”

“ซื้ออะไรเหรอ ? ให้แม่ดูหน่อย” ซูซี่เดินเข้าไปมองดูอาหารในชามของเสี่ยวกว้านพร้อมพูดขึ้นว่า : “เสี่ยวกว้านแพ้อาหารทะเล ห้ามซื้ออาหารทะเลให้เขาเด็ดขาด”

“ไม่ต้องห่วง ไม่มีอาหารทะเล” เฉียวซือเหิงยิ้มอ่อนพร้อมจ้องหน้าเธอ แล้วกล่าวว่า : “รีบไปล้างหน้าแปรงฟันแล้วมาทานข้าวเช้าด้วยกันเถอะ”

ซูซี่ไม่ได้เข้าไปในห้องน้ำเพื่อล้างหน้าแปรงฟัน ครั้นจ้องหน้าเขาแล้วถามว่า : “ทำไมคุณถึงมาตั้งแต่เช้าแบบนี้ ?”

“คิดถึงเธอกับเสี่ยวกว้านน่ะสิ คิดถึงจนนอนไม่หลับทั้งคืน” เฉียวซือเหิงกล่าวออกมาโดยตรง

ซูซี่คิดไม่ถึงว่าเขาจะพูดมาเช่นนี้ ทันใดนั้นเองนัยน์ตาของเธอก็มีความรู้สึกแปลกประหลาดผุดขึ้นมา ทว่าเธอยังคงกล่าวเหน็บแนมใส่เขาไปด้วยความเคยชิน : “อยู่ในคุกมาสามปี ความสามารถไม่พัฒนาแต่ปากหวานขึ้นเยอะเลยนะ”

“เข้าคุกจะพัฒนาความสามารถอะไรได้ ?” เฉียวซือเหิงยักไหล่ : “เธอรู้ไหมว่าฉันใช้ชีวิตยังไงอยู่ข้างใน ? ความจริงสภาพแวดล้อมหรืออาหารที่นั่นไม่หนักหนาอะไร แต่สิ่งที่ทำให้ฉันสิ้นหวังมากที่สุดคือ……ใบรายงานการแท้งลูกแผ่นนั้นของเธอทำให้ความคึกคักในชีวิตของฉันหมดสิ้นไปเลย……”

“ฉันไปแปรงฟันละ” ซูซี่ไม่รอให้เขากล่าวจบ หันหลังเดินมุ่งไปยังห้องน้ำทันที

เธอไม่อยากฟังเฉียวซือเหิงเล่าเรื่องชีวิตในคุกของเขา ไม่ทราบว่าเหตุใดจึงไม่อยากฟัง

เธอเดินเข้าไปในห้องน้ำและทำการล้างหน้าแปรงฟัน ทันใดนั้นภายในกระจกก็สะท้อนเงาของเฉียวซือเหิงขึ้นมา ซึ่งเขากำลังกอดอกพิงประตูมองเธออยู่

เธอหยุดชะงักไป จากนั้นก็ก้มหน้าก้มตาแปรงฟันต่อ

“เสี่ยวซี่ เมื่อคืนฉันกลับไปจัดการเรื่องเหวินหย่าเรียบร้อยแล้วนะ”

“เหวินหย่าคืออะไร ?” ซูซี่จ้องหน้าเขาผ่านกระจก

“ก็คือคู่หมั้นที่อยู่ในข่าวลือของฉันยังไงล่ะ”

“อ้อ หน้าตาสวยดีนะ ทำไมต้องจัดการเธอด้วย ? แถมยังรวดเร็วขนาดนี้อีก ?” ซูซี่กล่าวขึ้นด้วยความขุ่นเคือง

เฉียวซือเหิงจึงกล่าวขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง : “เพราะฉันคิดว่าถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องเปลี่ยนวิธีสื่อสารกัน” เขาสาวเท้าเดินเข้ามาพร้อมโอบกอดเธอจากด้านหลัง และสบตากับเธอผ่านกระจก : “เธอคิดว่ายังไงล่ะ ?”

ซูซี่เบี่ยงสายตาหนีจากใบหน้าของเขาทันทีด้วยความเร็วสูง แล้วพูดว่า : “วิธีอะไร ?”

“อย่างเช่นฉันชอบหาผู้หญิงคนอื่นมากระตุ้นเธอ เพื่อเรียกร้องความสนใจมาจากเธอ อย่างเช่นหลังจากที่เธอเห็นฉันอยู่กับผู้หญิงคนอื่นแล้ว ก็จะแสร้งทำเป็นไม่สนใจแล้วเดินหนี จากนั้นก็จะหายไปจากสายตาของฉัน”

ซูซี่หันหน้าไปมองเขา : “นี่คุณกำลังจะชำระล้างมลทินการกระทำตัวเองที่เลี้ยงผู้หญิงด้านนอกงั้นเหรอ ?”

