เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด – บทที่ 281 รถชน

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

“ในเมื่อเป็นแบบนี้ งั้นผมจะดื่มเป็นเพื่อนคุณสักแก้วสองแก้วแล้วกัน” เฉียวซือเหิงทำเพื่อให้ทั้งสองฝ่ายพอใจ แล้วพูดต่อ:“แต่ห้ามดื่มเกินลิมิตนะ มันเป็นอันตรายต่อร่างกายได้ง่าย”

เฉียวซือเหิงยกแก้วของตัวเองขึ้นมาแล้วยื่นไปทางเธอ ยิ้มในที่มืด:“เมื่อไหร่คุณจะเลิกเรียกผมว่าคุณชายเฉียวสักที เรียกให้เหมือนไป๋มู่ชิงที่เรียกหนานกงเฉินว่าสามีหรือเฉินดีกว่าไหม?”

“วันไหนที่คุณรักฉันเหมือนที่หนานกงเฉินรักไป๋มู่ชิง ฉันก็จะเรียกคุณแบบนั้นเอง”

“ผมรู้สึกมาตลอดว่าตัวเองรักคุณมากกว่าที่หนานกงเฉินรักไป๋มู่ชิงซะอีก เพียงแต่คุณรับรู้ถึงความรู้สึกนั้นไม่ได้ก็เท่านั้นเอง” เฉียวซือเหิงพูดจบก็รีบพูดต่อ:“เรื่องที่ผ่านไปแล้วพวกเราจะไม่พูดถึง ได้ไหม?”

“ก็ได้ ไม่พูดถึงอดีต พูดถึงอนาคตแล้วกัน” ซูซี่ส่งแก้วเปล่าให้เขารินเหล้า แล้วส่ายหน้ายิ้มเจื่อนๆ:“แต่อนาคต……ทำไมฉันถึงไม่มีความมั่นใจเลยสักนิดนะ ฉันไม่เข้าใจว่าคุณไปเอาความมั่นใจมาจากไหน”

“คงเป็นเพราะผมมั่นใจว่าจะรักคุณไปตลอดชีวิตล่ะมั้ง” เฉียวซือเหิงพูด

ซูซี่มองไปที่เขา ในใจเธอหวั่นไหวไม่น้อยกับคำพูดเขา บางทีเธอก็รู้สึกว่าตัวเองควรจะเปิดใจ แล้วให้โอกาสเขาอย่างจริงๆจังๆสักครั้ง

ทุกคนต่างบอกให้เธอลองเปิดใจ หรือว่าตัวเธอเองจะดื้อดึงเกินไปจริงๆ จริงจังเกินไปจริงๆงั้นเหรอ?

เธอยกเหล้าที่อยู่ข้างๆมือขึ้นดื่มหนึ่งอึกอย่างไม่สบายใจ

เฉียวซือเหิงรีบแย่งแก้วในมือของเธอมา:“พอแล้ว คุณพึ่งดื่มหมดไปหลายแก้วแล้วนะ ห้ามดื่มต่อแล้ว”

“ที่พึ่งดื่มไปคือไวน์นะ แค่ไวน์เอง ฉันคงไม่เมาขนาดนั้นหรอก” ซูซี่หัวเราะ

“คุณรู้หรือเปล่าว่าเหล้าขาวขวดนี้มีแอลกอฮอล์เท่าไหร่” เฉียวซือเหิงกัดฟันพูดอย่างคับแค้นใจ:“หนานกงเฉินบอกไว้ว่าตอนนี้ตัวเองสุขภาพแข็งแรงดีแถมยังไม่มีเรื่องทุกข์ใจอะไร มันจะต้องดื่มเหล้าที่แรงที่สุดให้ได้ แล้วมันก็เอาเหล้าที่ตัวเองเก็บสะสมไว้อย่างดีมาแล้วด้วย”

“งั้นเหรอ? นี่เป็นของสะสม? มิน่าล่ะรสชาติถึงดีขนาดนี้” ซูซี่ทั้งพูดแล้วคิดไปด้วยว่าจะหยิบเหล้าขวดนั้นมาริน เฉียวซือเหิงแย่งขวดเหล้าไป แล้วยัดจุกขวด:“เหล้านี้แพงมาก เหลือไว้ให้เขาสักหน่อยเถอะ พวกเราอย่าสิ้นเปลืองเลย”

“ขี้งก……!” ซูซี่มองขวางเขาอย่างไม่สบอารมณ์

ระดับคอในการดื่มเหล้าของซูซี่ไม่นับว่าแย่มาก แต่ก็ไม่ได้แข็งอะไรขนาดนั้น เหล้าขาวสองแก้ว ไหนจะไวน์แดงไม่กี่แก้วที่ดื่มเข้าไปอีก ตอนนั้นรู้สึกว่าไม่เป็นอะไร แต่พอผ่านไปสักพักก็รู้สึกว่าไม่โอเคแล้ว วิงเวียนศีรษะ ร้อนไปทั้งตัว ขนาดเดินยังต้องพึ่งเฉียวซือเหิงให้ช่วยพยุง

“บอกให้คุณอย่าดื่มเยอะ ก็ยังจะดื่มเยอะ” เฉียวซือเหิงเห็นเธอเดินอย่างลำบาก ก็เลยอุ้มเธอให้นอนแล้วเดินไปทางที่จอดรถ

