ตอนที่เธอออกไปทานอาหารกลางวัน ทันทีที่มู่นวลนวลออกจากตึกของมู่กรุ๊ป เธอก็เห็นโม่ถิงเซียวยืนพิงรถอยู่ไม่ไกล
เขาสวมสูทสีดำที่รีดจนกลีบโง้ง ส่วมเสื้อเชิ้ตสีขาวข้างใน ไม่ได้ผูกเนกไทและกระดุมสองเม็ดที่คอเสื้อก็ถูกปลดออก ทำให้เขาดูไม่มีระเบียบ
มู่นวลนวลหยุดเดินชั่วขณะ
โม่ถิงเซียวมองมาที่เธอ เขายืดตัวตรง ไม่ได้เคลื่อนไหวอะไรมากนัก แล้วก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่จ้องมองมาที่เธออย่างตั้งใจ
ความหมายของเขาคือให้เธอรีบเดินไปเร็วๆ
มู่นวลนวลเม้มริมฝีปาก เชิดคางเล็กน้อยแล้วเดินเข้าไปหาเขา
หลังจากที่เดินเข้าไปใกล้ เธอก็โอบกอดและขมวดคิ้ว:“ประธานมู่มาหาฉันมีเรื่องอะไร?”
แม้ว่าน้ำเสียงของเธอจะดูสบาย ๆ แต่เธอก็ประหม่าเล็กน้อย
นี่คือหลังจากที่“โม่เจียเฉิน”กลับมาเป็นโม่ถิงเซิยว เป็นครั้งแรกที่มู่นวลนวลเผชิญหน้ากับเขา
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับโม่ถิงเซียว เธอก็มักจะกลัวเขาเล็กน้อย นั่นเป็นความหวาดกลัวต่อผู้แข็งแกร่งตามสัญชาติญาณ
โม่ถิงเซียวได้ยินอย่างนั้นแล้วก็ขมวดคิ้ว:“คุณเรียกฉันว่าอะไรนะ?”
“ท่านประธานของ Shengding Media” รอยยิ้มที่เย็นชาในสายตาของมู่นวลนวล:“ขอบคุณที่พิจารณาฉัน และส่งจดหมายเชิญให้ฉันมาสัมภาษณ์”
โม่ถิงเซียวเหล่ตาเล็กน้อย สีหน้าที่นิ่งเฉยของเขาไม่ได้แสดงอารมณ์อะไร แต่เสียงทุ้มที่แผ่วเบาแสดงถึงความไม่พอใจ:“ใครบอกเธอ?
“ใครบอกฉันแล้วเกี่ยวอะไรกัน?” มู่นวลนวลก้มหน้าและเลิกคิ้ว:“ในเมื่อคุณเลือกที่จะปิดบังตั้งแต่แรก แน่นอนว่าต้องถูกค้นพบในสักวัน”
โม่ถิงเซียวได้ยินที่เธอพูดแล้วก็ไม่มีท่าทีว่าจะโกรธ และพูดอย่างสบายๆว่า:“แล้วยังไงต่อ?คุณคิดว่ายังไง?”
เขาพูดอย่างเต็มปาก ทำให้มู่นวลนวลสำลักและพูดไม่ออก
เธอจะทำอะไรได้?
แม้ว่าโม่ถิงเซียวจะโกหกและปิดบัง แต่เธอก็ไม่สามารถทำอะไรเขาได้
อย่างไรก็ตามในใจเธอมีอุปสรรคที่ไม่สามารถผ่านไปได้ จนปัญญาที่จะเสแสร้งทำเป็นว่าไม่มีอะไรกับเขา
เรื่องเมื่อคืนเป็นเธอที่วู่วาม แต่ก็ไม่ได้รู้สึกเสียใจในถายหลัง
มู่นวลนวลเม้มริมฝีปาก และหันหลังเดินไป
โม่ถิงเซียวจ้องไปที่ด้านหลังของเธอสองสามวินาที จากนั้นค่อยๆเดินตามเธอไป
ทั้งสองคนเดินตามกันเข้าไปในร้านอาหาร
มู่นวลนวลพูดด้วยอารมณ์ไม่ดี:“คุณตามมาทำไม?”
โม่ถิงเซียวสายตาจริงจัง:“เมื่อกี้ที่ฉันถามคุณ คุณยังไม่ได้ตอบเลย คุณจะทำยังไงกับฉัน?”
“ฉันจะทำอะไรคุณได้?”
“คุณอยากจะทำอะไรก็ได้”
มู่นวลนวลเดินรอบๆโม่ถิงเซียว อายุของทั้งสองคนรวมกับเกือบครึ่งร้อย แต่ตอนนี้ทั้งสองคนเดินไปรอบๆเหมือนเด็กๆ
“ฉันต้องการให้คุณอยู่ห่างๆฉันหน่อย” ตอนนี้เธอรู้สึกรำคาญเมื่อเห็นโม่ถิงเซียว
เธอนั่งอยู่ตรงหน้าโม่ถิงเซียว และรู้สึกว่าตัวเองงมงาย
ตั้งแต่ต้นจนจบ เธอถูกโม่ถิงเซียวควบคุมทุกอย่างไว้ในมือ
แต่เรื่องของโม่ถิงเซียว เธอไม่รู้ไม่เข้าใจอะไรทั้งสิ้น
ตอนที่เขายังเป็น“โม่เจียเฉิน” แม้ว่าเธอจะรู้สึกหวั่นไหว แต่เนื่องจากความสัมพันธ์ของทั้งสองคนเป็น“น้องชายและพี่สะใภ้” จึงไม่มีอะไร
“อ่อ” โม่ถิงเซียวตอบอย่างเฉยเมยและพูดว่า:“อันนี้ทำไม่ได้”
“คุณ……”
มู่นวลนวลคิดในใจ และลองถามว่า:“ทำไมคุณต้องบีบบังคับให้ปู่ของฉันกลับไปที่ประเทศจีน?”
โม่ถิงเซียวเงยหน้าขึ้นมองเธอทันที ดวงตาของเขาลึกล้ำและมืดมน
มู่นวลนวลถูกเขามองจนใจหายวาบ และอดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปควานหาแก้วน้ำตรงหน้า
ในขณะนี้ริมฝีปากบางๆของโม่ถิงเซียวค่อยๆเปิดออก และพูดออกมาสองคำ:“ให้ทาย”
มู่นวลนวลอึ้งไปครู่หนึ่ง แล้วยิ้มด้วยแววตาที่สดใส ราวกับว่าเธอไม่สนใจคำตอบของเขา:“อ่อ”
“ให้ทาย” ความหมายคือ:โม่ถิงเซียวไม่อยากบอกเธอ
โม่ถิงเซียวดีกับเธอ บางทีอาจเป็นเพราะเธอเป็นภรรยาของเขา อาจเป็นเพราะเขาสนใจเธอ หรืออาจเป็นเพราะเธอคือคนตระกูลมู่
ในตอนนี้มู่นวลนวลก็เข้าใจขึ้นมาทันที ถึงเหตุผลที่โม่ถิงเซียวทำตาม“สัญญาแต่งงานของมู่หวันฉี” ไม่ใช่เพียงเพราะมู่หวันฉีเป็นคนตระกูลมู่
ไม่ใช่ว่าตระกูลโม่ไม่สนใจว่าโม่ถิงเซียวจะแต่งงานกับผู้หญิงคนไหน แต่เป็นโม่ถิงเซียวที่ไม่สนใจ ขอเพียงแค่เป็นลูกสาวของตระกูลมู่ ไม่สนว่าจะเป็นมู่หวันฉีหรือมู่นวลนวล เขาก้ไม่สนใจ
ความหดหู่ใจเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน ทำให้มู่นวลนวลไม่เจริญอาหาร
เมื่ออาหารมาถึงเธอกัดไปสองสามคำ หลังจากนั้นก็วางตะเกียบลง
โม่ถิงเซียวเหลือบมองเธอแล้วคีบอาหารให้ และพูดด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มและสงบนิ่ง:“เมือคืนลำบากคุณแล้ว กินเยอะๆหน่อย”
สีหน้ามู่นวลนวลก็เปลี่ยนเป็นแดง:“ไม่อยากทาน ไม่เจริญอาหาร!”
“เป็นเพราะไม่ได้พักผ่อนหรอ?” โม่ถิงเซียวถามอย่างจริงจัง:“งั้นตอนบ่ายก็กลับบ้านไปพักผ่อน ถึงอย่างไรคุณทำงานอยู่ที่มู่กรุ๊ปก็ไม่มีความสุข”
มู่นวลนวลตกใจนิดหน่อย
มีไม่กี่คนที่สนใจว่าเธอมีความสุขหรือไม่
เวลาที่โม่ถิงเซียวดีกับเธอ ก็ดีมากๆเลย
มีคนกล่าวว่าอันความอ่อนโยนนั้นเป็นสุสานของวีรบุรุษ แต่มู่นวลนวลรู้สึกว่าผู้ชายเจ้าชู้อย่างโม่ถิงเซียว เมื่อดีกับผู้หญิงสักคน สำหรับผู้หญิงก็เป็นพิษต่อระบบทางเดินอาหาร
……
หลังจากที่ทั้งสองคนทานอาหารเสร็จแล้วออกไป ก็เจอกับมู่หวันฉี
กล่าวได้ว่าโลกนี้มันกลม คนที่ไม่อยากเจอกลับต้องเจอ
มู่หวันฉียิ้มอย่างมีความหมาย:“ความสัมพันธ์ของนวลนวลกับคุณโม่เจียเฉินดูสนิทสนมกันมากเลยนะ ว่างก็มาทานข้าวด้วยกันกับนวลนวล น้องเขยฉันรู้ไหม?”
โม่ถิงเซียวหรี่ตาและพูดอย่างน่าประหลาดใจ:“แน่นอนว่าไม่สามารถให้พี่ชายรู้เรื่องนี้ได้”
มู่นวลนวลยื่นมือออกไปบีบหลังของโม่ถิงเซียวอย่างสงบเยือกเย็น เพื่อเตือนไม่ให้พูดเรื่องไร้สาระ
สีหน้าของโม่ถิงเซียวยังคงเดิม พลิกฝ่ามือกลับไปจับมือเธอ:“พี่สะใภ้ ฉันไปก่อนนะ ตอนเย็นจะมารับคุณ”
มู่นวลนวลไม่ได้พูด บนใบหน้าเขียนไว้แค่สองคำ “รีบไป”
แต่หลังจากที่พูดจบโม่ถิงเซียวก็ยังไม่เดินไป
มู่นวลนวลกำลังจะถามเขาว่าทำไมเขาถึงยังไม่ไป จู่ๆโม่ถิงเซียวก็ก้มหน้าลงและเดินมาใกล้เธอ:“พี่สะใภ้ ไม่คิดจะจูบลาฉันหน่อยหรอ?”
“????”
เขาพูดจบก็จูบมู่นวลนวลต่อหน้ามู่หวันฉี และหันหลังเดินจากไปด้วยรอยยิ้ม
รอยยิ้มนั้นอยู่ในสายตาของมู่นวลนวล แต่เธอรู้สึกว่ามันกวนโอ๊ย
แม้ว่าชีวิตส่วนตัวของมู่หวันฉีจะยุ่งเหยิง แต่เธอก็คิดไม่ถึงว่ามู่นวลนวลกับ“โม่เจียเฉิน” จะทำตามอำเภอใจอย่างไม่เกรงกลัวอะไร ในที่สาธารณะก็ไม่ยกเว้น
“มู่นวลนวล เธอนี่มันจริงๆเลย……” มู่หวันฉีรู้สึกแย่อยู่พักหนึ่ง และหลังจากนั้นไม่กี่วินาทีก็พูดว่า:“ไร้ยางอาย!”
วันนี้มู่นวลนวลสวมรองเท้าส้นสูงเล็กๆ ถึงแม้มู่หวันฉีจะสวมรองเท้าส้นสูง แต่เธอก็ยังเตี้ยกว่า พลังที่ออกมาก็มากกว่ามู่นวลนวล
มู่นวลนวลมองเธอด้วยหางตา แล้วพูดอย่างแผ่วเบาว่า:“เทียบกับเธอไม่ได้เลย”