มู่นวลนวลได้ยินที่โม่ถิงเซียวกล่าว ก็ไม่ได้ตกใจอะไร
ในวงการธุรกิจ Shengding Media เป็นที่รู้จักกันดีว่าคือผู้ที่มีเงินซึ่งก็ย่อมที่จะมีอิทธิพลมากเหนือผู้อื่น
แต่ว่า ตอนนี้เธอยังไม่รู้แม้แต่เงินเดือนของตัวเองว่าได้เท่าไหร่เลยด้วยซ้ำ
เธอถามโม่ถิงเซียวด้วยความใคร่รู้ “‘งั้นเงินเดือนของพนักงานฝึกหัดแบบฉันจะได้เท่าไหร่เหรอ”
โม่ถิงเซียวได้ยินดังว่า ก็พลันหรี่ตาทั้งสองข้างลงและเขยิบตัวเข้าไปใกล้เธอ พูดอย่างมีนัยสำคัญว่า “เจ้าของบริษัทคอยปรนนิบัติเธอด้วยตัวของเขาเองทุกวัน เธอยังไม่พอใจ ยังอยากจะได้เงินเดือนอีกเหรอ”
ผู้ชายคนนี้นี่ ไม่ยอมพลาดโอกาสที่จะคอยพูดหยอกเย้าแทะโลมเธอเลยสักครั้ง
มู่นวลนวลกำลังจะเปิดปากพูด กูจื่อหยานก็เดินเข้ามาพร้อมถุงอาหารถุงใหญ่ในมือไม่กี่ถุง
“กินข้าวกัน! ” กูจื่อหยานมองพวกเขาทั้งคู่หนึ่งที แล้วก็ถอนสายตากลับคืนมา
โอ้ย แค่นี้ทั้งวันก็ต้องกินแห้วนั่งเหงาเป็นหมาหงอย ทำไมชีวิตแต่ละวันมันผ่านพ้นไปยากเย็นเช่นนี้
มู่นวลนวลช่วยหยิบข้าวออกมาจากถุง กูจื่อหยานอดไม่ไหวจะพูดเหน็บ “ดีนะที่อีกไม่กี่วันถิงเซียวก็จะกลับโม่กรุ๊ปแล้ว ไม่อย่างงั้นนะ วันๆ ฉันคงไม่ต้องกินข้าวหรอก ดูพวกเธอสองคนแล้วนั่งกินแห้วจนท้องแตกตายไปเลย!”
มู่นวลนวลตะลึงงันเล็กน้อย สายตามองทอดไปยังโม่ถิงเซียว “คุณจะกลับโม่กรุ๊ปเมื่อไหร่”
“อีกสองวันได้” โม่ถิงเซียวหลุบตาลงต่ำ กดน้ำเสียงต่ำลง จนฟังได้ไม่ชัดเจนนัก
มู่นวลนวลเกือบจะลืมเรื่องนี้ไปแล้ว
ก่อนหน้านี้โม่ถิงเซียวก็ได้พูดไปแล้วว่าจะกลับโม่กรุ๊ป รอให้เขาจัดการเรื่องบริษัทจนเข้าที่เข้าทางก่อน หลังจากนั้นก็ส่งมอบให้กูจื่อหยานทั้งหมด แล้วจึงจะกลับโม่กรุ๊ปไป
……..
วันที่สองของการไปทำงาน มู่นวลนวลนั่งรถไฟใต้ดิน
แต่กลายเป็นว่าเมื่อเธอออกมาจากทางออกของรถไฟใต้ดิน ก็เห็นรถของโม่ถิงเซียวแล้ว
วันที่สามมู่นวลนวลเรียกรถแท็กซี่ไป Shengding Media เลย ตอนที่รถแท็กซี่จอดหน้าตึกบริษัท รถของโม่ถิงเซียวก็มาถึงในเวลาพร้อมๆ กัน
สุดท้าย วันที่สี่ โม่ถิงเซียวไม่ตามเธอมาแล้ว
เพราะว่าเขาไปรายงานตัวที่โม่กรุ๊ปแล้ว
เมื่อมู่นวลนวลตื่นนอนในตอนเช้า ก็ไม่เห็นเงาของโม่ถิงเซียว
เดินลงมาที่ห้องโถง พอป้าหูเห็นเธอก็พูดขึ้นมาว่า “นายน้อยออกไปแล้วค่ะ”
มู่นวลนวลพยักหน้ารับ แต่ก็รู้สึกใจหายเล็กน้อย
สงสัยวันนี้พระอาทิตย์จะขึ้นทางทิศตะวันตกเสียล่ะมั้ง โม่ถิงเซียวถึงได้ไม่สนใจเธอแล้วก็ออกไปทั้งอย่างนั้นเลย
แต่ผ่านไปไม่นานนัก เธอก็ได้รับโทรศัพท์จากโม่ถิงเซียว
“ฉันอยู่ที่โม่กรุ๊ปแล้ว ต่อไปนี้ก็ไม่ต้องกังวลว่าฉันจะตามเธอเวลาไปทำงานแล้วนะ ดีใจไหม” น้ำเสียงของโม่ถิงเซียวสงบนิ่งมาก ฟังแล้วไม่รู้เลยว่ากำลังโกรธหรือดีใจอยู่
มู่นวลนวลจะไปกล้าพูดว่าดีใจได้อย่างไรกันล่ะ จึงพูดออกไปอย่างงั้นว่า “ต่อไปนี้คุณก็ไม่มาทำงานที่ Shengding Media แล้ว น่าเสียดายจริงๆ เลย……..”
ไม่กี่วันมานี้ทั้งสองคน เพราะด้วยเรื่องที่ว่าจะไปทำงานอย่างไรก็เลยเหมือนประชันกันอยู่ลึกๆ มาโดยตลอด ในใจของโม่ถิงเซียวก็ไม่สบายใจนัก เพียงแค่ไม่ได้พูดมันออกมาเท่านั้นเอง
เหมือนกับโม่ถิงเซียวจะหัวเราะเล็กน้อย “ทุกวันฉันจะไปส่งเธอที่บริษัทก่อน แล้วค่อยไปโม่กรุ๊ปก็ได้”
มู่นวลนวล “……..ไม่ต้อง คุณอย่ามาเสียเวลาจนทำให้เสียงานเลย………”
โม่ถิงเซียวกลั้นขำอีกต่อไปไม่ไหว จึงหัวเราะออกมา
เขาผลักไสโม่กรุ๊ป แต่ก็จะไม่มาโม่กรุ๊ปก็ไม่ได้ จึงโทรศัพท์ไปหยอกมู่นวลนวลสักเล็กน้อย แค่นี้อารมณ์เขาก็ดีขึ้นมาเยอะแล้ว
หัวเราะเสร็จ โม่ถิงเซียวก็เอ่ยอย่างจริงใจว่า “ในวันธรรมดาก็จะตามใจเธอ แต่วันที่ฝนตกจะต้องให้คนขับรถไปส่ง ไม่อย่างนั้นฉันจะไปรับเธอ”
“ได้ได้ได้…………” มู่นวลนวลรู้สึกว่าช่วงนี้โม่ถิงเซียวดูจะพูดจู้จี้มากขึ้น