“ดื่มเหล้าถ้าไม่ดื่มให้เต็มที่แล้วจะเรียกว่าดื่มเหล้าเหรอ” ซูซี่ใช้มือทั้งสองข้างประคองหน้าของเขาไว้:“คนที่กำลังเสียใจเหมือนกัน ก็ควรดื่มให้เมาสักรอบ”

“ผิดแล้ว ผมไม่ได้เสียใจ ตอนนี้ผมมีความสุขดี”

“งั้นเหรอ? มองไม่ออกเลยอะ”

“ตอนนี้ด้านบนผมมีแม่ ด้านล่างมีลูก ตรงกลางยังมีภรรยาที่น่ารักที่อยู่ในอ้อมกอดอีก ผมมีความสุขมาก”

“ขี้โม้……” ซูซี่ใช้มือลูบไปที่คิ้วของเขา:“คุณดูสิ คิ้วย่นจนจะเสียทรงอยู่แล้ว”

“นั่นมันเป็นรูปยิ้มต่างหาก” เฉียวซือเหิงพูด เขาพยายามรองร่างกายของเธอไว้ หลังจากที่ใช้มือดึงประตูรถอย่างยากลำบาก ก็วางเธอลงบนที่นั่งของเบาะข้างคนขับ พร้อมทั้งคาดเข็มขัดนิรภัยให้เธอเรียบร้อย

หลังจากที่เสร็จสรรพทั้งหมด เขาก็กลับมานั่งที่คนขับ หันหน้าไปก็พบว่าซูซี่สะลึมสะลือพิงเบาะเก้าอี้พักผ่อนไปแล้ว หลังจากที่เขามองเธอแล้วยิ้มออกมา ก็เริ่มขับรถออกจากที่จอดรถ

ระหว่างทาง ถึงแม้ว่าเฉียวซือเหิงจะพยายามรักษารถให้คงที่ แต่ความสั่นไหวก็ยากที่จะหลีกเลี่ยง ซูซี่ที่ติดเตียงแต่ไหนแต่ไรมาก็พลิกไปพลิกมาอย่างไม่สบายตัว ลืมตาขึ้น จ้องเฉียวซือเหิงที่กำลังขับรถด้วยสายตาทั้งสองข้างที่พร่ามัว

เฉียวซือเหิงหันหน้ามามองเธอ พบวาเธอกำลังจ้องตัวเองอยู่ ก็เลยยิ้มมุมปาก:“ทำไม? ไม่ใช่ว่าไม่รักผมเหรอ? ทำไมทำท่าทำทางเหมือนอยากจะใช้กำลังบีบบังคับผม”

ซูซี่ยิ้มลางๆ ยื่นมือไปปลดเข็มขัดนิรภัย หลังจากนั้นก็ล้มลุกคลุกคลานปีนไปบนเก้าอี้

“คุณจะทำอะไร? รีบนั่งดีๆ” เฉียวซือเหิงเห็นว่าเธอปีนขึ้นมานั่งบนเก้าอี้ ก็ร้อนใจขึ้นมา

“จะทำอะไรได้? ก็ใช้กำลังบีบบังคับคุณไง” ซูซี่นั่งยองบนเก้าอี้ หลังจากนั้นร่างกายเธอก็โงนเงนไปมาแล้วล้มไปทางเขา

แรงที่เธอล้มไปนั้นไม่เบาเลย โชคดีที่เฉียวซือเหิงเตรียมตัวไว้แล้ว เลยยังบังคับพวงมาลัยได้ดีอยู่

เขาขมวดคิ้ว ยื่นมือดันเธอกลับไปยังที่นั่งด้านข้าง:“เสี่ยวซี อย่าวุ่นวาย ผมกำลังขับรถอยู่”

“ฉันจะวุ่นวาย” ซูซี่ปีนไปบนตัวเขาใหม่อีกครั้ง คร่อมนั่งบนขาเขาอย่างไม่เกรงใจเลยสักนิด มือทั้งสองข้างโอบต้นคอเขาไว้ แล้วก้มหน้าจูบไปที่ริมฝีปากของเขา

เฉียวซือเหิงถูกเธอทำให้ตกใจ รีบเอาหน้าออกจากจูบของเธอ เขาพยายามควบคุมพวงมาลัยไปด้วยยืดคอมองถนนไปด้วย แถมยังต้องรีบต่อต้านเธออีกด้วย:“เสี่ยวซี่ แบบนี้อันตรายมากนะ คุณกลับไปนั่งดีๆ ถนนเส้นนี้หยุดรถไม่ได้……เด็กดี……กลับไปนั่งนะ”

ซูซี่ที่เมานั้น ไม่รู้ว่าอะไรอันตรายไม่อันตราย เธอใช้มือทั้งสองข้างบังคับใบหน้าของเขาให้หันกลับมา สายตายังคงพร่ามัว:“คุณเคยบอกว่าคุณจะเอ็นดูฉันรักฉัน……ทำไมถึงไม่ให้ฉันจูบคุณ? คุณโกหกฉันใช่ไหม? คุณพูดสิ……”

พูดจบ เธอก็ใช้มือทั้งสองข้างเปลี่ยนไปดึงเสื้อผ้าของเขาตรงกลางอกเข้ามา แล้วผลักร่างกายของเขาอย่างแรง

“ไม่ใช่……”

“งั้นทำไมคุณไม่ให้ฉันจูบ……? หรือว่าคุณจะเก็บไปให้พวกผู้หญิงต่ำช้าพวกนั้นจูบ? คุณ……คุณพูดสิ!”

