เสี่ยวชูเหอไม่อยากจะเชื่อว่ามู่ลี่หยานจะตบเธอ แล้วพูด: “คุณตบฉัน?”
เธอและมู่ลี่หยานเป็นเพื่อนกันสมัยมัธยม เธอมาจากเมืองเล็กๆเข้ามามาเรียนหนังสือที่เซี่ยงไฮ้ ตอนนั้นตระกูลมู่เป็นที่รู้จักและมีฐานะพอสมควร และมู่ลี่หยานก็เป็นคุณชายของบ้าน ในโรงเรียนเขาได้รับความสนใจจากทุกคนอย่างมาก
เสี่ยวชูเหอแอบชอบมู่ลี่หยานมาโดยตลอด แต่ก็รู้ว่าฐานะของเธอแตกต่างกับเขามาก
จนกระทั่งภรรยาของมู่ลี่หยานเสียชีวิต เธอจึงได้พบกับมู่ลี่หยานอีกครั้ง
มู่ลี่หยานอยู่ในช่วงที่โศรกเศร้าเสียใจอย่างมากแต่มีเธอที่เขามาปรอบใจ คอยอยู่เป็นเพื่อน และเธอเองก็เป็นคนที่สวย ที่ผ่านมาช่วยดูแลลูกๆทั้งสองของเขาได้เป็นอย่างดี มู่ลี่หยานจึงแต่งงานกับเธอ
หลายปีที่ผ่านมาเธอดูแลเอาใจใส่และรักมู่ลี่หยานมาก ไม่เพียงแต่ดูแลเขา เธอยังดูแลลูกๆของเขาเป็นอย่างดี
แทบจะไม่ทะเลาะกันเลย
แม้จะทะเลาะกันมู่ลี่หยานจะเป็นฝ่ายง้อเธออยู่ตลอด ไม่เคยแม้แต่ครั้งเดียวที่จะลงไม้ลงมือ
“ตบคุณแล้วทำไม? คุณอยู่ที่บ้านนี้แล้วคุณทำอะไรบ้าง?คุณบอกว่าจะดูแลกลูกๆของผมเป็นอย่างดี นี้ใช่ไหมที่บอกว่าดูแลเป็นอย่างดี!”
มู่ลี่หยานเป็นคนที่มั่นคงในความรัก
ภรรยาคนก่อนเสียไปแล้วหลายปี แต่ทุกปีครบรอบวันเสียของเธอเขาจะจัดโต๊ะไหว้ทุกปี และยังมีรูปของเธออยู่
ลูกสาวทั้งสองที่เธอทิ้งไว้ให้ เขาก็รักอย่างแก้วตาดวงใจ
เสี่ยวชูเหอแต่งงานกับมู่ลี่หยานนอกจากเหตุผลที่เธอแอบชอบเขามาหลายปีแล้ว ยังมีอีกเหตุผลก็คือมู่ลี่หยานเป็นคนที่มั่นคงในความรัก
“หลายปีที่ผ่านมาฉันทำทุกอย่าง ฉันดูแล รักและปกป้องคนบ้านนี้มาโดยตลอด คุณมองไม่เห็นในสิ่งที่ฉันทำหรอ?” เสี่ยวชูเหอพูดทั้งน้ำตา
สิ่งที่เธอทำมันยังไม่พอหรอ?
ตัวเธอคิดว่าตัวเองใช้ทั้งแรงใจและแรงกายไปหมดแล้ว
“ทำทุกอย่าง?” มู่ลี่หยานยิ้มอย่างเย็นชา: “ถ้าอย่างนั้นคุณก็ไปขอให้ลูกสาวคนนั้นของคุณไม่เอาเรื่องหวันฉีสิ! หวันฉีแค่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ มู่นวลนวลไม่ได้เป็นอะไรไม่ใช่หรอ!”