วางสายโทรศัพท์แล้ว มู่นวลนวลเองก็ต้องไปบริษัทเช่นกัน
ป้ายรถประจำทางที่เธอลง จะต้องใช้เวลาเดินไป Shengding Media อีกประมาณ 5 นาที
เธอที่พึ่งมาจากรถเมล์ ตอนที่กำลังจะเดินไปถึงประตูทางเข้าของ Shengding Media ก็ได้ยินเสียงบีบแตรไล่หลังเธออยู่
มู่นวลนวลเดินไปตามริมถนนหลบทางให้ กลายเป็นว่ารถที่อยู่ด้านหลังเธอก็ยังคอยบีบแตรใส่อยู่
มู่นวลนวลขมวดคิ้วหันไปมอง ก็เห็นใบหน้าอันแสนคุ้นเคยโผล่พ้นออกมาทางหน้าต่างของรถยนต์คันสีดำที่อยู่ด้านหลังเธอ
ซือเฉิงยวี่พร้อมกับรอยยิ้มที่ประดับอยู่บนใบหน้าส่งเสียงเรียกเธอออกมา “นวลนวล”
มู่นวลนวลเมื่อเห็นชัดแล้วว่าเขาคนนั้นคือซือเฉิงยวี่ ก็ตกใจเรียกออกมา “พี่ใหญ่? ”
ช่วงนี้มีเรื่องเกิดขึ้นมากมาย และไม่มีใครสามารถติดต่อซือเฉิงยวี่ได้เลย
เพื่อที่จะได้คุยกับเธอได้สะดวกขึ้น ซือเฉิงยวี่จึงเลื่อนรถมาหยุดอยู่ที่ด้านข้างของมู่นวลนวล
เขาเอ่ยถามเธอ “มาหาถิงเซียวเหรอ”
“ไม่ใช่” มู่นวลนวลชูบัตรพนักงานขึ้น “ตอนนี้ฉันเป็นพนักงานของ Shengding Media แล้ว”
“งั้นอีกเดี๋ยวพวกเราก็ได้เป็นเพื่อนร่วมงานกันแล้วสิ” นัยตาของซือเฉิงยวี่สื่อแววไม่คาดคิดมาก่อน แต่ก็ไม่ได้ตกใจมากนัก
ตอนนี้เป็นเวลาเข้างาน คนที่ผ่านไปมาก็มีไม่น้อย ตรงนี้ไม่ใช่ที่ๆ เหมาะสมที่จะมาคุยกัน
มู่นวลนวลมองไปรอบๆ อย่างระวัง “อย่าเอาไปเทียบกับพี่ใหญ่เลยค่ะ”
ซือเฉิงยวี่เป็นคนรอบคอบใส่ใจรายละเอียด สังเกตเห็นการกระทำอันเล็กน้อยของมู่นวลนวลแล้วก็ยิ้มออกมา “งั้นครั้งหน้าค่อยไปทานข้าวด้วยกันนะ ฉันไปก่อนล่ะ”
พูดจบ เขาก็ขับรถไปยังทิศทางที่ตั้งของลานจอดรถ
มู่นวลนวลไม่ได้นำคำที่เขาพูดเก็บมาคิด ครั้งที่แล้วเธอเพียงแค่นั่งรถของซือเฉิงยวี่จากสนามบินกลับไปที่บ้าน ก็สร้างเรื่องที่เป็นปัญหาขนาดนั้น กลายมาเป็น “แฟนสาวลึกลับของซือเฉิงยวี่” เสียได้
ถ้าหากถูกสื่อถ่ายรูปตอนเธอนั่งกินข้าวด้วยกันกับซือเฉิงยวี่ ไม่รู้ว่าจะถูกพวกสื่อเขียนเป็นข่าวอะไรออกมา อาจจะทำนองว่า “ซือเฉิงยวี่ได้แต่งงานลับๆ มาหลายปีแล้ว…….”
สื่อในสมัยนี้เพื่อที่จะเรียกร้องความสนใจ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็สามารถเขียนออกมาได้ทั้งนั้น
เมื่อมาถึงบริษัท ก็เป็นอีกหนึ่งวันที่ยุ่งจนตัวเป็นเกลียว
Shengding Media มีโรงอาหารของบริษัท ตอนเที่ยงมู่นวลนวลตัดสินใจไปทานข้าวกลางวันกับเพื่อนร่วมงานที่โรงอาหาร
พอไปถึงโรงอาหาร ก็มีโทรศัพท์จากซือเฉิงยวี่โทรมาหาเธอ
“ตกลงกันแล้วว่าจะไปทานข้าวด้วยกัน แล้วนี่เธอไปไหนแล้ว” แม้ว่าที่ซูเฉิงยวี่พูดจะมีคำตำหนิอยู่ด้วย แต่น้ำเสียงของเขาล้วนเป็นการหยอกล้อทั้งสิ้น
มู่นวลนวลปฏิเสธซือเฉิงยวี่ไปตรงๆ “ฉันมากินข้าวกับพวกเพื่อนร่วมงาน ไว้รอโม่ถิงเซียวมีเวลาแล้วค่อยมากินข้าวด้วยกันดีไหม”
ซือเฉิงยวี่นิ่งไปเล็กน้อย “ก็ดี”
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความรู้สึกผิดของมู่นวลนวลด้วยหรือเปล่า ที่ทำให้เธอรู้สึกว่าน้ำเสียงของซือเฉิงยวี่ผิดแปลกไปจากเดิม
แต่เธอก็ไม่ได้นำเรื่องนี้เก็บมาใส่ใจคิดต่อ
ทว่า ในสมองส่วนลึกของมู่นวลนวลก็นึกขึ้นมาได้ถึงเรื่องครั้งก่อนที่ประตูทางเข้าโรงน้ำชา ซือเฉิงยวี่ที่มีสภาพว่าไปมีเรื่องต่อยตีถูกทำร้ายมา
สุดท้ายแล้วมันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่
เรื่องวุ่นวายที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์ “ แฟนสาวลึกลับ” ของซือเฉิงยวี่ สุดท้ายแล้วก็ได้บทความยาวที่โม่ถิงเซียวเขียนลงเวยป๋อช่วยให้เรื่องสงบลงอย่างด้วยดี แต่ดูเหมือนว่าจะหาคนก่อเรื่องไม่เจอ
มู่นวลนวลคิดได้ดังนี้ ก็ส่งข้อความวีแชทถามโม่ถิงเซียวเกี่ยวกับเรื่องนี้
โม่ถิงเซียวตอนนี้น่าจะกำลังยุ่งอยู่ จนมู่นวลนวลทานข้าวเสร็จ โม่ถิงเซียวถึงพึ่งจะส่งข้อความตอบกลับมา เป็นเพียงประโยคง่ายๆ ไม่กี่คำ “หาไม่เจอ”
มู่นวลนวลอ่านประโยคนี้ซำ้ไปมาหลายรอบ ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกว่าเหมือนโม่ถิงเซียวกำลังพูดโกหกอยู่
เรื่องปลุกปั่นใส่ร้ายให้มวลชนวิพากษ์วิจารย์องค์กรธุรกิจแห่งหนึ่งแบบนี้ คนที่เป็นเบื้องหลังผู้ก่อเหตุ ไม่มีทางที่จะไม่ลงเหลือร่องรอยอะไรเอาไว้เลย เพียงแค่มีใจอยากจะหาให้เจอ ก็จะต้องพบตัวแน่
แล้วยิ่งเป็นโม่ถิงเซียวแล้ว
โม่ถิงเซียวเป็นคนที่มีจิตใจละเอียดรอบคอบ ทั้งยังลุ่มลึก เรื่องนี้ก็ได้ผ่านไปนานมากแล้ว ไม่มีทางที่เขาจะยังหาสาเหตุไม่เจอ
ถ้าอย่างงั้น ก็อาจจะเป็นไปได้ว่าเขาหาตัวการเจอแล้ว แต่ไม่อยากบอก
ถ้าเปลี่ยนวิธีพูดก็จะได้ความว่า เขาหาตัวคนก่อเหตุเจอแล้ว แต่ไม่อยากจะเชื่อว่าคนคนนั้นจะเป็นผู้ลงมือก่อเหตุ เขาก็เลยบอกว่าหาไม่เจอ