ผู้อํานวยการที่รักใคร่เมีย – บทที่ 114 เธออย่าไปโดนโม่ถิงเซียวหลอกนะ

ผู้อํานวยการที่รักใคร่เมีย

มู่นวลนวลยื่นน้ำให้โม่ถิงเซียว แล้วจึงเดินหันหลังกลับเข้าไปในห้องครัว จึงไม่ได้เห็นรอยยิ้มที่ปรากฎอยู่บนใบหน้าเขา

กลับกัน โม่เจียเฉินที่นั่งอยู่ด้วยกันเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น

เขาหยิบตะเกียบขึ้นมา เอนตัวเอาตะเกียบจุ่มลงไปในชามของโม่ถิงเซียว เมื่อเอาเข้าปากเพื่อชิมน้ำซุป สีหน้าก็เปลี่ยนไปในทันที

มู่เจียเฉินทิ้งตะเกียบโดยไม่คิด ถือแก้วน้ำด้วยสองมือรีบกินน้ำตาม พอรสชาติเค็มในปากจางลงก็ทำปากยื่นพลางบ่นพึมพำเบาๆ ว่า “หน้าซื่อใจโฉด!”

รสชาติที่เค็มจนลิ้นชา แต่เขาก็จงใจกินจนหมด มู่นวลนวลก็เป็นคนใจอ่อนสะขนาดนั้น อีกเดี๋ยวก็จะต้องยกโทษให้เขาแน่ๆ

ฮึ่ม!ก็มีแต่ผู้ชายหน้าซื่อใจเหี้ยมที่คิดทรมานตัวเองเพื่อเรียกคะแนนสงสารแบบนี้ได้!

โม่ถิงเซียวมองเขาอย่างเย็นเยียบ “พูดให้ดังอีกหน่อยสิ”

“……….” โม่เจียเฉินไม่กล้า

เขาย่นคอลง ก่อนจะลุกขึ้นวิ่งหนีเข้าไปในห้องครัว

มู่นวลนวลอิงอยู่กับเคาน์เตอร์กินโยเกิร์ต ก๋วยเตี๋ยวของเธออืดจนเละกินไม่ได้แล้ว แต่เธอก็ไม่ได้อยากกินอะไรแต่แรกอยู่แล้ว กินโยเกิร์ตหนึ่งถ้วยก็ไม่ได้แย่อะไรนัก

เห็นโม่เจียเฉินวิ่งเข้ามา มู่นวลนวลก็เปิดตู้เย็นหยิบมาอีกถ้วยส่งให้เขา

โม่เจียเฉินมาอยู่ข้างๆ เธอ กินไปหนึ่งคำ พูดอย่างผู้รู้ว่า “มู่นวลนวล อย่าไปถูกโม่ถิงเซียวหลอกนะ เขาเป็นคนที่หน้าซื่อใจเหี้ยมที่สุดเลย”

“อื้ม ” มู่นวลนวลตอบไปอย่างใจลอย หันหน้าไปมองโม่เจียเฉิน “ฉันแก่กว่านาย 6 ปี ถ้าจะไม่เรียกฉันว่าพี่สะใภ้ ก็ต้องเรียกว่าพี่”

เด็กหนุ่มอายุ 14 ปี ยืนอยู่ข้างๆ มู่นวลนวลที่มีส่วนสูงประมาณร้อยหกสิบเจ็ดสิบ เขายังสูงกว่าเธอนิดหน่อย

แต่เพราะว่ายังอยู่ในช่วงเยาว์วัย โม่เจียเฉินเลยดูบอบบาง ถึงจะตัวสูงกว่าเธอ แต่ก็ยังถือว่าเป็นเพียงแค่เด็กคนหนึ่ง

โม่เจียเฉินทำปากยื่นไม่พอใจ “งั้นก็จะเรียกว่าพี่สาวให้ก็แล้วกัน”

ใจก็ไม่อยากยอมรับว่ามู่นวลนวลเป็นพี่สะใภ้ และพอมาคิดดูว่า พี่ที่หน้าซื่อใจเหี้ยมคนนั้นเก็บได้ลาภก้อนโตไป เขาก็รู้สึกเสียดายเป็นอย่างมาก เลยถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

มู่นวลนวลทำสีหน้าที่บรรยายไม่ถูก เด็กคนนี้กินโยเกิร์ตแล้ว ก็ยังถูกความทุกข์กัดกินอีกหรอ

……

ทั้งสามคนออกไปข้างนอกด้วยกัน ซือเย่เป็นคนขับรถมารับ

มู่นวลนวลไม่อยากนั่งข้างๆ โม่ถิงเซียว จึงดึงให้โม่เจียเฉินขึ้นรถมาด้วย

โม่เจียเฉินเหลือบมองดูโม่ถิงเซียวเงียบๆ ก่อนจะขึ้นรถตามหลังมู่นวลนวลไป

สถานการณ์ในรถจึงเป็นเช่นนี้ โม่เจียเฉินนั่งอยู่ตรงกลาง โดยมีมู่นวลนวลกับโม่ถิงเซียวขนาบข้าง

โม่เจียเฉินรับรู้ได้ถึงรังสีกดดันที่แผ่ออกมาจากโม่ถิงเซียวโดยตลอด เขารู้สึกว่าตัวเองได้ทำเรื่องโง่ๆ ลงไปแล้ว

ซือเย่ไปส่งมู่นวลนวลที่มู่กรุ๊ปก่อน ต่อไปตามแผนจะต้องไปส่งโม่เจียเฉินที่โรงเรียนต่อ

ทว่าหลังจากที่มู่นวลนวลลงจากรถไป และซือเย่ก็พึ่งออกรถไปได้ไม่ไกลนัก โม่ถิงเซียวก็ออกคำสั่งกับซือเย่ว่า “หยุดรถ”

รถหยุดนิ่ง โม่ถิงเซียวเหลือบมองโม่เจียเฉิน “ลงไปจากรถ”

“มันยังไม่ถึงโรงเรียนเลยนะ!” เมื่อวานโม่ถิงเซียวได้พาเขามาดูโรงเรียนแล้ว นั่งรถจากนี่ไปโรงเรียน อย่างต่ำก็ต้องใช้เวลาสิบกว่านาที

“ไม่ได้ผ่านไปทางนั้น”

“ห๊ะ”

ขณะที่โม่เจียเฉินยังรับมือกับสถานการณ์ไม่ถูก โม่ถิงเซียวก็เปิดประตูแล้วไล่เขาลงไปจากรถ

“……” โม่เจียเฉินโกรธจนหน้าเบ้ “นายเอาความแค้นส่วนตัวมาปนแบบนี้ไม่ได้นะ เป็นเพราะผมนั่งอยู่ตรงกลางระหว่างนายกับพี่นวลนวล ถ้าแน่จริงก็ไล่ผมลงจากรถต่อหน้าเธอเลยสิ”

โม่เจียเฉินไม่สนใจ ปิดประตูรถ ก่อนจะพูดกับซือเย่ว่า “ไปเลย”

ซือเย่มองตาโม่เจียเฉินที่ยืนอยู่ข้างนอกก็รู้สึกเห็นใจ แม้ว่าเข้าจะรู้ว่า ที่จริงแล้ว โรงเรียนของโม่เจียเฉินอยู่ระหว่างทางไปเชิ่งติ่ง แต่ก็ต้องแสร้งเป็นเอาหูไปนา เอาตาไปไร่

โม่เจียเฉินพอเห็นรถออกตัวไป ก็เตะต้นไม้ใบหญ้าที่อยู่ข้างทางด้วยความโมโห

ปรากฎว่าเขาใช้แรงมากจนเกินตัว เจ็บจนกระทืบเท้าไปมากับพื้น

ถ้าขับรถจากที่นี่ไปโรงเรียนเขา ต้องใช้เวลาประมาณสิบกว่านาที ถ้าเขาวิ่งไปอย่างบ้าคลั่ง ยังไงก็ต้องกินเวลานานไปอยู่ดี

อีกทั้ง…..