เสี่ยวชูเหอเธอเองเคยพูดคำพูดนี้ แต่ตอนนี้เธอได้ยินมันจากปากของมู่ลี่หยานเธอกลับรู้สึกไม่พอใจ
เธอรู้สึกว่าเขาไม่ควรที่จะพูดแบบนี้
และเธอก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงรู้สึกเช่นนี้
หลายปีที่ผ่านมา เธอคอยที่จะเอาใจมู่หวันฉี คอยบอกมู่นวลนวลอยู่เสมอว่าต้องทำดีและยอมให้กับพี่สาวทุกอย่าง
ฉนั้นจิตใต้สำนึกของเธอไม่ว่ามู่หวันฉีจะทำเรื่องอะไรไม่ดีก็ตาม มู่นวลนวลไม่ควรจะใส่ใจและปล่อยมันไป
มู่ลี่หยานยังคงพูดถึงมู่นวลนวลทำตัวไม่ดี
เสี่ยวชูเหอที่โดนเขาตบเและยังได้ยินเขาพูดจาไร้ประโยชน์เธอรู้สึกโมโหและไม่พอใจอย่างมาก
เธอลุกขึ้นจากพื้น : “เรื่องนี้ฉันช่วยคุณไม่ได้ คุณไปจัดการเองเถอะ”
เธอทำทุกอย่างเพื่อนบ้านหลังนี้แต่มู่ลี่หยานกลับมองไม่เห็น
และเธอเองก็รู้ว่ามู่หวันฉีไม่ชอบเธอ ถึงขนาดเคยว่าเธอเป็นเพียงสุนัข
แต่ด้วยเห็นผลที่ว่าเธอชอบมู่ลี่หยานเธอจึงไม่ใส่ใจในสิ่งที่มูหวันฉีพูด
แต่ตอนนี้มู่ลี่หยานทำกับเธอขนาดนี้เธอจึงรู้สึกเหนื่อย
มู่ลี่หยานได้ยินเช่นนั้นจึงโมโหมาก : “เสี่ยวชูเหอ คุณหมายความว่าอย่างไร!”
“ไม่มีอะไร” เธอส่ายหน้า: “ฉันแค่รู้สึกว่ามันไม่มีความหมายอะไรอีกแล้ว”
เธอทั้งเจ็บปวดกับสิ่งที่เกิดขึ้น และเธอก็รังเกียจและขยะแขยงกับสิ่งที่เป็นอยู่ในตอนนี้
มู่ลี่หยานก็รู้สึกไม่ดีในตอนนั้น เขาคิดว่ามีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นมันทำให้เขาเหนื่อยมากพอแล้ว แต่เสี่ยวชูเหอกลับยิ่งทำให้มันแย่ลง
เขายิ้มอย่างเย็นชาแล้วพูด : “ผมดูแลคุณเป็นอย่างดี พอถึงตอนนี้คุณกลับบอกว่าไม่มีความหมายอะไร? ไม่มีความหมายอะไรก็ออกไปเลย!”
เสียงชูเหอตกใจกับสิ่งที่เขาพูดจนเธอเองก็พูดไม่ออก
เธอผลักประตูห้องสมุดออกแล้ววิ่งลงมาข้างล่าง
เธอวิ่งออกจากบ้านไป คนรับใช้เห็นเช่นนั้นก็ไปบอกกับมู่ลี่หยาน : “เมื่อสักครู่คุณผู้หญิงวิ่งออกไป……..”
มู่ลี่หยานตกใจเล็กน้อย เขาไม่คิดว่าเสี่ยวชูเหอจะกล้าออกจากบ้านนี้ไปจริงๆ
เขาไม่เชื่อว่าเสี่ยวชูเหอจะจากไปจริงๆ เขาคิดว่าไม่ช้าก็เร็วเสี่ยวชูเหอจะต้องกลับมา
มู่ลี่หยานไม่สนใจแล้วพูดว่า : “ให้เธอเถอะ!”
…………..
เสี่ยวชูเหอตอนที่เธออกมาเธอไม่มีเงินติดตัวและไม่รู้ว่าจะไปไหน
สมัยเธอเป็นวัยรุ่นก็พอจะมีเพื่อนบ้างและเพื่อนๆของเธอก็มีฐานะทางบ้านก็ธรรมดา
พอเธอแต่งงานกับมู่ลี่หยานเธอก็ไม่ได้ติดต่อเพื่อนอีกเลยเพราะต้องคอยดูแลคนในบ้าน
ถึงจะมีเพื่อน แต่ก็เป็นเพื่อนคุณหญิงที่คบกันเวลาออกไปช้อปปิ่ง
สภาพเธอตอนนี้จะไปเจอพวกเธอได้อย่างไร
สุดท้ายเธอนึกถึงมู่นวลนวล
นึกไปถึงเมื่อก่อนมู่นวลนวลเป็นเด็กดีและก็ดีกับเธอมาก พอคิดเช่นนั้นเธอก็เรียกรถให้ไปส่งที่บ้านของโม่ถิงเซียว
แม้ว่ามูนวลนวลเคยพูดไว้ว่าเธอจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับมู่หวันฉีอีก แต่เธอไม่เชื่อว่ามูนวลนวลจะตัดความสัมพันธ์จากเธอด้วย
เมื่อก่อนเธอเคยไปที่บ้านของโม่ถิงเซียวเธอจึงพอจำที่อยู่ได้บ้าง
รถจอดห่างจากบ้านโม่ถิงเซียวไม่ไกล
เสียวชูเหอลงจากรถ แล้วเดินเข้าไป
บอดี้การ์ดที่ยืนอยู่หน้าประตูขวางเธอไว้ไม่ให้เข้าไป
“คุณเป็นใคร?”