“ไม่ใช่……”

“เฉียวซือเหิง ทั้งที่คุณรู้อยู่แล้วว่าฉันเกลียดที่จะต้องใช้ผู้ชายร่วมกับผู้หญิงคนอื่น คุณยังคบกับฟางมี่นานขนาดนั้นอีก แถมยังทำเธอท้องด้วย” ซูซี่ยิ้มขึ้นอย่างเย็นชา : “ฉันจะบอกคุณให้นะ เรื่องนี้คุณอย่าได้คิดว่าจะชำระล้างจนสะอาดได้ไปทั้งชาติ”

“เวลาที่ฉันกับเขา……อยู่ด้วยกันน้อยมากจริง ๆ”

“ครั้งเดียวก็เพียงพอแล้ว” ซูซี่ขัดขืนออกจากมือสองข้างของเขา พร้อมหันหลังเดินออกจากห้องน้ำไป

เฉียวซือเหิงรีบเดินตามหลังเธอพร้อมกล่าว : “เสี่ยวซี่ ฉันสาบาน ฉันรับรับปากว่าจากนี้ไปนอกจากเธอฉันจะไม่ได้แตะต้องผู้หญิงคนอื่นอีก ตอนนั้น……หลัก ๆ เป็นเพราะได้รับการกระตุ้นจากเธอ พอเสียใจก็ดื่มเข้าไปเยอะ จากนั้นก็……”

“ก็ไปคืนดีกับฟางมี่อย่างนั้นใช่ไหม ?”

“ขอโทษ ตอนนั้นทั้งหัวของฉันคิดแต่อยากเอาคืนความเย็นชาของเธอ ไม่ได้คิดอะไรเยอะ และก็……”

“หยุด !” อยู่ ๆ ซูซี่ก็ยกมือขึ้นมาห้ามปรามเขา : “อย่าพูดเรื่องพวกนี้ต่อหน้าลูก จะส่งผลที่ไม่ดีให้เขา”

เฉียวซือเหิงจึงทำได้เพียงหุบปากเอาไว้

เวลานี้อยู่ ๆ ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นหน้าประตู ซูซี่ชะงักไป เธอเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเมื่อคืนนี้เธอได้บอกเหลียนเฟยว่าวันนี้จะย้ายบ้าน ต่อมาสืบเนื่องจากเรื่องของเฉียวซือเหิงทำให้สับสนวุ่นวายใจ จึงลืมบอกเขาไปว่าไม่ต้องมาแล้ว

ยังไม่ทันรอให้เธอคิดหาวิธีว่าต้องทำอย่างไร เฉียวซือเหิงได้หันหลังเดินไปเปิดประตูเรียบร้อยแล้ว

เหลียนเฟยยืนอยู่หน้าประตูเหมือนอย่างที่คิด ทว่ายังมีไป๋มู่ชิงเพิ่มขึ้นมาอีกคนด้วย

เมื่อเห็นเฉียวซือเหิงยืนอยู่ในห้อง ทั้งสองคนที่อยู่นอกประตูต่างก็ตกตะลึงไปทันที ไป๋มู่ชิงเบิกตากว้างอึ้งไป พร้อมมองสำรวจเขาด้วยความรู้สึกคาดไม่ถึง : “เฉียวซือเหิง ? คุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ?”

เฉียวซือเหิงส่งยิ้มอ่อนให้เธอ : “ทำไมผมจะอยู่ที่นี่ไม่ได้ ?”

“คุณ……” ไป๋มู่ชิงอ้าปากขึ้น พลางมองไปยังซูซี่และเสี่ยวกว้านที่อยู่ในห้อง คิดในใจว่าเฉียวซือเหิงทราบว่าซูซี่และเสี่ยวกว้านอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อไร

เมื่อสักครู่นี้ขณะที่เหลียนเฟยโทรศัพท์มาบอกเธอว่า ซูซี่ต้องการย้ายบ้านอีกแล้วอยากให้เธอมาเกลี้ยกล่อมหน่อย เธอยังคิดอยู่เลยว่าซูซี่กลัวว่าเฉียวซือเหิงจะเจอตัวอีกแล้วใช่หรือไม่ คิดไม่ถึงว่าเฉียวซือเหิงไม่เพียงแต่เจอตัวเธอแล้ว แถมยังมาบ้านของเธอด้วยเช่นนี้

“เสี่ยวซี่ เธอให้เขาเข้าห้องได้ยังไง ?” หลังจากที่เหลียนเฟยจ้องเฉียวซือเหิงตาขเม็งแล้วนั้น จึงพุ่งเข้ามาในห้องพร้อมสอบถามซูซี่

ซูซี่ไม่ทราบควรตอบเขาเช่นไรดี หลังจากที่มองเฉียวซือเหิงแวบหนึ่งแล้วจึงก้มหน้าก้มตาลง

