โม่เจียเฉินเงยหน้าขึ้นเหลือบมองสีหน้าของมู่นวลนวลอย่างระแวดระวัง
พบว่าสีหน้าของมู่นวลนวลเป็นปกติเช่นเดิม จึงเริ่มพูดต่อ “พี่ชิงหนิงเป็นช่างถ่ายภาพ มีครั้งหนึ่งเธอไปถ่ายภาพทิวทัศน์หิมะ แต่ดันไปประสบภัยหิมะถล่มเข้า ทีมค้นหาเองก็ไม่เคยหาร่างเธอพบเลย……”
เมื่อพูดถึงประโยคสุดท้ายเสียงของโม่เจีบเฉินก็เบาลงเรื่อยๆ
มู่นวลนวลตะลึงงัน ไม่รู้ว่าควรเอ่ยอะไรออกไปจึงปล่อยให้ทุกอย่างนิ่งสงบไปชั่วครู่
“เรื่องเกิดขึ้นเมื่อไหร่” มู่นวลนวลเงยหน้าแล้วเอ่ยถามเขา
โม่เจียเฉินตอบ “5 ปีที่แล้ว”
“พี่ชายนายกับเธอ…….”
โม่เจียเฉินเม้มปากแน่น หลุบตาลงต่ำด้วยความรู้สึกเจ็บปวด “เธอเป็นคู่หมั้นของพี่ผม”
มู่นวลนวลอ้าปากค้าง เป็นใบ้พูดอะไรไม่ออกไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง
เธอก้มหน้าลงมองข้อความบนโทรศัพท์ที่ซือเฉิงยวี่ส่งมาให้ ขยับนิ้วมือพิมพ์ตอบกลับไปหนึ่งประโยค “โอเค ฉันจะลองไปคุยกับโม่ถิงเซียวดู”
ประสบภัยหิมะถล่ม ทีมค้นหาก็หาเธอไม่พบจึงมีความเป็นไปได้สูงมากที่น่าจะเสียชีวิตไปแล้ว ถูกหิมะฝังอยู่ข้างล่างอย่างนั้นหาอย่างไรก็หาไม่พบ
มู่นวลนวลรู้สึกเศร้าสลดอยู่ภายในใจ อารมณ์ความรู้สึกทั้งหลายก่อนหน้านั้นสลายหายไปจนหมดสิ้นแล้ว
ก่อนหน้านี้นานมาแล้ว มู่นวลนวลสัมผัสได้อยู่ลึกๆ ว่าโม่ถิงเซียวจะมีอาการที่ดูเหมือนกับว่าจะต่อต้านความสนิทชิดเชื้อที่อาจเกินเลยไประหว่างเธอกับซือเฉิงยวี่
พอมาคิดดูในตอนนี้แล้ว ก็คงจะเพราะด้วยสาเหตุนี้แหละ
มู่นวลนวลถามโม่เจียเฉินอีกครั้ง “ฉันหน้าเหมือนเธอคนนั้นขนาดนั้นเลยจริงๆ เหรอ”
โม่เจียเฉินเห็นเธอทำสีหน้าปกติเหมือนเคย จึงพูดออกไปจากใจจริงว่า “ผมว่าค่อนข้างเหมือนนะ”
มู่นวลนวลนิ่งเงียบไปเสียอย่างนั้น แล้วก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาอีกเลย
………..
ก่อนเวลาทานมื้อเที่ยงโม่ถิงเซียวก็ได้กลับมาแล้ว
อาหารกลางวันครั้งนี้เป็นฝีมือของบอดี้การ์ด ตอนนี้มู่นวลนวลเป็นคนที่ได้รับบาดเจ็บอยู่จึงไปทำกับข้าวไม่ได้
โม่ถิงเซียวกินไปได้ไม่เยอะก็วางตะเกียบลงแล้ว มู่นวลนวลเองก็กินไม่เยอะเช่นกัน จะมีก็เพียงแค่โม่เจียเฉินที่กินเข้าไปอย่างเต็มที่
โม่เจียเฉินกินข้าวอย่างรวดเร็วเสร็จแล้วก็ออกไปข้างนอก
โม่ถิงเซียวกับมู่นวลนวลยังคงนั่งหันหน้าเข้าหากันอยู่ จู่ๆ โม่ถิงเซียวก็พูดขึ้นมาว่า “เธออยากจะคุยอะไร”
มู่นวลนวลเงยหน้าขึ้นมาด้วยความตกใจ เธอยังไม่ทันจะได้อ้าปากเลยเสียด้วยซ้ำ เขาก็รู้แล้วว่าเธอมีเรื่องอยากจะคุยกับเขา
โม่ถิงเซียวรู้ความคิดของเธอโดยดูจากการแสดงออกของเธอ “มันเขียนอยู่เต็มหน้าเธอเลย เธอมีเรื่องอยากจะคุยกับฉัน เธอมีคำถามที่อยากจะถามฉัน”
“………” มู่นวลนวลจับใบหน้าตัวเองไปมา มันชัดเจนขนาดนั้นเลยเหรอ
มู่นวลนวลกระแอมไอเบาๆ เพื่อให้คอโล่ง “ฉันถามอะไรก็ได้ใช่ไหม”
โม่ถิงเซียวจับผิดเล็กน้อย ตอนที่เขาออกจากบ้านไปเมื่อเช้าผู้หญิงคนนี้คุยกับเขาแต่ละทียังอยากจะกัดเขาก็ตาย ตอนนี้กลับมีทีท่าราวกับอยากจะพูดอะไรออกมาแต่ก็หยุดชะงักไม่พูด ช่างน่าสงสัยเสียจริง
มุมปากของโม่ถิงเซียวยกขึ้น มองเธอราวกับว่ากำลังยิ้มอยู่ “ถ้าในใจเธอรู้ว่าเป็นสิ่งที่ไม่ควรถาม งั้นก็ไม่ต้องถาม”
“คุณสำรวจตรวจสอบฉันได้ แต่ฉันจะถามคุณไม่ได้อย่างงั้นเหรอ” มู่นวลนวลเองก็ยิ้มเยาะมุมปาก ใช้ดวงตาที่ใสจนเป็นประกายจ้องมองเขา “คุณคิดว่าฉันหน้าตาคล้ายชิงหนิง ใช่ไหม”
เดิมทีนั้นโม่ถิงเซียวมีสีหน้าสบายๆ แต่ก็พลันถูกเก็บซ่อนไปอย่างทันควัน และถูกแทนที่เปลี่ยนเป็นสีหน้าที่เคร่งขรึมขึ้นมาแทน “เสี่ยวเฉินบอกเธอเหรอ”
“ถ้าอยากจะรู้มากขนาดนั้นจริงๆ ก็ให้ถือสะว่าไม่มีใครบอกฉัน เพราะยังไงฉันก็ได้รู้เรื่องนี้ไปแล้ว!”
โม่ถิงเซียวได้ยินดังนั้นก็รู้ได้อย่างแน่ชัดแล้วว่าโม่เจียเฉินเป็นคนบอกเธอถึงเรื่องนี้ เขาหรี่ตาลงแล้วพูดว่า “เขาบอกเธอว่าเธอหน้าตาเหมือนชิงหนิงเหรอ”
ชิงหนิง?
เรียกกันซะสนิทสนมเลยนะ
แต่ไหนแต่ไรโม่ถิงเซียวก็เรียกเธอว่า “มู่นวลนวล” ตอนที่อยากให้เธอไปร่วมงานเลี้ยงตอนเย็นก็เรียกว่า “เมีย”
มู่นวลนวลรู้สึกว่าตัวเองช่างน่าขัน ดันรู้สึกหึงกับผู้หญิงที่ไม่อาจอยู่บนโลกนี้แล้วไปเสียได้
มู่นวลนวลเม้มริมฝีปากทำหน้าตึงไม่พูดอะไรออกมา
โม่ถิงเซียวก็พลันเอ่ยปากพูดขึ้นมาว่า “ฉันคิดว่าพวกเธอไม่เหมือนกันเลยสักนิด”
พอเขากล่าวประโยคนี้จบก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินจากไปทันที
……….
เพราะว่าหยิบยกเรื่องชิงหนิงขึ้นมา จากที่เดิมทีความสัมพันธ์ระหว่างมู่นวลนวลกับโม่ถิงเซียวที่ไม่ได้อบอุ่นหวานเยิ้ม ก็เปลี่ยนกลายเป็นต่างฝ่ายต่างไม่ยอมอ่อนข้อให้กันและกันมากยิ่งขึ้น
อยู่ด้วยกันเพียงลำพังกับโม่ถิงเซียว มู่นวลนวลก็รู้สึกว่าร่างกายทั้งร่างของเธอนั้นเคลื่อนไหวลำบากติดขัด ตอนกลางคืนเธอก็เลยกอดหมอนเดินไปนอนที่ห้องนอนที่เคยอยู่ก่อนหน้านี้เอาเสียดื้อๆ
เธอพึ่งจะเอนกายนอนลงบนเตียง โม่ถิงเซียวก็มาตามเธอแล้ว
เขายืนอยู่ที่ประตู เอามือทั้งสองข้างกอดอกพลางมองเธอด้วยสีหน้าเรียบนิ่งไร้อารมณ์ “มู่นวลนวล นี่คือเธออยากจะแยกห้องนอนกับฉันเหรอ”
โม่ถิงเซียวที่ทำหน้าไร้อารมณ์เช่นนี้ทำให้เธอรู้สึกตื่นตระหนก
เธอลังเลอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะคิดหาข้ออ้างแล้วพูดมันออกมาว่า “ฉันเจ็บเท้า กลัวว่าตอนกลางคืนคุณจะไม่ระวังตัวแล้วมาโดนเท้าฉันเข้าได้”
เมื่อโม่ถิงเซียวได้ยินดังว่า มุมปากเขาก็พลันยกขึ้นอย่างยั่วเย้า “เมื่อคืนในห้องอาบน้ำก็ทำจนเธอสลบไป ฉันยังไม่โดนเท้าเธอเลยแม้แต่นิด แล้วนอนกันเฉยๆ จะไปโดนได้อย่างไร”
“………..” ใบหน้าของมู่นวลนวลแดงก่ำจนสุก อ้าปากออกมาแต่ทว่ากลับหาถ้ายคำที่จะเอื้อนเอ่ยไม่เจอ
เธอโยนหมอนใบน้อยที่อยู่ข้างกายเธอไปที่โม่ถิงเซียว “คุณออกไปเลยนะ! ”
โม่ถิงเซียวหลบไปได้อย่างง่ายดาย พูดด้วยน้ำเสียงที่มีความอบอุ่นเจืออยู่เล็กน้อย “หยุดโวยวาย แล้วกลับไปนอนที่ห้องได้แล้ว”
วันนี้เขาสร้างเรื่องให้ตัวเองต้องชักสีหน้าเองทั้งวันแท้ๆ แม้ว่าโดยปกติเขาจะไม่แสดงสีหน้าหรืออารมณ์ใดๆ อยู่แล้ว แต่วันนี้กลับไม่เป็นเช่นนั้น ถ้อยคำพูดน้อยลง สีหน้าก็เย็นเยียบมากขึ้น บางทีก็เหมือนกับผีเข้าเสียด้วยซ้ำไป
ตอนที่เขาพึ่งกลับมาได้นั้นก็ยังดีๆ อยู่ ทว่าตั้งแต่หลังจากที่เธอถามเขาถึงเรื่องชิงหนิงขึ้นมา เขาก็แปลกๆ ไปเลย
คิดว่าเธอจะดูไม่ออกจริงๆ อย่างงั้นเหรอ
เขาสามารถที่จะตรวจสอบเธอคนนี้ได้ชนิดที่พลิกแผ่นดินจนสะอาดหมดจด โดยเริ่มตั้งแต่ที่เธอยังเด็กจนเติบใหญ่ก็ย่อมได้ แต่เพียงแค่เธอเอ่ยถามถึงเรื่องคู่หมั้นของลูกพี่ลูกน้องเขาแค่นี้ ก็ทำตัวไม่เป็นปกติได้ถึงเพียงนี้เลย
เขาดูแปลกไปเพียงเพราะผู้หญิงอื่นเช่นนี้ เธอจะแสดงออกว่าไม่พอใจไม่ได้เลยหรืออย่างไรกัน
ฉันที่เป็นอยู่ในสายตาเขาตอนนี้ คือกำลังโวยวายอย่างงั้นเหรอ
เขาจะทำอะไรก็ถูกไปหมด เธอแสดงท่าทีว่าไม่พอใจแค่นี้กลับบอกว่าเธอโวยวาย
โวยวายกับแม่แกสิ!
มู่นวลนวลยิ่งคิดก็ยิ่งมีน้ำโห “ฉันไม่กลับไป! ”
แล้วยังมีเรื่องในงานเลี้ยงวันนั้นอีกที่ยังคงเป็นปมอยู่ภายในใจของมู่นวลนวล
“วันนั้นที่งานเลี้ยง พี่ใหญ่ก็แค่จับมือฉันไว้เท่านั้น ทำไมคุณต้องทำเสียเป็นเรื่องใหญ่โต คุณกำลังระแวงอะไร แล้วคุณโมโหอะไร ถ้าคุณโมโห ก็ไปต่อยกับพี่คุณเอาเองสักรอบสิ! แล้วจะมาทรมานจิตใจฉันทำไมกัน! ”
มู่นวลนวลยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าตนไม่ได้รับความเป็นธรรม เสียงแหลมสูงขึ้นจนเหมือนคนโมโหจนขาดสติเล็กๆ
มีคนอยู่ไม่กี่คนและเรื่องอยู่ไม่กี่เรื่องที่จะสามารถสั่นคลอนอารมณ์ของโม่ถิงเซียวได้ และปฏิกิริยาที่อธิบายไม่ได้ของเขาเช่นนี้ล้วนแล้วแต่เกี่ยวกับชิงหนิงทั้งสิ้น
“คุณเล่นเสียใหญ่โตแบบนั้น เพราะว่าคุณรู้สึกอยู่ตั้งแต่แรกแล้วว่าฉันหน้าตาคล้ายชิงหนิงใช่ไหม แล้วซือเฉิงยวี่ก็ยังรู้สึกว่าฉันหน้าตาเหมือนชิงหนิงอีก เพราะอย่างงั้นแล้วในสถานการณ์ที่เขาดื่มเหล้าจนเมาถึงได้เผลอจับมือฉันไม่ปล่อย คุณรู้เรื่องนี้อยู่แล้วถึงได้โกรธใช่ไหมล่ะ!”
“โม่ถิงเซียว คุณลองถามใจตัวเองดูนะว่า สุดท้ายแล้วคุณโกรธเพราะซือเฉิงยวี่จับมือฉัน หรือโกรธเพราะซือเฉิงยวี่จับมือของชิงหนิงกันล่ะ! ”
“คุณบอกว่าฉันกับชิงหนิงไม่ตาไม่คล้ายกัน เดิมทีแล้วก็เป็นเรื่องตอแหล โกหกหลอกลวงฉัน! ”
มู่นวลนวลพูดออกมารวดเดียวจบ อารมณ์ของเธอพุ่งขึ้นสูงจนหอบหายใจอย่างหนักตัวสั่นอยู่เล็กน้อย
โม่ถิงเซียวยืนอยู่ที่ประตูโดยมีสีหน้าลุ่มลึกราวกับผืนน้ำ ผ่านไปนานสักพักจึงค่อยเปล่งเสียงพูดออกมา “เธอคิดแบบนี้เองอย่างงั้นเหรอ”
“ฉันคิดยังไงไม่สำคัญ ที่สำคัญคือมันอยู่ที่ว่าคุณคิดยังไงเสียมากกว่า! ” มู่นวลนวลยิ้มออกมาอย่างขมขื่น “ช่วงที่ฉันแต่งเข้าตระกูลโม่มาใหม่ๆ คุณแสดงท่าทีเย็นชาใส่ฉัน แต่พอเวลาล่วงเลยผ่านไปคุณก็หยอกเย้าฉัน ทั้งหมดนี้ก็เป็นเพราะฉันหน้าเหมือนชิงหนิงใช่มั้ยล่ะ”
คราวนี้สีหน้าที่ลุ่มลึกบนใบหน้าของโม่ถิงเซียวก็ค่อยๆ แตกออก เผยสีหน้าที่ตระหนกออกมา “มู่นวลนวล เธออย่ามาพูดจาไร้สาระ! ”