หลังจากที่เซินเหลียงพูดจบ เธอก็เดินไปจับแขนมู่นวลนวลแล้วพาเดินออกไปข้างนอก
โม่ถิงเซียวลุกขึ้นยืน เดินไปสองสามก็อยู่ตรงหน้ามู่นวลนวล และดึงเธอไว้:“กลับบ้านกับฉัน”
“ไม่อยากกลับ” มู่นวลนวลลดสายตาลงโดยไม่มองหน้าเขา แล้วปัดมือของเขาออกด้วยสีหน้าที่เย็นชา
ดวงตาสีดำของโม่ถิงเซิงก็เปลี่ยนเป็นสีเทาชั่วขณะ แต่ไม่นานก็หายไป เขากัดฟันแน่น สีหน้าของเขาดูอึดอัด มือของเขาที่อยู่ข้างตัวกำแน่นแล้วก็คลายออก และกำแน่นอีก……
สุดท้ายเขาก็เม้มรมฝีปาก และพูดด้วยเสียงที่เศร้าและเบาเหมือนเสียงเด็กว่า:“อีกสองสามวันฉันจะไปรับคุณ”
เสียงนั้นไม่ได้เป็นการซักถามมู่นวลนวล แต่เป็นการบอกให้เธอรู้
“เราไปกันเถอะ” มู่นวลนวลไม่ได้สนใจเขา ดึงเซินเหลียงและเดินออกไปข้างนอก
กูจื่อหยานมองไปที่โม่ถิงเซียว
“ฉันจะออกไปส่งพวกเธอ” กูจื่อหยานทิ้งคำพูดนี่ไว้และเดินออกไป
หลังจากที่ทั้งสามคนออกไป ในห้องก็เหลือเพียงโม่ถิงเซียวคนเดียว
เขายืนนิ่งอยู่นานก่อนจะค่อยๆงอเข่าแล้วนั่งลงบนโซฟา
เขางอแขนวางข้อศอกบนหัวเข่า มืออีกข้างหนึ่งก็จับหน้าผาก และเอนตัวไปข้างหน้า ท่าทางของเขาดูเหนื่อยล้ามาก
ดูเหมือนว่าเขาจะอ่อนแอ
……
ที่อยู่ของกูจื่อหยานค่อนข้างเป็นความลับ ถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีนักข่าวรู้
แต่เขาก็ยังไม่วางใจมองไปรอบๆสักพัก แล้วบอกให้เซินเหลียงกับมู่นวลนวลจากไป
เขาอยากจะไปส่งทั้งสองคนที่บ้านของเซินเหลียง แต่ในบ้านยังมีโม่ถิงเซียวอยู่อีกคน จึงทำได้ส่งเซินเหลียงขึ้นรถจากไป และมองดูรอบๆอีกสองสามนาทีเพื่อให้แน่ใจมาไม่มีนักข่าวตามไป จากนั้นก็หันเดินกลับไป
แต่เขาเจอกับโม่ถิงเซียวที่ประตูลิฟต์
โม่ถิงเซียวเดินออกจากลิฟต์ด้วยหน้าตาที่เยือกเย็น แล้วเงยหน้าขึ้นมองกูจื่อหยาน:“สองสามวันนี้คงต้องรบกวนนายแล้ว”
กูจื่อหยานเข้าใจว่าเขาหมายถึงเรื่องของมู่นวลนวล
เห็นได้ชัดว่าตอนนี้มู่นวลนวลไม่อยากเจอโม่ถึงเซียว ดังนั้นจึงทำได้เพียงฝากให้กูจื่อหยานช่วยดูแลมู่นวลนวล
กูจื่อหยานพูดติดตลกว่า:“ที่ผ่านมา นายรบกวนฉันน้อยลงหรอ?ถ้าวันนั้นนายไม่รบกวนฉัน ฉันก็คงจะยังไม่ชิน”
โม่ถิงเซียวไม่ได้พูดอะไรและกำลังจะจากไป
แต่กูจื่อหยานก็รีบหยุดเขาไว้:“เรื่องครั้งนี้มันยังไงกันแน่ และมันเกี่ยวกับซุปตาร์ซือจริงๆหรอ?”
โมถิงเซียวหยุดชะงัก แต่ก็ไม่พูดอะไร และเดินจากไป
หลังจากออกไปแล้ว ขณะที่โม่ถิงเซียวกำลังขับรถ ก็โทรศัพท์หาซือเฉิงยวี่
โทรศัพท์โทรติด แต่ดูเหมือนเจ้าของโทรศัพท์จะไม่กระตือรือร้นที่จะรับสายของเขา
“ในที่สุดก็โทรหาฉัน?” เสียงของซือเฉิงยวี่พูดอย่างยิ้มๆ
เสียงของโม่ถิงเซียวเยือกเย็นราวกับน้ำแข็ง:“เจอกันที่ไหน”
“บ้านฉัน”
โม่ถิงเซียววางสาย แล้วขับรถตรงไปที่บ้านของซือเฉิงยวี่
เมือซือเฉิงยวี่เปิดประตู โม่ถิงเซียวก็กระชากคอเสื้อของเขาและผลักเขาเข้าไป จากนั้นก็ปิดประตูห้อง
“ทำไมต้องทำอย่างนี้?มีเรื่องอะไรก็มาลงที่ฉันสิ!” โม่ถิงเซียวขมวดคิ้วสีหน้าเข้ม
เขาจับคอเสื้อซือเฉิงยวี่ไว้แน่น แล้วคอเสื้อก็รัดคอของเขาแน่นจนหน้าของเขาแดงระเรื่อ แต่สีหน้าของเขาก็ยังคงนิ่งสงบ
ในตอนนี้ดูเหมือนว่าทั้งสองคนจะเป็นพี่น้องที่ชักดาบใส่กัน ซึ่งก่อนหน้านี้ยังเป็นพี่น้องที่มีความรักใคร่กัน
“มุ่งเป้าไปที่นาย?มีประโยชน์อะไร?” ซือเฉิงยวี่ยิ้ม และพูดด้วยน้ำเสียกแปลกๆ:“ฉันมุ่งเป้าไปที่นาย นายก็ไม่เจ็บไม่ปวด มีแต่เรื่องที่เกี่ยวกับมู่นวลนวล ที่จะทำให้นายร้อนรนได้ขนาดนี้”
สีหน้าของโม่ถิงเซียวก็ยิ่งโมโหมากขึ้น และโยนเขาลงไปที่พื้น ราวกับว่ายังไม่พอที่จะระบายความโกรธ กำหมัดแน่นและไม่ได้ลงมืออีก
เขาไม่ได้แสดงความเมตตาใดๆ ซือเฉิงยวี่ถูกโยนลงไปที่พื้นอย่างรุนแรง ความเจ็บทำให้สีหน้าของเขาไปเปลี่ยนไป จนไม่สามรถจะรักษาสีหน้าที่นิ่งสงบไว้ได้
เขาไอสองสามครั้ง ก่อนที่จะพูดว่า:“ดูเหมือนว่าฉันจะพูดถูก”
“จะนับเป็นความสามารถอะไรได้กับการที่ลงมือกับผู้หญิงคนหนึ่ง?” โม่ถิงเซียวแทบจะกัดฟันพูดประโยคนี้
“มันได้ผลก็พอแล้วไม่ใช่หรอ?” ซือเฉิงยวี่ก็ยิ้มขึ้นมาอีกและสายตาก็แพรวพราวเป็นพิเศษ
โม่ถิงเซียวจ้องมองเขา:“วันนั้นที่ร้านน้ำชา วันนั้นนายได้ยินที่คุณปู่พูดกับโม่ชิงเฟิง?นั่นเป็นเหตุผลที่นายทำเรื่องทั้งหมดนี่?”
ไม่รู้ว่าคำพูดไหนในประโยคนี้ที่สะเทือนจิตใจของซือเฉิงยวี่ สีหน้าของเขาซีดลงเหมือนกับกระดาษแผ่นหนึ่ง
เขากำหน้าอกและไออย่างรุนแรง สีหน้าของเขาร้อนรน:“นายรู้อะไร?”
“แล้วนายกลัวฉันจะรู้อะไร?” โม่ถิงเซียวเดินเข้ามาหาเขาทีละก้าวด้วนสีหน้าที่ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ
ทั้งสองเผชิญหน้ากันสักพัก และจู่ๆซือเฉิงยวี่ก็หัวเราะเสียงดัง เขาดูเหมือนคนบ้าที่มีจิตใจฮึกเหิม
“จริงๆแล้วนายไม่รู้ และเรื่องที่นายอยากรู้ นายก็ไม่มีทางที่จะได้รู้ตลอดไป” น้ำเสียงของซือเฉิงยวี่เยือกเย็น หลังจากพูดจบ เขาก็เดินโซเซกลับไปที่ห้อง
……
มู่นวลนวลกับเซินเหลียงกลับถึงบ้านของเซินเหลียงอย่างปลอดภัย
“ดื่มอะไรหน่อยไหม?” เซินเหลียงถามมู่นวลนวลในขณะที่กำลังหยิบรองเท้าแตะ
มู่นวลนวลหยิบรองเท้าแตะ และส่ายหัว
หลังจากที่เข้ามาในห้อง มู่นวลนวลก็กอดหมอน และนอนนิ่งอยู่ที่โซฟา
เซินเหลียงรินน้ำร้อนให้เธอหนึ่งแก้ว หลังจากส่งให้เธอแล้วก็นั่งลงข้างๆเธอ:“มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”
มู่นวลนวลถือแก้วน้ำร้อนนอนขดตัวอยู่บนโซฟา และเล่าถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อเร็วๆนี้จากการคาดเดาของตัวเองให้เซินเหลียงฟัง
“เป็นไปไม่ได้มั้ง……” เซินเหลียงเกาผมอย่างหงุดหงิด:“ความสัมพันธ์ของซุปตาร์ซือกับบอสใหญ่ก็ค่อนข้างดี เขาจะทำเรื่องแบบนี้ได้ยังไง ไม่มีเหตุผลเลย?”
“อืม” มู่นวลนวลพยักหน้าเห็นด้วย
แม้แต่คนนอกอย่างเซินเหลียงยังคิดว่าเป็นไปไม่ได้ที่ซือเฉิงยวี่จะทำเรื่องแบบนี้ แล้วนับประสาอะไรกับโม่ถิงเซียว
แต่เธอกับพวกเขาแต่งต่างกัน
ครอบครัวของเซินเหลียงรักใครปรองดองกัน แม้ว่าโม่ถิงเซียวจะโชคร้ายที่เคยถูกลักพาตัว แต่เขายังมีพ่อกับปู่ และญาติคนอื่นๆ
มีเพียงเธอที่ตั้งแต่เด็กก็เป็นเหมือนคนนอกของตระกูลมู่ ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นคนในครอบครัว ไม่มีญาติ เพื่อนก็มีแค่เซินเซียงคนเดียว ตั้งแต่เด็กเธอต้องเข้มแข็งให้ได้ด้วยตัวเอง ทำให้เธอมีลักษณะนิสัยอ่อนไหว
เธอเชื่อในวิจารณญาณของตัวเอง
และโม่ถิงเซียวก็ไม่เคยปฏิเสธ ดังนั้นเรื่องนี้ซือเฉิงยวี่ต้องเป็นคนทำอย่างแน่นอน
เซินเหลียงเห็นมู่นวลนวลดูไม่มีชีวิตชีวาอย่างนั้น ก็กอดเธอด้วยความเป็นห่วง:“ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น นวลนวล เธออย่าเป็นอย่างนี้สิ……”
“ฉันก็แค่เหนื่อยนิดหน่อยเท่านั้น” มู่นวลนวลดึงมุมปากของเธอ และพบว่าตอนนี้เธอไม่สามารถยิ้มออกมาได้จริงๆ
ต่อให้แกล้งทำ เธอก็ยิ้มไม่ออก