“ลุงเหลียนครับ พ่อผมมาหาผมน่ะสิครับ” เสี่ยวกว้านยิ้มตาหยีขึ้นพูดกับเขา จากนั้นก็หันไปพูดกับไป๋มู่ชิงอีก : “น้ามู่ชิงครับ ผมมีพ่อแล้วนะครับ”

ไป๋มู่ชิงยิ้มแห้งให้กับเขา : “งั้นเหรอคะ ? ยินดีด้วยนะคะเสี่ยวกว้าน”

“นายเนี่ยนะ ทำไมถึงรังควานไม่เลิกแบบนี้ ?” เหลียนเฟยจ้องหน้าเฉียวซือเหิงพร้อมกล่าวด้วยความไม่สบอารมณ์

เฉียวซือเหิงชายตามองเขาด้วยสีหน้านิ่งเรียบ : “คนที่ตามรังควานน่าจะเป็นนายมากกว่ามั้ง ? ไอ้แบ๊วโง่ ?”

“แกเรียกฉันว่าอะไรนะ ?” เหลียนเฟยไม่พอใจ

“ฉันคิดเหมือนกับเสี่ยวซี่ว่านายแอ๊บแบ๊วมากก็เลยเรียกว่าไอ้แบ๊วโง่ยังไงล่ะ” เฉียวซือเหิงกล่าว : “แต่ว่าพูดจริง ๆ นะ ฉันต้องขอบใจนายมากเลย ถ้าเมื่อคืนนี้นายไม่ตะโกนชื่อเสี่ยวกว้านขึ้นมา ตอนนี้ฉันคงไม่รู้ว่าฉันยังมีลูกชายชื่อเสี่ยวกว้านด้วยเป็นแน่”

เหลียนเฟยรู้สึกโมโหและร้อนใจเป็นอย่างยิ่ง เขาคิดไม่ถึงโดยสิ้นเชิงว่าคำพูดที่ตนเองพลั้งปากโพล่งออกมานั้นจะเป็นการทำให้เฉียวซือเหิงมาอยู่ข้างกายซูซี่โดยตรงเช่นนี้ !

เขาหันหน้าไปมองซูซี่ด้วยความรู้สึกโมโห : “ยังจะย้ายบ้านอีกไหม ?”

ซูซี่มองหน้าเฉียวซือเหิงแวบหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้กล่าวอันใด ควรบอกว่าเธอไม่มีสิทธิ์ในการพูดเลยถึงจะถูก

“ย้าย” หลังจากผ่านมาชั่วครู่ เฉียวซือเหิงเป็นผู้เอ่ยขึ้นเอง

เหลียนเฟยรู้สึกยินดีขึ้นมา : “จริงเหรอ ?” สีหน้าของเขากลับกลายเป็นเบิกบานขึ้นทันควัน เขาหัวเราะเหอะ ๆ แล้วพูดขึ้นว่า : “ถ้างั้นก็ดี ฉันนึกว่าเสี่ยวซี่จะเปลี่ยนความคิดเสียอีก”

สิ้นเสียงเขาได้หันไปพูดกับเฉียวซือเหิง : “คุณชายเฉียวเป็นนักธุรกิจท่ี่ยิ่งใหญ่จริง ๆ ด้วย ใจเลยกว้างแบบนี้ ถูกต้องแล้ว ลูกผู้ชายไม่ควรไปวนเวียนอยู่กับอดีต แผ่นดินไม่ไร้เท่าใบพุทรา เหตุใดต้องกลับไปกินหญ้าด้วย นายไม่ต้องห่วงนะ เสี่ยวซี่พักอยู่กับฉันจะต้องมีชีวิตที่ดีอย่างแน่นอน ฉันจะต้องดูแลเธอเป็นอย่างดีและจะปฏิบัติกับเสี่ยวกว้านเหมือนลูกชายแท้ ๆ ของตัวเองด้วยเหมือนกัน……”

“นายคิดมากเกินไปแล้ว คุณแบ๊ว” เฉียวซือเหิงกล่าวขึ้นเนิบ ๆ : “เสี่ยวซี่จะต้องย้ายบ้านจริง ๆ แต่ไม่ใช่ย้ายไปที่บ้านนาย แต่ย้ายไปที่บ้านตระกูลเฉียว”

“นายว่าอะไรนะ ?” รอยยิ้มที่กว่าเหลียนเฟยจะฟื้นกลับมา ได้สลายไปชั่วพริบตา

“น่าตกใจมากเลยเหรอ ? เสี่ยวซี่คือผู้หญิงของฉัน เสี่ยวกว้านคือลูกชายของฉัน พวกเขาไม่ควรที่จะกลับบ้านตระกูลเฉียวหรอกเหรอ ?” เฉียวซือเหิงยักคิ้ว

“แต่ว่านายทิ้งเธอแล้วนะ”

