มู่นวลนวลเอียงหัว มองเขาด้วยสายตาไร้เดียงสา และพูดด้วยน้ำเสียงที่เด็ดขาด:“ไม่ไป”
โม่ถิงเซียวอึ้งไปสักพัก
มู่นวลนวลยื่นมือออกไป และเอามือของเขาออกจากคางของตัวเอง:“เอาบีบคางฉัน ฉันเจ็บ”
เห็นได้ชัดว่ามู่นวลนวลปฏิเสธ โม่ถิงเซียวจ้องเธอและถามว่า:“มู่นวลนวล เธอจะเอายังยังไง?”
“ฉันอยากเขียนบท ช่วงนี้ฉันได้รับแรงบันดาลใจ” มู่นวลนวลผลักเขาออกไปแล้วลุกขึ้นเดินขึ้นไปชั้นบน
สื่อเปิดเผยรูปถ่ายของเธอ หลายวันมานี้เธอไม่ได้ออกไปข้างนอกเลย
เธอไม่สามารถไปทำงานที่ Shengding Media ได้
นอกจากใจจดใจจ่ออยู่กับการเขียนบทแล้ว เธอก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไร
โม่ถิงเซียวเฝ้ามองมู่นวลนวลขึ้นไปชั้นบน และมือที่อยู่ข้างลำตัวของเธอก็ค่อยๆกำแน่นขึ้น
……
เนื่องจากวิธีการของโม่ถิงเซียว ทำให้เรื่องของมู่นวลนวลเงียบลงอย่างรวดเร็ว
ในวงการบันเทิงมีข่าวแบบนี้อยู่ไม่ขาด แต่พอกระแสนั้นผ่านไปคนก็ลืมได้ง่าย
ด้วยเหตุนี้จึงมีดาราจำนวนมากซื้อพาดหัวข่าวและหัวข้อประเด็นร้อน
แต่สิ่งที่ทำให้มู่นวลนวลประหลาดใจคือ ซือเฉิงยวี่โพสต์เวยป๋อเพื่ออธิบายเรื่องที่ไปทานข้าวกับเธอ
สร้างเหตุผลขึ้นมาเพื่อพูดกลบเกลื่อน และทุกอย่างกลับสู่ความสงบ
แต่เป็นความสงบของชาวเน็ต ส่วนการใช้ชีวิตของมู่นวลนวลยังไม่ราบรื่นเท่าไหร่
หลังจากเรื่องนี้ผ่านไปกว่าหนึ่งสัปดาห์ เซินเหลียงก็นัดมู่นวลนวลออกไปข้างนอก
ครั้งนี้เธอกับโม่ถิงเซียวทำสงครามเย็นกันเพราะเรื่องงานแต่งงาน
โม่ถิงเซียวยุ่งทั้งวันจนไม่เห็นหัวไม่เห็นหาง มู่นวลนวลก็ทุ่มเทให้กับการเขียนบท
แม้ว่าทั้งสองจะกินข้าวด้วยกันและนอนบนเตียงเดียวกัน แต่แทบจะไม่มีการพูดคุยกันเลย
แต่เมื่อรู้ว่ามู่นวลนวลจะออกไปข้างนอก โม่ถิงเซียวก็จัดคนขับรถและบอดี้การ์ดให้ไปส่งเธอ
มู่นวลนวลปฏิเสธอย่างไม่ต้องคิด:“ไม่ต้องหรอก ฉันแค่จะไปกินข้าวแล้วก็เดินช็อปปิ้งกับเสี่ยวเหลียงเท่านั้น”
พอเธอพูดจบก็รู้สึกว่าเย็นๆที่หลัง
มู่นวลนวลชะงักและเดินออกไปด้วยสีหน้าปกติ
เพียงแค่สงสารบอดี้การ์ด พวกเขาต้องเฝ้าอยู่ข้างๆอย่างเงียบๆ ไม่กล้าแม่แต่จะหายใจแรง
โม่ถิงเซียวสูดหายใจเข้าลึก:“เมื่อตะกี้ฉันบอกว่ายังไง?”
