เนื่องจากผู้ชายหน้าไม่อายคนนั้นคว้ามือเธอเอาไว้ และยังจะสัมผัสหน้าเธอ……
ซือเย่และโม่เจียเฉินยังคงนั่งอยู่ข้างหน้า เธอเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?
เธอโบกมือยื่นไปข้างๆเป็นครั้งที่N ผู้ชายที่หน้าไม่อายคนนั้นก็หัวเราะออกมา:“วันนี้คุณเป็นเด็กดีมากเลย ฉันก็แค่อยากสัมผัสหน้าคุณเท่านั้น”
มู่นวลมองเขาด้วยรอยยิ้มและพูดว่า:“ฉันเป็นแมวหรอ?เห็นว่าเชื่อฟังแล้วก็อยากจะสัมผัส?”
“แน่นอนว่าไม่ใช่” โม่ถิงเซียวบีบมือเธอเบาๆก่อนที่จะพูดว่า:“แค่สัมผัสมันยังไม่พอ”
มู่นวลนวลยกมุมปากขึ้น และหันไปมองคนที่นั่งอยู่ข้างหน้าทั้งสองคน
และพบว่าซือเย่และโม่เจียเฉินต่างนั่งกันอย่างสงบเสงี่ยม มองไปข้างหน้าโดยไม่เหล่มามอง
แต่ไหล่ของทั้งสองคนสั่น——พวกเขากำลังหัวเราะ!
มู่นวลนวลเอาเท้าเตะโม่ถิงเซียว
ไม่เจ็บมาก
แต่โม่ถิงเซียวก็รู้ และไม่อยากกวนโมโหเธอ
……
เมื่อรถมาจอดที่ประตูคฤหาสน์ มู่นวลนวลก็โดดลงจากรถเป็นคนแรก ราวกับว่ามีผีตามมาข้างหลัง และวิ่งเข้าไปในคฤหาสน์อย่างรวดเร็ว
โม่เจียเฉินก็ตามหลังไปติดๆ
แต่ไม่นานข้างหลังเขาก็มีเสียงดังขึ้น เสียงพูดของเขาเหมือนกับพญายมที่มาเร่งเอาชีวิต:“โม่เจียเฉิน ไปพบฉันที่ห้องหนังสือ”
โม่เจียเฉินหยุดและมองกลับไปที่โม่ถิงเซียวด้วยรอยยิ้มที่เอาใจ:“พี่ชาย ครั้งหน้าผมจะไม่ชกต่อยอย่างแน่นอน ผมสำนึกผิดแล้ว”
“อืม” โม่ถิงเซียวปิดปากเงียบ แต่ไม่ได้บอกว่าเขาไม่ต้องไปที่ห้องหนังสือ
ดังนั้นสุดท้ายแล้วโม่เจียเฉินก็ยังต้องไปที่ห้องหนังสือ
เขากระวนกระวายไม่สงบอยู่ในห้องทำงานสักพักก่อนที่โม่ถิงเซียวจะเข้ามา
“พูดมาเถอะ ทำไมต้องชกต่อยกัน” โม่ถิงเซียวเดินตรงไปนั่งตรงข้ามกับโม่เจียเฉิน น้ำเสียงของเขาราบเรียบมาก
โม่ถิงเซียวมักจะดูเย็นชา แต่คนที่คุ้นเคยกับเขาจะสามารถสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่ไม่สบายใจของเขา
“ก็แค่ทะเลาะกับเพื่อนร่วมชั้นแล้วก็ชกต่อยกัน” โม่เจียเฉินพูดจบ สีหน้าของเขาก็จริงจังแล้วพูดอีกว่า:“พี่ชาย ผมรู้สึกผิดแล้วจริงๆ วันหลังผมจะไม่ชกต่อยกับเพื่อนร่วมชั้นแบบนี้อีก”
คำมั่นสัญญาและคำสารภาพผิดของเขา ไม่ได้ทำให้โม่ถิงเซียวหยุดที่จะถามต่อ:“ฉันถามนายว่าทำไมถึงชกต่อยกัน”
โม่ถิงเซียวมองไปที่โม่เจียเฉินอย่างต่อเนื่อง แววตาของเขาสงบนิ่งจนมองไม่ออกว่าตอนนี้เขารู้มีความรู้สึกยังไง แต่มีความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง
เมื่อได้สบตากับเขา โม่เจียเฉินก็รู้สึกว่าตัวเองไม่สามารถปิดบังโมถิงเซียวได้
แต่เขาก็รู้ชัดเจนดีว่า ถ้าโม่ถิงเซียวได้ยินคำพูดพวกนั้น เขาจะต้องเสียใจอย่างแน่นอน
โม่เจียเฉินไม่พูด โม่ถิงเซียวก็ไม่ได้เร่งรัดเขา
โม่เจียเฉินตั้งแต่เด็กจนโตก็อาศัยอยู่ด้วยกันกับโม่ถิงเซียว เวลาเขาก่อเรื่อง โม่ถิงเซียวก็จะจัดการเรื่องยุ่งๆนั้นให้เขาเสมอ
แต่ไม่มีครั้งไหนเลยที่เขาเป็นฝ่ายยอมรับผิด
วันนี้ไม่เพียงแต่เขาจะยอมรับผิด มู่นวลนวลเองก็ปิดปากไม่พูดเรื่องนี้ด้วย
มู่นวลนวลผู้หญิงคนนี้ก็ดื้อดึง ตอนเด็กๆก็มีเรื่องทะเลาะแบบนี้ ดูแล้วเธอก็น่าเกรงขาม ดังนั้นเธอจึงไม่พูดอะไรกับเขา
ที่เธอโทรศัพท์หาเขาในตอนแรก เป็นไปได้ว่าจะบอกเขาว่าโมเจียเฉินมีเรื่องชกต่อยที่โรงเรียน
แต่หลังจากนั้นเธอก็ไม่แม้แต่จะพูดถึง
เรื่องนี้ทำให้รู้สึกแปลกใจ
“นายไม่พูด?” โม่ถิงเซียวรอสักพักและเห็นว่าเขายังไม่ได้พูด เขาจึงพูดอย่างใจเย็น:“ถ้าอย่างนั้นฉันจะโทรไปถามครูประจำชั้นของนาย”
โม่ถิงเซียวเงยหน้าขึ้น:“ไม่นะ!”
ถ้าโม่ถิงเซียวโทรไปถามครูประจำชั้นของเขา ครูประจำชั้นต้องพูดอย่างแน่นอน และเรื่องนี้ถ้าให้คนอื่นพูด ไม่สู้ให้เขาพูดเองจะดีกว่า
โม่เจียเฉินกัดฟันพูด:“พวกมันบอกว่าคุณป้าถูก……ตาย”
ในคำตรงกลางสองคำเสียงของเขาแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน
เขายังเด็ก แต่เขาเข้าใจหลักการวางตัวในสังคมมาก
พอเขาพูดจบ ในห้องก็เงียบจนทำให้รู้สึกว่าหายใจไม่ออก
โม่เจียเฉินกำหมัดแน่นไม่กล้าพูดและไม่กล้าที่จะมองโม่ถิงเซียว
หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ได้ยินเสียงแหบแห้งของโม่ถิงเซียว:“ออกไปเถอะ”
“พี่ชาย……” โม่เจียเฉินเงยหน้าขึ้นมามองโม่ถิงเซียว
แต่โม่ถิงเซียวลุกขึ้นยืน แล้วหันหลังเดินไปที่โต๊ะทำงาน
โม่เจียเฉินเหลือบมองเขาอย่างไม่สบายใจ และหันหลังเดินออกไป
มู่นวลนวลเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จพอดี และออกมาจากห้องเตรียมจะลงไปชั้นล่าง
ตอนที่กำลังจะเดินผ่านห้องหนังสือของโม่ถิงเซียว ก็เห็นโม่เจียเฉินออกมาจากข้างใน
มู่นวลนวลรีบเดินเข้าไป:“พี่ชายนาย เรียกพบนายหรอ?”
โม่เจียเฉินพยักหน้า และพูดด้วยความลังเล:“ผมบอกเขาไปหมดแล้ว……”
มู่นวลนวลสีหน้าตกใจ ไม่กี่วินาทีต่อมาก็พูดว่า:“งั้นเขา……”
โม่เจียเฉินส่ายหัว
มู่นวลนวลหรี่ตามองไปที่ประตูห้องหนังสือที่ปิดไม่สนิท แล้วเคาะประตูถามว่า:“โม่ถิงเซียว มื้อเย็นคุณอยากทานอะไร?”