“ผิดแล้ว เสี่ยวซี่เป็นคนทิ้งฉันต่างหาก” เฉียวซือเหิงเดินไปอยู่ข้างกายซูซี่ จากนั้นก็โอบไหล่ของเธอ พร้อมจ้องหน้าเหลียนเฟย : “และก็ นายไม่ต้องผิดหวังหรอกนะ ตัวนายน่าจะชัดเจนดีว่าเสี่ยวซี่ไม่เคยชอบนายเลยตั้งแต่แรก นายก็แค่รักข้างเดียวเท่านั้นแหละ”

“เลิกพูดได้แล้ว” ซูซี่หันหน้าไปถลึงตาใส่เฉียวซือเหิง จากนั้นก็หันไปทางเหลียนเฟย แล้วกล่าวขึ้นด้วยความรู้สึกผิด : “เหลียนเฟย ขอโทษนะที่ให้นายมาเสียเวลาเปล่า”

เหลียนเฟยรู้สึกขุ่นมัว เขาจ้องหน้าเธอ : “ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าเธอตัดสินใจแล้ว ? ตัดสินใจไปคืนดีกับเขาแล้ว ?”

“ไม่ว่าฉันจะคืนดีกับเขาหรือเปล่า แต่เรื่องที่ว่าฉันไม่เคยรักนายเลยเป็นเรื่องจริง ถึงเวลาแล้วที่นายควรตาสว่างสักที” แม้ว่าซูซี่จะรู้สึกลำบากใจ ครั้นยังคงพูดคำพูดเหล่านั้นออกมาอยู่ดี

ถ้าหากสามารถถือโอกาสนี้ทำให้เหลียนเฟยหมดความรู้สึกกับเธอไปได้ก็คงดี คราวนี้ก็ไม่ต้องสิ้นเปลืองความรู้สึกของเขาต่อไปแล้ว

เหลียนเฟยมองหน้าเธอพร้อมสูดหายใจเข้าลึก แล้วกล่าวขึ้นว่า : “ในเมื่อเป็นแบบนี้ ถ้างั้นฉันคงต้องไปแล้วละ”

สิ้นเสียง เขาก็หันหลังเดินออกไปจากประตูใหญ่

ซูซี่สาวเท้าเดินตามออกไป จากนั้นก็ปิดประตูใหญ่ไปด้วย

“เหลียนเฟย !” เธอตะโกนขึ้น

เหลียนเฟยหยุดเดิน สูดน้ำมูก จากนั้นก็หันหน้ามามองเธอ

“นายโกรธใช่ไหม ?” ซูซี่มองสำรวจหน้าเขาพร้อมถาม

เหลียนเฟยส่ายหน้า : “ไม่ใช่ ก็แค่เสียใจนิดหน่อย”

“ขอโทษนะ”

“ไม่เป็นไร ถึงยังไงก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ถูกเธอปฏิเสธแบบนี้หรอก” เหลียนเฟยยิ้มขึ้นอย่างขมขื่น

เมื่อก่อนซูซี่เคยใช้อารมณ์ที่รุนแรงในการขับไล่เขาไปโดยนับไม่ถ้วน ทว่าเขากลับหน้าด้านทนอยู่ต่อทุกครั้งไป เพราะว่าตอนนั้นเขายังมองเห็นความหวังอยู่ ครั้นการปรากฏตัวของเฉียวซือเหิงทำให้เขามองไม่เห็นความหวังอีกต่อไปแล้ว เพราะฉะนั้นเขาจึงทำได้เพียงเลือกที่จะเดินจากไป

“ขอโทษ ความจริงแล้วนายเหมาะที่จะหาผู้หญิงที่อายุไล่เลี่ยกันและไม่มีอดีต ฉันเชื่อว่าในอนาคตนายจะต้องหาเจออย่างแน่นอน”

“อืม ฉันก็เชื่อว่าฉันจะต้องหาเจอเหมือนกัน” เหลียนเฟยก้าวเท้าไปเบื้องหน้าเธอพร้อมสบตากัน : “ในหนังมักพูดว่า ชอบใครสักคนหนึ่งก็จะต้องให้เขามีความสุข ในเมื่อเธอยังอาลัยอาวรณ์อยู่กับเฉียวซือเหิงไม่คลาย ถ้างั้นฉันก็จะให้เธอกลับไปในอ้อมกอดของเขาไปใช้ชีวิตที่มีความสุขดีกว่า ฉันจะไม่มารบกวนเธออีกแล้ว”

“อย่าเย็นชาแบบนี้สิ ฉันไม่ชินนะ” ซูซี่กล่าวน้ำเสียงสะอื้น

เหลียนเฟยฉีกยิ้มขึ้น : “ฉันก็รู้สึกไม่ชินกับซูซี่ที่พูดกับฉันอย่างสงบนิ่งแบบนี้เหมือนกัน”

ภายในห้อง ในที่สุดไป๋มู่ชิงก็ถามในสิ่งที่ค้างคาใจออกมา : “นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ?”

