เซินเหลียงนิ่งเงียบไม่พูดอะไรออกมาไปพักหนึ่ง มู่นวลนวลแตะแขนเธอเบาๆ แล้วพูดขึ้นว่า “ในใจของกูจื่อหยานมีแต่เธอจริงๆ แม้จะไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นระหว่างพวกเธอ แต่ถ้าในใจเธอเองก็มีเขาอยู่ด้วย งั้นก็ลองคุยกับเขาดูสิ”
“ฉันรู้แล้ว” นานมากแล้วที่บนใบหน้าของเซินเหลียงไม่ได้ปรากฏร่องรอยแห่งความเศร้า “แต่ว่าระหว่างพวกเราไม่มีทางเป็นไปได้แล้วล่ะ”
มู่นวลนวลตะลึงเล็กน้อย เซินเหลียงไม่เคยแสดงสีหน้าแบบนี้ให้เธอเห็นมาก่อนเลยสักครั้ง
ทั้งสองคนเดินออกไปข้างนอก ก็ถูกลมหนาวยามราตรีปะทะเข้าใส่ใบหน้าจนกายหนาวสั่น
และกูจื่อหยานที่ออกมาข้างนอกก่อนหน้าแล้วนั้น ตอนนี้กำลังยืนอยู่ที่ข้างๆ รถ ท่าทีเหมือนกำลังรอใครบางคนอยู่
พอเขาเห็นเซินเหลียงเดินออกมาก็กระตือรือร้นรีบเปิดประตูรถเชื้อเชิญ แล้วจึงยิ้มพลางพูดออกมาว่า “เซินเสี่ยวเหลียง อากาศหนาวแบบนี้รีบขึ้นรถเร็ว”
มู่นวลนวลหันไปมองเซินเหลียง พบว่าสีหน้าของเธอไม่สู้ดีนักมากขึ้นทุกที
มู่นวลนวลรู้สึกใจคอไม่ดีอยู่ลึกๆ ดึงมือของเซินเหลียงเอาไว้แล้วเรียกเธอเบาๆ “เสี่ยวเหลียง”
เซินเหลียงจ้องมองกูจื่อหยานนิ่งๆ จากนั้นก็เดินไปหาเขา
“ทำไมถึงยังเอื่อยเฉื่อยเหมือนตอนเด็กๆ ล่ะ รีบขึ้นรถเร็ว ไม่อย่างงั้นเดี๋ยวเธอจะ………..” กูจื่อหยานคะยั้นคะยอให้เธอขึ้นรถอย่างไม่ได้รับรู้อะไรเลย
ฉับพลันนั้นเซินเหลียงก็พูดขัดเขาขึ้นมาก่อน “กูจื่อหยาน! พอแล้ว! วันนี้ฉันขอบอกนายให้รู้เลยนะว่าระหว่างพวกเรามันไม่มีทางเป็นไปได้ จะให้เริ่มต้นใหม่อีกครั้งยิ่งไม่มีทางเด็ดขาด ไม่ว่านายจะทำอะไร ผลสุดท้ายมันก็ออกมาเหมือนเดิมนั่นแหละ! ”
กูจื่อหยานก็พลันนิ่งชะงักค้างอยู่ตรงนั้น เหมือนกับขณะที่กำลังโทรศัพท์ก็กลับถูกกดพักสายไปอย่างไงอย่างงั้น ยังคงทำท่าราวกับจะไปดึงมือเซินเหลียงค้างแข็งอยู่เช่นนั้น
มือของเขาห่างจากมือของเซินเหลียงเพียงสามเซนติเมตรเท่านั้นเอง
“เซินเสี่ยวเหลียง พูดกันแบบมีเหตุผลก่อนได้ไหม ถ้าจะพิจารณาให้โทษถึงแก่ความตายกับฉัน ก็ต้องให้ฉันตายตาหลับเข้าใจทุกอย่างก่อน! เธอบอกฉันมาได้ไหมว่าทำไม!”