คนที่อยู่ข้างในไม่ตอบคำถามของเธอ
โม่เจียเฉินพูดด้วยความเป็นห่วงว่า:“แม่ของผมบอกว่าเมื่อก่อนหลังจากเกิดเรื่องกับคุณป้า พี่ชายก็ขังตัวเองอยู่ในห้องไม่ยอมพบเจอใคร”
มู่นวลนวลครุ่นคิดถึงเรื่องอื่นนอกเหนือจากเรื่องนี้
ปฏิกิริยาของโม่ถิงเซียวผิดปกติมาก อาจพูดได้ว่าเรื่องที่เถาปิงพูดนั้นเป็นความจริง?
ถึงแม้ว่าเธอจะไม่รู้เรื่องนี้มากนัก แต่ก็เคยได้ยินเรื่องแม่ของโม่ถิงเซียว
แม่ของเขามาจากตระกูลที่มีชื่อเสียงด้านวรรณกรรม สวยและมีความสามารถด้านการประพันธ์ ในบรรดาผู้หญิงชั้นสูงที่มีชื่อเสียงในเซี่ยงไฮ้เทียบกับเธอไม่ได้เลย
ในที่สุดเธอก็ได้แต่งงานเข้าตระกูลโม่
มีชีวิตเหมือนผู้หญิงในวรรณกรรม แต่สุดท้ายก็ถูก……เหยียดหยามจนถึงแก่ความตายจริงหรอ?
มู่นวลนวลคอแห้งนิดหน่อย เธอถามด้วยความคลุมเครือว่า:“ต่อมาล่ะ?”
“ต่อมา?” โม่เจียเฉินเกาหัวแล้วพูดด้วยความไม่สบายใจ:“แม่ผมบอกว่าเป็นเพราะผม ตอนนั้นผมเพิ่งจะคลอด พี่ชายไม่สนใจใคร แต่ชอบมาเล่นอยู่กับผม ตอนที่ผมยังเล็กผมใช้เวลาอยู่ด้วยกันกับพี่ชาย มากว่าที่จะอยู่ด้วยกันกับพ่อแม่”
มู่นวลนวลไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมีเรื่องแบบนี้ด้วย
แต่ปกติความสัมพันธ์ระหว่างโม่เจียเฉินกับโม่ถิงเซียวก็สามารถสัมผัสได้ว่าทั้งสองคนสนิทกันมาก
โม่ถิงเซียวเป็นคนที่มีมีความคิดลึกซึ้ง ในตอนนั้นที่เขาโกหกเธอว่าเขาคือ“โม่เจียเฉิน” ก็พอที่จะยืนยันได้ว่าโม่เจียเฉินเป็นคนที่สำคัญมากสำหรับเขา
มู่นวลนวลมองไปที่ประตูห้องหนังสือที่ปิดอยู่อีกครั้ง เธอไม่ได้เคาะประตู แต่หันหลังเดินลงไปที่ห้องครัวชั้นล่าง
โม่ถิงเซียวชอบอาหารรสจัด มู่นวลนวลก็ทำอาหารที่มีทั้งรสเค็มและรสเผ็ดเป็นพิเศษ
หลังจากทำเสร็จ เธอก็ขึ้นไปชั้นบนและเคาะประตูห้องหนังสือ:“ได้เวลาทานอาหารแล้ว”
รออยู่นานแล้วก็ไม่มีคนตอบกลับมา
เมื่อมู่นวลนวลกำลังคิดว่าโม่ถิงเซียวจะไม่พูดอีก เสียงแหบแห้งและสาตายเคร่งขรึมของโม่ถิงเซียวที่อยู่ข้างในก็ดังขึ้น:“ไม่ต้องมายุ่งกับฉัน”
มู่นวลนวลตกใจ
ไม่ว่าจะเป็น“โม่เจียเฉิน”ที่เมินเฉยกับเธอในตอนแรก หรือว่าต่อมาจะเป็นโม่ถิงเซียว เขาก็ไม่เคยพูดกับเธอด้วยน้ำสียงแบบนี้
โม่ถิงเซียวแค่อารมณ์ไม่ดี เธอไม่ถือสา
มู่นวลนวลถามอย่างอารมณ์ดีว่า:“งั้นฉันเอาอาหารขึ้นมาให้คุณนะ?”