ไม่รู้ว่าคำพูดนี้ของเธอนั้นถามผู้ใด ทว่าภายในห้องมีเพียงเฉียวซือเหิงที่เป็นผู้ใหญ่คนเดียว เธอคงกำลังถามเขาอยู่

เฉียวซือเหิงชายตามองเธอพร้อมยิ้มขึ้นเยือกเย็น : “นั่นน่ะสิ ห้องนี้ให้คนอื่นเช่าไปแล้ว ซูซี่ก็ไปต่างประเทศหายตัวไปแล้ว ทำไมอยู่ ๆ ถึงได้มีสามพ่อแม่ลูกมารวมตัวกันได้ล่ะ ? คุณหนูไป๋นี่มันเรื่องอะไรกันแน่เหรอครับ ?” เขาเดินหน้าสาวเท้าไปอยู่ใกล้เธอยิ่งขึ้น : “คุณไม่คิดว่าควรต้องทบทวนตัวเองหน่อยเหรอ ?”

“ขอโทษค่ะ……” ไป๋มู่ชิงถอยหลังไปหนึ่งก้าว ใบหน้าเต็มไปด้วยความอึดอัด : “ฉัน……ตอนแรกที่ฉันโกหกคุณก็เกิดจากความช่วยไม่ได้ เสี่ยวซี่ไม่ให้ฉันบอกคนอื่น”

“ถ้าคุณเห็นเสี่ยวซี่เป็นเพื่อนสนิทจริง ๆ จะทนเห็นเธอเลี้ยงเสี่ยวกว้านคนเดียวได้ยังไง ? ทั้งที่คุณทราบว่าผมจริงใจกับเสี่ยวซี่”

“ฉันทนไม่ได้หรอก” ไป๋มู่ชิงรีบกล่าวขึ้น : “ความจริงแล้ววันที่คุณเจอเสี่ยวกว้านในโรงจอดรถก็คือวันที่เสี่ยวซี่จะย้ายบ้าน และเป็นเพราะฉันคิดว่าพวกคุณทั้งคู่ยังมีหวังอยู่ เพราะงั้นเลยพยายามเกลี้ยกล่อมไม่ให้เธอย้ายบ้าน คุณชายเฉียว ถ้าครั้งนั้นไม่เป็นเพราะฉัน เสี่ยวซี่คงไปต่างประเทศตั้งนานแล้ว คุณคงไม่มีทางได้เจอหน้าพวกเขาสองแม่ลูกตอนนี้หรอก”

นี่คือเรื่องจริง ไป๋มู่ชิงอธิบายว่าตนก็ออกแรงช่วยเยอะเช่นกัน

“ถ้างั้นหมายความว่าผมต้องขอบใจคุณ ?”

“แน่นอนสิคะ” ไป๋มู่ชิงพยักหน้า : “ฉันสนับสนุนพวกคุณมาตลอดเลยนะ”

“แต่ว่าคุณหลอกผม ถ้าตามนิสัยเดิมของผมจะต้องเอาคืนแน่นอน”

ไป๋มู่ชิงอึ้งไป : “เฉียวซือเหิงคุณคิดจะทำอะไรอีก ?”

“ทำไม ? กลัวเหรอ ?” เมื่อเห็นสีหน้าอันหวาดกลัวจนกลืนน้ำลายไม่ลงของไป๋มู่ชิง เฉียวซือเหิงจึงเอ่ยต่อ : “แต่ว่าผมจะให้โอกาสคุณในการชดใช้ก็แล้วกัน”

“โอกาสอะไร ?” ไป๋มู่ชิงรู้สึกประหลาดใจ

“ช่วยผมเกลี้ยกล่อมเสี่ยวซี่ให้กลับมาอยู่กับผม” เฉียวซือเหิงกล่าว เขาคิดว่าไป๋มู่ชิงเกลี้ยกล่อมได้มีน้ำหนักมากกว่าเขา ซูซี่จะรับฟังมากกว่า

“เรื่องนี้เองน่ะเหรอ ?” ไป๋มู่ชิงรู้สึกโล่งอก : “โอเค ฉันจะพยายามเกลี้ยกล่อมเต็มที่”

นึกว่าเป็นเรื่องอะไรที่ยากเย็นแสนเข็นเสียอีก แม้นิสัยของซูซี่จะดื้อรั้นจนวัวเก้าตัวก็ฉุดไม่อยู่ ทว่าเธอจะพยายามอย่างสุดความสามารถ หากไม่ได้ผลก็คงต้องใช้เล่ห์กลสักเล็กน้อย

“แต่ว่าฉันมีเงื่อนไข” ไป๋มู่ชิงกล่าว

“เงื่อนไขอะไร ?”

“ถ้าเสี่ยวซี่กลับไปหาคุณแล้ว คุณห้ามไปพัวพันกับผู้หญิงคนอื่นอีก ห้ามทำร้ายเธอทำให้เธอเสียใจอีก”

“วางใจได้ เรื่องนี้คุณไม่ต้องสอนหรอก” เฉียวซือเหิงชายตามองเธอ

ไป๋มู่ชิงกวาดสายตามองเขา ผ่านไปชั่วครู่จึงถามขึ้นมาว่า : “เฉียวซือเหิง พูดตามความจริงนะ คุณต้องการให้เธอกลับไปเพราะว่ารักเสี่ยวซี่หรือเป็นเพราะเสี่ยวกว้านกันแน่ ?”

“เพราะผมรักเธอ และเพราะเสี่ยวกว้านด้วย”

“ดูเหมือนว่าจะเป็นความดีความชอบของเสี่ยวกว้าน” ไป๋มู่ชิงทำสีหน้าผิดหวังขึ้นมา

“คุณผิดแล้ว” เฉียวซือเหิงกล่าว : “เมื่อก่อนเพราะว่าผมรักเธอ เพราะงั้นเลยไม่อยากทำให้เธอลำบากใจอีกจึงไม่มีความแน่วแน่ที่จะตามหาเธอคืนมาให้ได้ แต่ช่วงหลังหลังจากที่เจอเสี่ยวกว้าน ความคิดของผมก็เปลี่ยนแปลงไปทันที ทำให้ผมตัดสินใจที่จะรับพวกเขาสองแม่ลูกกลับมาอยู่ด้วย”

ไป๋มู่ชิงรู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย คาดไม่ถึงเลยว่าเฉียวซือเหิงจะพูดคำพูดเช่นนี้ออกมาได้

ไม่เพียงแค่ไป๋มู่ชิงที่ตกตะลึง แม้แต่ซูซี่ที่อยู่นอกประตูก็รู้สึกอึ้งไปตาม ๆ กันด้วย

เธอคิดมาตลอดว่าตนเองหลบซ่อนได้ดีมาก ความจริงก็คือเพราะว่าเขาไม่ได้ตั้งใจตามหาเท่านั้น เป็นเพราะว่ารักดังนั้นจึงไม่อยากทำให้ลำบากใจ ความคิดของเขาและเหลียนเฟยเหมือนกัน ต่างก็เป็นเพราะรักเธอจึงปล่อยให้เธอไปมีความสุขเช่นนั้นหรือ ?

ทว่าเฉียวซือเหิง……เขาไม่ใช่คนแบบนี้โดยสิ้นเชิง !

สิ่งที่เขาต้องการครอบครองก็จะพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มา หากไม่ได้มาก็ยินยอมที่จะทำลาย อย่างเช่นตอนนั้นที่เขาแก้แค้นหนานกงเฉินราวกับเป็นโรคประสาทอย่างไรอย่างนั้น หรือเป็นเพราะการอยู่ในคุกมาสามปี จึงทำให้นิสัยของเขาเปลี่ยนแปลงไปจริง ๆ หรือ ?

เธอสูดหายใจเข้า จากนั้นก็ผลักเปิดประตูเข้าไป

เฉียวซือเหิงและไป๋มู่ชิงที่อยู่ในห้องหันหน้ามา หลังจากเห็นหน้าเธอ เฉียวซือเหิงจึงยักคิ้วแล้วถามว่า : “เจ้าหนูร้องไห้วิ่งไปแล้วเหรอ ?”

สีหน้าของซูซี่เคร่งขรึม : “เหลียนเฟยเป็นผู้ชายที่ดีคนหนึ่ง กรุณาอย่าใช้สายตาที่ท้าทายมองเขา”

“สำหรับศัตรูแห่งความรัก……เธอหวังให้ฉันทำสีหน้ายังไงล่ะ ?” เฉียวซือเหิงยักไหล่อย่างสบาย ๆ จากนั้นมุมปากก็ผุดรอยยิ้มอันชั่วร้ายขึ้นมา : “หรือจะสู้กันไปให้รู้ดำรู้แดงเหมือนหนานกงเฉินเหรอ ? เอาจริงนะ เจ้าหนูที่ชื่อเหลียนเฟยนี่ฉันไม่ต้องออกแรงมากเพื่อไปรับมือเขาหรอก”

“ตอนนั้นที่คุณทำร้ายหนานกงเฉินจนกลายเป็นแบบนั้นมันน่าภูมิใจมากเลยใช่ไหม ?”

“เขาหายดีแล้วไม่ใช่หรือไง ?”

“เอาล่ะ ๆ ทั้งสองคนเลิกทะเลาะกันได้แล้ว” ไป๋มู่ชิงหัวเราะเหอะ ๆ ขึ้นปิดฉาก : “เรื่องที่ผ่านไปแล้วก็อย่าไปพูดถึงมันเลย ความจริงแล้วฉันกับเฉินให้อภัยคุณชายเฉียวแล้ว และเชื่อว่าคุณชายเฉียวเองก็ให้อภัยเฉินเหมือนกันใช่ไหมคะ ? อืม……ทุกคนยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันเหมือนเดิมนะแหะ ๆ……”

“คุณพ่อกับคุณแม่ไม่มีความสุขเหรอครับ ?” ทันใดนั้นเองเสี่ยวกว้านก็มองสำรวจใบหน้าเฉียวซือเหิงและซูซี่พร้อมถามขึ้นมา

ทั้งสามคนที่อยู่ในห้องรับแขกจึงอึ้งไป คราวนี้พวกเขาเพิ่งจะรับรู้ได้ว่าตนนั้นมองข้ามเสี่ยวกว้านที่นั่งรับประทานมื้อเช้าอยู่ข้าง ๆ ไปโดยสิ้นเชิง

เฉียวซือเหิงเดินไปข้าง ๆ เสี่ยวกว้านจากนั้นก็พูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม : “ไม่ใช่นะครับ คุณพ่อกับคุณแม่ได้อยู่ด้วยกันแล้วมีความสุขมากเลยนะ ไม่เชื่อลองถามคุณแม่ดูสิครับ”

“คุณแม่ครับ จริงหรือเปล่า ?” เสี่ยวกว้านเงยหน้าขึ้นมองซูซี่

ซูซี่มองหน้าเฉียวซือเหิง จากนั้นก็รีบพยักหน้าทันที : “ใช่ค่ะ คุณพ่อคุณแม่มีความสุขเหมือนเสี่ยวกว้านเลย”

เฉียวซือเหิงก้มหน้าไปลูบศีรษะน้อย ๆ ของเสี่ยวกว้าน : “เสี่ยวกว้านอิ่มหรือยังครับ ? ถ้าอิ่มแล้วเดี๋ยวคุณพ่อจะพาออกไปเล่นข้างนอกนะ”

“จริงเหรอครับ ? ผมอยากออกไปเล่นข้างนอกกับคุณพ่อ” เสี่ยวกว้านก้มหน้าไปทานอาหารเช้าในชามคำสุดท้ายด้วยความตื่นเต้น จากนั้นก็ใช้กระดาษทิชชูเช็ดปากของตัวเองแล้วกล่าวขึ้นว่า : “อิ่มแล้วครับ ! ไปได้หรือยังครับ ?”

“ได้เลยครับ !” เฉียวซือเหิงอุ้มเขาลงจากเก้าอี้ จากนั้นก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม : “ไปกันเถอะ พวกเราจะไปเล่นกันแล้วน้า !”

ซูซี่เห็นว่าเฉียวซือเหิงกำลังจะพาเสี่ยวกว้านออกไปข้างนอก จึงรีบเดินตามไปแล้วกล่าวขึ้นอย่างกระวนกระวาย : “นี่……เฉียวซือเหิงคุณจะทำอะไรน่ะ ?”

เฉียวซือเหิงหันหน้าไป พร้อมสบตาเธอ : “ทำไมเหรอ ? กลัวฉันจะเอาเสี่ยวกว้านไปซ่อนหรือไง ?”

ซูซี่เงียบไป เฉียวซือเหิงจึงยิ้มขึ้นมา : “สบายใจเถอะ ฉันไม่ได้เห็นแก่ตัวเหมือนที่เธอคิดหรอกนะ อีกอย่างฉันไม่คิดจะทิ้งเธอด้วย”

“ถ้างั้นพาเขากลับมาตอนเที่ยงด้วยนะอย่างลืมล่ะ ตอนบ่ายเขาจะต้องไปเข้าเรียนเสริม” ซูซี่กล่าวกำชับ

“รู้แล้วน่า ฉันจะไปส่งเขาที่โรงเรียนเอง” เฉียวซือเหิงจับมือเล็ก ๆ ของเสี่ยวกว้านเอาไว้ : “มา กล่าวลากับคุณแม่เร็วครับ”

“ลาก่อนครับคุณแม่ !” เสี่ยวกว้านโบกไม้โบกมือน้อย ๆ ไปให้เธอ

“อย่าลืมกินข้าวเช้าด้วยนะ” ก่อนที่เฉียวซือเหิงจะเดินจากไป ยังมิวายกล่าวกำชับเธอ

หลังจากที่เฉียวซือเหิงพาเสี่ยวกว้านออกไปข้างนอกแล้ว ซูซี่จึงเดินไปนั่งบนโซฟาช้า ๆ อารมณ์บนใบหน้ามีความซับซ้อนเล็กน้อย

ไป๋มู่ชิงมองหน้าเธอ : “ทำไมเหรอ ? ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ค่อยมีความสุขเลย”

“เธอคิดว่าฉันควรมีความสุขเหรอ ?” ซูซี่ยิ้มขึ้นอย่างขมขื่น

“ฉันคิดว่าครั้งนี้เฉียวซือเหิงต้องการเปลี่ยนแปลงตัวเองจริง ๆ เธอควรให้โอกาสเขาสักครั้งนะ”

“แม้ตอนนี้ฉันจะไม่อยากให้ก็ไม่ได้แล้วนี่ ฉันกับเขาไม่อยากสูญเสียเสี่ยวกว้านไปทั้งคู่”

“ถูกต้องแล้ว” ไป๋มู่ชิงยิ้มตาหยีพร้อมกล่าวขึ้นว่า : “พ่อแม่ลูกก็จะต้องอยู่ด้วยกันแน่นอนอยู่แล้ว เธอดูสิเมื่อกี้เสี่ยวกว้านมีความสุขแค่ไหน แม้แต่ทานข้าวยังทานอย่างกระตือรือร้นกว่าเมื่อก่อนเลย”

ซูซี่ไม่เอ่ยอันใด เพียงแค่หยิบอาหารเช้าบนโต๊ะขึ้นมาแล้วรับประทานเข้าไปเงียบ ๆ อาหารเช้าเป็นอาหารที่ธรรมดาแถมยังมองออกด้วยว่าซื้อมาจากร้านขายอาหารเช้าตรงข้ามกับคอนโด เมื่อก่อนเธอก็ไปซื้อที่นั่นอยู่บ่อยครั้งเช่นกัน ทว่าเสี่ยวกว้านไม่เคยบอกเธอมาก่อนเลยว่าอร่อย

เมื่อสักครู่นี้เขากลับบอกว่าอาหารเช้าที่คุณพ่อซื้อมาอร่อยกว่าที่คุณแม่ซื้อมา ดูท่าทางแล้วเขาต้องการพ่อจริง ๆ ด้วย

“เสี่ยวซี่ เธอกำลังเคืองเรื่องเฉียวซือเหิงกับฟางมี่อยู่ใช่ไหม ? เขาตัดขาดกับฟางมี่ไปแล้วแถมยังรับปากด้วยว่าจะไม่ไปพัวพันกับผู้หญิงคนไหนอีก” ไป๋มู่ชิงเกลี้ยกล่อมด้วยความหวังดี : “ผู้ชายอะนะ จะต้องมีเรื่องราวในอดีตบ้างแหละ อย่าว่าแต่ผู้ชายเลย ผู้หญิงเองก็มีอดีตเหมือนกัน เธอดูเหลียนเฟยสิ แม้แต่เรื่องที่เธอมีลูกติดก็ยังไม่สนใจตามจีบเธอแจเหมือนเห็นเธอเป็นเทพธิดาเลย”

“ความรู้สึกที่สามารถปล่อยวางได้……ก็ไม่ถือว่าลึก” ซูซี่กล่าวพร้อมรอยยิ้ม

เธอทราบว่าเหลียนเฟยชอบเธอมากและตามจีบเธอมาเนิ่นนานเช่นกัน ครั้นถึงอย่างไรเขาก็ยังเป็นหนุ่มอยู่ อย่างน้อยก็ต้องมีความคิดที่ต้องการเล่นสนุกอยู่บ้าง ไม่อย่างนั้นคงไม่ใช่ว่าบอกจะปล่อยไปก็ปล่อยไปเลยเช่นนี้

แน่นอนว่า นี่มันคือผลลัพธ์ที่เธอต้องการเห็นพอดี เนื่องจากเช่นนี้เหลียนเฟยก็จะไม่รู้สึกเศร้าโศกเสียใจ และเธอก็หวังว่าหลังจากที่เขากลับไปในวันนี้แล้วจะเสียใจให้เต็มที่หนึ่งวัน ส่วนวันถัดมาก็ไปดูหนังหรือไปเที่ยวเล่นสักสองวัน เช่นนี้เขาก็จะได้ปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปได้โดยไม่ได้รับผลกระทบจากเธออีกแล้ว

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

Status: Ongoing
ไป๋มู่ชิงเคยได้ยินเรื่องเล่าตั้งแต่เด็กว่า ตระกูลหนานกงในเมืองซีเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุด แต่น่าเสียดายที่คุณชายใหญ่ของตระกูลกลับป่วยเป็นโรคประหลาด โรคที่เขาเป็นจะทำให้เขามีอายุอยู่ได้ไม่ถึงอายุ30ปี ไป๋มู่ชิงยังได้ยินมาอีกว่า คุณชายหนานกงเฉินแต่งงานใหม่ทุกๆปี แต่เจ้าสาวของเขากลับมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงวันต่อมาหลังคืนเข้าหอ แต่ไม่ทราบสาเหตุของการแต่งงานและยังไม่ทราบถึงสาเหตุการเสียชีวิตของเจ้าสาวด้วย เมื่อตระกูลหนานกงได้ส่งของหมั้นมาให้ตระกูลไป๋ ไป๋มู่ชิงก็คิดไม่ถึงว่าพ่อของเธออยากจะปกป้องชีวิตพี่ของเธอไว้ถึงขนาดผลักเธอเข้าไปในประตูนรกอย่างโหดร้าย บังคับให้เธอแต่งงานกับหนานกงเฉินเป็นเจ้าสาวคนที่เจ็ดของเขา แทนพี่สาวของเธอ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน