มู่นวลนวลพยายามดิ้นรนอย่างสุดชีวิต และทำให้คนที่อยู่บนเก้าอี้ถึงกับล้มลงที่พื้น
“บ้าเอ้ย!”
คนร้ายตะโกนออกมา และเตะท้องของมู่นวลนวล พร้อมกับเอื้อมมือไปดึงผมของเธอ เพื่อจะดึงเธอขึ้น
แรงเตะค่อนข้างรุนแรง มู่นวลนวลเจ็บปวดจนเหงื่อไหลออกมา
ตอนนี้เธอคิดอะไรไม่ออกแล้ว แค่รู้ว่าต้องปัดป้องมือมือสกปรกนั้นออกไป
มันดึงผมของเธอและก่อนที่เธอจะถูกดึงขึ้นประตูห้องก็ถูกเปิดออกจากด้านนอก
มีเสียง “ปัง” ดังมาก
หัวของมู่นวลนวลถูกผู้ชายคนนั้นดึงจนเจ็บ เธอกัดริมฝีปากแน่นและมองไปที่ประตู
เมื่อเธอเห็นร่างที่คุ้นเคยยืนอยู่ที่ประตู ความกลัวทั้งหมดของเธอก็หายไปทันที น้ำตาเธอหล่นลงมาทีละหยดเหมือนไข่มุก ทีละหยดๆไหลลงมา
แม้ว่าเธอจะร้องไห้ แต่ไม่มีเสียงร้องไห้เลย แต่เธอยิ้มและพูดกับคนที่ประตูว่า: “โม่เจียเฉินนายมาแล้ว”
เมื่อเธอเห็น “โม่เจียเฉิน”ในตอนนั้น มู่นวลนวลถึงได้รู้ว่าก่อนหน้านี้ที่เธอพยายามบอกตัวเองใจเย็นและต่อต้าน เธอรู้สึกอยู่ในใจลึกๆมีแค่คนๆเดียวที่จะมาช่วยเธอ
คนที่จะมาช่วยเธอได้ ต้องเป็นคนที่มีอำนาจมากที่สุดที่เธอรู้จัก
แต่บรรดาผู้คนที่เธอรู้จักผู้ที่มีอำนาจมากที่สุดคือ “โม่เจียเฉิน”
เมื่อโม่ถิงเซียวเห็นสถานการณ์ข้างใน มือของเขาก็กำหมัดแน่นและร่างกายของเขาถูกปกคลุมไปด้วยไอแห่งความโกรธ เหมือนปีศาจร้ายที่โผล่มากพื้นพิภพ แค่มองก็ทำให้ผู้คนรู้สึกหวาดกลัว
คนร้ายทั้งสอง รู้สึกกลัวมากขึ้นและเสียงของพวกเขาก็สั่น: “แก … แกเป็นใคร?”
ตอนที่คนตระกูลมู่บอกให้พวกมันลักพาตัวมู่นวลนวล พวกเขาไม่ได้บอกว่าจะมีคนแบบนี้จะมาช่วยเธอ!
“ค่อยมาถามอีกทีชาติหน้า” โม่ถิงเซียวค่อยๆเดินไปทางของพวกเขาทีละก้าว เสียงต่ำๆของเขาดูเย็นชาและเยือกเย็น “เพราะว่าชาตินี้ พวกนายไม่มีโอกาสรู้แล้ว”
เมื่อเสียงสิ้นสุดลง แต่เดิมเขาเดินเข้าไปหาพวกนั้นอย่างช้าๆ ทันใดก็ก้าวเร็วขึ้นอย่างฉับพลัน เมื่อเดินไปถึงพวกนั้น ก่อนที่พวกนั้นจะทันสังเกตเขาก็เริ่มการโจมตีแบบคู่ต่อสู้ยังไม่ทันตั้งตัว รู้ตัวอีกทีก็ล้มลงที่พื้นอย่างแรง พวกนั้นขดตัวด้วยความเจ็บปวด ผู้ถูกกระทำถึงกลับร้องลั่น
โม่ถิงเซียวย่อตัวลงพยุงมู่นวลนวลที่ติดถูกมัดติดกลับเก้าอี้อย่างระมัดระวัง และแก้มัดเชือกอย่างรวดเร็ว
บนในหน้าของเขาไม่มีการแสดงความรู้สึกอะไร แต่กลับรู้สึกถึงความไร้เมตตาที่แผ่ออกมา ซึ่งดูน่ากลัวกว่าปกติ
แต่ว่ามู่นวลนวลรู้สึกกังวลเล็กน้อย เพราะว่าไม่มีใครเดินตาม “โม่เจียเฉิน” เข้ามา
หรือพูดอีกอย่างคือ “โม่เจียเฉิน” มาคนเดียว
“โม่เจียเฉิน” ถามเธอว่า “ไม่เป็นไรนะ?”
“ไม่เป็นไร ทำไมคุณถึงมาคนเดียวล่ะ” แม้ว่าจะไม่รู้ว่าเขามาที่นี่ได้อย่างไร แต่การที่เขามาคนเดียวก็เสี่ยงเกินไป
“ฉันคนเดียว ก็พอแล้ว.”
ตอนที่โม่ถิงเซียวพูด เขาลดตาลง ทำให้ยากที่จะเห็นแววตาของเขา
เขาพูดสั่ง: “คุณออกไปรอฉันข้างนอก”
เมื่อเห็นเขามั่นใจอย่างนั้นมู่นวลนวลก็รู้สึกโล่งใจ แต่เมื่อเธอก้าวเท้า เธอถึงได้รู้ว่าเธอตัวอ่อนไปหมด แม้แต่เดินก็ไม่ได้
แม้ว่าเหตุการณ์ตรงหน้าจะสงบลง แต่ร่างกายของเธอก็ซื่อสัตย์มากกว่าสิ่งที่เธอคิดในใจ
เธอรู้สึกกลัวมาก
ทันใดนั้น โม่ถิงเซียวก็ดึงเนคไทของเขาออก เพื่อปิดตาของเธอไว้ และให้เธอนั่งลงบนเก้าอี้ จากนั้นผลักเก้าอี้ไปที่มุม
จากนั้นเขาก็กระซิบข้างหูของเธอว่า “อีกไม่นาน”
จากนั้นมู่นวลนวลก็ได้ยินเสียงการต่อสู้และเสียงร้องและกลิ่นเลือด
เมื่อกลิ่นเลือดหนักขึ้นเสียงร้องก็หายไป
ในที่สุดห้องก็เงียบลง
หมู่นวลนวลรู้สึกได้ถึงมือที่มาสัมผัสที่มือเธออย่างนุ่มนวลจากนั้นเสียงของ “โม่เจียเฉิน” ก็ดังขึ้น: “โอเคแล้ว ไปกันเถอะ”
หมู่นวลนวลเอื้อมมือไปถอดเนคไทที่มัดปิดตาไว้ แต่ถูก “โม่เจียเฉิน” รั้งไว้
“ ออกไปค่อยถอด ตามฉันมา”
ตาที่ถูกปิดไว้ สิ่งที่เธอมีเพียงความมืด หมู่นวลนวลเดินตาม “โม่เจียเฉิน” เธอรู้สึกสบายใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
สิ่งนี้ทำให้เธอรู้สึกตกใจเล็กน้อย
หลังจากออกมา “โม่เจียเฉิน” ยื่นมือออกมาแกะเน็คไทที่ปิดตาของเธอออก
มู่นวลนวลกระพริบตาเพื่อปรับสายตา
ท้องฟ้ามืดแล้ว แต่ยังสามารถมองเห็นทุ่งหญ้าที่เหี่ยวเฉาโดยรอบได้อย่างชัดเจน
เห็นได้ชัดว่าตำแหน่งของพวกเขายังคงอยู่ในเขตชานเมือง เพียงแต่พวกเขาย้ายจากโรงรถร้างมาที่นี่นั้นเอง
มือของทั้งสองยังคงจับกันแน่นเธอเย็นมาก แต่มือ “โม่เจียเฉิน” กลับรู้สึกถึงความอบอุ่นเล็กๆ
เป็นครั้งแรก ที่มู่นวลนวลไม่สงสัย แต่ถูก “โม่เจียเฉิน” จับมือไว้และเธอเดินตามไปโดยไม่ขัดขืนแต่อย่างใด
ตามใจตัวเองสักครั้ง …
ก่อนออกเดินไป เธอมองย้อนกลับไป พอดีกลับที่ประตูเปิดอยู่ครึ่งหนึ่ง เธอเห็นคนร้ายทั้งสองนอนนิ่งจมกองเลือดหนึ่งในนั้นจ้องมาที่เธอด้วยแววตาที่ไม่กระพริบ เหมือนคนที่ตายตาไม่หลับ
ตายตาไม่หลับหรอเหรอ?
หมู่นวลนวลตกใจกับความคิดของตัวเอง สองคนนั้นถูก “โม่เจียเฉิน” ซ้อมจนตายแล้ว?
เมื่อรู้สึกถึงความผิดปกติ“ โม่เจียเฉิน” จึงหันศีรษะและชำเลืองมองเธอไม่รู้ว่าเธอกำลังคิดอะไร เขาขยับตัวไปอุ้มเธอเอาไว้
“ นาย … ฉันเดินเองได้” มู่นวลนวลตอบกลับมา เธอกอดคอเขาโดยไม่รู้ตัว
“ โม่เจียเฉิน” ยังไม่พูดอะไร
มู่นวลนวลพบว่า ตั้งแต่ปรากฏกายจนตอนนี้ ดูเหมือนเขาจะยังไม่ได้พูดอะไร
“ โม่เจียเฉิน” อุ้มหมู่นวลนวลขึ้นรถ
มู่นวลนวลมีคำถามมากมายที่จะถาม แต่ในรถนั้นอุ่นเกินไปและมี “โม่เจียเฉิน” อยู่ข้างๆเธอก่อนนี้เกร็งไปทั่วร่างกายตลอด แต่ตอนนี้เธอก็ผ่อนคลายลงและเธอรู้สึกเหนื่อยจนจะหลับอยู่แล้ว
หลังจากที่โม่ถิงเซียวขับรถไปได้ระยะหนึ่งเขาก็สังเกตเห็นว่ามู่นวลนวลกำลังหลับอยู่
ดูเหมือนเธอจะไม่ได้ถูกทำร้ายสาหัสนัก ผมของเธอยุ่งเล็กน้อย ที่มือและใบหน้าก็ไม่มีร่องรอยการถูกทำร้ายสักนิด
ไม่มีอะไรน่าตกใจ แต่เขากลัวสุดขีด
สิ่งที่เขาเกลียดที่สุด – คือการลักพาตัว
พวกเขาทุกคนสมควรตาย
ระหว่างนี้ โทรศัพท์มือถือของเขาก็ดังขึ้น
เป็นสายของชือเย่โทรมา.
“นายน้อย คุณอยู่ที่ไหน” น้ำเสียงของชือเย่ดูกังวลเล็กน้อย ก่อนนี้เขาได้ยินคนพูดมาว่านายน้อยขับรถออกไปและไม่รู้ว่าเขาไปไหน
โม่ถิงเซียวพูดเสียงเบากึ่งกระซิบและเขาสั่งว่า: “ฉันจะส่งที่อยู่ให้นาย นายพาคนมาเก็บกวาดด้วย”
ชือเย่ตะลึงไปครู่หนึ่งแล้วตอบรับคำสั่ง: “ครับ”
…
เครื่องทำความร้อนในรถถูกเปิดจนสุด ทำให้หมู่นวลนวลตื่นขึ้นด้วยความร้อน
ข้างๆไม่มี “โม่เจียเฉิน” อยู่ข้างๆ เธอหันศีรษะและเห็นร่างสูงที่เบลอจนเกือบจะกลมกลืนไปกับกลางคืนและมีประกายเล็กน้อยที่นอกหน้าต่าง
เมื่อมู่นวลนวลเปิดประตูรถเธอก็ถูกลมเย็นในตอนกลางคืนพัดจนรู้สึกหนาวไปทั้งตัว
เมื่อได้ยินเสียงการเคลื่อนไหว “โม่เจียเฉิน” จึงหันศีรษะมองมา: “อย่าลงจากรถ ฉันสูบบุหรี่มวนนี้เสร็จก็กลับขึ้นไป”