มู่นวลนวลมองดูซือเฉิงยวี่อย่างละเอียดทุกตารางนิ้ว ปรากฏว่าเขาไม่มีท่าทีที่ผิดแปลกไปจากทุกทีเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่มีช่องโหว่ทำตัวเหมือนปกติเช่นเคย
มู่นวลนวลยังคงรักษารอยยิ้มไว้บนใบหน้า “ได้ยินมาว่าคุณไปทำงานการกุศลแถบชานเขามาเหรอ ไม่มีใครติดต่อคุณได้ก็เลยพากันเป็นห่วงคุณกันหมด”
ซือเฉิงยวี่ไม่เปลี่ยนสีหน้า “อื้ม ขอโทษที่ทำให้กังวลใจกันนะ”
มู่นวลนวลเม้มปากแน่น พูดไม่ออกไปชั่วขณะ
ซือเฉิงยวี่ไม่แสดงอาการพิรุธทางสีหน้าเลยแม้แต่นิด
มู่นวลนวลจึงสงสัยว่าตัวเองคิดมากเกินไปหรือเปล่า ถึงได้ระแวงไปเสียทั่วแบบนี้
ทว่าสัญชาตญาณของมนุษย์นั้นถ้าหากไม่มีมูลก็มักจะไม่อาจระแวงสงสัยได้
เธอเชื่อมั่นว่าไม่มีอะไรที่โม่ถิงเซียวไม่สามารถหาไม่เจอได้ และยังเชื่อมั่นในการตัดสินชี้ขาดของตน
ถ้าหากว่าทั้งหมดนี้ซือเฉิงยวี่เป็นคนลงมือทำด้วยตนเอง งั้นเขาคนนี้ก็น่ากลัวมากเกินไปเสียแล้ว
ซือเฉิงยวี่เห็นว่ามู่นวลนวลเอาแต่คอยมองจับผิดเขาอยู่ตลอด จึงเผยอริมฝีปากออกเล็กน้อยแล้วเอ่ยว่า “นวลนวล วันนี้เธอมีเรื่องสงสัยค่อนข้างเยอะเลยนะ”
มู่นวลนวลมีสีหน้าตกตะลึงเพียงเล็กน้อยซึ่งเป็นที่ยากจะสังเกตเห็นได้ แล้วจึงกล่าวว่า “อาจจะเพราะว่าช่วงนี้โม่ถิงเซียวยุ่งมาก แม้แต่เวลาที่เขาจะคุยกับฉันยังไม่มีให้เลย วันนี้ได้มาเจอพี่ใหญ่ ก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยคุยกับคุณเสียหน่อย”
มู่นวลนวลพูดอยู่จริงครึ่งไม่จริงครึ่ง และก็ได้แอบแฝงการหยั่งเชิงอีกฝ่ายไว้ด้วย
ซือเฉิงยวี่พยักหน้า น้ำเสียงเป็นห่วงกังวล “โม่กรุ๊ปเป็นธุรกิจตระกูลที่ใหญ่เสียขนาดนั้น แล้วส่งต่อไปให้เขาเพียงคนเดียวรับผิดชอบ ต่อไปหลังจากนี้เขาน่าจะยุ่งมากกว่านี้อีกนะ”
มู่นวลนวลยิ้มตอบกลับหนึ่งที รู้สึกว่าไม่มีอะไรที่จะต้องพูดออกไป
ซือเฉิงยวี่ทำตัวดูเป็นปกติเหมือนเช่นทุกที ไม่มีอะไรที่ดูเป็นพิรุธแสดงถึงช่องโหว่เลย
แม้มู่นวลนวลจะยังคงสงสัยอยู่ในใจ แต่ก็ไม่มีหลักฐานใดๆ เลย
………
ออกมาจาก Shengding Media มู่นวลนวลก็พลันนึกขึ้นมาได้ ตั้งแต่เริ่มคุยจนแยกกัน ซือเฉิงยวี่ยังไม่ถามเรื่องที่เกี่ยวกับหัวข้อประเด็นร้อนออกมาเลยแม้ต่ำคำเดียว
เธอตกเป็นหัวข้อค้นหาประเด็นร้อนกับซือเฉิงยวี่อีกแล้ว ซือเฉิงยวี่ก็น่าจะรู้เรื่องนี้นี่
และเธอก็คิดว่าไม่น่าจะเป็นเพราะซือเฉิงยวี่เป็นห่วงเธอ เพราะถ้าดูตามลักษณะนิสัยของซือเฉิงยวี่แล้ว เขาจะต้องเอ่ยปากถามเธออย่างเป็นห่วงถึงจะถูก
แต่ว่า เขาไม่ได้ถาม
หรือเป็นเพราะคำถามที่เธอถามจะทำให้เขาลน ใจก็คิดแต่จะรับมือเธอ จึงไม่กล้าแม้แต่ที่จะคิดหยิบยกเรื่องหัวข้อประเด็นร้อนขึ้นมาพูดอย่างงั้นเหรอ
ยิ่งมู่นวลนวลคิดมากเท่าไหร่ก็ยิ่งรู้สึกว่าเรื่องต้องเป็นเช่นนั้น
ขณะนั้นนั่นเองก็มีรถยนต์คันหนึ่งมาจอดอยู่เบื้องหน้าเธอ
หน้าต่างรถยนต์ถูกเลื่อนลงมา คนที่ปรากฏในสายตาเธอก็คือเซินเหลียงที่สวมชุดสำหรับถ่ายทำละครอยู่
“เสี่ยวเหลียง?” มู่นวลนวลแสดงท่าทีตกใจ “นี่เธอมาจากกองถ่ายละครเลยอย่างงั้นเหรอ”
“ก็ตามนั้นแหละ” เซินเหลียงหันหน้ามองไปรอบทิศทาง ก่อนจะเร่งเร้าเธอ “รีบขึ้นรถมาก่อน เร็วเข้า”
มู่นวลนวลเปิดประตูรถแล้วเข้าไปนั่งข้างใน
ระหว่างที่เซินเหลียงกำลังขับรถก็พลางเอ่ยปากถามเธอไปด้วย “ในเน็ตมีคนกำลังขุดเรื่องของเธออยู่ รู้ไหม”
“เห็นแล้ว” พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาสีหน้าของมู่นวลนวลก็พลันหนักอึ้งขึ้นมาทันที
เซินเหลียงร้อนรนกว่าเธออย่างเห็นได้ชัด “แล้วโทรหาผู้อำนวยการหรือยัง”
“โทรแล้ว” แต่เขาไม่รับ
มู่นวลนวลไม่ได้เอ่ยประโยคหลังออกไป
เซินเหลียงถอนหายใจอย่างโล่งอกเล็กน้อย “งั้นก็ดีแล้ว”
ขณะนั้นรถก็กำลังจอดรอสัญญาณไฟเขียวพอดี เซินเหลียงจึงอาศัยจังหวะนี้เปิดโทรศัพท์เข้าเวยป๋อ
เธอพบว่าข้อความเวยป๋อที่ผู้ใช้คนนั้นเขียนยังคงมีอยู่ ก็ขมวดคิ้วแล้วหันหน้าไปถามมู่นวลนวล “เธอโทรศัพท์ไปหาผู้อำนวยการแล้วจริงๆ เหรอ คนคนนี้น่าจะรู้อะไรบางอย่างจริงๆ นะ ตอนนี้คนกดส่งต่อข้อความก็เยอะขนาดนี้แล้ว หรือว่าจะรอจนเขาเปิดเผยตัวตนเธอกันล่ะ นี่มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แล้วนะ”
เซินเหลียงเป็นดารา เวลาส่วนใหญ่ในชีวิตก็ดำเนินไปโดยมีคนในสังคมคอยจับจ้องดูอยู่
แต่มู่นวลนวลนั้นไม่เหมือนกัน ถึงแม้จะถือว่าเธอเป็นคนในวงการอยู่ครึ่งหนึ่งก็ตาม แต่เรื่องราวตอนนี้ของเธอพึ่งจะกำลังเริ่มต้นขึ้น ยังไม่มีทั้งชื่อเสียง ซ้ำยังเป็นคุณหญิงของโม่กรุ๊ปอีก
ถ้าถึงตอนนั้นแล้วผู้ใช้เวยป๋อคนนั้นยังจะเปิดเผยตัวตนของมู่นวลนวลจริงๆ มู่นวลนวลก็คงไม่สามารถใช้ชีวิตอย่างสงบสุขได้อีกต่อไปแล้ว ชื่อเสียงก็คงจะพังทลายลง
มู่นวลนวลรู้สึกว่าตอนนี้ทำอะไรไม่ได้เลย “โทรแล้ว แต่เขาไม่ได้รับ”
“ไปโม่กรุ๊ปหาเขากันเลยเถอะ”
“หรือไม่ต้องไป” มู่นวลนวลส่ายหน้า เธอไม่อยากไปรบกวนการทำงานเขาที่บริษัท
เซินเหลียงที่กำลังจะพูดอะไรออกมา แต่พอเห็นมู่นวลนวลที่ขมวดคิ้วเสียจนเป็นปมแน่น ก็ลังเลอยู่สักพักก่อนจะหยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหากูจื่อหยาน
โทรศัพท์ส่งเสียงรอสัญญาณเพียงแค่ครั้งเดียวก็ถูกกดรับแล้ว
กุจื่อหยานรับโทรศัพท์เธออย่างทันทีทันควัน
“เซินเสี่ยวเหลียง”
เซินเหลียงถามเขาโดยพลัน “เรื่องที่ในเน็ตมีคนบอกว่าจะเปิดเผยตัวตนของมู่นวลนวล นายจัดการหรือยัง”
“กำลังจัดการอยู่”
“อื้อ”
“เธอ……”
ราวกับว่ากูจื่อหยานตัดสินใจจะพูดอะไรบางอย่างออกมา แต่กลับถูกเซินเหลียงตัดสายไปเสียก่อน
“กูจื่อหยานบอกว่ากำลังจัดการอยู่” เซินเหลียงปลอบใจเธอ “ผู้อำนวยการเป็นคนจัดการเรื่องก็ไว้ใจได้”
คิ้วของมู่นวลนวลที่ผูกเป็นปมอยู่ก็ค่อยๆ คลายออกจากกันแล้ว
แม้ว่าโม่ถิงเซียวจะยุ่ง แต่ก็ยังนึกถึงเป็นห่วงเรื่องของเธออยู่
เพียงแค่คิดเช่นนี้ เธอก็รู้สึกเหมือนกับว่าในใจเธอมีลูกกวาดถูกยัดเอาไว้อยู่ จึงรู้สึกได้ถึงความหวานละมุนที่อยู่ข้างในเช่นนี้
กลับมาถึงบ้าน มู่นวลนวลคิดว่าตัวเองไม่ได้ทำอาหารให้โม่ถิงเซียวกินมานานแค่ไหนแล้ว จึงเดินเข้าครัวไปทำอาหารเย็น
เวลาก็ล่วงเลยสามทุ่มไปแล้ว โม่ถิงเซียวก็ยังไม่กลับมา มู่นวลนวลจึงตัดสินใจทานอาหารไปก่อน และนำอาหารที่เหลือทั้งหมดเก็บใส่ตู้เย็นไว้
ป้าหูอายุเยอะมากแล้ว อยู่ดึกมากไม่ไหว มู่นวลนวลจึงให้เธอรีบไปเข้านอนก่อน ส่วนตัวเองก็ปักหลักนั่งอยู่ที่โซฟาดูทีวีไปพลางและก็รอโม่ถิงเซียวกลับมาไปพลาง
ตอนที่มีเสียงเครื่องยนต์ของรถดังขึ้นที่ด้านนอกคฤหาสน์ ตอนนั้นก็เป็นเวลาใกล้เที่ยงคืนแล้ว
มู่นวลนวลอ้าปากหาวหนึ่งที แล้วจึงลุกขึ้นเดินเข้าครัวไป นำกับข้าวที่อุ่นจนร้อนแล้ววางไว้บนโต๊ะกินข้าว
เมื่อโม่ถิงเซียวเดินผ่านประตูมา ก็มีบอดี้การ์ดเข้ามาคุยกับเขาว่า “นายหญิงรอมาตลอดทั้งคืน เมื่อสักครู่พอได้ยินเสียงรถยนต์ก็เข้าครัวไปอุ่นกับข้าวครับ”
ช่วงนี้โม่ถิงเซียวทำงานยุ่งมาก และทำงานข้ามวันข้ามคืนอยู่บ่อยครั้ง อาหารที่มู่นวลนวลทำให้จึงเป็นรสชาติเบาๆ ไม่เข้มข้นหรือเลี่ยน
ทันทีที่โม่ถิงเซียวเดินเข้าไปในห้องรับประทานอาหารก็ได้กลิ่นหอมของอาหารที่กำลังร้อนๆ เตะจมูก
มู่นวลนวลสวมชุดนอน กำลังถืออาหารจากในห้องครัวเดินออกมาพอดี
โม่ถิงเซียวเดินไปรับอาหารจานนั้นจากมือเธอมาวางไว้บนโต๊ะอาหาร ยื่นแขนออกไปคิดที่จะกอดเธอ แต่ก็นึกขึ้นได้ว่าตัวเองพึ่งกลับมาจากข้างนอก บนตัวยังมีไอเย็นจากเครื่องปรับอากาศอยู่
หลังจากที่เขาถอดเสื้อคลุมออก จึงดึงมู่นวลนวลเข้าสู่อ้อมแขนตน “ไม่ต้องรอฉันหรอก เธอรีบนอนไปก็ดีแล้ว”
“บังเอิญรอ” มู่นวลนวลเงยหน้าขึ้นฉีกยิ้มให้เขา
โม่ถิงเซียวจ้องมองเธออยู่เป็นเวลาสองวินาที แล้วเอ่ยถาม “มีเรื่องอะไรทำให้มีความสุขอย่างงั้นเหรอ”
“ไม่มีอะไร”
มู่นวลนวลส่ายหัว แล้วนั่งลงตรงข้ามมองดูเขากินข้าว
ระหว่างคนรักกัน การทำงานจนหนักหน่วงก็ไม่จำเป็นเสมอไปว่าจะเป็นการสร้างช่องว่างกำแพงให้ห่างกันไกลออกไปได้ หากแต่เป็นการทำงานยุ่งเสียจนไม่ใส่ใจกับการมีอยู่ของกันและกันต่างหาก ที่จะสร้างช่องว่างระยะห่างระหว่างกัน
โม่ถิงเซียวยุ่งมาก แต่ก็ยังจำเรื่องของเธอได้ เพียงแค่เรื่องนี้ มู่นวลนวลก็พอใจเป็นอย่างมากแล้ว
โม่ถิงเซียวไม่ได้ทานอาหารเย็นมา เพียงแค่นั่งลงก็ไม่หยุดมือขยับตะเกียบเลย
รอจนเขาทานอาหารเสร็จ มู่นวลนวลที่เอามือเท้าคางอยู่ก็พูดออกมาว่า “ขอบคุณ”
“หืม?” โม่ถิงเซียวเงยหน้ามอง ในสายตามีประกายความสงสัยปนอยู่
มู่นวลนวลพูดต่อว่า “เรื่องในเวยป๋อน่ะ”
โม่ถิงเซียวหรี่ตาลงเล็กน้อยแล้วเอ่ยถามเธอ “เรื่องหัวข้อประเด็นร้อน?”
มู่นวลนวลมีสีหน้าที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย รอยยิ้มที่ประดับอยู่บนหน้าเธอค่อยๆ เจื่อนลง “บ่ายวันนี้มีคนในเวยป๋อพูดว่า เขารู้ว่าผู้หญิงที่ไปกินข้าวกับซือเฉิงยวี่คือใคร แล้วยังบอกอีกว่าจะประกาศวันศุกร์นี้”