เสี่ยวชูเหอลุกขึ้นยืน : “ฉันไปให้คนรับใช้เตรียมอาหาร”
มู่หวันฉีไม่มองเธอสักนิด มู่ลี่หยานก็แค่พยักหน้า
สีหน้าเสี่ยวชูเหอดูโกรธ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรมาก
เมื่อผ่านมู่นวลนวล เธอหยุดลง พูดด้วยเสียงเบาแต่ขรึมว่า : “ออกมา”
มู่ลี่หยานและมู่หวันฉีนั่งอยู่ด้วยกัน ไม่รู้เสียงเบาๆนั้นพูดว่าอะไร
เธอมองพวกเขาพักนึง ก็เดินตามเสี่ยวชูเหอออกไป
เสี่ยวชูเหอก็ดึงเธอเข้าไปในห้องนอนเดิมของเธอ เมื่อปิดประตู ก็มองเธออย่างรุนแรง : “วิดีโอนั้น เธอเป็นคนให้คนอื่นมาถ่ายหรือเปล่า?”
มู่นวลนวลมึนงงนิดนึง เธอคิดไม่ถึงว่ามู่ลี่หยานเชื่อเธอแล้ว แต่เสี่ยวชูเหอไม่เชื่อเธอ
ในความทรงจำของเธอ เสี่ยวชูเหอเป็นผู้หญิงที่ยึดติดกับผู้ชาย ความหวังทั้งหมดฝากฝังไว้ที่ตัวมู่ลี่หยาน อ่อนแอ และไม่มีความคิด
“ไม่ใช่…..” มู่นวลนวลส่ายหัวอย่างสั่นๆ ดวงตาของเธอกระจ่างและสดใส
เสี่ยวชูเหอเป็นผู้หญิงที่ไม่มีความคิดเห็นจริงๆ แต่เธอเป็นแม่แท้ๆของหมู่นวลนวล ใจเชื่อมใจแม่ลูก เธอรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย
“พ่อกับพี่สาวของเธอเขาเชื่อใจเธอ เธออย่าโกหกพวกเขา” เสี่ยวชูเหอขมวดคิ้ว และพูดน้ำเสียงที่จริงจัง
ตอนเสี่ยวชูเหอวัยรุ่น ฐานะทางบ้านไม่ดี แต่เธอเป็นคนสวย และสามารถดูแลคนอื่นได้ ดังนั้นมู่ลี่หยานเลยขอเธอแต่งงาน
ตอนเด็กๆอะไรๆเธอก็ไม่ค่อยเข้าใจ แต่หลังจากโตมาเธอถึงเข้าใจ มู่ลี่หยานสามารถขอเสี่ยวชูเหอแต่งงาน แต่แค่ต้องการผู้หญิงที่ดูแลลูกสองคนของภรรยาที่เสียชีวิตไปแล้วเท่านั้น
พูดให้ดีนิดนึง ก็คือพี่เลี้ยงเด็กที่ให้ความอบอุ่นเท่านั้น
เธอคิดไม่ออกว่าตกลงมู่ลี่หยานมีพลังอำนาจอะไร สามารถทำให้เสี่ยวชูเหอตายใจ
“ฉันหิวแล้ว” มู่นวลนวลก้มหน้าลง มองที่เสี่ยวชูเหอ เธอไม่มั่นใจว่าตัวเองสามารถพูดอะไรออกมาได้บ้าง
หลังจากตอนที่เสี่ยวชูเหอบังคับเธอให้แต่งงานกับตระกูลโม่ ความอดทนของเธอที่มีต่อเสี่ยวชูเหอเริ่มลดลงเรื่อยๆ
เสี่ยวชูเหอเห็นเธอแบบนี้ น้ำเสียงอ่อนโยนลงนิดนึง : “ลงไปเถอะ”
มู่นวลนวลออกจากห้องไป สีหน้าขี้ขลาดบนใบหน้าของเธอก็หายไปอย่างหมดจด
หลังจากที่เธอแต่งงานกับตระกูลโม่ เดิมทีก็ไม่อยากเกี่ยวพันกับตระกูลมู่อีก แค่อยากใช้ชีวิตอย่างเงียบๆ
แต่ว่า คนในตระกูลมู่ไม่ปล่อยเธอไปแน่นอน
ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว งั้นก็คอยดูแล้วกัน
……
เมื่อผ่านห้องหนังสือ เธอเห็นว่าประตูเปิดไว้ครึ่งนึง ข้างในห้องไม่มีคนอยู่แล้ว
นั้นพ่อลูกก็คงลงไปแล้ว?