คำพูดของเขาแทบจะบีบออกมาจากช่องระหว่างฟันทีละคำ เมื่อเหล่าบอดี้การ์ดได้ยินก็หวาดกลัว และตอบพร้อมเพรียงกันว่า:“ครับ”
จากนั้นพวกเขาก็วิ่งออกไปกันอย่างรวดเร็ว ราวกับว่ามีผีกำลังไล่ตาม
เมื่อมู่นวลนวลเดินออกไปนอกคฤหาสน์ เธอก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินตามมาข้างหลัง
เธอไม่ได้เดินกลับมา แต่เหล่าบอดี้การ์ดเดินเข้ามาหาเธอ
รถสีดำขับมาจอดข้างหน้าเธอ จากนั้นก็มีบอดี้การ์ดก้าวไปเปิดประให้เธอ:“เชิญคุณรถครับคุณนาย”
นอกจากบอดี้การ์ดที่เปิดประตูรถแล้ว บอดี้การ์ดคนอื่นๆก็มารวมตัวกัน ดูเหมือนว่ากำลังเชิญให้เธอขึ้นรถ แต่ความจริงแล้วดูเหมือนกลัวเธอจะวิ่งซะมากกว่า
มู่นวลนวลทำอะไรไม่ถูก
เจ้านายเป็นแบบไหน บอดี้การ์ดก็เป็นแบบนั้น
ไม่มีเหตุผลพอๆกับโม่ถิงเซียว
“โอเค แยกย้ายเถอะ ฉันจะขึ้นรถแล้วโอเคไหม?” มู่นวลนวลพูดจบก็ขึ้นรถไป
บอดี้การ์ด:“……” ดูเหมือนว่าคุณนายจะมองทุกอย่างออก
……
เดิมทีมู่นวลนวอยากจะไปเดินช็อปปิ้งกับเซินเหลียงให้สบายใจ แต่โม่ถิงเซียวส่งบอดี้การ์ดกลุ่มใหญ่มาตามเธอ
เธอเดินไปที่ไหนก็มีเหล่าบอดี้การ์ดตามเธอไปทุกที แม้ว่าเธออยากจะทำอะไรเงียบๆ แต่ก็ทำไม่ได้
เมื่อเซินเหลียงเห็นเธอที่บอดี้การ์ดเดินตามหลัง เธอก็เบิกตากว้าง:“เธอเป็นฮองเฮาที่ออกจากวังหรอ?ถึงต้องมีคนกลุ่มใหญ่เดินตามหลัง?”
มู่นวลนวลหันไปมองเหล่าบอดี้การ์ด
เมื่อบอดี้การ์ดเห็นว่ามู่นวลนวลมองมา พวกเขาก็มองไปทางอื่น
มู่นวลนวลถอนหายใจ:“ฮองเฮาออกจากวังอะไร เห็นชัดๆว่าโม่ถิงเซียวบ้าไปแล้ว”
มู่นวลนวลทำได้แค่เดินเล่นกับเซินเหลียงไปเรื่อย และหาร้านอาหารเพื่อกินข้าว
เนื่องจากบอดี้การ์ดตามมามากมาย พวกเธอจึงต้องหาอะไรกิน
นอกจากนี้เธอยังสั่งอาหารสำหรับให้บอดี้การ์ดที่ล็อบบี้ด้านนอกด้วย
บอดี้การ์ดพวกนั้นตามเธอมาเกือบทั้งวัน พวกเขาคงจะหิว จึงนั่งลงและกินกันอย่างรวดเร็ว
เซินเหลียงเหลือบมองที่ช่องประตู และบอกให้มู่นวลนวลเปลี่ยนเสื้อผ้า จากนั้นก็พาเธอออกไปอย่างเงียบ ๆ
พวกเธอทั้งสองคนไปเดินช็อปปิ้งด้วยกัน จะพาเหล่าบอดี้การ์ดมาด้วยก็ไม่ใช่เรื่อง
ทั้งสองคนย่องออกจากประตูด้านหลังของร้านอาหาร และไปที่ตลาดกลางคืนด้านหลังของโรงเรียนมัธยม
และระหว่างทางทั้งสองคนแวะซื้อเนื้อแกะย่างที่ร้านข้างทาง กินกันไปพูดคุยกันไป
“บางครั้งฉันก็ยังคิดถึงโรงเรียนมัธยม”
“ทำไม?” เซินเหลียงกินเต็มปาก จับทิชชู่พลางกับถามเธอ
มู่นวลนวลยิ้ม:“ชีวิตเรียบง่าย”
นอกเหนือจากการไปโรงเรียนแล้ว ชีวิตของเธอที่เรียบง่ายก็คือการเป็นคนที่มองไม่เห็นตระกูลมู่ ตอนนี้พอคิดๆดูแล้วก็รู้สึกดี
เมื่อเซินเหลียงได้ยินอย่างนั้น ไม่รู้ว่ากำลังเธอคิดอะไร เธอโยนเนื้อเสียบไม้ที่ยังกินไม่หมดลงถังขยะโดยไม่สนใจ:“ฉันก็คิดถึงโรงเรียนมัธยมมาก”
ขณะที่มู่นวลนวลกำลังจะถามสาเหตุกับเธอ ก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยดังว่าจากข้างหลัง
“นวลนวล”
เป็นเสียงผู้ชายฟังดูคุ้นๆ แต่เธอจำไม่ได้ว่าเป็นใคร
พอเธอหันกลับมามองก็พบว่าเป็นซินชูฮันที่ไม่ได้เจอกันนานแล้ว
เมื่อซินชูฮันเห็นมู่นวลนวลก็ยิ้ม
เขาวิ่งผ่านฝูกชนเขามาหามู่นวลนวล น้ำเสียงของเขาดูดีใจอย่างเห็นได้ชัด:“เป็นเธอจริงๆด้วย!”
มู่นวลนวลยังไม่ทันได้พูดอะไร เซินเหลียงก็เขามาขวางข้างหน้ามู่นวลนวล:“ซินชูฮัน?ทำไมนายมาอยู่ที่นี่?”
ตลาดกลางคืนแห่งนี้ไม่ได้อยู่ในย่านที่เจริญ ของที่ขายก็มีราคาถูก นอกจากผู้ที่อาศัยในบริเวณใกล้เคียง และผู้คนที่เดินไปเดินมาก็เป็นพวกนักศึกษา และการที่คุณชายอย่างซินชูฮันมาอยู่ในที่แบบนี้ เห็นได้ชัดว่ามันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
เมื่อซินชูฮันเห็นเซินเหลียงก็พูดด้วยความประหลาดใจว่า:“เซินเหลียงก็อยู่”
เซินเหลียงกับซินชูฮันเป็นญาติกัน แต่เป็นญาติยังไงเซินเหลียงก็จำไม่ได้แล้ว อย่างไรก็ตามบางครั้งก็จะเห็นเขาในงานเลี้ยงและงานปาร์ตี้ พวกเขารู้จักกัน แต่ไม่ค่อยลงรอยกัน
เซินเหลียงเกียจมู่หวันฉี มีช่วงหนึ่งที่ซินชูฮันมีความสัมพันธ์มู่หวันฉี เธอกอดอกและขมวดคิ้วถาม:“ฉันถามนายอยู่นะ”
ซินชูฮันคงจะเห็นว่ามู่นวลนวลไม่ได้พูด จึงอธิบายว่า:“ก่อนหน้านี้ฉันเห็นพวกเธอที่ร้านอาหาร แต่ไม่แน่ใจก็เลยตามมา”
เมื่อเซินเหลียงได้ยินอย่างนั้นก็ฉุน:“ตามมา คิดจะทำอะไร?”
ซินชูฮันถูกเซินเหลียงฉุนใส่จนสีหน้าของเขาเปลี่ยน และไม่สนใจเซินเหลียง เขาพูดกับมู่นวลนวลอย่างอ่อนโยนว่า:“นวลนวล ฉันมีอะไรจะคุยกับเธอหน่อย”
“คุยอะไร?” มู่นวลนวลมองซินชูฮันอย่างไม่ได้แสดงออกอะไร
เธอไม่คิดว่าซินชูอันมีอะไรจะต้องคุยกับเธอ
ซินชูฮันเหลือบมองไปที่เซินเหลียง สายตาของเขาชัดเจนมากว่าต้องการให้เซินเหลียงหลีกไป
ถ้าเซินเหลียงหลีกให้สิถึงเป็นเรื่องแปลก
“ไม่อยากพูดก็ช่าง” มู่นวลนวลพูดจบ ก็ดึงเซินเหลียงเตรียมจะจากไป
“เดี๋ยวก่อน” ซินชูฮันรีบหยุดมู่นวลนวล และพูดด้วยน้ำเสียงกังวล:“นวลนวล เธอคบกับฉันได้ไหม?”
มู่นวลนวล:“……”
เซินเหลียง:“……”