ตอนนี้เขาไม่มีเงินเลยสักแดงเดียว

โม่เจียเฉินพูดกับตนเองว่า “เฮ้อ ไล่ฉันลงจากรถหรอ งั้นฉันก็จะไปเอาเงินจากเมียนาย”

ที่นี่อยู่ไม่ห่างจากมู่กรุ๊ป เขากลับหลังหันวิ่งไปยังทิศทางที่มู่กรุ๊ปตั้งอยู่

……

เมื่อมู่นวลนวลมาถึงบริษัท ก็ถูกมู่ลี่หยานเรียกเข้าพบทันที

หลังจากงานแถลงข่าว ความคิดเห็นบนโลกออนไลน์ต่อมู่กรุ๊ปก็ไม่มีท่าทีว่าจะดีขึ้น ชาวเน็ตไม่เอาด้วย ประชาชนทั่วไปก็ไม่เอาด้วยเช่นกัน

มู่ลี่หยานตอนนี้ก็หมดปัญหาคิดกลยุทธ์มาแก้ทางแล้ว ได้แต่เอาความคาดหวังทั้งหมดไปให้มู่นวลนวลแบกเอาไว้

พอมู่นวลนวลเข้าไปในห้อง เขาก็รีบลุกขึ้นยืนทันที “นวลนวล ลูกคุยกับโม่ถิงเซียวแล้วเป็นอย่างไรบ้าง”

กล่าวถึงโม่ถิงเซียว ในใจของมู่นวลนวลก็คุกรุ่นขึ้นมา

“คุยจนหักกันไปแล้ว เขาบอกว่าจะไม่ยื่นมือมาช่วยมู่กรุ๊ป” แม้ว่าความจริงแล้ว เธอไม่คิดที่จะไปร้องขอให้โม่ถิงเซียวช่วยเลย แล้วยิ่งได้รู้ว่า “โม่เจียเฉิน” ก็คือโม่ถิงเซียว ก็รู้ว่าไม่ต้องลองร้องขอดูหรอก ไงๆ ก็เดาได้ว่าโม่ถิงเซียวไม่มีทางยื่นมือมาช่วยมู่กรุ๊ปแน่

มู่ลี่หยานเมื่อได้ยินว่าโม่ถิงเซียวจะไม่ช่วยมู่กรุ๊ป ก็กังวล “ถ้าอย่างนั้นจะทำอย่างไรดีล่ะ พ่อก็ช่วยเอาบัตรแพลทินัมมาให้แล้ว ไหนลูกสัญญากับพ่อ……”

“เดิมทีบัตรแพลทินัมก็เป็นของโม่ถิงเซียวอยู่แล้ว ถ้าคุณไม่ช่วยไปเอาคืนมา ปล่อยเวลาผ่านไปยังไงเขาก็ต้องรู้ว่าหนูทำบัตรแพลทินัมหาย พอถึงตอนนั้น เขาก็คงไปหาเอาคืนกลับมาเอง อาจจะเอาเงินที่ถูกใช้บัตรรูดไปคืนกลับมาด้วยก็ได้……..”

หลังจากที่มู่ลี่หยานกับมู่หวันฉีหลอกเอาบัตรใบ ก็ใช้เงินไปไม่น้อยเลยทีเดียว โชคยังดีที่บัตรไม่ได้อยู่กับพวกเขานาน พวกเขายังไม่ทันได้เอาบัตรไปรูดให้กับบริษัท แต่แค่นี้พวกเขาก็รูดไปเกือบสิบล้านแล้ว

เงินที่เข้ากระเป๋าพวกเขาไปแล้ว ถ้าคิดที่จะเอาคืนกลับมา แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย

มู่นวลนวลคิดว่า คงมีแค่วิธีขายหุ้นของมู่กรุ๊ปที่เธอถืออยู่ ถึงจะหาเงินมาคืนโม่ถิงเซียวได้

ไม่ว่าจะขายหุ้นที่เธอถืออยู่คืนให้มู่ลี่หยาน เพราะเดิมทีหุ้นพวกนี้มู่ลี่หยานก็เป็นคนให้เธอมา และถึงเขาไม่ให้เงิน ก็จะเปลี่ยนเอาไปขายให้คนอื่นแค่นั้นเอง

