โม่ถิงเซียวก็เหมือนปกติเช่นทุกวัน สวมใส่เสื้อผ้าสั่งตัดอย่างดีสไตล์ตะวันตกที่ถูกรีดจนเรียบ สีหน้าขึงขังเรียบนิ่ง ลมหายใจเย็นเยียบเสียดแทงไปจนถึงกระดูก
นัยน์ตาสีดำสนิทราวกับหมึก จ้องไปที่มู่นวลนวลนิ่งๆ แม้ว่าเขาจะไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา แต่มู่นวลนวลก็สัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงรังสีกดดันอันแรงกล้าที่ปล่อยออกมาจากตัวเขา
มู่นวลนวลนึกถึงเหตุการณ์ที่เธอได้กระทำต่อเขาที่ร้านจินติ่งเมื่อคืน จึงก้าวถอยหลังมาครึ่งก้าวอย่างช่วยไม่ได้ มือก็ดึงชายเสื้อของโม่เจียเฉิน พูดออกมาด้วยเสียงเบาๆ ว่า “นายรู้ไหม ว่าประตูหลังร้านอยู่ตรงไหน”
เสี่ยวโม่เจียเฉินนึกว่าเธอรู้สึกกลัวที่ได้เจอกับโม่ถิงเซียว ความจริงแล้วตัวเขาเองก็รู้สึกกลัวเช่นกัน แต่ด้วยความที่เป็นผู้ชาย จะเสียหน้าต่อหน้าผู้หญิงไม่ได้เด็ดขาด
เขาแสร้งทำเป็นเยือกเย็นแล้วกล่าวปลอบเธอ “ไม่ต้องกลัวไปนะ คนที่เขามาตามหาก็คือผม เธอไม่เป็นอะไรหรอก”
มู่นวลนวลอยากร้องไห้แต่ร้องไม่ออก เธอคิดว่าประโยคนี้ เธอต่างหากที่สมควรจะเป็นผู้พูด
เมื่อเสี่ยวโม่เจียเฉินพูดจบ ก็ก้าวท้าวออกมาข้างหน้า เดินไปบังมู่นวลนวล ตะโกนใส่โม่ถิงเซียวว่า “ผมจะกลับไปด้วยก็ได้ แต่อย่ามายุ่งกับเธอ!”
สิ้นประโยค ก็พลันจ้องโม่ถิงเซียวด้วยสายตาแข็งกร้าว
เสี่ยวโม่เจียเฉินย่นคอลงด้วยความหวาดหวั่น แต่ก็ทำเพื่อเรียกความกล้าขึ้นมาเช่นกัน ยืนอยู่ข้างหน้ามู่นวลนวลด้วยใบหน้าที่ไร้ซึ่งความกลัว
ถ้าไม่ใช่เพราะว่าจนถึงตอนนี้เสี่ยวโม่เจียเฉินยังไม่ทำอะไรให้ชัดเจน เธอก็คงปลาบปลื้มอยู่ไม่น้อย
พอเสี่ยวโม่เจียเฉินพูดสิ้นสุดประโยค สีหน้าของโม่ถิงเซียวก็พลันเคร่งขรึมขึ้น ถ้าเธอปล่อยให้เสี่ยวโม่เจียเฉินพูดต่อไป บทสรุปของเธอจะต้องจบลงที่โศกนาฏกรรมแน่ๆ
มู่นวลนวลก็พลันดึงเสี่ยวโม่เจียเฉินหันหลังวิ่งเข้าไปในร้าน
เสี่ยวโม่เจียเฉินก็ขยับตัววิ่งตามแบบไม่รู้ตัว ทว่าวิ่งไปได้เพียงไม่กี่ก้าว เขาก็เอ่ยปากถามออกมาอย่างลังเลว่า “เธอจะวิ่งหนีอะไร ถึงแม้ว่าพี่ชายฉันจะเป็นราชาปีศาจ แต่ก็ไม่ทำร้ายหรือรังแกผู้หญิงหรอกนะ”
ราชาปีศาจ ?
มู่นวลนวลรู้สึกว่าคำเรียกนี้เข้าใจง่ายดี
แต่ว่า โม่ถิงเซียวไม่รังแกผู้หญิงอย่างงั้นหรอกหรือ?
ฮ่ะฮ่ะ โกหกน่า เธอไม่มีทางเชื่อหรอก
“อย่ามัวแต่พูดเรื่องไร้สาระเลย รู้ไหมว่าประตูหลังร้านไปทางไหน” มู่นวลนวลไม่มีเวลาอธิบายอะไรให้เขาได้ฟังเลย
เสี่ยวโม่เจียเฉินพยักหน้า “รู้”
เมื่อคืนเขาออกมาเข้าห้องน้ำ ถึงได้เห็นว่าประตูหลังร้านอยู่ตรงไหน
แต่ทว่า ขณะที่ทั้งสองคนวิ่งมาถึงประตูหลัง ก็ถูกบอดี้การ์ดที่โม่ถิงเซียวพามาสกัดกั้นทางออกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
มู่นวลนวลขมวดคิ้วเข้าหากัน “พวกนายทำอะไร”
เธอไม่คาดคิดเลยว่าโม่ถิงเซียวจะเตรียมคนรอไว้ที่หลังร้านแล้ว
โม่เจียเฉินก็ตะโกนออกไปด้วยโทสะ “ปล่อยให้พวกเราออกไปซะ!”
บอดี้การ์ดไม่แม้แต่ที่จะขยับตัวเพียงเล็กน้อย “คุณชายรอง นายหญิง กรุณาอย่าทำให้พวกเราต้องรู้สึกลำบากใจเลยครับ”
“นายหญิงอะไร” ใบหน้าของเสี่ยวโม่เจียเฉินเต็มไปด้วยความงุนงง
บอดี้การ์ดหันไปมองมู่นวลนวล ที่ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาสักคำ
มู่นวลนวลก็รู้อยู่แก่ใจแล้วว่า ยังไงวันนี้ก็หนีไปไม่พ้นจากเงื้อมมือของโม่ถิงเซียว เธอตบบ่าของเสี่ยวโม่เจียเฉินเบาๆ “ฉันคือ ‘ภรรยาที่สุดแสนจะอัปลักษณ์’ ของโม่ถิงเซียวที่นายเคยพูดไง ”
โม่เจียเฉิน:(⊙o⊙)…
……
โม่เจียเฉินและมู่นวลนวล ทั้งสองคนไร้ทางสู้ต่อ สุดท้ายจึงจำต้องเดินไปกับบอดี้การ์ด
มู่นวลนวลมองไปเห็นรถคันหนึ่ง มันคือเมอร์เซเดส-เบนซ์ ที่จำกัดจำนวนขายทั่วโลก โม่ถิงเซียวเอาสองมือล้วงกระเป๋ากางเกง มองไปที่มู่นวลนวลด้วยสีหน้าที่ไร้ความรู้สึก เปล่งเสียงที่ไม่มีแม้ความอ่อนโยนเจืออยู่ “ไม่หนีแล้วหรอ”
ลึกๆ ในใจมู่นวลนวลก็ต่อต้านเขา แม้จะแพ้ในศึกครั้งนี้ได้ แต่จิตใจของเธอก็จะยังคงสู้ต่อ เธอเชิดหน้าขึ้น มองเขาด้วยสีหน้าที่ไร้ซึ่งความกลัว “ไม่ได้กินข้าว เลยไม่มีแรงวิ่ง”
ฝั่งโม่เจียเฉินยังคงตกอยู่ในภวังค์ นึกถึงเรื่องที่เขาไม่เคยแม้แต่จะเอะใจ “มู่นวลนวลเป็นภรรยาของโม่ถิงเซียว”
โม่ถิงเซียวไม่พูดมาก เปิดประตูรถแล้วให้มู่นวลนวลขึ้นรถไปทันที
เสร็จแล้วจึงหันกลับมาที่โม่เจียเฉิน ที่ยังคงอยู่ในสภาวะงุนงง “กลับไปแล้วค่อยคิดบัญชี”
โม่เจียเฉินตัวสั่น รีบขึ้นรถไปในทันที
……
ภายในรถ มู่นวลนวลนั่งอยู่ที่มุมด้านในของรถ เล่นโทรศัพท์อย่างเบื่อหน่าย
แม้ว่าใจเธอจะหวาดหวั่นอยู่บ้าง แต่ภายนอกก็ต้องแสร้งทำเป็นไม่ได้รู้สึกอะไร
แต่ว่าถ้าดูจากสิ่งที่โม่ถิงเซียวทำมาทั้งหมดแล้วนั้น สิ่งที่เธอได้ทำลงไป ก็ถือว่าไม่ได้มีอะไรร้ายแรงเลย
จู่ๆ โม่ถิงเซียวก็เอ่ยปากพูดทำลายบรรยากาศที่เงียบสงัดภายในรถ
น้ำเสียงของเขาทั้งเย็นยะเยือกและนิ่งเรียบ “มีอะไรอยากจะพูดไหม”
“ไม่มีอะไรจะพูด” มู่นวลนวลวางโทรศัพท์ในมือลง ช้อนตามองแล้วเอ่ยถาม “คุณล่ะ มีอะไรจะพูดไหม”
“ไม่ใช่ว่าเธอรู้หมดแล้วอย่างงั้นหรอ” น้ำเสียงที่โม่ถิงเซียวพูดนั้นราบเรียบนิ่งสนิท
ราวกับว่าเขาไม่ได้รู้สึกผิดกับการที่โกหกมู่นวลนวลเลยแม้แต่น้อย
มู่นวลนวลแค่นหัวเราะ ก่อนพูดด้วยความกรุ่นโกรธ “ใช่สิ คุณจ่ายเงินไปตั้งสามร้อยล้านเพื่อซื้อของเล่นมาชิ้นหนึ่ง จะทำอะไรกับของเล่นชิ้นนั้น ก็เป็นสิทธิ์ของคุณ”
โม่ถิงเซียวขมวดคิ้วเล็กน้อย พูดออกไปเป็นนัยว่าไม่พอใจ “มู่นวลนวล”
เขาไม่ชอบเวลาที่มู่นวลนวลพูดดูถูกตัวเอง
“ทำไมล่ะ ก็คุณแสดงออกมาว่ามันเป็นอย่างนั้นนี่ แล้วทำไมฉันจะพูดไม่ได้ล่ะ” มู่นวลนวลกล่าวอย่างไม่ยอมแพ้ แล้วจ้องกลับตาเขม็ง
เธอเอ่ยถ้อยคำประชดประชัน ฝีปากเชือดเฉือนดั่งคมมีด
โม่ถิงเซียวมองเธอ พร้อมหรี่ตาลงเล็กน้อย ก่อนเอ่ยปากว่า “ไหน เธอลองพูดอีกรอบสิ”
“ฉันพูดว่าคุณสะ……..อุ๊บ…….”
มู่นวลนวลยังไม่ทันได้กล่าวจนจบประโยค ก็ถูกโม่ถิงเซียวประกบริมฝีปาก
คนสารเลว!
แม้มู่นวลนวลจะดิ้นขัดขืนก็เปล่าประโยชน์ โม่ถิงเซียวดึงเธอเข้ามาแนบชิดอก เธอจึงขยับตัวไม่ได้มากนัก
ไหนล่ะที่บอกว่าไม่รังแกผู้หญิง
โกหกหลอกลวงเธอขนาดนั้น ตอนนี้ยังมาใช้กำลังทำเรื่องแบบนี้กับเธออีก
สิ่งดีๆ ทั้งหมดก็ถูกโม่ถิงเซียวเอาไปหมดแล้ว สุดท้ายแล้วนี่มันดีที่ไหนกันล่ะ!
มู่นวลนวลกัดลงไปที่ริมฝีปากของเขาอย่างแรง โม่ถิงเซียวส่งเสียงไม่พอใจออกมา “ชิ” มือก็พลันคลายกำลังลง
ประจวบเหมาะกับที่รถจอดนิ่งสนิทพอดี มู่นวลนวลเลยผลักเขาออก แล้วจึงรีบเปิดประตูออกจากรถ วิ่งเข้าไปในคฤหาสน์ทันที
โม่ถิงเซียวออกมาจากรถ ใช้นิ้วปาดริมฝีปากตนเบาๆ หลุบสายตาลงมอง บนนิ้วของเขามีรอยเลือดเปื้อนอยู่
ซือเย่ยื่นผ้าเช็ดมือให้โม่ถิงเซียวอย่างเงียบๆ
โม่ถิงเซียวรับมาแล้วจึงเช็ดคราบเลือดที่ริมฝีปากตน ก่อนจะเดินเข้าคฤหาสน์ไปอย่างช้าๆ
โม่เจียเฉินเดินเข้าคฤหาสน์ตามโม่ถิงเซียวไปอย่างช่วยไม่ได้
เมื่อเขาเห็นโม่ถิงเซียวนั่งลงบนโซฟา จึงย่อตัวลงนั่งตาม ก็ได้ยินโม่ถิงเซียวพูดออกมาอย่างไร้อารมณ์ว่า “ฉันให้แกนั่งแล้วหรอ”
โม่เจียเฉินตัวเย็นเฉียบด้วยความกลัว รีบลุกขึ้นยืนตรงทันที เชื่อฟังประพฤติตัวดีราวกับนกกระจอกตัวหนึ่ง
เขาเป็นคนไม่กลัวฟ้าดิน แต่สิ่งที่กลัวที่สุดก็คือลูกพี่ลูกน้องคนนี้ที่ชื่อว่า โม่ถิงเซียว
มู่นวลนวลยังไม่ได้กลับไปที่ห้อง แต่หลบอยู่ที่ข้างบันไดชั้นสอง โดยแอบมองไปที่ห้องโถงอยู่
เมื่อเธอเห็นโม่เจียเฉินที่ยืนเงียบเป็นเป่าสาก จะขยับตัวยังไม่กล้า ก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา ถ้าโม่ถิงเซียวอยู่ในโลกของสัตว์ป่า เขาจะต้องยืนอยู่ที่จุดยอดสูงสุดของผู้ล่าในห่วงโซ่อาหารเป็นแน่
“พี่ชายแกรู้ไหมว่ากลับมาจากต่างประเทศแล้ว”
คุณน้าของโม่ถิงเซียวเมื่ออายุ 18 ปี ก็คลอดซือเฉิงยวี่ พออายุได้ 34 จึงได้ให้กำเนิดโม่เจียเฉิน ท่านไม่เหมือนคนวัยกลางคนแบบคนอื่นเขานัก บ้านคุณน้าเลี้ยงดูโม่เจียเฉินแบบปล่อย
โม่เจียเฉินเป็นคนที่ค่อนข้างไม่มีเหตุผล แต่ก็ร่าเริง ชอบเข้าสังคม จึงชอบออกจากบ้านไปเที่ยวเล่นบ่อยๆ ทั้งบ้านก็เลยชินที่เขาเป็นแบบนี้แล้ว
ทว่าถ้าครั้งนี้คุณน้ารู้ว่าโม่เจียเฉินกลับมาที่เซี่ยงไฮ้แล้ว จะต้องโทรศัพท์หาเขาแน่ๆ ยังไงคนที่บ้านก็ต้องไม่วางใจ ที่ปล่อยให้เด็กอายุ 14 เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลกลับมาประเทศด้วยตัวคนเดียว
จนถึงตอนนี้คุณน้ายังไม่ได้โทรศัพท์หาเขาเลย จะต้องยังไม่รู้ว่าโมเจียเฉินกลับมาแล้วแน่
อีกทั้งตอนนี้พี่ชายของโมเจียเฉิน ซือเฉิงยวี่ ก็อยู่ที่เซี่ยงไฮ้เช่นกัน