มู่นวลนวลเดินถึงหน้าบันได ก็แอบได้ยินคนข้างล่างกำลังคุยกัน นอกจากเสียงของพ่อลูกมู่หวันฉี เหมือนยังมีเสียงผู้ชายคนอื่นอีก
เวลานี้ ยังมีใครเป็นแขกของตระกูลมู่?
เธอเดินลงบันได้ไปอย่างสงสัย ในที่สุดเมื่อเธอเห็นใบหน้าของชายคนนั้นเธอก็รู้สึกสับสน
มู่ลี่หยานมองเห็นเธอ เขากวักมือเรียกเธอให้เดินมา น้ำเสียงอ่อนโยนผิดปกติ : “นวลนวล มานี่สิ ถิงเซียวให้น้องชายเขามารับเธอน่ะ”
มู่นวลนวลคิดไม่ถึงว่าจะเจอ “โม่เจียเฉิน” ที่ตระกูลมู่
วันนี้เขาสวมชุดสูท การตัดเย็บที่มองแล้วก็รู้ว่ามีราคาแพง ใบหน้าอันหล่อเหลาของเขามีรอยยิ้มที่ดูเหมือนไม่มีอะไร เขานั่งอย่างสบายๆ แต่มีออร่าที่แข็งแกร่ง
อาจเป็นเพราะรู้สึกว่าเธอจ้องมอง เขาเงยมองเธอ : “พี่สะใภ้ พี่ชายให้ผมมารับพี่”
ตอนที่เขาพูด รอยยิ้มลึกขึ้นเล็กน้อย น้ำเสียงทุ้มต่ำไม่มีอารมณ์ ฟังดูเหมือนมีความคลุมเครือที่อธิบายไม่ได้
มู่นวลนวลเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ลำบากมาก : “อ่อ”
และมู่หวั่นฉีก็นึกอะไรได้ขึ้นมาทันที ก็ไปที่ข้างๆมู่ลี่หยาน พูดอะไรเบาๆ พูดไปมองมู่นวลนวลไป
ไม่ต้องฟัง เธอก็เดาได้ว่ามู่หวั่นฉีไม่พูดเรื่องดีๆแน่นอน
โม่ถิงเซียวถือโอกาสช่องว่างนี้กับมู่นวลนวล สายตากวาดไปที่ใบหน้าบวมแดงของเธอ เงาแวบผ่านดวงตาสีดำอย่างรวดเร็ว แขนที่วางบนโซฟารู้สึกแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว
ไม่ว่าจะน่าเกลียดขนาดไหน มู่นวลนวลก็คือผู้หญิงของเขา!
เขาไม่เคยลงมือกับเธอ คนพวกนี้ยังกล้าลงมือกับเธอ
โม่เจียเฉินกวาดสายตาไปที่หมู่ลี่หยานและมู่หวันฉีที่นั่งอยู่ตรงนั้น หันกลับมามองหมู่นวลนวล พูดด้วยน้ำเสียงต่ำๆว่า : “มานั่งสิ”
มู่นวลนวลไม่อยากไปนั่ง แต่ “โม่เจียเฉิน” ท่าทางพฤติกรรมที่ไร้ยางอายทำให้เธอไม่กังวลเล็กน้อย
แต่เธอไม่เชื่อว่าโม่ถิงเซียวจะให้ “โม่เจียเฉิน” มารับเธอ
เธอถึงนั่งลงข้างๆ “โม่เจียเฉิน” ก็เห็นเขาหันมามองเธอ น้ำเสียงนุ่มนวล : “พี่สะใภ้ หน้าบวมแบบนี้ ฉันจำแทบไม่ได้เลย”
มู่นวลนวลก็เพิ่งนึกได้ ก่อนหน้านี้เธอโดนมู่หวั่นฉีตบมา หน้าก็เลยบวม มู่หวั่นฉีตบแรงมาก เธอเจ็บจนชา ก็เลยลืมเรื่องนี้ไปเลย
ตอนที่โม่เจียเฉินพูด ก็เหล่มองไปทางมู่หวันฉีและมู่ลี่หยาน
เดิมทีมู่หวันฉีรู้สึกกลัวเล็กน้อยเพราะออร่าอันทรงพลังที่หลั่งออกมาจากโม่เจียเฉิน และเห็นเขาถามมู่นวลนวลเรื่องหน้า ในใจสั่นๆ สายตาข่มขู่มองไปที่มู่นวลนวล
มู่นวลนวลใจสั่น แสดงออกถึงท่าทางกลัว เม้มริมฝีปากและอธิบายกับโม่เจียเฉิน : “เป็นเพราะฉันไม่ระวัง……เลยล้ม”
โกหกอย่างห่วยๆ ไม่ต้องคิดทบทวนก็สามารถถูกตีบทแตกได้
โม่เจียเฉินเหล่ตามอง ขยับตัวไปใกล้มู่นวลนวล พูดอย่างไม่สงสัยว่า : “ใช่หรอ?”
มู่นวลนวลไม่กล้ามองหน้าเขา ก้มหน้าตอบอย่างใจฝ่อ: “……ใช่”
โม่เจียเฉินหัวเราะเล็กน้อย ไม่พูดต่อ
มู่นวลนวลอ่านเสียงหัวเราะของเขาออก : ไม่รู้ดีหรือไม่ดี
“โม่จียเฉิน” มารับเธอแค่ในนาม พูดอีกมุมนึง ก็นับว่าเป็นการแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของโม่เจียเฉินที่มีต่อหมู่นวลนวล
ไม่ว่าเขาจะถูกโม่ถิงเซียวส่งมาหรือไม่ แต่มู่นวลนวลรู้ ถ้าเธอบอก “โม่เจียเฉิน” ว่าหน้าบวมเพราะว่ามู่หวันฉีตบ เขาต้องออกหน้าแทนเธอแน่นอน
มู่นวลนวลรู้สึกว่าตัวเองสามารถจัดการเรื่องที่ตระกูลมู่ได้ แต่อีกด้านหนึ่ง เพราะ “โม่เจียเฉิน” คนนี้ค่อนข้างอันตราย เธอไม่อยากพัวพันกับเขาไปมากกว่านี้
มู่ลี่หยานพอใจกับคำตอบของมู่นวลนวล น้ำเสียงก็นุ่มนวลมากขึ้น : “คุณชายโม่ มาถึงตระกูลมู่แล้ว ก็อยู่กินข้าวด้วยกันค่อยไปก่อนสิ”
โม่เจียเฉินพิงโซฟา ตอบอย่างช้าๆ : “โอเค”
ถ้าพูดถึงมู่ลี่หยาน มีความสุขอย่างประหลาดใจจริงๆ
ถึงแม้ว่า “โม่เจียเฉิน” เป็นเพียงนายน้อยคนหนึ่งของตระกูลโม่ แต่ก็ไม่ผิดที่จะประจบประแจง
คนรับใช้ถือโทรศัพท์มาให้มู่ลี่หยานบอกว่ามีสายเข้าให้เขาไปรับ มู่ลี่หยานลุกขึ้นออกไปรับสาย มู่หวันฉีนั่งอยู่อย่างลำบากใจเลยหาข้ออ้างออกมา
เวลานี้ ห้องโถงก็เหลือแค่โม่เจียเฉินกับมู่นวลนวลสองคน
มู่นวลนวลมองรอบๆ ขมวดคิ้วถามเขา : “นายมาทำอะไร?”