น้ำเสียงในช่วงแรกของกูจื่อหยานนั้นยังเรียบนิ่งอยู่ แต่ในตอนท้ายของประโยคนั้นเขาแทบจะตะโกนเสียด้วยซ้ำ “อย่ามาพูดเรื่องไร้สาระว่าเธอไปชอบคนอื่นแล้วเลยไม่ชอบฉัน ฉันรู้จักเธอมาแม่ง 24 ปีแล้วนะ! เธอพูดโกหกกับฉันไม่ได้หรอก!”
เซินเหลียงพูดออกมาสามคำอย่างนิ่งๆ แต่เป็นสามคำทีทำให้กูจื่อหยานล้มทั้งยืน
“ฉันเกลียดนาย”
เป็นเพียงแค่สามคำเบาๆ ที่แสนจะธรรมดา แต่กลับเสียดแทงเข้ามาในจิตใจ ทำให้ผู้ชายตัวใหญ่อกสามศอกอย่างกูจื่อหยานสั่นสะท้านไปทั้งตัว
คู่รักที่เติบโตมาจากความสัมพันธ์เพื่อนในวัยเด็กเป็นตัวบ่งชี้ได้ว่าทั้งคู่ต่างก็เข้าใจกันและกันได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ตอนนี้กูจื่อหยานพยายามจับผิดหาร่องรอยว่าเซินเหลียงกำลังโกหกอย่างสุดชีวิต
แต่ไม่ว่าเขาจะพยายามหามากเท่าไหร่ ก็ไม่อาจหาร่องรอยแห่งคำโป้ปดได้เลยแม้แต่น้อย
“ทำไมล่ะ” สามคำนี้ยังไม่ทันได้พูดออกไป เซินเหลียงก็หมุนตัวสาวเท้าก้าวยาวๆ ไปที่ริมถนน โบกรถหนึ่งคันแล้วก็จากไปเลย
กูจื่อหยานยกเท้าจะก้าวขาไปข้างหน้าเล็กๆ หนึ่งก้าว แต่เพียงชั่วครู่ถัดมา เขาก็ถอนเท้าคืนกลับมาอย่างช้าๆ
มู่นวลนวลในตอนนี้นั้นเกลียดเท้าตัวเองที่เคล็ดอยู่เป็นอย่างมาก เธอในสภาพนี้ไม่สามารถตามเซินเหลียงไปได้เลยแม้แต่น้อย
“ฉันจะให้ซือเย่ตามเธอไป”
เสียงทุ้มลึกอันคุ้นเคยลอยมาจากทางด้านหลัง
มู่นวลนวลหันกลับไป ก็พบโม่ถิงเซียวที่ไม่รู้ว่าตามออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ขณะนี้เขากำลังยืนอยู่ข้างหลังเธอห่างไปไม่ไกลนัก
คนที่ยืนอยู่ข้างๆ เขาก็คือผู้กำกับชี
ก่อนหน้านี้เธอมาที่สถานีตำรวจเป็นเพื่อนโม่เจียเฉิน ล้วนแต่เป็นความรับผิดชอบภายใต้ผู้กำกับชีทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นมู่นวลนวลจึงจำเขาได้
ด้วยมารยาทเธอจึงทักออกไป “ผู้กำกับชี”
ผู้กำกับชีในความทรงจำของมู่นวลนวลคือผู้ชายที่มีใบหน้าดุดันและเข้มงวดเป็นอย่างยิ่ง
แต่ในครั้งนี้ผู้กำกับยิ้มให้เธอแล้วพูดออกมาว่า “ผมจำคุณได้ ก่อเรื่องมาอีกแล้วเหรอ”
มู่นวลนวล “…………”
คราวที่แล้วเธอแค่มาสถานีตำรวจเป็นเพื่อนโม่เจียเฉินเพียงเท่านั้นเอง ทำไมถึงพูดว่าเธอก่อเรื่องอีกแล้วล่ะ
มู่นวลนวลมองคนที่ยืนอยู่ข้างผู้กำกับชีอย่างเคืองๆ เล็กน้อย โม่ถิงเซียวก็กำลังมองเธออยู่พอดี นัยน์ตาของเขามีแววแห่งความขบขันลอยอยู่ในนั้นจางๆ
มู่นวลนวลรีบเบนสายตาหลบออกไป
ผู้กำกับชีที่เห็นเหตุการณ์ หันไปพูดกับโม่ถิงเซียวเบาๆ ว่า “ภรรยานายสวยดีนี่ ง้อเธอดีๆ หน่อยสิ อย่ามัวแต่คอยทำหน้าแบบนี้เลย”
โม่ถิงเซียวเป็นคนที่เมื่อคนอื่นพูดก็จะเข้าหูซ้ายและทะลุออกหูขวาไป คราวนี้กลับทำตัวไม่เหมือนเคย พูดตอบรับไปอย่างดีว่า “อื้ม”
ผู้กำกับชีที่รับรู้ได้ถึงบรรยากาศอันเย็นเยียบอึมทึมจากชายหนุ่มที่ดื้อรั้นตรงหน้า ก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ ส่ายหัวแล้วพูดว่า “กลับไปกันได้แล้ว ตอนกลางคืนมันหนาว คดีของแม่นาย ตามรูปคดีก็ถือว่าสิ้นสุดคดีไปแล้ว แต่สำหรับพวกเราที่นี่ยังไม่ถือว่าเป็นแบบนั้น ฉันจะสืบสวนคดีต่อไป จนกระทั่งฉันได้ตายจากไป”
เมื่อพูดถึงคุณแม่ขึ้นมา สีหน้าของโม่ถิงเซียวก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ก็พลันคืนกลับเป็นปกติตามเดิมอย่างรวดเร็ว
………
บนทางขากลับมู่นวลนวลส่งข้อความไปหาเซินเหลียง พอได้รับข้อความตอบกลับมาก็เลยเบาใจลง หลังจากนั้นก็มองออกนอกหน้าต่างไปอย่างใจเหม่อลอย
เรื่องความรู้สึกระหว่างคนสองคนแบบนี้ มีหลายครั้งที่คุณจะรู้สึกสับสนและไม่เข้าใจ และก็จะกลายเป็นหลอกตัวเองและผู้อื่นไปอย่างนั้นแทน
ความสัมพันธ์ของตัวเราเอง คนที่มองเห็นและเข้าใจได้อย่างชัดเจนที่สุดก็มีเพียงแต่ตัวเราเท่านั้น
ในตอนที่คุณเกิดความไม่แน่ใจหรือลังเลกับความสัมพันธ์ในระยะหนึ่งนั้น ไม่จำเป็นที่จะต้องสันสน เพราะจะต้องเป็นการที่อีกฝ่ายไม่รักคุณ หรือไม่ก็คุณไม่รักอีกฝ่ายแล้วก็เท่านั้นเอง
ความสัมพันธ์ระหว่างคนสองคนที่มั่นคงแน่นอน ไม่ได้ลึกลับซับซ้อนอะไรมากมายเสียขนาดนั้น
เพราะว่าไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายจะจริงจังและมั่นใจเหมือนคุณไหม ดังนั้นคุณจึงลังเล ใจไม่สงบ และทรมานได้…….
ก็เหมือนกับเธอในตอนนี้
เพราะว่าใส่ใจ ถึงได้เสาะเข้าไปถึงก้นบึ้งของหัวใจ คอยวัดระดับความสำคัญของตัวเองที่อยู่ในใจเขา
เซินเหลียงกับกูจื่อหยานเติบโตด้วยกันมาตั้งแต่เด็กๆ เป็นความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งเสียขนาดนั้น ในท้ายที่สุดแล้วก็ได้ดำเนินมาถึงสถานการณ์อันเลวร้ายแบบนี้ได้
ยิ่งกับโม่ถิงเซียวที่ไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นแบบเซินเหลียงกับกูจื่อหยาน สำหรับเธอแล้ว ในสายตาของโม่ถิงเซียวเธอก็คงเป็นได้แค่ผู้หญิงที่มีหน้าตาคล้ายซูชิงหนิงเพียงเท่านั้นเอง
ที่ผ่านมาโดยตลอด เธอก็เป็นได้เพียงคนที่ถูกมองเลยข้ามผ่านไป
ทว่า เธอก็ยังมีความภาคภูมิใจในตัวเองอยู่
มู่นวลนวลยื่นมือมาจับที่ตำแหน่งของหัวใจตัวเองเบาๆ เม้มริมฝีปากเล็กน้อย ถ้าไม่สนใจก็จะไม่เจ็บปวด และก็จะไม่เป็นทุกข์อย่างแสนสาหัส
มู่นวลนวลหันกลับไปถามเขา “นายรู้จักผู้กำกับชีด้วยเหรอ”
ขณะนั้นมู่นวลนวลถึงพึ่งสังเกตว่ารถขับไปด้วยระดับความเร็วที่ช้าเป็นอย่างมาก
แม้ว่าโม่ถิงเซียวจะใจจดจ่ออยู่กับการขับรถอยู่ตลอด แต่ก็มักจะหันมามองเธออยู่บ่อยครั้ง ความเร็วของรถจึงช้าลงด้วยประการฉะนี้
ได้ยินมู่นวลนวลที่ชวนเขาคุยขึ้นมาก่อน ลึกๆ ในดวงตาของโม่ถิงเซียวก็มีประกายแห่งความประหลาดใจโผล่ขึ้นมาอยู่แปลบเดียว “อื้ม”
“อ๋อ”
มู่นวลนวลเพียงแค่เอ่ยถามไปอย่างงั้น และก็ไม่ได้อยากรู้จริงๆ หรอกว่าเขาไปรู้จักกับผู้กำกับชีได้อย่างไร
ความจริงแล้วคนแบบโม่ถิงเซียวจะรู้จักกับตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมคนหนึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติเป็นอย่างมาก เพียงแค่ทั้งคู่ดูจะสนิทสนมกันเป็นพิเศษ
เมื่อคืนมู่นวลนวลไม่ลงรอยกับเขา แล้วยิ่งด้วยความที่เธอเป็นคนดึงดัน ตัวเขาจึงก็ไม่เคยคิดว่ามู่นวลนวลจะเป็นฝ่ายยอมเอ่ยปากคุยกับเขาก่อนเร็วถึงเพียงนี้
นัยน์ตาของเธอเมื่อคืนนั้นบอกได้ว่าช่างเจ็บปวดทรมานเป็นที่สุด
บอกได้ว่าอารมณ์และน้ำเสียงสื่อออกมานั้นมีความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกัน แต่โม่ถิงเซียวก็รู้สึกว่ามีบางส่วนของมู่นวลนวลที่ไม่เหมือนเดิมแล้ว
จะให้บอกเจาะจงแน่ชัดว่าเป็นส่วนไหน เขาเองก็ไม่อาจบอกออกมาได้
มู่นวลนวลยังไม่ได้กินข้าว และเวลาตอนที่กลับไปถึงบ้านนั้นก็ยังไม่ดึก บอดี้การ์ดนำกับข้าวไปอุ่นแล้วยกมาเสิร์ฟวางลงบนโต๊ะกินข้าว มู่นวลนวลและโม่ถิงเซียวก็กินข้าวโดยนั่งหันหน้าเข้าหากัน
มู่นวลนวลคิดเรื่องราวทุกอย่างได้กระจ่างแจ้งแล้ว จึงรู้สึกอยากอาหารเป็นพิเศษ เมื่อเห็นอาหารจานโปรดก็คีบใส่ถ้วยตัวเอง กินอย่างเต็มปากเต็มคำ ดูแล้วท่าทางจะอารมณ์ดีขึ้นมามาก
โม่ถิงเซียวขมวดคิวเป็นปมแน่นขนัด วางตะเกียบลง จากนั้นจู่ๆ ก็เอ่ยปากถามเธอขึ้นมาว่า “นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น”
เกิดเรื่องอะไรขึ้น ในเวลาเพียงแค่สั้นๆ ที่ทำให้เธอเปลี่ยนไปมากถึงเพียงนี้