บอดี้การ์ดทำหน้าเข้มถามเธอ
เสี่ยวชูเหอรู้สึกกลัวขึ้นมาแต่เธอนึกได้ว่าเธอเป็นแม่ของมู่นวลนวล เธอก็มั่นใจแล้วพูดว่า : “ฉันเป็นแม่ของคุณหญิงบ้านนี้ฉันมาเยี่ยมเธอ”
บอดี้การ์ดมองสำรวจเธอ สุดท้ายก็บอกเธอว่า : “รอก่อน”
บอดี้การ์ดท่าทางเย็นชา แล้วเดินไปอีกฝั่งกดโทรศัพท์โทรหาโม่ถิงซียว
หลังจากที่มู่หวันฉีขับรถชนมู่นวลนวลโม่ถิงเซียวระมัดระวังความปลอดภัยของเธอเป็นอย่างมาก โม่ถิงเซียวบอกกับพวกเขาว่าถ้าหากมู่นวลนวลจะออกไปข้างนอกให้มีคนติดตามไปด้วย และถ้าเกิดว่ามีใครเข้ามาหามู่นวลนวลก็ให้โทรบอกเขาก่อน
โม่ถิงเซียวรับโทรศัพท์
“คุณชายครับมีผู้หญิงคนหนึ่งเธออ้างว่าเป็นแม่ของคุณผู้หญิงและบอกว่ามาเยี่ยมเธอครับ”
มู่ถิงเซียวอยู่ในที่ประชุมนั่งอยู่ภายใต้ผู้บริหารระดับสูงของบริษัท เขาเหลือบมองพวกเขาและพูดสองคำอย่างไม่แยแส : “ไล่ไป”
“ครับ”
ตัดสายก็ว่างโทรศัพท์ไว้ข้างๆ : “พูดต่อ”
โม่ถิงเซียวมาทำงานที่มู่กรุ๊ปได้ไม่ถึงครึ่งเดือน
บริษัทของตระกูลมู่เป็นบริษัทยักษ์ใหญ่อันดับต้น ๆ ในตลาดเซี่ยงไฮ้ และอุตสาหกรรมภายใต้มู่กรุ๊ปก็ครองตลาดเศรษฐกิจเกือบครึ่งหนึ่งและทุกสาขาอาชีพก็มีแนวโน้ทที่จะดีขึ้นเรื่อยๆ แม้จะเป็นเช่นนั้นแต่การจะฟื้นเศรษฐกิตของมู่กร๊ปไม่ใช่เรื่อง่าย
อย่างไรก็ตามการกระทำหลายอย่างที่มู่ถิงเซียวทำหลังจากมาถึงบริษัท ทำให้ผู้บริหารระดับสูงและผู้ถือหุ้นของบริษัทมองเขาด้วยความชื่นชม
พอตัดสายบอดี้การ์ดก็สื่อสารกันด้วยสายตา
เสี่ยวชูเหอเห็นเช่นนั้น คิดว่าพวกเขาถามมู่นวลนวลแล้ว : “เห็นไหมละ ฉันไม่ได้โกหกพวกคุณ”
บอดี้การ์ดพูออย่างเย็นชา : “คุณผู้หญิงไม่อยู่ไว้วันหลังคุณค่อยมาเจอเธอใหม่”
“ตอนเย็นเธอคงกลับมา? ฉันเข้าไปรอเธอข้างในก็ได้………..”เสี่ยวชูเหอยังไม่ทันได้พูดจบเธอก็โดนหิ้วออกไป
บอดี้การ์ดไม่ต่อปากต่อคำกับเธอและหิ้วเธอออกไป
บอดี้การ์ดโยนเธอไว้ที่ข้างถนน น้ำเสียงของบอดี้การ์ดพูดถากถางเธอเล็กน้อย: “คุณผู้หญิงของเราไม่ใช่ว่าใครจะเข้าพบได้ง่ายๆ”