“เสี่ยวซี่ คุณหยุดมือเดี๋ยวนี้เลยนะ!” เฉียวซือเหิงจับข้อมือของเธอไว้ คิดไว้ว่าจะจับเธอลงมาจากร่างของตัวเอง แต่เสี่ยวซี่กลับกอดรัดคอเขาแน่นกว่าเดิม อย่างกับปลาหมึกเหนียวติดอยู่บนร่างกายเขา ถึงขนาดว่าเธอเริ่มคลอเคลียเขาอย่างไม่รู้ตัว

เฉียวซือเหิงถูกเธอทรมานจนทนไม่ไหว โชคดีที่ถนนนี้เส้นตรงรถน้อย ไม่งั้นคงชนกันไปนานแล้ว

“เสี่ยวซี่……รอก่อนแปปหนึ่ง……รอผมจอดรถให้ดีก่อน” น้ำเสียงของเฉียวซือเหิงขอร้องอ้อนวอน เพราะเขาถูกเธอทรมานจนใกล้จะพ่นไฟแล้ว

“ไม่ฟังคุณหรอก” เสี่ยวซี่ยิ้มชั่วร้าย แล้วเริ่มอวดดี

ในที่สุด……เฉียวซือเหิงก็ควบคุมไม่ไหว

เสียงโครมดังขึ้น รถที่เดิมทีขับไม่ค่อยจะดีชนเข้ากับต้นไม้ใหญ่ข้างทาง เฉียวซือเหิงตาไวมือไวรีบกอดร่างของซูซี่ไว้ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้หลังของเธอชนเข้ากับพวงมาลัย

เพราะว่าเขา ซูซี่ก็เลยไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร แค่พิงไปด้านหลังตามความเคยชิน เธอร้องออกมา แล้วก้มหน้าเข้าไปใกล้บนร่างเฉียวซือเหิงอีกครั้ง

“คนเลว นี่คุณหาเรื่องใส่ตัวชัดๆ!” เฉียวซือเหิงไม่ได้สนใจรถ ตรวจสอบร่างกายของตัวเอง แล้วดึงเบรกรถ หลังจากนั้นก็รีบให้ความร่วมมือกับเธอในการปลดปล่อยตัวเองจากความปรารถนานี้ที่ใกล้จะระเบิดเต็มที

เดิมทีเขาไม่อยากฉวยโอกาสในช่วงอันตรายแบบนี้ แต่ผู้หญิงคนนี้ทำให้ร่างกายเขาทรมานเกินไป เขาอยากจะปล่อยเธอสักครั้งแต่ก็ทำไม่ได้!

หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง เพื่อหลีกเลี่ยงที่จะถูกคนลากรถไป เฉียวซือเหิงจำเป็นต้องจบกิจกรรมนี้อย่างเร็วที่สุด

หลังจากที่เขาช่วยซูซี่ที่สะลึมสะลือจัดกระโปรงให้ดีแล้ว ก็อุ้มเธอกลับไปนั่งเบาะข้างคนขับเหมือนเดิม จับหน้าเธอเอาไว้:“เด็กดี กลับไปพวกเราค่อยมาต่อกันนะครับ”

ซูซี่เชอะออกมาด้วยสีหน้าแดงก่ำ นั่งไม่นิ่งตรงพนักพิงเบาะเก้าอี้ ไม่รู้เหมือนกันว่าได้ฟังเข้าใจไหม

หลังจากที่เฉียวซือเหิงจัดตำแหน่งให้เธอเสร็จก็ลองถอยรถ พบว่ารถยังสามารถขับได้ เขาก็ขับกลับบ้านเลย

ขณะที่เฉียวซือเหิงอุ้มซูซี่กลับมาที่คอนโด ในห้องเงียบสนิท

เขาอุ้มซูซี่ตรงไปยังห้องนอน วางเธอไว้บนเตียงด้านข้าง ตรงกลางเตียงใหญ่มีเสี่ยวกว้านกำลังนอนหลับอยู่ หลับอย่างสงบ

เฉียวซือเหิงหมุนร่างแล้วนั่งลงบนเตียง สายตาจับจ้องไปที่คนที่เขารักสองคนนอนหลับอยู่บนเตียงอย่างเงียบๆ ในใจรู้สึกได้ถึงความสุขที่กำลังคืบคลานเข้ามา

ซูซี่หลับสบายเลย เขาไม่ได้ใจแข็งพอที่จะรบกวนเธอ และก็ไม่ได้ทำต่อจากที่ยังไม่เสร็จ เขาดึงผ้าห่มมาห่มให้เธออย่างระมัดระวัง เพื่อให้เธอนอนหลับสนิทอย่างต่อเนื่อง

วันที่สอง หลังจากที่ซูซี่ตื่นขึ้นมาก็พบว่าตัวเองยังคงใส่ชุดเมื่อคืนที่ออกไปข้างนอก

เธอลุกจากเตียงขึ้นมานั่งทันที ก้มหน้ามองตัวเอง แล้วมองไปรอบๆ ความทรงจำเมื่อคืนก็เริ่มกลับเข้ามาทีละนิดๆ สีหน้าเธอก็เริ่มแดงขึ้นเรื่อยๆ……

เธอไม่เพียงแต่นึกออกว่าเมื่อคืนดื่มเหล้าด้วยกันกับเฉียวซือเหิง แถมยังนึกออกว่าตัวเองบังคับอะไรเขาและผ่านอะไรกันมาบนรถ

เธอที่พูดอยู่เต็มปากว่าไม่ได้รักเฉียวซือเหิง กลับบังคับเฉียวซือเหิงให้ทำเนี่ยนะ!

พระเจ้า!มันกลายเป็นแบบนี้ได้ยังไง!

เหล้าไม่ใช่ของดีเลยจริงๆ เหมือนขุดหลุมฝังตัวเอง โคตรเสียหน้าเลย!

ขณะที่เธอเอาใบหน้าเล็กๆของตัวเองก้มไประหว่างเข่านั้น ขณะที่เธอใช้มือทั้งสองข้างก็ยีผมของตัวเอง เสียใจแทบจะอยากตาย เสียงของเฉียวซือเหิงก็ดังมาจากด้านนอก:“ตื่นแล้วเหรอ?”

ซูซี่เงยหน้าขึ้นมาอย่างรวดเร็ว จ้องสายตาเขาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกอับอายขายขี้หน้า

“ดูแล้วคุณไม่ได้ลืมเรื่องราวเมื่อคืนสินะ” เฉียวซือเหิงเดินก้าวเข้ามา ใช้มือเชยคางของเธอ สังเกตแล้วพูดพร้อมทำเสียงจุ๊ปาก:“จุ๊ๆ……ใบหน้าเล็กๆนี่แดงซะจน……เมื่อคืนทำไมไม่เห็นคุณหน้าแดงขนาดนี้นะ”

“เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น?” ซูซี่ตัดสินใจว่าจะแกล้งไม่รู้

“คุณคิดว่าไงล่ะ?”

“ฉันเมา จำอะไรไม่ได้ทั้งนั้น”

“จำไม่ได้แล้วทำไมหน้าแดง?”

ซูซี่ก้มหน้าลง ทั้งอายทั้งโกรธ แล้วรีบเงยหน้ามองเขา:“งั้นทำไมคุณไม่ห้ามฉัน?”

“ผมห้ามแล้ว แถมยังพยายามห้ามสุดกำลังแล้วด้วย แต่คุณจะฉวยโอกาสผมให้ได้ แถมส่งเสียงเอะอะโวยวายอยากจะใช้กำลังบังคับผม ผมจะทำอะไรได้?” เฉียวซือเหิงพูดอย่างคนไม่มีความผิด

หน้าของซูซี่ยิ่งแดงเข้าไปใหญ่

เฉียวซือเหิงยิ้มปลอบโยน:“แต่ไม่ต้องห่วง ยังไงซะก็เป็นสามีภรรยากัน ผมไม่ให้คุณรับผิดชอบหรอก”

“คุณจะให้ฉันรับผิดชอบ?” ซูซี่มองบนอย่างหมดคำพูด

“ไม่ควรเป็นงั้นเหรอ? ผมถูกคุณบังคับนะ แถมยังถูกบังคับจนขับรถชน”

ซูซี่อับอายจนไม่มีหน้าไปมองหน้าเขาแล้ว ดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมโปง:“คุณออกไปได้หรือยัง?”

เฉียวซือเหิงพยักหน้า:“ได้ แต่คุณต้องรีบออกมาทานมื้อเช้านะ เสี่ยวกว้านยังรอคุณให้คุณออกไปช๊อปปิ้งด้วยกันอยู่”

“คุณไม่พาเขาไปเองล่ะ?”

“เขาบอกว่าอยากไปด้วยกันกับพ่อแม่”

“คุณวางใจเถอะ ผมไม่พูดถึงเรื่องพฤติกรรมที่คุณทำเมื่อคืนหรอก” เฉียวซือเหิงมองลงตรงร่างเธอที่โผล่ออกมาจากผ้าห่ม แล้วฝืนยิ้มไว้:“เพราะงั้นคุณไม่ต้องลำบากใจขนาดนั้น”

“ฉันบอกให้คุณหุบปาก!” ซูซี่ยื่นมือไปปิดไว้ที่ปากของเขา

เฉียวซือเหิงอมยิ้มแล้วมองเธอ แล้วอ้าปากแทะฝ่ามือของเธอ ซูซี่หดมือกลับมาตามสัญชาตญาณ เวลาต่อมาก็ถูกเขากดลงบนเตียง แล้วริมฝีปากของเขาก็จูบประกบกับริมฝีปากของเธอ

เดิมทีซูซี่อยากจะต่อต้าน แต่พอคิดถึงเรื่องเมื่อคืนที่ตัวเองเป็นแบบนั้นแล้ว ถ้าต่อต้านตอนนี้ล่ะก็คงจะดูเสแสร้งน่าดู ก็เลยพลิกตัวกดเขาให้อยู่ใต้ร่าง บีบกรามของเขาอย่างยั่วยุ:“คุณจะทำอะไร? อยากโดนฉันบังคับอีกครั้งหรือไง?”