มู่กรุ๊ปมีรากฐานมาจากธุรกิจอันเก่าแก่ ถึงแม้ว่าชื่อเสียงจะย่อยยับธุรกิจซบเซา แต่ก็ยังมีคนต้องการซื้ออยู่

มู่ลี่หยานได้ฟังมู่นวลนวลพูดจบ สีหน้าก็เปลี่ยนไป

“พ่ออย่าพึ่งร้อนรนนะ เดี๋ยวหนูจะคิดหาทางช่วยทางอื่นเอง” มู่นวลนวลพูดอย่างไม่มีความจริงใจเลยสักนิด แต่มู่ลี่หยานเองก็ไม่สังเกตเห็นถึงจุดนี้

หลังจากที่มู่นวลนวลออกมา เพื่อนร่วมงานก็เดินเข้ามาหา “นวลนวล มีคนมาหาน่ะ”

เธอเดินออกไปดู ก็พบว่าเป็นโม่เจียเฉิน

“ทำไมนายมาอยู่ที่นี่ ไม่ใช่ว่าไปโรงเรียนแล้วหรอ” มู่นวลนวลเหลือบมองดูเวลา ตอนนี้เป็นเวลาเก้าโมงกว่าๆ แล้ว

โม่เจียเฉินสะพายกระเป๋าเอาหลังพิงกำแพงเล่น พลางตะโกนออกมาว่า “เธอไม่รู้หรอก พอเธอลงจากรถไปนะ พี่ก็ไล่ผมลงจากรถเลย จะเดินจากที่นี่ไปโรงเรียนก็ไกลเกิน เงินโบกแท็กซี่ก็ไม่มี ผมก็เลยต้องมาหาคุณไง”

“เขาเป็นอะไรถึงไปไล่เธอลงจากรถ” มู่นวลนวลพูดจบก็ควักเงินออกมาหนึ่งร้อย พร้อมยื่นให้เขาไป “ต่อไปนี้ถ้าไม่มีเงินก็ให้มาหาฉัน ไม่ก็พี่นาย อย่าเที่ยวไปเล่นแง่กับใครเขา”

ถึงแม้ว่าการเล่นแง่หลอกลวงจะถือเป็นความสามารถหนึ่งก็จริง แต่โม่เจียเฉินยังเด็กเกินไป ทัศนคติแบบนี้ถือว่าไม่ถูกต้อง ถ้าไม่ดัดให้ตรง ในอนาคตก็อาจจะคดได้

“ขอบคุณครับพี่นวลนวล” โม่เจียเฉินรับเงินมา ยิ้มจนตาหยีกล่าวขอบคุณเธอ

มู่นวลนวลเองก็ยิ้มออกมา เด็กคนนี้ยังไงก็เป็นเด็กที่ดีละนะ

ผู้อํานวยการที่รักใคร่เมีย

ผู้อํานวยการที่รักใคร่เมีย

Status: Ongoing
พี่สาวลูกครึ่งของหมู่นวลนวลไม่ต้องการแต่งงานกับคู่หมั้นที่น่าเกลียดและไร้มนุษยธรรม มารดาผู้ให้กำเนิดคุกเข่าขอร้องเธอ:“ พี่สาวของคุณสมควรได้รับสิ่งที่ดีกว่า คุณช่วยเธอได้” เขารู้สึกเศร้ามาก แทนพี่สาวแต่งงาน. ในคืนแต่งงาน ชายหนุ่มรูปงามขมวดคิ้วและมองมาที่เธอ: “มันน่าเกลียดเกินไป” เธอคิดว่าทั้งสองจะเคารพซึ่งกัน แต่คาดไม่ถึงว่าเขาจะครอบงำเธอโดยตรง: “ไม่ว่าจะน่าเกลียดแค่ไหนเธอก็เป็นผู้หญิงของผมด้วย” เธอจ้องเขา : “คุณ…คุณทำไม่ได้ … ” ชายคนนั้นถอดชุดชั้นในของเธอปลอมตัวออก มองใบหน้าที่สวยงามเดิมของเธอ แล้วยิ้มอย่างร้ายกาจ: “ดูเหมือนว่าเราทุกคนจะมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับกันและกัน”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท