เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด – บทที่ 280 ดื่มเหล้าด้วยกัน

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

“คุณลุงคะ หนูสั่งเสร็จแล้วค่ะ ถึงตาคุณลุงแล้วค่ะ” เสี่ยวหว่านชิงเลื่อนเมนูอาหารไปไว้เบื้องหน้าเฉียวซือเหิง

เฉียวซือเหิงเรียกสติกลับคืนมาจากการทราบข่าวเมื่อสักครู่นี้ และมองเธอพร้อมยิ้มเจือจางขึ้น : “หนูลืมไปแล้วเหรอคะ ? ว่าคุณลุงไม่ชอบกินของหวาน”

“หนูจำไม่ได้แล้วค่ะ”

“เมื่อก่อนหว่านชิงยังเด็กมาก ก็เลยจำไม่ได้น่ะ” ไป๋มู่ชิงยิ้มพร้อมกล่าวขึ้น

เฉียวซือเหิงจึงสั่งน้ำผลไม้มาดื่มแทน

ไป๋มู่ชิงดื่มชานมเข้าไปหนึ่งอึก จากนั้นก็เงยหน้ามองเขาแล้วถามว่า : “จริงสิ ได้ยินว่าคุณชายเฉียวมีคู่หมั้นแล้ว ? น่าจะมีข่าวดีในเร็ว ๆ นี้ใช่ไหมคะ ? ยินดีด้วยนะคะ !”

คำพูดนี้ของเธอมีความลองใจปนอยู่ด้วย เฉียวซือเหิงจะฟังไม่ออกได้อย่างไร ? เขายักคิ้วขึ้นแล้วถามว่า : “คุณไปได้ยินใครพูดมา ?”

ความจริงแล้วเขาอยากถามว่าซูซี่ก็คิดเช่นนี้เหมือนกันใช่หรือไม่ ครั้นสุดท้ายเขาก็ไม่ได้ถามมันออกมาอยู่ดี

“เอ่อ……ฉันก็จำไม่ได้แล้วเหมือนกันค่ะว่าได้ยินใครพูดมา” ไป๋มู่ชิงยิ้มพลางก้มหน้าดูดหลอดน้ำ ถ้าหากเธอบอกว่าได้ยินหนานกงเฉินพูดมา ไม่ใช่เป็นการดูเหมือนว่าหนานกงเฉินสอดรู้สอดเห็นเกินไปอย่างเห็นได้ชัดหรอกหรือ ?

ความจริงแล้วหนานกงเฉินเองก็เห็นแก่ที่เธอมักจะเป็นกังวลใจเรื่องของซูซี่และเฉียวซือเหิงเรื่อย ดังนั้นจึงถือโอกาสเล่าเรื่องจริงนี้ให้กับเธอฟัง จุดประสงค์ก็คือให้เธอรีบล้มเลิกความตั้งใจนี้เสียเร็ว ๆ อย่าเข้าไปยุ่งเรื่องผู้อื่นอีกเลย ซึ่งแม้กระทั่งเจ้าตัวอย่างพวกเขาทั้งสองคนก็ยังไม่เดือดร้อนเลย

“ถ้างั้นความหมายของคุณคือ……เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องจริงใช่ไหมคะ ? แต่ว่าฉันยังได้ยินมาอีกว่าผู้หญิงคนนั้นได้เข้าไปพักอยู่ในคฤหาสน์ตระกูลเฉียวแล้วด้วยนะคะ อย่าบอกนะว่าไม่ใช่เรื่องจริงเหมือนกัน ?” ไป๋มู่ชิงซักถามด้วยความฉงนใจ

เฉียวซือเหิงชายตามองเธอ ทันใดนั้นก็ไม่อยากกล่าวอธิบายขึ้นมา แถมยังจงใจเล่นตัวไม่บอกตรง ๆ อีกด้วย : “คุณคิดว่าไงล่ะ ?”

ไป๋มู่ชิงคาดไม่ถึงว่าเขาจะพูดเช่นนี้ เธออ้าปากขึ้นครั้นสุดท้ายก็นิ่งเงียบไป

หลังจากที่ส่งไป๋มู่ชิงและลูกสาวขึ้นรถแล้วนั้น เฉียวซือเหิงจึงกลับขึ้นรถตนเองไปทันที จากนั้นก็หยิบแท็บเล็ตออกมาค้นหาเบอร์โทรศัพท์ของซูซี่

ทั้งที่เมื่อวานนี้ไป๋มู่ชิงเพิ่งติดต่อกับซูซี่อยู่เลยแท้ ๆ ครั้นกลับหลอกเขาว่าไม่เคยติดต่อกันมาก่อน เรื่องนี้แสดงให้เห็นว่าเธอกำลังจงใจหลบหน้าเขาอยู่ !

เขาค้นหาสถานที่อยู่อาศัยของเบอร์โทรในอินเทอร์เน็ต ผลที่ได้รับทำให้เขาประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นเบอร์ของเมืองซี นั่นหมายความว่าซูซี่ไม่ได้ออกไปจากเมืองซีเลย และไม่ได้ไปต่างประเทศด้วย !

ดูเหมือนว่าเธอตั้งใจหลบหน้าเขาจริง ๆ แถมยังร่วมมือกับไป๋มู่ชิงในการปกปิดเขาอีก เพียงแค่ไม่ทราบว่าเหตุใดเธอจึงได้ทำเช่นนั้น ? รู้สึกผิดหรือไม่อยากเจอหน้าเขาเฉย ๆ ?

ความจริงก่อนออกจากเรือนจำ เขาก็คิดไว้แล้วว่าจะตัดความสัมพันธ์กับเธอ จะไม่ทำให้ลำบากใจทั้งสองฝ่าย ครั้นเขาเพิ่งออกจากเรือนจำมาได้เพียงหนึ่งเดือน เขาก็เริ่มอ่อนไหวแล้ว ความปรารถนาที่ต้องการอยากเอาชนะเธอจึงเริ่มต้นขึ้นอย่างโง่เขลาอีกครา

หรือว่านี่จะเป็นพรมลิขิต ? ฟันไม่ขาดและตัดไม่ขาด จะต้องพัวพันกันไปเช่นนี้ตลอดชีวิต

เขานั่งเหม่อลอยอยู่ในรถยนต์เป็นเวลาเนิ่นนาน เวลาต่อมาก็สตาร์ทรถแล้วขับออกไป

ก่อนที่จะออกไปข้างนอกในวันต่อมา คุณนายเฉียวไม่รู้ว่าไปเอาตั๋วชมการแสดงเต้นรำที่โรงละครใหญ่มาสองใบจากไหน และบอกให้เฉียวซือเหิงไปดูกับเหวินหย่าคืนนี้

เฉียวซือเหิงกวาดสายตามองตั๋วเข้าชมการแสดงจากนั้นก็ยื่นมือรับตั๋วมาแล้วกล่าวว่า : “เสียวหย่าไม่สนใจการเต้นรำสักหน่อยครับ ตั๋วที่ดีแบบนี้ถ้าให้เธอใช้คงสิ้นเปลืองเปล่า ๆ”

“ใครบอกว่าเสียวหย่าไม่สนใจการแสดงเต้นรำ ?” คุณนายเฉียวไม่สบอารมณ์

“เสียวหย่าเขียนอยู่บนประวัติส่วนตัวครับ” เฉียวซือเหิงกล่าวเช่นนี้ออกมา เหวินหย่าจึงเป็นใบ้ไปทันที

ถูกต้อง บนประวัติส่วนตัวของเธอไม่ได้ระบุไว้ว่าเธอสนใจงานด้านศิลปะเลยแม้แต่น้อยก็จริง ทว่านั่นไม่ได้แสดงว่าเธอจะไม่สนใจเลยถูกไหม ? อยู่ ๆ เธอก็ครุ่นคิดอย่างไม่สบอารมณ์เท่าไรว่า เฉียวซือเหิงคงไม่ใช่ว่าต้องการนำตั๋วไปให้อดีตภรรยาของเขาหรอกใช่ไหม ? อดีตภรรยาของเขาฝึกเต้นรำมาตั้งแต่เด็กเพราะฉะนั้นจะต้องสนใจการแสดงนี้แน่นอน

“พี่คะ รอฉันก่อนค่ะ” เมื่อเธอเงยหน้าขึ้นมาจึงพบว่าเฉียวซือเหิงได้เดินออกไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เธอจึงได้รีบสาวเท้าเดินตามออกไปทันที

เธอนั่งรถเฉียวซือเหิงไปบริษัทอย่างเช่นทุกวัน ระหว่างทางเฉียวซือเหิงใช้คางชี้ไปยังตั๋วเข้าชมการแสดงหน้ารถแล้วกล่าวขึ้นว่า : “เสียวหย่าถ้าเธออยากได้ตั๋วก็เอาไปแล้วชวนเพื่อนไปดูด้วยกันเถอะ”

เหวินหย่ามองหน้าเขาด้วยความรู้สึกอึ้งเล็กน้อย จากนั้นก็กล่าวขึ้นด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดใจ : “พี่คะ พี่ไปดูกับฉันสักครั้งไม่ได้เหรอคะ ? ตั๋วดีแถมที่นั่งยังดีอีกแบบนี้”

“เสียวหย่า ฉันขอพูดความจริงกับเธอก็แล้วกัน” เฉียวซือเหิงหยุดรถข้างทาง จากนั้นก็หันหน้ามาจ้องเธอพร้อมพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่จริงจัง : “ฉันรู้ว่าจุดประสงค์ของการที่คุณแม่ให้เธอเข้ามาในบ้านตระกูลเฉียวคืออะไร แต่ฉันไม่ชอบการจัดการแบบนี้ ฉันไม่ชอบฟางมี่ไม่ชอบเธอด้วย สำหรับคนที่ตัวเองไม่ชอบฉันไม่มีทางแต่งงานด้วยแน่นอน นี่เป็นการรับผิดชอบต่อเธอและตัวฉันด้วย”

สีหน้าของเหวินหย่าเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย เธอคาดไม่ถึงว่าเฉียวซือเหิงจะเอ่ยขึ้นอย่างชัดเจนแจ่มแจ้งและไร้ซึ่งน้ำใจเช่นนี้ ไม่ให้จังหวะในการถอยต่อเธอเลยแม้แต่น้อย

ในเมื่อเขาเอ่ยมาอย่างชัดเจนเช่นนี้แล้ว ถ้าหากเธอยังไม่รู้จักว่าอะไรควรไม่ควรไปเกาะแกะเขาไม่เลิกอีก จุดจบจะต้องเป็นเหมือนอย่างฟางมี่เป็นแน่

เพราะฉะนั้นหลังจากที่ผ่านสงครามหัวใจอันเจ็บปวดอย่างสุดซึ้งแล้วนั้น เธอจึงยิ้มขึ้น พร้อมเงยหน้ามาพูดกับเขาว่า : “ความจริงฉันทราบอยู่แล้วว่าพี่ไม่สนใจฉัน แต่ว่าฉันไม่สามารถปฏิเสธความต้องการของคุณป้าได้นี่นา เพราะงั้นเลยทำได้เพียงเชื่อฟังท่านแล้วมาลองคุยกับพี่ดูเท่านั้น ในเมื่อพี่พูดมาแบบนี้แล้ว แน่นอนว่าฉันคงไม่ไปเกาะแกะกับพี่ต่อไปโดยไม่รู้จักขอบเขตหรอก พวกเรามาเป็นญาติกันต่อเถอะค่ะ”

เฉียวซือเหิงมองหน้าเธอ นัยน์ตาเห็นได้ชัดว่ามีความไม่เชื่อว่าเธอจะเชื่อฟังง่ายดายเช่นนี้ได้

เหวินหย่ากล่าวต่อไปว่า : “แต่ว่าฉันขอร้องพี่อย่างได้ไหมคะ อย่าเพิ่งบอกกับคุณป้า เพื่อเป็นการไม่ให้ท่านโทษว่าฉันไม่พยายามทำให้ใจพี่อ่อน”

“โอเค ได้” เฉียวซือเหิงพยักหน้า

“ถ้างั้น……” เหวินหย่าหยิบตั๋วสองใบที่อยู่หน้ารถขึ้นมา ยิ้มพร้อมกล่าวขึ้นว่า : “ฉันขอเชิญพี่ไปดูการเต้นรำด้วยกันในฐานะเพื่อน พี่คงไม่ปฏิเสธอีกหรอกใช่ไหมคะ ?”

เมื่อเห็นเฉียวซือเหิงลังเลใจ เหวินหย่าจึงกล่าวต่อว่า : “ถ้าพี่ยังปฏิเสธอีก ฉันจะเสียใจและขายหน้ามากเลยนะคะ”

เฉียวซือเหิงชายตามองเธอ ผ่านมาเนิ่นนานจึงกล่าวขึ้นมา : “แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวนะ”

“ค่ะ แค่ครั้งนี้ครั้งเดียว” เหวินหย่าฉีกยิ้มขึ้นด้วยความดีใจ

ซูซี่เลิกงานและพาเสี่ยวกว้านกลับบ้าน เมื่อผลักเปิดประตูก็ได้กลิ่นไหม้ลอยเข้ามา

ขณะที่เธอวิ่งพุ่งเข้าไปในห้องครัวด้วยความร้อนรนใจนั้น จึงมองเห็นเหลียนเฟยกำลังวุ่ยวายอยู่ในห้องครัว

“เหลียนเฟยทำอะไรน่ะ !” ซูซี่มองสำรวจห้องครัวที่ได้รกรุงรังไปหมดแล้ว จึงได้กล่าวถามด้วยความโมโห

เหลียนเฟยวางตะหลิวในมือลง มองเธอพร้อมกล่าวด้วยสีหน้าอันใสซื่อ : “ขอโทษที ตอนแรกกะว่าจะทำอาหารเย็นรูปหัวใจให้เสี่ยวกว้าน แต่ผลที่ได้……”

“แม้แต่บะหมี่นายยังทำไม่อร่อยเลย ยังจะมีหน้ามาทำอาหารเย็นรูปหัวใจอีกหรือไง ? รีบไสหัวออกไปเดี๋ยวนี้นะ !” ซูซี่ลากเขาออกจาห้องครัวไปด้วยความเกรี้ยวกราด และกระชากชุดกันเปื้อนออกจากเขาด้วย จากนั้นก็มองกระทะของบ้านเธอที่ไหม้จนดำปี๋ไปหมดแล้วด้วยสีหน้าเอือมละอา เธอหันหน้าไปจ้องเขาตาเขม็งด้วยอารมณ์โกรธเคืองทันที

เหลียนเฟยเกาศีรษะด้วยความรู้สึกเคอะเขิน จากนั้นก็หันหลังไปหยอกเสี่ยวกว้าน กลับถูกเสี่ยวกว้านถลึงตาใส่ : “คุณลุงเหลียน โง่จังเลยครับ โง่แบบนี้จะมาเป็นพ่อผมได้ยังไง !”

“ชู่ !” เหลียนเฟยรีบทำมือบอกให้เขาเงียบ : “เด็กน้อยห้ามพูดจาซี้ซั้วนะครับ ระวังลุงจะลงโทษให้หนูไปยืนข้างกำแพงนะ”

เสี่ยวกว้านแลบลิ้นปลิ้นตาใส่เขา จากนั้นก็วิ่งไปเล่นในห้องรับแขก

เหลียนเฟยสาวเท้าเดินเข้าไปในห้องครัว จากนั้นก็หยิบตั๋วสองใบออกจากถุงพลาสติกพร้อมกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้มรู้สึกผิด : “แม้ว่าฉันจะทำข้าวเย็นพัง แต่ฉันมีการชดเชยให้เธอด้วยนะ เธอดูสินี่คืออะไร ?” เขายื่นตั๋วเข้าชมการแสดงของโรงละครใหญ่สองใบในมือให้เบื้องหน้าซูซี่

ซูซี่ถอยหลังไปเล็กน้อย จากนั้นก็มองตั๋วเข้าโรงละครในมือของเขา : “นี่คืออะไร ?”

“สิ่งนี้เธอน่าจะรู้จักมากกว่าฉันนะ”

“ตั๋วเข้าโรงละครใหญ่คืนนี้เหรอ ?” ซูซี่กระซิบกระซาบด้วยความอึ้ง นี่คืองานแสดงเต้นรำอันยิ่งใหญ่ที่จัดขึ้นโดยการร่วมมือของบริษัทศิลปะมีชื่อเสียงแห่งหนึ่งและเมืองซี ราคาตั๋วไม่ได้ถูกเลยแม้แต่น้อย เมื่อดูจากระดับชีวิตความเป็นอยู่ของเธอในตอนนี้นั้นเธอรู้สึกตัดใจไปชมไม่ลง

“รู้อยู่แล้วว่าเธอชอบอะไรแบบนี้” เหลียนเฟยกล่าวด้วยรอยยิ้ม เมื่อเห็นนัยน์ตาที่เปล่งประกายของซูซี่เขาจึงรู้สึกดีใจขึ้นมาโดยปริยาย เขากล่าวขึ้นว่า : “ฉันจัดการเรียบร้อยแล้ว อีกเดี๋ยวให้คุณป้าแม่บ้านมาทำโอทีอยู่กับเสี่ยวกว้าน เราสองคนจะได้ไปดูการแสดงอย่างสบายใจยังไงล่ะ”

ซูซี่กลับกวาดสายตามองเขาแล้วถามว่า : “นายไปเอาตั๋วนี้มาจากไหน ? แถมยังที่นั่งดีแบบนี้อีก”

ตั๋วสองใบนี้คือเงินเดือนหนึ่งเดือนของเขา อีกทั้งตำแหน่งที่นั่งนี้ประชาชนธรรมดาไม่สามารถซื้อได้โดยสิ้นเชิง ซึ่งเป็นที่นั่งวีไอพีที่คนมีฐานะเท่านั้นถึงจะซื้อไหว

“อย่างนั้นเหรอ ? ที่นั่งนี่ดีมากเลยเหรอ ? ผมไม่รู้สิ” เหลียนเฟยลูบจมูก : “เอาเถอะ ผมยอมรับว่าความจริงแล้วผมจับฉลากได้มาตอนที่ไปซื้อของสดที่ห้างเมื่อกี้น่ะ”

“ได้มาจากการจับฉลากงั้นเหรอ ?” ซูซี่รู้สึกสงสัยเป็นอย่างยิ่ง

“ใช่แล้ว จับโดยเอาบิลไปแลก” เหลียนเฟยแสดงสีหน้าอันลำพองใจขึ้นมา : “พนักงานยังบอกฉันด้วยว่านี่คือตั๋วคู่รักที่ดีที่สุดด้วยนะ เป็นไง ? โชคของมือฉันสุดยอดไปเลยใช่ไหมล่ะ ?”

เมื่อเห็นว่าซูซี่ไม่เชื่อ เหลียนเฟยจึงกลอกตาขึ้นด้วยความเอือมละอา : “ที่รัก ห้างสรรพสินค้าที่ใหญ่โตขนาดนั้น จะแกล้งลูกค้าหรือไง ? อีกอย่างฉันไม่ได้ให้เงินเขาสักแดงเดียว ถ้าเขาอยากหลอกฉันก็หลอกไม่ได้หรอก เธออย่าใจแคบไปสงสัยเขาเลยเนอะ รีบทำกับข้าวเถอะ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวไม่ทันเวลา”

ซูซี่ยังคงรู้สึกเหลือเชื่ออยู่ดี ทว่าเมื่อตั๋วที่อยู่ในมือของเขาไม่เหมือนเป็นของปลอมเลยแม้แต่น้อย

หลังจากที่เหวินหย่าและเฉียวซือเหิงรับประทานมื้อเย็นด้วยกันข้างนอกเสร็จแล้ว ก็ยังเหลืออีกครึ่งชั่วโมงกว่าจะถึงเวลาเข้าโรงละครยามทุ่มครึ่ง

เหวินหย่าเสนอแนะให้เดินไปโรงละครใหญ่จากร้านอาหารไป ซึ่งเป็นเวลา 20 นาทีพอดี เฉียวซือเหิงคิดได้ว่าที่นั่นหาที่จอดรถยาก จึงตอบตกลงเธอไป

ทั้งสองคนเดินอยู่บนถนนทางคนเดิน เหวินหย่าเข้าไปแนบชิดกับตัวเฉียวซือเหิงโดยไม่รู้ตัว เพื่อสัมผัสถึงตัวตนของขา สูดดมกลิ่นอันแสนพิเศษบนตัวเขา ทันใดนั้นเองเธอก็รู้สึกพึงพอใจอย่างเป็นพิเศษขึ้นมา

ความจริงแล้วขณะที่เธอยังเรียนมัธยมต้นอยู่เมื่อหลายปีก่อนนั้น ตอนที่เธอเจอเฉียวซือเหิงครั้งแรกที่งานเลี้ยงผู้อื่นก็ถูกความโดดเด่นของเขาดึงดูดเขาแล้ว เพียงแค่เนื่องจากความห่างไกลของอายุประกอบกับเฉียวซือเหิงมีภรรยาแล้ว เธอจึงไม่กล้าคิดไปในทางนั้น

เมื่อวันก่อน ๆ เธอได้ยินผู้อื่นพูดว่าคุณนายเฉียวกำลังคัดเลือกคู่หมั้นให้เฉียวซือเหิงในกลุ่มสาวฮอตเมืองซีนั้น ขณะที่เธอได้เตรียมพร้อมด้วยความปิติในการไปให้คุณนายเฉียวคัดเลือก กลับคิดไม่ถึงเลยว่าคุณนายเฉียวจะมองข้ามตระกูลเหวินที่อยู่ในสังคมชั้นกลางไป

สุดท้ายเธอจึงเป็นฝ่ายใช้อุบายในการเข้าพบคุณนายเฉียว อีกทั้งคุณนายเฉียวเองก็รู้สึกถูกใจเมื่อเจอหน้าเธอผู้ที่ ‘อ่อนโยนนุ่มนวล’ ตั้งแต่ครั้งแรก แถมยังให้โอกาสอันดีเลิศนี้กับเธอด้วย

โอกาสที่ได้มายากเย็นเช่นนี้นั้น เธอไม่มีทางล้มเลิกไปโดยง่ายดายและไม่สามารถล้มเลิกได้

ขณะที่ทั้งสองคนมาถึงยังโรงละครใหญ่แล้วนั้น ที่โรงละครใหญ่ก็กำลังจัดแจงให้ผู้ชมเข้าไปบริเวณด้านในเรียบร้อยแล้ว เฉียวซือเหิงมองตั๋วที่อยู่ในมือ จากนั้นก็เดินมุ่งไปยังแถวหน้า

เหวินหย่ากระโจนไปด้านหน้า จากนั้นก็รีบคว้าแขนของเฉียวซือเหิงเอาไว้ทันที

เฉียวซือเหิงหันหน้ามามอง จึงเห็นเธอที่ฉีกยิ้มพร้อมเอ่ยขึ้น ใบหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด : “ขอโทษทีค่ะ แสงไม่ค่อยดี รองเท้าก็สูงอีก……”

ปากเธอบอกว่าขอโทษ ครั้นสองมือที่จับแขนของเขาเอาไว้ยังคงไม่คลายออก

เฉียวซือเหิงก้มหน้ามองรองเท้าของเธอ จากนั้นก็กล่าวตักเตือนขึ้นด้วยความสุภาพ : “ระวังหน่อย”

“ขอบคุณค่ะ ฉันขอยืมแขนจับหน่อยได้ไหมคะ ?” เหวินหย่ายิ้มขึ้น

เฉียวซือเหิงไม่อาจปฏิเสธได้ไปโดยปริยาย จึงทำได้เพียงทำตามที่เธอต้องการ

ขณะที่กำลังเดินไปเบื้องหน้านั้น เหวินหย่าได้กวาดสายตามองรอบ ๆ ครั้นไม่เห็นเงาของซูซี่และเหลียนเฟยเลย ทำให้เธอรู้สึกผิดหวังขึ้นเล็กน้อย

เธอได้มอบตั๋วให้ในมือเหลียนเฟยแล้วแท้ ๆ ครั้นเขากลับไม่มางั้นหรือ ?

เฉียวซือเหิงและเหวินหย่านั่งอยู่บนที่นั่งได้ไม่นาน การแสดงก็เริ่มต้นขึ้นแล้ว พิธีกรสาวสวยกำลังกล่าวเปิดงานอยู่บนเวที

ความจริงแล้วซูซี่และเหลียนเฟยไม่ใช่ว่าไม่มา ครั้นพวกเขารถติดอยู่บนท้องถนนจึงทำให้มาสาย เวลานี้ทั้งสองคนกำลังลงรถมาด้วยความเร่งรีบ และกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้าไปภายในโรงละครใหญ่

เมื่อเหลียนเฟยวิ่งมาจนถึงห้องโถงโรงละครแล้วเห็นว่าซูซี่ไม่ได้ตามมาด้วย จึงหันหลังไปคว้าข้อมือของเธอ : “เร็ว ๆ หน่อย ปกติเวลาด่าฉันนี่เร็วจังเลยนะ ทำไมตอนนี้ถึงได้ช้าเหมือนกับเต่าอย่างนี้ล่ะ”

“นายยังมีหน้ามาพูดอีกเหรอ ถ้าไม่เป็นเพราะนายเผากระทะของฉันจนพังฉันจะเสียเวลาออกจากบ้านช้าหรือไง ?” ซูซี่โต้กลับด้วยความไม่สบอารมณ์

“ทั้งที่เป็นเพราะเธอแท้ ๆ ที่ลีลา” เหลียนเฟยลากเธอเดินเข้าไปหาที่นั่งของตนเองในห้องโถงใหญ่ภายใต้แสงไฟอันสลัว ซูซี่ถูกเขาลากแขนไปอย่างเร็ว จนทำให้เกือบจะหกล้มหลายครั้ง เธอจึงกล่าวขึ้นขัดขืนด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ : “คุณเหลียน ขาดดูไปการแสดงหนึ่งจะตายหรือไง ? ไม่เห็นหรือไงว่าที่นี่มันมืดมากน่ะ ? เอ๊ะ……!”

ขณะที่กำลังพูดอยู่เธอถูกลากพุ่งไปด้านหน้าอีกครั้ง ทำให้ศีรษะกระแทกเข้าไปแผ่นอกของเขา

เหลียนเฟยยิ้มขึ้นอย่างชั่วร้าย พร้อมโอบไหล่ของเธอเอาไว้ รอคอยเธอเข้ามาสู่อ้อมแขนตั้งนานแล้ว !

ซูซี่ผละออกจากอ้อมกอดของเขา จากนั้นก็มองตั๋วที่อยู่ในมือเขา : “เจอที่นั่งหรือยัง ?”

“เจอแล้ว อยู่ข้างในนี่แหละ” เหลียนเฟยลากเธอเดินเข้าไปยังที่นั่งแถวที่สามด้านใน

เนื่องจากไม่อยากบดบังสายตาของคนข้างหลัง ทั้งสองคนจึงเดินก้มเข้ามา ซูซี่อยากที่จะผ่านกลุ่มคนไปโดยเร็ว ครั้นในเวลานี้กลับถูกคนข้าง ๆ คว้าข้อมือเอาไว้

เธอหยุดชะงักไป จากนั้นก็หันหน้าไปมองด้วยความฉงนใจ เมื่อเธอเห็นผู้ชายที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ว่าเป็นเฉียวซือเหิงแล้วนั้น ร่างกายจึงสั่นเทาขึ้นโดยไม่รู้ตัว ภายในสมองก็เต็มไปด้วยความว่างเปล่าขึ้นมาทันควัน

เหตุใดเฉียวซือเหิงจึงมาอยู่ที่นี่ได้ ? เหตุใดจึงบังเอิญเช่นนี้……!

“บังเอิญจังเลยนะ” เฉียวซือเหิงฉีกยิ้มให้เธอ ภายในรอยยิ้มอันเป็นมิตรนั้นมีความชั่วร้ายแอบซ่อนอยู่ ครั้นเกรงว่าคงมีแต่ซูซี่เท่านั้นที่มองออก

ซูซี่ก้มหน้ามองมือเขาที่จับมือของเธออยู่ภายใต้ความสับสนงงงวย จากนั้นก็ขัดขืนอย่างแรง เฉียวซือเหิงกลับจับข้อมือของเธอแน่นขึ้นกว่าเดิม สายตายังคงจ้องเธออยู่ราวกับไฟลุกไหม้ : “ทำไม ? จำฉันไม่ได้เหรอ ? หรือว่าไม่อยากเจอหน้าฉัน ?”

เมื่อสักครู่นี้ขณะที่ซูซี่และเหลียนเฟยเข้ามาพร้อมกันนั้น เขาเห็นทั้งหมด แน่นอนว่านี่คือสิ่งที่เหวินหย่าตักเตือนเขาใน ‘ความมืด’ มิเช่นนั้นเขาจะคาดถึงได้อย่างไรว่าจะเจอซูซี่อยู่ที่นี่ ?

“เฉียว……คุณชายเฉียว……ปล่อยฉันก่อนได้ไหม ?” ซูซี่มองเขาด้วยความรู้สึกสับสนและอึดอัด

เฉียวซือเหิงไม่ได้ปล่อยเธอออก ครั้นลากเธอเข้ามานั่งลงที่นั่งว่างข้าง ๆ และที่นั่งข้าง ๆ นั้นก็คือที่นั่งของซูซี่และเหลียนเฟยพอดิบพอดี ซึ่งเหวินหย่าเป็นคนจัดการเอาไว้โดยเฉพาะ เพียงแค่ซูซี่ไม่กระจ่างแจ้งในเรื่องเหล่านี้้เท่านั้น เธอยังคิดว่าตนเองเจอกับเฉียวซือเหิงโดยบังเอิญ เป็นเรื่องบังเอิญเกินไปด้วยความใสซื่ออยู่

เหลียนเฟยคิดวิเคราะห์ทั้งสองคนอยู่เนิ่นนานครั้นก็ไม่ได้รับความกระจ่างแจ้งอันใด เขาดึงอีกมือของซูซี่เอาไว้ จากนั้นก็มองเฉียวซือเหิงสลับกับมือที่เขาจับซูซี่เอาไว้ตลอด แล้วถามขึ้นด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์นัก : “เสี่ยวซี่เขาเป็นใคร ?”

“เขา……” ซูซี่มองหน้าเฉียวซือเหิง ทันใดนั้นก็พูดไม่ออกขึ้นมาทันที

เฉียวซือเหิงจึงตอบแทนเธอ : “สามีเก่า”

“อะไรนะ ?” เหลียนเฟยร้องด้วยความตกใจขึ้นมา : “นายน่ะเหรอสามีของเสี่ยวซี่ ? พ่อของเสี่ยวกว้าน ?”

“โอ๊ย……!” อยู่ ๆ เหวินหย่าที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เฉียวซือเหิงก็ร้องเจ็บปวดขึ้นมา จากนั้นก็คล้องแขนของเฉียวซือเหิงแล้วกล่าวว่า : “เฉียวคะ อยู่ ๆ ฉันก็ปวดท้องมากเลย ฉันอยากกลับแล้วค่ะ……”

เธอคาดไม่ถึงโดยสิ้นเชิงว่าเหลียนเฟยจะหลุดปากเอ่ยถึงเสี่ยวกว้านได้ ช่างเป็นอุบัติเหตุที่คาดไม่ถึงเสียจริง !

คำพูดนี้ของเหลียนเฟยไม่เพียงแต่ทำให้เหวินหย่ากระวนกระวาย ทำให้ซูซี่ไม่รู้จะทำตัวอย่างไรด้วยเช่นกัน เธอสงบสติอารมณ์ภายใต้สถานการณ์แห่งความโมโห พยายามทำให้น้ำเสียงของตัวเองสงบนิ่งลงแล้วกล่าวว่า : “เขาเป็นสามีเก่าของฉันถูกต้องแล้ว แต่ไม่ใช่พ่อของเสี่ยวกว้าน” ขณะที่เธอพูดอยู่นั้นก็ได้ใช้นิ้วมือสะกิดข้อมือของเหลียนเฟย

เหลียนเฟยรับรู้ว่าตนเองพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูดออกไป เขามองหน้าซูซี่แล้วรีบหัวเราะแห้งพร้อมพูดขึ้นว่า : “จริงด้วยเนอะ ฉันลืมไปเลยว่าเสี่ยวกว้านเป็นลูกที่เธอรับเลี้ยงมา ไม่มีพ่อแม่”

ซูซี่มองเฉียวซือเหิงแวบหนึ่ง รับรู้ได้ถึงความตกตะลึงและความสงสัยบนใบหน้าของเขาอย่างชัดเจน เห็นดังนั้นภายในใจของเธอก็ยิ่งร้อนรนเข้าไปใหญ่

เพื่อเป็นการเปลี่ยนหัวข้อสนทนา เธอขยับข้อมือออกจากมือของเขา จากนั้นก็ยิ้มเจื่อน ๆ ให้เขา : “คุณชายเฉียว คู่หมั้นของคุณบอกว่าปวดท้อง รีบพาเธอไปหาหมอเถอะค่ะ”

ความสงสัยบนใบหน้าของเฉียวซือเหิงสลายไป เขาพยักหน้า จากนั้นก็ลุกขึ้นจูงมือเหวินหย่าและเดินจากไปทันที

ซูซี่คาดไม่ถึงโดยสิ้นเชิงว่าเฉียวซือเหิงจะจากไปอย่างสบาย ๆ เช่นนี้ จึงได้ถอนหายใจเงียบ ๆ พร้อมมองส่งเขาและเหวินหย่าเดินออกจากทางออกห้องโถงใหญ่การแสดงพร้อมกัน ภายในใจยังคงมีความไม่สงบอยู่ไม่หาย

ไม่ทราบว่าเขาจะสงสัยเรื่องเสี่ยวกว้านหรือไม่ ? ดูจากสีหน้าของเขาแล้วน่าจะไม่ได้สงสัยใช่หรือไม่

“แม่เจ้า ตอนนี้ฉันเพิ่งรู้สึกได้ว่าเขาหน้าเหมือนเสี่ยวกว้านมากเลย พิมพ์เดียวกันชัด ๆ” ในขณะที่ซูซี่กำลังร้อนรนใจอยู่นั้น เหลียนเฟยที่ไม่ทราบถึงความหนักหนาของเรื่องราวนั้นก็พูดกระซิบกระซาบอยู่ข้าง ๆ

ซูซี่ได้ยินดังนั้นจึงหันหน้าไป พร้อมจ้องหน้าเขาตาเขม็งอย่างเกรี้ยวกราด จากนั้นก็คว้าข้อมือของเขาเอาไว้มือเดียว : “นายออกมากับฉันเดี๋ยวนี้ !”

“ทำไมกัน ? การแสดงเพิ่งเริ่มเองนะ นี่……อย่าดึง……ฉันเดินเองได้……” เวลาต่อมา เหลียนเฟยถูกซูซี่ดึงมายังภายในรถยนต์ที่จอดอยู่โรงจอดรถ

“เป็นอะไรของเธอเนี่ย ?” เหลียนเฟยมองหน้าเธอด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความฉงนใจ : “ก็แค่สามีเก่าเอง ? ไม่ใช่สามีคนปัจจุบันสักหน่อย ฉันยังไม่กลัวเลยเธอจะกลัวทำไม ?”

ซูซี่ถลึงตาใส่เขา พร้อมกล่าวขึ้นด้วยสีหน้าโกรธเคือง : “คุณเหลียน ทำไมทุกครั้งต้องเป็นนายด้วย ? นายบอกฉันมาตามตรงเดี๋ยวนี้ ตั๋วสองใบนี้นายไปเอามาจากไหนกันแน่ ?”

“จับฉลากไง ถ้าฉันโกหกขอให้ฟ้าผ่าเลย” เหลียนเฟยเห็นใบหน้าอันเกรี้ยวกราดของเธอ จึงยกฝ่ามือขึ้นมาทำท่าสาบาน

ซูซี่ชายตามองเขา เหลียนเฟยเป็นผู้ที่ตามจีบเธอ เขาไม่มีเหตุผลที่จะจงใจทำให้เธอเจอะเจอหน้าเฉียวเฟิงถึงจะถูก ทว่าหากไม่ใช่เขาที่เป็นคนเล่นตลกแล้ว เธอจะเจอเฉียวซือเหิงอยู่ที่นี่ได้อย่างบังเอิญเช่นนี้หรือ ?

“เสี่ยวซี่ เป็นอะไรไปกันแน่”

ซูซี่กัดฟันกรอบ พร้อมชายตามองเขา : “ต่อให้นายจะไม่ได้ตั้งใจ แต่ทำไมนายต้องพูดถึงเสี่ยวกว้านต่อหน้าเฉียวซือเหิงด้วย ? นายไม่รู้หรือไงว่าเสี่ยวกว้านสำคัญกับฉันมากแค่ไหน ? นายไม่รู้ว่าเฉียวซือเหิงเป็นคนยังไงเหรอ ?”

“เฉียวซือเหิงเป็นคนยังไงเหรอ ?” เหลียนเฟยไม่ทราบจริง ๆ

“ทำได้ทุกอย่างเพื่อได้ในสิ่งที่ต้องการ”

“แล้วยังไงต่อ ? เขาจะมาแย่งเสี่ยวกว้านกลับไปเหรอ ?”

ซูซี่ยกมือขึ้นตบไปยังหน้าผากของเขาพร้อมกล่าวขึ้นด้วยความโมโห : “ฉันขอเตือนนายนะ ถ้าเสี่ยวกว้านถูกแย่งไป ฉันจะเกลียดนายไปตลอดชีวิต !”

เหลียนเฟยรู้สึกเย็นวาบในใจเนื่องจากคำพูดของเธอ เวลาต่อมาก็กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงอันสั่นเครือ : “แล้วจะทำยังไงดีล่ะ ? เมื่อกี้ฉันพูดว่าเสี่ยวกว้านคือลูกที่เธอรับมาเลี้ยงแล้วนี่ ฉันเห็นว่าเฉียวซือเหิงก็เหมือนจะไม่ได้สงสัยเลยนะ เอ่อ……น่าจะไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรอกเนอะ ?”

“ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นจะดีที่สุด !” ซูซี่กัดฟันกล่าว

หลังจากที่เฉียวซือเหิงส่งเหวินหย่ากลับบ้านตระกูลเฉียวแล้ว จึงกล่าวกับเธอว่า : “เธอเข้าไปก่อนเถอะ ฉันมีธุระนิดหน่อย”

เหวินหย่ามองหน้าเขาด้วยความเอือมละอา : “ดึกมากแล้ว พี่ยังมีธุระอะไรอีกเหรอคะ ?”

“ฉันต้องรายงานว่าจะไปไหนมาไหนกับเธอตั้งแต่เมื่อไหร่ ?” เฉียวซือเฟิงพูดตอบกลับเธอด้วยความไม่สบอารมณ์

เหวินหย่าได้ยินดังนั้นจึงเป็นใบ้ไป จากนั้นก็ปลดเข็มขัดนิรภัยออก แล้วผลักประตูรถลงไปอย่างว่าง่าย เมื่อเห็นรถของเฉียวซือเหิงขับออกไปจากประตูใหญ่แล้ว เธอทั้งรู้สึกร้อนรนใจทั้งรู้สึกอับจนหนทางขึ้นมาทันที

เธอไม่ต้องคิดมากก็สามารถเดาออกแล้วว่าเฉียวซือเหิงจะไปทำอะไรในลำดับต่อไป

เดิมทียังคิดอยากให้เฉียวซือเหิงทราบว่าซูซี่มีครอบครัวเป็นของตัวเอง แล้วทั้งคู่ก็จะยินดีต่อกัน ปล่อยกันไป ครั้นคิดไม่ถึงเลยว่าจะมีเหลียนเฟยที่เป็นคนซื่อบื้อทำเรื่องพังโผล่ออกมาได้ คิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าเขาจะเอ่ยถึงเสี่ยวกว้านขึ้นมาต่อหน้าเฉียวซือเหิง

ดูเหมือนว่ากลยุทธ์นี้ของเธอจะผิดพลาดสาหัสเสียแล้ว กลับกลายเป็นว่าเธอผลักเฉียวซือเหิงเข้าสู่อ้อมกอดของซูซี่เสียนี่ !

เธอไม่กล้าไปคิดเลยว่าหลังจากที่เฉียวซือเหิงทราบเรื่องของเสี่ยวกว้านแล้ว จะรับซูซี่และลูกกลับบ้านมาเลยโดยตรงหรือไม่

“เสียวหย่าเป็นอะไรไป ?” คุณนายเฉียวเลื่อนวีลแชร์ออกจากในตัวบ้านมา พลางกวาดสายตามองประตูใหญ่แล้วถามว่า : “ทำไมการแสดงถึงจบเร็วแบบนี้ล่ะ ? ดึกดื่นแบบนี้ซือเหิงยังขับรถไปไหนอีก ?”

เหวินหย่าสูดหายใจเข้า หันหลังไปจากนั้นสายตาที่มองคุณนายเฉียวก็ผุดความน้อยเนื้อต่ำใจขึ้นมาทันควัน : “คุณชายเฉียวเขาไปหาผู้หญิงคนอื่นแล้วค่ะ การแสดงเพิ่งเริ่มต้นเอง เขาก็ถูกผู้หญิงคนอื่นเรียกไปเสียแล้ว”

“เจ้าลูกคนนี้หนิ !” คุณนายเฉียวสบถขึ้นด้วยอารมณ์โมโห : “ไม่เข้าท่าเลย”

“คุณป้าคะ ทำยังไงดีคะ ? คุณชายเฉียวเขา……” เหวินหย่าพูดไปพลางกระพริบไล่น้ำตาที่เอ่ออยู่ไป

คุณนายเฉียวรีบกล่าวขึ้นว่า : “หนูอย่าเพิ่งร้อนใจไป ป้าจะเรียกเขากลับมาเดี๋ยวนี้เลย”

“คุณป้าคะ จะต้องเรียกเขากลับมาให้ได้นะคะ” แม้จะทราบว่าการกระทำเช่นนี้ไร้ประโยชน์ ครั้นหากสามารถยืดเยื้อได้สักวันก็ไม่เสียหายไม่ใช่หรือ ?

คุณนายเฉียวพยักหน้าตอบตกลง พร้อมเรียกให้น้าหงหยิบโทรศัพท์มาให้ตน

เหลียนเฟยส่งซูซี่ที่ล่างตึก เขามองหน้าซูซี่ที่ยังคงมีสีหน้าไม่ปกติพร้อมกล่าวว่า : “บอกเธอแล้วว่าอย่าเป็นกังวลไม่ใช่หรือไง เฉียวซือเหิงเขาไม่ได้ฉลาดขนาดนั้นหรอก”

ซูซี่หน้าบึ้งมองเขาด้วยความรู้สึกเอือมละอา แล้วกล่าวว่า : “พรุ่งนี้มาช่วยฉันย้ายบ้านหน่อย”

“เธอจะย้ายบ้านอีกแล้วเหรอ ?”

“ฉันควรย้ายตั้งแต่ครั้งที่แล้วแล้ว !” ซูซี่กล่าวขึ้นด้วยความรู้สึกเสียใจภายหลัง เมื่อครั้งนั้นเธอไม่ควรเชื่อที่ไป๋มู่ชิงพูดเลย สถานที่ที่อันตรายที่สุดก็คือที่ที่ปลอดภัยที่สุดอะไรนั่น ผลสุดท้ายนี่เพิ่งผ่านไปได้ไม่กี่วันก็……

เหลียนเฟยครุ่นคิดชั่วครู่จากนั้นก็พยักหน้า : “เอาเหอะ ย้ายไปบ้านฉันก็แล้วกัน”

“ป่านนี้แล้วนายยังจะล้อเล่นอีกหรือไง !” ซูซี่กล่าวด้วยความโมโห

“ฉันไม่ได้ล้อเล่นนะ” เหลียนเฟยกล่าวด้วยใบหน้าจริงจัง : “เธอไม่คิดเหรอว่าถ้าเฉียวซือเหิงคิดว่าเธอแต่งงานแล้ว เขาจะไม่มายุ่งกับเธออีกน่ะ ?”

“ฉันรู้จักนิสัยของเฉียวซือเหิงมากกว่านาย และคนที่เขาต้องการคือเสี่ยวกว้านไม่ใช่ฉัน หวังว่านายจะชัดเจนส่วนนี้ด้วย” ซูซี่สูดหายใจเข้าเบา ๆ จากนั้นก็ชายตามองเขา : “นายจะมาหรือไม่มากันแน่ ?”

“มา ต้องมาแน่นอนอยู่แล้ว” เหลียนเฟยพยักหน้า : “แต่ว่าฉันมีเงื่อนไขนะ เธอจะต้องพาฉันไปด้วย”

“นี่นาย……!”

“ฉันทำไมเหรอ ? ฉันตัวติดเธอแล้ว ไม่อย่างนั้นเธออย่าได้คิดไปไหน” เหลียนเฟยยักไหล่ การที่ให้พวกเธอที่เป็นลูกกำพร้าและแม่หม้ายหนีออกไปด้านนอกอย่างซมซานเช่นนี้ เขารู้สึกไม่สบายใจ

ซูซี่มองใบหน้าอันแน่วแน่ของเขา จึงกัดฟันกรอบด้วยความโมโห จากนั้นก็ผลักเปิดประตูรถเดินออกไป

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

Status: Ongoing
ไป๋มู่ชิงเคยได้ยินเรื่องเล่าตั้งแต่เด็กว่า ตระกูลหนานกงในเมืองซีเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุด แต่น่าเสียดายที่คุณชายใหญ่ของตระกูลกลับป่วยเป็นโรคประหลาด โรคที่เขาเป็นจะทำให้เขามีอายุอยู่ได้ไม่ถึงอายุ30ปี ไป๋มู่ชิงยังได้ยินมาอีกว่า คุณชายหนานกงเฉินแต่งงานใหม่ทุกๆปี แต่เจ้าสาวของเขากลับมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงวันต่อมาหลังคืนเข้าหอ แต่ไม่ทราบสาเหตุของการแต่งงานและยังไม่ทราบถึงสาเหตุการเสียชีวิตของเจ้าสาวด้วย เมื่อตระกูลหนานกงได้ส่งของหมั้นมาให้ตระกูลไป๋ ไป๋มู่ชิงก็คิดไม่ถึงว่าพ่อของเธออยากจะปกป้องชีวิตพี่ของเธอไว้ถึงขนาดผลักเธอเข้าไปในประตูนรกอย่างโหดร้าย บังคับให้เธอแต่งงานกับหนานกงเฉินเป็นเจ้าสาวคนที่เจ็ดของเขา แทนพี่สาวของเธอ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน