โบราณกล่าวไว้ว่า “เขื่อนหมื่นลี้ ก็พังได้ด้วยรูมด” ผู้ประมาท ย่อมตาย
ยิ่งไปกว่านั้นก็คือมู่กรุ๊ปเคยถูกเปิดโปงเรื่องธุรกิจอันดำมืดไปแล้ว
มู่นวลนวลมีลางสังหรณ์ นี่ไม่ใช่การก้าวพ้นวิกฤติของมู่กรุ๊ป แต่เป็นการเริ่มต้นความพินาศย่อยยับ ต่างหาก
แม้จะได้รับเงินลงทุนหรือการทำสัญญาร่วมที่เยอะขนาดไหนก็ตาม แต่สุดท้ายแล้วเมื่อนำสินค้าไปวางจำหน่าย ก็ไม่มีผู้บริโภคคนใดยอมที่จะซื้อพวกมัน ทั้งหมดที่ทำไปจะเป็นการเสียแรงเปล่า
ในยุคสมัยที่อินเทอร์เน็ตและการสื่อสารพัฒนาเป็นอย่างมากแล้วนั้น ไม่สามารถมองข้ามผลกระทบของการส่งต่อข้อความบนโลกออนไลน์ไปได้เลย
ทันใดที่มู่กรุ๊ปคิดทำการใหญ่ ก็มีคนเปิดเผยเรื่องดำมืดของมู่กรุ๊ป จากนั้นผู้คนก็จะร่วมกันต่อต้านคว่ำบาตร
ตลาดใหญ่ขนาดนี้ คู่แข่งก็เยอะมากตาม ขอบเขตทางเลือกสำหรับผู้บริโภคกว้างใหญ่มหาศาล มู่กรุ๊ปจริงๆ แล้วก็ไม่ได้มีความหมายอะไรเลย
หลังจากที่เข้าใจกระจ่างแจ้งถึงแผนการของโม่ถิงเซียว มู่นวลนวลยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกหนาวยะเยือกไปทั้งตัว
โม่ถิงเซียวเปลือกนอกก็คือช่วยเหลือมู่กรุ๊ป ทว่าแล้วจุดประสงค์หลักที่แท้จริงของเขาก็คือขุดหลุมฝังมู่กรุ๊ปให้จมดิน
……
ทันทีที่รถจอดนิ่งสนิทเทียบที่บริเวณประตูทางเข้าคฤหาสน์ มู่นวลนวลก็รีบเปิดประตูรถวิ่งลงไป
ขณะนั้นอากาศเย็นเฉียบ สภาพอากาศหนาวขึ้นทุกวัน
ลมหนาวพัดเข้ามาหา มู่นวลนวลตัวสั่นด้วยความหนาว หน้าตาของเธอยิ่งดูขาวขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง
เธอเดินเข้าไปในห้องโถง แต่ไม่พบแม้แต่เงาของโม่ถิงเซียว
บอดี้การ์ดนายหนึ่งสายตาเฉียบแหลม เอ่ยขึ้นมาว่า “นายหญิง นายน้อยอยู่ที่ห้องหนังสือครับ”
มู่นวลนวลได้ยินดังกล่าว ก็มุ่งไปที่ห้องหนังสือทันที
ดูแล้วเขาก็พึ่งจะกลับมาถึงเช่นกัน ยังไม่ได้ถอดเสื้อคลุมที่สวมอยู่เลย เขากำลังยื่นแขนไปเปิดหนังสือที่วางอยู่ในแต่ละชั้น
เมื่อได้ยินเสียงเปิดประตู เขาก็หันหน้ามามอง พอเห็นว่าเป็นมู่นวลนวล มุมปากเขาก็ยกขึ้นเบาๆ ราวกับว่าเขากำลังยิ้มอยู่
“กลับมาแล้วหรอ”
เมื่อพูดจบ ก็หันกลับมาที่ชั้นหนังสือหาหนังสือต่อไป
มู่นวลนวลเดินมาหยุดอยู่ที่ข้างหน้าเขา และคว้าแขนของเขาเอาไว้ ก่อนจะดึงมันเข้ามา เพื่อให้เขาหันมามองหน้าเธอ
เธอจ้องเข้าไปในดวงตาของโม่ถิงเซียว พูดชัดๆ ทีละคำว่า “คุณคิดจะทำอะไรกันแน่ มู่กรุ๊ปไปทำอะไรให้คุณขุ่นเคือง”
โม่ถิงเซียวดึงแขนตัวเองกลับมา และยื่นมือไปวางไว้บนมือของมู่นวลนวล “เย็นขนาดนี้เลยหรอ”
เขาเอามือทั้งสองข้างของมู่นวลนวลมากุมไว้ในมือตน
มืออันหนาใหญ่ของเขาช่างอบอุ่น อบอุ่นเสียจนทำให้มู่นวลนวลไม่มีความคิดที่จะดึงมือกลับมา
ผู้ชายแบบโม่ถิงเซียว ละทิ้งศักดิ์ศรี ใช้น้ำเสียงอันอ่อนโยนอันแสนอบอุ่น เพื่อทำให้ผู้หญิงคนหนึ่งหวั่นไหว ช่างเป็นเรื่องที่แสนง่ายดาย
ในชั่ววูบเล็กๆ มู่นวลนวลก็ได้สติกลับคืนมา เธอชักมือกลับ พูดย้ำคำถามคำเดิมที่เอ่ยไปก่อนหน้านี้ “มู่กรุ๊ปไปทำอะไรให้คุณ”
“นี่เธอตั้งศาลเตี้ยใส่ร้ายกันอย่างงั้นหรอ” โม่ถิงเซียวมองดูมือที่ว่างเปล่าของตัวเองอยู่สองวินาที สีหน้าค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเย็นเยียบ
“คุณก็รู้ว่าที่ฉันถามหมายความว่าอะไร”
โม่ถิงเซียวหมุนตัวนั่งลงที่เก้าอี้ เอ่ยปากพูดอย่างเรียบง่าย “ให้ปาปารัสซีไปถ่ายภาพเบื้องหลังของโรงงานมู่กรุ๊ป ฉันก็นึกว่าเธอไม่รู้สึกอะไรกับมู่กรุ๊ปเสียอีก”
มู่นวลนวลมองเขาอย่างตื่นตะลึงตกใจ เขารู้แม้กระทั่งเรื่องนี้ด้วยหรอ
โม่ถิงเซียวค่อนข้างพอใจกับปฏิกิริยาของเธอในตอนนี้ เธอขึงตาใส่เขาด้วยดวงตาดำขลับคู่สวย ลึกๆ ภายในดวงตาเธอแล้วก็สั่นไหวอยู่เล็กน้อย ยากที่จะเข้าใจถึงความรู้สึกที่แท้จริงได้
ผ่านไปสักพัก เธอก็ได้ยินน้ำเสียงแหบพร่าเจือไปด้วยความน่าสะพรึงกลัวเล็กๆ “เรื่องของเธอ เพียงแค่ฉันคิดอยากจะรู้ ก็จะได้รู้”
ความหมายของเขาคือ เธอที่อยู่ต่อหน้าเขา ก็เป็นเพียงร่างที่โปร่งใสที่เขาสามารถมองทะลุ รู้ได้ทุกเรื่อง
ไม่ว่าเธอจะทำเรื่องอะไร เขาก็จะรู้ได้อย่างง่ายดาย
เขาใช้อำนาจคุกคามเธออีกแล้ว
“สนุกนักหรอ คอยดูฉันทุกย่างก้าว คงรู้สึกเหนือกว่ามากเลยสินะ” มู่นวลนวลขึ้นเสียงเล็กน้อย
เธอคิดว่าโม่ถิงเซียวอาจจะเป็นประสาทจริงๆ ก็ได้ คอยตามติดจ้องดูเธอทุกย่างก้าว เธอรู้สึกว่าตัวเองเป็นเหมือนสัตว์ตัวเล็กๆ ที่ถูกเลี้ยงเอาไว้ดูเล่น
“นี่ฉันใส่ใจเธอนะ” โม่ถิงเซียวไม่รับรู้ถึงอารมณ์อันรุนแรงของมู่นวลนวลอยู่ในตอนนี้ และกล่าวต่อว่า “ไม่อย่างงั้น ตอนที่เธอถูกมู่ลี่หยานกับมู่หวันฉีหลอกให้ไปช่วยแม่ แต่ดันถูกจับตัวไปเรียกค่าไถ่ ฉันจะรีบไปช่วยเธอได้อย่างไรกันล่ะ”
ถึงแม้ว่าจะมีเตรียมใจมาไว้บ้างแล้ว แต่มู่นวลนวลก็ยังรู้สึกตกใจจนตาทั้งสองข้างเบิกโพลง
ที่แท้เขาก็รู้เรื่องทุกอย่าง
เธอที่อยู่ต่อหน้าเขาไม่สามารถมีความลับอะไรได้เลย
ถึงแม้ว่าสิ่งที่เขาทำกับเธอจะไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไร แต่ความปราถนาในการกุมอำนาจของเขาจะยิ่งใหญ่เกินไปแล้ว
“อย่าทำสายตาแบบนี้สิ ฉันไม่ชอบ”
จู่ๆ โม่ถิงเซียวก็ลุกขึ้นยืน เอามือปิดตาเธอไว้ เขาก้มหัวลง พร้อมกับเอาปากนาบลงบนริมฝีปากของเธอเบาๆ น้ำเสียงที่ทุ้มนุ่มลึกราวกับไวน์ชั้นดีที่ถูกหมักบ่มมาเป็นเวลานาน ให้ความรู้สึกราวกับถูกหลอมละลาย “เธอแค่ต้องทำตัวดีๆ แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว”
ริมฝีปากของเขาอุ่นเฉกเช่นเดียวกับมือเขา แต่มู่นวลนวลกลับตัวสั่นอย่างหนัก
โม่ถิงเซียวดึงเธอเข้ามาในอ้อมกอด เอามือไล้ไปตามเส้นผมที่ยาวสลวยของเธอ เสียงพร่าเล็กน้อยก่อนเอ่ยอย่างสนิทชิดเชื้อกับเธอ “ไม่ต้องกลัวหรอก ฉันไม่ปฏิบัติกับเธอเหมือนอย่างที่พวกนั้นทำกับเธอหรอก เธอเพียงแค่ต้องอยู่ร่วมไปกับฉันชั่วทั้งชีวิต ฉันหลงเธอจนถอนตัวไม่ทันแล้ว…..”
มู่นวลนวลตัวแข็งทื่อจนไม่กล้าขยับตัว โม่ถิงเซียวที่เป็นแบบนี้ ทำให้เซลล์ทุกเซลล์ในร่างกายของเธอต่างส่งเสียงร้องออกมาว่าให้หนีไปเสีย
ผ่านไปครู่หนึ่ง มู่นวลนวลถึงสามารถเอ่ยเสียงออกมาได้ “แล้วมู่กรุ๊ป……..”
“มู่กรุ๊ปไม่เป็นอะไรหรอก ไม่ใช่ว่ายังมีเจ้าสัวมู่อยู่หรอ” โม่ถิงเซียวปล่อยเธอออกจากอ้อมแขน ก่อนจะเอามือจัดผมหน้าม้าที่ปรกอยู่บนหน้าผากของเธอให้เป็นระเบียบ “ไปกินข้าวกันเถอะ”
เจ้าสัวมู่หรอ
มู่นวลนวลถูกโม่ถิงเซียวจูงมือให้เดินตามลงไปข้างล่าง แต่ใจกลับลอยไปที่อื่นแล้ว
เปิดดูข้อความที่ติดต่อคุยกับเซินเหลียงก่อนหน้านี้ เกี่ยวกับสาเหตุที่จู่ๆ ตระกูลมู่กับตระกูลโม่ก็ทำข้อตกลงแต่งงานกัน เจ้าสัวมู่ก็คือหนึ่งในกุญแจสำคัญ
ปีนั้นเจ้าสัวมู่ออกนอกประเทศเพื่อไปใช้ชีวิตวัยเกษียณ แล้วก็ไม่ได้กลับมาอีกเลย
มู่นวลนวลไม่ได้เจอเจ้าสัวมู่เป็นสิบๆ ปี ถ้าไม่ใช่เพราะว่ามีคนพูดถึงขึ้นมา เธอเองก็คงจำไม่ได้แล้วว่าตัวเองยังมีคุณปู่อยู่ด้วย
โม่ถิงเซียวพึ่งเอ่ยถึงเจ้าสัวมู่ขึ้นมา หรือว่าจุดประสงค์ของเขาก็คือ……
มู่นวลนวลเข้าใจเรื่องในจุดนี้แล้ว หยุดก้าวต่อทันที มองไปที่โม่ถิงเซียวแล้วพูดว่า “ คุณจะใช้มู่กรุ๊ป เพื่อบังคับให้คุณปู่กลับประเทศมาใช่ไหม”
โม่ถิงเซียวหันกลับมามองเธอ ในดวงตามีแววตาชื่นชมอยู่ “ฉลาดมาก”
“คุณบังคับให้คุณปู่กลับมาเพื่อคิดที่จะทำอะไร เป้าหมายของคุณคืออะไร” หรือว่าจะเป็นเพราะเบื้องหลังของการทำข้อตกลงแต่งงานระหว่างทั้งสองตระกูล ยังมีเรื่องอื่นที่เป็นความลับไม่ให้คนอื่นรู้
หรือเรื่องนี้จะสำคัญมากกับโม่ถิงเซียว
หลังจากปีนั้นที่เกิดคดีจับตัวเรียกค่าไถ่ โม่ถิงเซียวก็เก็บซ่อนตัว สาเหตุที่เขาไม่ยอมเปิดเผยตัวเลยคืออะไรกัน
เรื่องที่คิดไม่ออกมีมากมายเกินไป มู่นวลนวลมึนหัวไปหมด
ที่ห้องรับประทานอาหาร
โม่เจียเฉินได้นั่งอยู่ก่อนแล้ว แต่เพราะว่าโม่ถิงเซียวกับมู่นวลนวลยังมาไม่ถึง เลยยังไม่เริ่มหยิบตะเกียบกินข้าว
พอมองเห็นทั้งสองคนจูงมือกันออกมา เขาก็ทำปากยื่นไม่พอใจ พูดออกมาเบาๆ ว่า “ดอกฟ้ากับหมาวัด”
โม่ถิงเซียวเลื่อนเก้าอี้ให้มู่นวลนวล พูดทั้งที่ยังก้มหน้าอยู่ “โม่เจียเฉิน คุณครูของนายบอกมาว่านายเรียนไม่ทันเพื่อน ฉันให้นายเข้าเรียนชั้นเรียนเสริมดีไหม”
“ไม่ต้องเลย! ” โม่เจียเฉินสีหน้าเปลี่ยนโดยพลัน พูดอย่างไม่มีความหยิ่งในศักดิ์ศรี “พวกพี่เหมือนของที่เกิดมาคู่กัน เหมาะสมกันอย่างกับกิ่งทองใบหยก”
คนหน้าซื่อใจโฉด!
ให้เขาไปเรียนเสริม ให้เขาไปตายเสียยังจะดีกว่า
โม่เจียเฉินแอบมองค้อนเขาเงียบๆไปหนึ่งที หันกลับมายิ้มตาหยีให้มู่นวลนวล พลางคีบกับข้าวให้ “พี่นวลนวล กินอันนี้สิ”
“ขอบคุณ” มู่นวลนวลเอาสองมือประคองชามไปใกล้เขาเพื่อที่จะได้คีบอาหารให้ได้ เธอรู้สึกว่า ตัวเธอกับโม่เจียเฉินทั้งคู่ต่างก็ตกที่นั่งลำบากที่แสนทรมานนี้เหมือนกัน