โม่เจียเฉินตกใจเล็กน้อย “รู้จักพี่ผมกันด้วยหรอ”
เขารู้ว่าซือเฉิงยวี่เป็นนักแสดง แต่เขาไม่รู้ว่าชื่อเสียงของซือเฉิงยวี่ในประเทศจะโด่งดังถึงขนาดนี้
“ต้องรู้จักอยู่แล้ว อาจารย์ซือเฉิงยวี่เป็นรุ่นพี่ในวงการ ทักษะการแสดงดีเยี่ยม นิสัยก็เป็นเลิศ เป็นเครื่องตกแฟนคลับดีๆ เลย! ” เซินเหลียงพูดจบก็เอาโทรศัพท์ออกมา “อาจารย์ซือเฉิงยวี่ ขอถ่ายรูปด้วยได้ไหมคะ”
“ได้แน่นอนอยู่แล้ว” ซือเฉิงยวี่ยิ้มอย่างอ่อนโยน “แต่ว่าต้องช่วยผมเก็บเรื่องวันนี้เป็นความลับนะ”
“แน่นอนค่ะ!” พอเซินเหลียงกดเข้ากล้องถ่ายรูปในโทรศัพท์มือถือ ก็ดึงมู่นวลนวลเข้ามาด้วย “มาถ่ายด้วยกัน”
“ไม่เป็นไรหรอก พวกเธอถ่ายกันเถอะ…….” มู่นวลนวลไม่บ้าดารา เพียงแค่ชอบหนังที่ซือเฉิงยวี่แสดงมากเป็นพิเศษก็เท่านั้นเอง
อย่างเรื่องถ่ายรูปด้วยกัน เธอไม่ค่อยตื่นเต้นกับมันเท่าไหร่นัก
ซือเฉิงยวี่มองเธอแล้วยิ้ม น้ำเสียงอ่อนโยน “คุณมู่ ผมต้องขอความกรุณาฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ”
ซือเฉิงยวี่นิสัยอบอุ่นเกินไปแล้ว มู่นวลนวลไม่ปฏิเสธอีกต่อไป จึงเดินไปยืนถ่ายรูปด้วยกัน
ทั้งสามคนยืนอยู่ด้วยกัน โม่เจียเฉินเป็นคนถ่ายรูปให้พวกเขา
ซือเฉิงยวี่ยืนอยู่ตรงกลาง เซินเหลียงกับมู่นวลนวลแยกกันยืนอยู่คนละข้างของเขา
ถ่ายเสร็จเซินเหลียงก็รับโทรศัพท์คืนมา และก็มีสายเข้ามาพอดี เป็นเบอร์ของเอเจ็นซี่โทรเข้ามา เธอไม่รับและตัดสายทิ้งทันที หันหลังไปพูดกับมู่นวลนวลว่า “เอเจ็นซี่โทรมาหา ฉันต้องไปก่อนนะ”
มู่นวลนวลพยักหน้ารับ “งั้นเธอรีบไปเถอะ”
“งั้นฉันขอตัวก่อนนะคะ ไว้เจอกันคราวหน้านะคะรุ่นพี่” เซินเหลียงโบกมือให้ซือเฉิงยวี่ หันหลังเดินออกไปจากร้านอาหารอย่างเร่งรีบ
มู่นวลนวลหันกลับมามองโม่เจียเฉินและซือเฉิงยวี่ จึงพบว่าทั้งสองคนความจริงแล้วก็มีส่วนที่คล้ายคลึงกันอยู่
เธอนึกไปถึงก่อนหน้านี้ ครั้งที่ไปกินข้าวที่จินติ่ง ซือเฉิงยวี่เข้าไปทักทายกูจื่อหยาน ทั้งที่เห็นว่าโม่ถิงเซียวก็อยู่ตรงนั้นด้วยแต่ไม่ได้พูดอะไรกับเขา เขาคงจะรู้เรื่องระหว่างเธอกับโม่ถิงเซียว
แต่เขาก็เป็นลูกพี่ลูกน้องของโม่ถิงเซียว ก็เป็นปกติที่จะช่วยโม่ถิงเซียวปิดเป็นความลับ
เพียงเพื่อที่จะหลอกเธอ โม่ถิงเซียวต้องเค้นสมองถึงเพียงนี้เลย
มู่นวลนวลยิ้มมุมปากขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ แสดงถึงการเหน็บแนมอย่างเต็มที่
ซือเฉิงยวี่ราวกับรู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่ สีหน้าเคร่งขรึม พูดด้วยความสัตย์จริงว่า “ต้องขอโทษด้วย ที่ช่วยโม่ถิงเซียวหลอกเธอ”
มู่นวลนวลเม้มปากแล้วพูด “คุณซืออย่าพูดแบบนั้นเลยค่ะ เพราะทุกคนอยู่ในสถานะที่ต่างกันก็แค่นั้นเอง”
คุณซืออย่างงั้นหรอ
ซือเฉิงยวี่ยิ้มออกมาอย่างช่วยไม่ได้ และเอ่ย “พวกเธอคิดที่จะกลับกันหรือยัง เดี๋ยวขับรถไปส่งเอง”
มู่นวลนวลมองโม่เจียเฉินอย่างสงสัย โม่ถิงเซียวเข้มงวดกับเขาเสียขนาดนั้น ถ้าพูดตามหลักความเป็นจริง พอเขาได้เจอกับพี่ชายแท้ๆ ของตัวเอง ก็ควรที่จะไปอยู่กับพี่ชายแท้ๆ สิ
แต่ว่า ฟังจากที่ซือเฉิงยวี่พูด เขายังต้องกลับไปอยู่กับโม่ถิงเซียว
ซือเฉิงยวี่ดูออกถึงสิ่งที่มู่นวลนวลสงสัยอยู่ จึงอธิบายออกไปว่า “ ผมทำงานยุ่งมาก ไม่มีเวลาดูแลเสี่ยวเฉิน ให้เขาไปอยู่กับถิงเซียวจะดีกว่า”
………
ซือเฉิงยวี่ขับรถไปส่งมู่นวลนวลกับโม่เจียเฉินกลับคฤหาสน์
มู่นวลนวลกับโม่เจียเฉินเดินอยู่ด้านหน้า ซือเฉิงยวี่อยู่ด้านหลังพวกเขาระยะประมาณครึ่งก้าว
พอมู่นวลนวลเปิดประตูเข้าไป ก็เห็นโม่ถิงเซียวเดินลงมาจากชั้นบนพอดี
เขาเงยหน้าชำเลืองมองมู่นวลนวล อารมณ์ปกติเหมือนทุกที แต่เพียงได้เห็นซือเฉิงยวี่ที่อยู่ข้างหลังเธอ ก็ทำตาหยีลงเล็กน้อย อารมณ์ยากจะคาดเดาได้
“ถิงเซียว” ซือเฉิงยวี่พูดอธิบายขึ้นมาก่อน “พอดีไปกินข้าวข้างนอกมา และก็ได้เจอกับพวกเสี่ยวเฉินโดยบังเอิญ ก็เลยแวะพาพวกเขามาส่ง”
“อื้ม” โม่ถิงเซียวตอบกลับหนึ่งคำ และไปนั่งลงบนโซฟา ออกคำสั่งกับบอดี้การ์ด “รินน้ำชา”
มู่นวลนวลเห็นทั้งสองคนนั่งบนโซฟา ทำท่าราวกับมีเรื่องจะคุยกัน เธอจึงดึงโม่เจียเฉินขึ้นไปข้างบน
เมื่อโม่เจียเฉินกลับไปถึงห้อง ก็เริ่มทำการบ้าน แต่ก็ไม่ใช่ทำการบ้านของตนเอง แต่กำลังทำการบ้านของเด็กประถม
เด็กหนอเพื่อที่จะหาเงินก็ทำจนเอาเป็นเอาตายเสียจริง
มู่นวลนวลกลับไปถึงห้อง พออาบน้ำเสร็จก็ได้รับข้อความจากเซินเหลียง
[สรุปเธอกับโม่ถิงเซียวมีอะไรกันยัง เขาขันไม่ขัน]
[ฉันคิดว่าเขาไม่เห็นจะตรงตามข่าวลือเลย ถ้าอย่างงั้น เรื่องอย่างว่าเขาก็น่าจะทำได้นะ]
มู่นวลนวลหัวเราะอย่างช่วยไม่ได้ ตอบกลับข้อความของเธอ [รีบนอนได้แล้ว อย่าพูดเรื่องเลอะเทอะพวกนี้เลย]
เซินเหลียงไม่เพียงแต่ไม่ฟังคำพูดของเธอที่ให้ไปนอน แต่กลับส่งข้อความเสียงมาให้เธอ
มู่นวลนวลกดฟังข้อความเสียงนั้น
“ที่ฉันพูดใช่เรื่องเลอะเทอะซะที่ไหนกัน มันเป็นเรื่องจริงจังต่างหาก แม้ว่าวิธีที่โม่ถิงเซียวใช้มันจะเกินไปหน่อย แต่เธอก็ต้องจับเขาไว้ให้อยู่นะ ไม่อย่างนั้น ถ้ามู่หวันฉีตัวดูดเลือดรู้ว่า ‘โม่เจียเฉิน’ ก็คือโม่ถิงเซียวล่ะก็ เธอดูเลยนะว่ามู่หวันฉีจะพุ่งเข้าใส่ไหม……..”
คำพูดของเซินเหลียงได้เตือนสติมู่นวลนวล
มู่หวันฉีตอนแรกเล็ง “โม่เจียเฉิน” เอาไว้ ถ้าเธอรู้เข้าว่า “โม่เจียเฉิน” ก็คือโม่ถิงเซียว เธอไม่มีทางปล่อยไปแบบนั้นเฉยๆ แน่
“เธอพุ่งเข้ามาหาแล้วจะทำไมล่ะ โม่ถิงเซียวแม้จะให้แลมองเธอก็คงไม่ยอมแน่ๆ ”
เธอคงไม่กล้าพูดแบบนี้ถ้าเป็น“โม่เจียเฉิน” คนก่อน แต่ตอนนี้เขาคือโม่ถิงเซียว ยิ่งไม่มีทางที่จะสนใจมู่หวันฉีหรอก
เธอส่งข้อความเสียงที่พูดส่งไป ก็ได้ยินเสียงโม่ถิงเซียวดังมาจากทางประตู “จริงหรอ เข้าใจฉันขนาดนี้เลยหรอ”
มู่นวลนวลเงยหน้าขึ้นมามองโม่ถิงเซียวอย่างแข็งทื่อ ในหัวหมุนไปหมด
เขาขึ้นมาตอนไหนกัน
เขาได้ยินที่ฉันคุยกับเซินเหลียงทั้งหมดเลยหรอ
ติ๊ง——
เซินเหลียงส่งข้อความกลับมา มู่นวลนวลกดล็อคหน้าจอ ไม่รีบร้อนที่จะดูข้อความตอนนี้
“นายขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่”
“เรื่องที่ควรได้ยิน ก็ได้ยินหมดแล้ว”
แม้โม่ถิงเซียวจะไม่ได้ตอบเธอตรงๆ แต่คำตอบของเขาก็เพียงพอที่จะสรุปได้ว่า เขาได้ยินเรื่องทั้งหมดแล้ว
มู่นวลนวลตกอยู่ในสภาวะกระอักกระอ่วน อยากจะเอาหัวมุดลงดินหนีไปให้รู้แล้วรู้รอด โม่ถิงเซียวยิ้มมุมปาก น้ำเสียงเคลือบไปด้วยความปรีดา “ฉันไปอาบน้ำก่อน เธอก็คิดๆ ไปละกัน”
“คิดอะไร”
“คิดดูว่า จะจับฉันให้อยู่ได้ยังไง”
“……..” ฮ่ะฮ่ะ
………
เพราะว่าโม่ถิงเซียวยื่นมือเข้ามาช่วยจากมุมมืดอย่างเงียบๆ มู่นวลนวลที่เมื่อก่อนเข้าโลกออนไลน์ทีก็หมองซึมเพราะปัญหาจากข้อมูลว่าร้าย ตอนนี้ทุกอย่างก็เริ่มหมุนกลับมาเป็นปกติ ได้ออกไปหาคนที่เข้ามาเสนอทุนทำสัญญาร่วม ที่มีเยอะจนนับไม่หวาดไม่ไหว
มู่ลี่หยานรู้สึกว่ามู่กรุ๊ปได้เลื่อนขั้นสถานะที่สูงขึ้นไปอีก ทุกๆ วันยุ่งกับการเข้าสังคม มีความสุขถึงขีดสุด ถึงขนาดคิดจะพามู่นวลนวลออกไปให้ทำความรู้จักกับบรรดาคู่ค้า
มู่นวลนวลปฏิเสธไปตรงๆ “ไม่ต้องหรอก พ่อพาพี่ไปเถอะ โม่ถิงเซียวไม่ชอบให้ไปออกงานเลี้ยงกลางคืน”
ตอนนี้เธอมีธุระอื่นต้องไปทำ จึงเอาโม่ถิงเซียวมาเป็นข้ออ้าง ซึ่งก็ใช้สะดวกดีเหมือนกัน
ความคิดของเธอกับมู่ลี่หยานไม่ตรงกัน เธอเข้าใจโม่ถิงเซียวดี แม้ว่าเขาจะช่วยมู่กรุ๊ป แต่เธอก็รู้สึกมาตลอดว่า มันประหลาดเกินไปที่ทุกอย่างดูจะง่ายดายแบบนี้
“ก็ได้” มู่ลี่หยานพยักหน้าแล้วจึงเอ่ยปากถามเธอ “แล้วถิงเซียวจะว่างเมื่อไหร่ ลูกพาเขากลับตระกูลมู่มากินข้าวด้วยกันสิ”
เรียก “ถิงเซียว” แล้วหรอ นี่คือเพราะอยากจะประจบประแจงลูกเขยคนนี้หรอ
แม้ว่าเธอไม่คิดจะพาโม่ถิงเซียวกลับตระกูลมู่ แต่ก็ตกปากรับคำไปว่า “โอเค”
ระหว่างทางกลับ มู่นวลนวลให้คนขับรถหยุดรถ เธอลงจากรถไปซื้อของ
แผนกของใช้ในชีวิตประจำวันในร้านค้า ส่วนใหญ่แล้วก็จะติดเครื่องหมายการค้าของมู่กรุ๊ป
มู่นวลนวลเดินเข้าไป ก็ได้ยินคนข้างๆ พูดกันว่า “ทำไมมู่กรุ๊ปยังไม่ล่มอีกล่ะ ยังมีหน้าเอาสินค้ามาวางบนชั้นขายอยู่อีก”
“ไม่ใช่หรอก เพราะมีคนมีอำนาจหนุนหลังน่ะสิ พอสินค้ามีปัญหาก็ไปใช้เส้นสายไม่ให้ออกข่าว ร้ายมาก”
มู่นวลนวลยืนอยู่หน้าชั้นวางของครู่หนึ่ง หยิบของมามั่วๆ จ่ายเงินแล้วก็เดินออกไป
เธอรู้แผนการของโม่ถิงเซียวแล้ว
เหตุการณ์ “โรงงานถูกเปิดโปง” ในครั้งนี้ของมู่กรุ๊ป นอกจากคำพูดขอโทษลอยๆที่ไม่ค่อยมีความจริงใจเท่าไหร่ ก็ยังไม่แม้แต่จะได้รับการลงโทษใดๆ ที่สมควรจะได้รับเลย
ไม่เพียงแค่นั้น มู่กรุ๊ปยังฝังกลบข่าวลือเสียๆ หายๆ ทั้งหมดลงไปอีก เมื่อเป็นเช่นนี้ อย่างแรกเลยผู้คนก็จะรู้สึกต่อต้านมากขึ้น