“ด้วยความยินดีครับ” เฉียวซือเหิงพูด

“คุณฝันไปเถอะ!” ซูซี่ลุกขึ้นนั่งจากบนร่างเขา แล้วพลิกตัวลงจากเตียง

เฉียวซือเหิงกลับดึงเธอกลับมา กดเธอให้อยู่ใต้ร่างเขาอีกครั้ง มองเธอแล้วหัวเราะ:“ไม่เป็นไร เปลี่ยนเป็นผมบังคับคุณก็เหมือนกันอยู่ดี”

ขณะที่เขาจูบบนริมฝีปากเธอ มือของเขาฉีกเสื้อผ้าเธอออกนั้น นอกประตูก็มีเสียงของเสี่ยวกว้านดังขึ้นอย่างเหมาะเจาะพอดี:“พ่อฮะแม่ฮะ ผมรอพ่อแม่กับนานแล้วนะ”

หลังจากนั้นเสียง‘ก๊อกๆ’จบลง กลอนประตูก็ถูกเปิดออก

เฉียวซือเหิงรีบลุกขึ้นจากร่างซูซี่ นั่งบนเตียงอย่างเรียบร้อยแล้วมองเสี่ยวกว้านที่เดินเข้ามา เขาไม่ค่อยสบอารมณ์นิดหน่อย:“ครั้งหน้าถ้าพ่อกับแม่อยู่ในห้อง เสี่ยวกว้านเข้ามาไม่ได้นะรู้ไหม?”

“ทำไมล่ะ? นี่เป็นห้องผมกับแม่นะ” เสี่ยวกว้านไม่ยอม

ซูซี่อดไม่ได้ที่จะขำ โอบเสี่ยวกว้านแล้วชม:“คงมีแต่ลูกรักที่รู้ใจแม่”

เฉียวซือเหิงมองเสี่ยวกว้าน:“ลูกรัก แต่ลูกไม่รู้ใจพ่อเลยสักนิด”

“ใครใช้ให้คุณหาเขาเจอตอนนี้ล่ะ” ซูซี่ทิ้งไว้ให้เขาหนึ่งประโยค แล้วลุกขึ้นเดินไปยังห้องอาบน้ำ

ซูซี่ใจไม่แข็งพอที่จะทำให้เสี่ยวกว้านผิดหวัง หลังจากที่ทานมื้อเช้าเสร็จก็ไปข้างนอกด้วยกันกับพ่อลูกสองคนนี้

ขณะที่มาถึงที่จอดรถ ซูซี่ก็มองเห็นไฟรถที่ถูกเฉียวซือเหิงชนแตกและไฟรถที่ถูกชนจนบุ๋มเข้าไป เมื่อคืนฉากที่บังคับเขาบนรถก็วนกลับเข้ามาในสมองเธอ ใบหน้าเล็กๆจู่ๆก็แดงก่ำขึ้นมา

“เอ๋? รถของพ่อทำไมพังไปแล้ว?” เสี่ยวกว้านถามด้วยความอยากรู้

เฉียวซือเหิงกวาดสายตามองซูซี่ที่หน้าแดงก่ำ แล้วหัวเราะ:“เมื่อคืนพ่อไม่ทันระวังก็เลยชนพังน่ะ”

“พ่อ ทำไมพ่อไม่ระวังแบบนี้ล่ะ?”

“เพราะว่าตอนอยู่บนรถแม่เขาซนน่ะสิ”

“แม่ ทำไมแม่ถึงซนบนรถได้ล่ะครับ?” เสี่ยวกว้านหันไปถามซูซี่

“เสี่ยวกว้าน!” ซูซี่มองเขาอย่างโมโห หลังจากที่อุ้มเขาขึ้นบนรถก็เตือนเขาเสียงเบา:“ห้ามถามต่อแล้วเข้าใจไหม?”

“ฮะ” เสี่ยวกว้านพยักหน้า

ขณะที่เล่นอยู่ที่สวนสนุก ทั้งสามคนก็บังเอิญเจอกับครอบครัวของหนานกงเฉินที่มากันสี่คน

เป็นครั้งแรกที่เห็นว่าซูซี่กับเฉียวซือเหิงพาเสี่ยวกว้านออกมาเที่ยวข้างนอก ไป๋มู่ชิงมองตัวเองที่ดีใจกว่าเสี่ยวกว้านเสียอีก หลังจากที่เด็กๆขึ้นไปนั่งเล่นบนม้าโยก เธอก็ใช้มือจี้เอวของซูซี่แล้วยิ้มสดใส:“ไม่เลวนี่ ความสัมพันธ์พัฒนาเร็วมาก”

“เพราะแก ถึงได้กลายเป็นแบบนี้ไง” เฉียวซือเหิงชำเลืองมองหนานกงเฉิน:“เอาเหล้าแรงๆที่ตัวเองแอบเก็บสะสมไว้หลายปีออกมาเปิดแล้วนี่”

“แกว่าอะไรนะ?” หนานกงเฉินขมวดคิ้ว จ้องเขา:“แกเอาของที่ฉันเก็บสะสมนั่นมารังแกผู้หญิงงั้นเหรอ? ดื่มมันหมดเลย?”

“เหลือไว้ให้น่าจะก้นขวดได้ รอวันไหนที่ชีวิตแกระหกระเหิน อยากจะดื่มเหล้าย้อมใจ สามารถให้ฉันไปนั่งดื่มเป็นเพื่อนได้นะ” เฉียวซือเหิงพูด

“งั้นแกก็วางใจได้ ฉันกับมู่ชิงเรารักกันมั่นคงมาก” หนานกงเฉินโอบไหล่ของไป๋มู่ชิง

เฉียวซือเหิงก็ยื่นมือไปโอบซูซี่ กลับคว้าได้แค่อากาศ ซูซี่เหลืองมองเขา:“ฉันไม่สนิทกับคุณ”

“เฮ้อ……” เฉียวซือเหิงอายนิดหน่อย

ซูซี่ไม่ได้คาดคิดว่าฟางมี่นั้นจะนัดเจอตัวเองอีกครั้ง ตอนที่เห็นข้อความเธอมองข้ามอย่างไม่ลังเล แต่ทว่าฟางมี่กลับไม่ยอมแพ้ส่งข้อความยั่วยุมาให้เธออีกครั้ง:ทำไม? ไม่กล้ามาเหรอ?

ซูซี่ลังเลอยู่สักพัก สุดท้ายก็ตอบกลับไปสองคำ:ได้สิ

หลังจากที่ทั้งสองคนเจอกันที่ร้านกาแฟ ซูซี่สังเกตฟางมี่ตรงหน้าเธอที่ถึงแม้ว่าจะแต่งตัวจัดเต็ม แต่ก็ยังขาดความสวยที่สะดุดตาเหมือนก่อนหน้านี้ เธอเอ่ยปากก่อน:“คุณหนูฟาง ไม่เจอกันนานนะ ไม่รู้ว่าครั้งนี้ที่เธอนัดเจอฉันมีจุดประสงค์อะไร? จะคุยเรื่องในอดีตของตัวเองกับเฉียวซือเหิง? หรือว่าเรื่องในตอนนี้? หรือว่าในอนาคตกันนะ? แต่ก่อนที่เธอจะพูดฉันอยากเตือนเธอหน่อย ไม่ว่าเธอจะพูดอะไรก็ไม่มีผลกระทบอะไรถึงฉันหรอก ลูกฉันก็เกิดแล้ว ตระกูลเฉียวฉันก็กลับไปแล้ว อีกอย่างเพื่อลูกแล้ว ฉันไม่คิดจะออกจากตระกูลเฉียวหรือเลิกกับเฉียวซือเหิงหรอกนะ”

ฟางมี่เหลือบมองเธอ หัวเราะเสียงต่ำอย่างเย้ยหยัน:“พูดจบหรือยัง? พูดจบก็ดูรูปพวกนี้ซะ”

เธอหยิบรูปไม่กี่ใบออกมาจากกระเป๋าแล้วส่งไปตรงหน้าซูซี่

ซูซี่หยิบรูปขึ้นมาดู สีหน้าจู่ๆก็เปลี่ยนไป ในรูปคือเฉียวซือเหิงกับฟางมี่ที่กอดกันบนเตียงอย่างแนบชิด

“เธอว่า ถ้าฉันโพสต์รูปพวกนี้ลงในเว็บ จะเกิดความวุ่นวายครั้งใหญ่หรือเปล่า?” ฟางมี่ยิ้มอย่างชั่วร้าย

ซูซี่ดูรูปภาพ ไม่ได้พูดอะไรออกมา

เธอเหลือบขึ้นมองฟางมี่ แล้วรีบส่งรูปภาพคืนไปให้เธอ:“งั้นก็โพสต์สิ”

ฟางมี่ไม่ได้คาดคิดว่าเธอจะพูดแบบนี้ หลังจากที่เห็นได้ชัดว่าอึ้งไป ก็มองเธอแล้วถาม:“เธอไม่แคร์?”

“เขาไม่ได้มีตำแหน่งระดับชาติอะไรสักหน่อย เคยผ่านผู้หญิงมาแล้วกี่คน เคยถ่ายรูปอนาจารพวกนี้แล้วยังไง? ไม่กระทบอะไรกับเขาหรอก” ซูซี่ยิ้มอย่างเย้ยหยัน:“แต่เธอลองพูดจุดประสงค์ของตัวเธอเองที่มาครั้งนี้หน่อยสิ ดูว่าฉันจะทำตามได้ไหม”

ฟางมี่ยิ้มออกมา:“ดูแล้วเธอก็น่าจะแคร์อยู่มากนะ ถ้าเธอแคร์ ฉันสามารถขายรูปให้เธอได้”

“ที่แท้ก็เงินขาดมือนี่เอง เอารูปพวกนี้มารวมกันเพื่อหลอกเอาเงินไปใช้สินะ คุณหนูฟางกลายเป็นแบบนี้ไปได้ทั้งน่าเศร้าทั้งน่าสงสารนะคะ” ซูซี่เอารูปส่งคืนเธอ:“ถ้ารูปพวกนี้เป็นเรื่องจริง เธอคงไปหาเฉียวซือเหิงเพื่อขูดเงินแล้วล่ะมั้ง ไม่จำเป็นต้องมาหาฉันนี่ถูกไหม? อีกอย่าง ถึงแม้ว่ารูปพวกนี้จะเป็นเรื่องจริง เธอก็อย่าได้คิดว่าจะได้เงินจากในมือฉันไปสักแดงเดียว”

สีหน้าของฟางมี่เปลี่ยนไปเล็กน้อย ไม่คิดว่าจะถูกเธอจับได้

ถูกต้อง เธอเงินขาดมือจริงๆนั่นแหละ ก็เลยเอารูปพวกนี้มาหาเธอเพื่อแลกเงิน เธอนึกว่าซูซี่จะซื้อรูปพวกนี้ไปเพื่อแลกกับชื่อเสียงของเฉียวซือเหิงซะอีก แต่ทว่าเธอประเมินซูซี่ต่ำไป ชั่วพริบตาก็มองแผนหลอกลวงของเธอออก

เธอกัดฟัน เวลานี้ไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงดี

แต่เวลานี้ เฉียวซือเหิงที่ได้รับข้อความจากซูซี่ก่อนหน้านี้ก็ผลักประตูเดินเข้ามาจากด้านนอก หลังจากที่เขามองไปรอบด้านอย่างกระวนกระวาย ก็รีบเดินมาที่ที่นั่งที่ทั้งสองคนนั่งอยู่

ซูซี่รู้ว่าที่ฟางมี่นัดเจอก็เพราะมีแผน ก็เลยบอกเฉียวซือเหิงให้มาดูฉากสนุก ไม่คิดว่าเขาจะมาจริงๆ แถมยังมาเร็วขนาดนี้ด้วย

เฉียวซือเหิงยืนอยู่ต่อหน้าทั้งสองคน สายตาเย็นชานั้นจ้องไปที่ฟางมี่ด้วยความโกรธ:“เธอทำอะไรอีก?”

ฟางมี่ถูกเขาตะโกนใส่แบบนี้ ก็รีบหดคอ มือทั้งสองข้างเก็บรูปภาพบนโต๊ะกลับไปตามสัญชาตญาณ

ซูซี่กลับแย่งรูปมาก่อน แล้วโยนไปตรงหน้าเฉียวซือเหิง:“รูปอนาจารของคุณ ชื่นชมซะสิ”

หลังจากที่ทิ้งไปประโยคนั้น เธอก็ลุกจากโซฟาแล้วเดินออกไปทางประตูร้านกาแฟ

เฉียวซือเหิงดูรูปพวกนั้นอย่างรวดเร็ว สีหน้าก็เปลี่ยนขึ้นมาทันที เขาเงยหน้าจ้องไปที่ฟางมี่ ฟางมี่ก็ก็รีบก้มหน้าอย่างหวาดผวา

เฉียวซือเหิงกวาดสายตาไปตามทิศที่ซูซี่เดินออกไป ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาคิดบัญชีกับฟางมี่ เขาโยนรูปกลับไปบนร่างเธอด้วยความโกรธ กัดฟันแล้วพ่นออกมาหนึ่งประโยค:“ไว้ฉันจะมาคิดบัญชีกับเธอทีหลัง!” หลังจากนั้นก็รีบตามซูซี่ไป

ขณะที่เฉียวซือเหิงตามออกมาจากร้านกาแฟ เห็นว่าซูซี่กำลังเรียกรถอยู่พอดี ก็เลยรีบเดินไปดึงมือของเธอไว้แล้วอธิบาย:“เสี่ยวซี่ คุณห้ามเข้าใจผิดเด็ดขาดนะ ผู้ชายในรูปพวกนั้นไม่ใช่ผม คุณไม่เห็นเหรอว่าผู้ชายในรูปเตี้ยล่ำบึก จะเป็นผมได้ยังไง……”

“ต่างกันเหรอ?” ซูซี่หันหน้าไปมองเขา:“ถึงแม้ว่าผู้ชายในรูปพวกนั้นไม่ใช่คุณ แต่ท่าโพสต์ในรูปพวกนั้นคุณไม่เคยทำกับเธอหรือไง?”

“……” ในเมื่อเฉียวซือเหิงเงียบก็แปลว่าใช่

แน่นอนว่าเขาไม่สามารถอธิบายกับเธอได้ว่าไม่เคยทำท่าแบบนั้นกับฟางมี่ เพราะเขารู้ดีว่าสิ่งที่ซูซี่กังวลคือความสัมพันธ์ของเขากับฟางมี่ในอดีต

แต่ทว่าหลังจากที่ซูซี่เห็นว่าเขาเงียบ กลับยิ่งโกรธเข้าไปใหญ่ แม้แต่รถก็ไม่ต้องการแล้ว เธอหมุนร่างแล้วเดินไปตามทางข้างถนน

ตรงหน้าคือทางม้าลายของถนนวันเวย์ เพราะว่าซูซี่โกรธจัดเกินไปก็เลยไม่ทันได้ระวังว่าตรงหน้ามีรถกำลังมา เท้าเธอก็กำลังก้าวออกไป

“ระวัง……!” เฉียวซือเหิงถูกการกระทำของเธอทำให้ตกใจ เขารีบวิ่งไปทางถนนม้าลายอย่างสุดความสามารถ กอดร่างกายเธอเอาไว้ ซูซี่โซเซล้มลงที่ข้างถนน ขณะเดียวกัน เธอได้ยินเสียงร้องของเฉียวซือเหิงดังมาจากด้านหลังและเสียงเบรกของรถที่เสียดหู

ซูซี่หันหน้ากลับไปตามสัญชาตญาณ ตอนเธอเห็นว่าเฉียวซือเหิงนอนอยู่บนถนน เหมือนจะขยับแต่ก็ไม่ เธอตกใจจนวิญญาณหลุดออกจากร่าง

“เฉียวซือเหิง……” เธอพึมพำออกมาเบาๆ ร่างกายกลับไม่ฟัง ยืนแข็งทื่ออยู่ที่เดิม

ผ่านไปครู่ใหญ่ เธอถึงจะได้สติ จ้องไปที่เขาแล้วเรียกอย่างคนเป็นโรคประสาท:“เฉียวซือเหิงคุณไม่เป็นไรใช่ไหม? คุณฟื้นสิ……!”

เธอตะโกนเสร็จพึ่งจะนึกได้ว่าเวลานี้ควรโทรเรียกรถพยาบาล ก็เลยหยิบมือถือออกมา ตัวก็สั่นไปด้วย กำลังจะกดโทร แต่คนที่มุงดูใจดีคนหนึ่งพูด:“แม่หนู โทรเรียกรถพยาบาลไปแล้วนะ”

“รถพยาบาลเมื่อไหร่จะมาถึงอะ?” เธอหมุนร่างถามคนที่มุงดูที่ไม่ได้ผิดอะไร รีบร้อนจนน้ำตาไหลออกมา

หลังของเฉียวซือเหิงเวลานี้มีเลือดออก อีกทั้งยังไม่ฟื้นขึ้นมา เธอไม่รู้ว่าอาการบาดเจ็บของเขาเป็นยังไงบ้าง

ไม่นานรถพยาบาลก็มาถึง ซูซี่ช่วยเจ้าหน้าที่พยาบาลส่งเฉียวซือเหิงที่กำลังหมดสติขึ้นรถพยาบาล ระหว่างทางเธอกำมือของเฉียวซือเหิงไว้ ทั้งน้ำตาไหลทั้งสะอึกสะอื้น:“เฉียวซือเหิงคุณห้ามตายเด็ดขาดนะ คุณรีบลืมตาเดี๋ยวนี้ได้ยินหรือเปล่า?”

หลังพูดจบ เธอก็หันไปถามคุณหมอที่อยู่ข้างๆกำลังจัดการบาดแผลของเฉียวซือเหิงอยู่:“เขาเป็นยังไงบ้างคะ? อันตรายถึงชีวิตหรือเปล่า?”

“คุณหนู เรื่องนี้พวกเราคงให้คำตอบคุณไม่ได้ชั่วคราว หลังจากที่โรงพยาบาลตรวจสอบเป็นระบบแล้วถึงจะให้คำตอบที่แน่ชัดได้”

“เลือดเขาออกเยอะขนาดนั้น คงบาดเจ็บหนักแน่เลยใช่ไหม……” ถึงแม้คุณหมอจะพูดแบบนี้ แต่ซูซี่ก็อดไม่ได้ที่จะถาม

จนกระทั่งส่งตัวเฉียวซือเหิงเข้าไปในห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาล ตอนที่ซูซี่ถูกปิดให้อยู่ที่หน้าประตูห้องฉุกเฉินคนเดียว เธอถึงหยุดซักถาม

ซูซี่ที่ยืนอยู่หน้าประตูใหญ่ที่ปิดอยู่ของห้องผ่าตัด เดินถอยหลังไปหนึ่งก้าวอย่างหมดอาลัยตายอยาก ล้มนั่งลงบนเก้าอี้

เธอที่กำลังเงียบนั้นก็เริ่มโทษตัวเอง เริ่มเสียใจสิ่งที่ทำลงไป

ทั้งๆที่พูดเอาไว้แล้วแท้ๆว่าปล่อยอดีตไปซะ ทำไมต้องขัดแย้งกับเขาเพราะแผนของฟางมี่กันนะ? แถมยังทำให้เขาโดนรถชนอีก

เฉียวซือเหิงถูกรถชนจนกระเด็นออกไปก็เพราะช่วยเธอ ทั้งหมดนี้มันเป็นเพราะเธอ……!

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

Status: Ongoing
ไป๋มู่ชิงเคยได้ยินเรื่องเล่าตั้งแต่เด็กว่า ตระกูลหนานกงในเมืองซีเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุด แต่น่าเสียดายที่คุณชายใหญ่ของตระกูลกลับป่วยเป็นโรคประหลาด โรคที่เขาเป็นจะทำให้เขามีอายุอยู่ได้ไม่ถึงอายุ30ปี ไป๋มู่ชิงยังได้ยินมาอีกว่า คุณชายหนานกงเฉินแต่งงานใหม่ทุกๆปี แต่เจ้าสาวของเขากลับมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงวันต่อมาหลังคืนเข้าหอ แต่ไม่ทราบสาเหตุของการแต่งงานและยังไม่ทราบถึงสาเหตุการเสียชีวิตของเจ้าสาวด้วย เมื่อตระกูลหนานกงได้ส่งของหมั้นมาให้ตระกูลไป๋ ไป๋มู่ชิงก็คิดไม่ถึงว่าพ่อของเธออยากจะปกป้องชีวิตพี่ของเธอไว้ถึงขนาดผลักเธอเข้าไปในประตูนรกอย่างโหดร้าย บังคับให้เธอแต่งงานกับหนานกงเฉินเป็นเจ้าสาวคนที่เจ็ดของเขา แทนพี่สาวของเธอ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท