ซือเย่เห็นโม่ถิงเซียวเดินออกมาแล้วเปิดประตูรถให้เขา
“คุณผู้ชาย”
สีหน้าของโมถิงเซียวยังคงเย็นชา
พอโม่ถิงเซียวขึ้นรถพูดกับซือเย่ด้วยน้ำเสียงเย็นชา : “นายและภรรยาของนายทำไมถึงหย่ากัน?”
ซือเย่ตกใจเล็กน้อย แปลกใจว่าทำไมโม่ถิงเซียวถึงถามคำถามเช่นนี้
แต่ในเมื่อเขาถามแล้ว ซือเย่จึงจำเป็นต้องตอบ
“พูดไปได้หรอกครับว่าทำไม เพราะผมก็ลืมไปแล้วว่าทะเลาะกันครั้งสุดท้ายเรื่องอะไรทำไมถึงหย่ากัน ในตอนนั้นพวกเราแค่คิดว่าทางออกเดียวที่จะส่งผลดีต่อทั้งคู่คือการหย่า”
น้ำเสียงของซือเย่ที่ให้ความรู้สึกได้ว่าเขาเสียใจ
“นายยังรักเธออยู่?”
ซื่อเย่ตอบแบบไม่ลังเล: “ครับ”
“ในเมื่อยังรักอยู่ทำไมถึงตกลงหย่ากับเธอ?” น้ำเสียงของโม่ถิงเซียวยังคงเย็นชา แต่ในความเย็นชากลับรู้สึกถึงอารมณ์ที่ขึ้นๆลงๆ
ซือเย่ก็เริ่มจะเข้าใจว่าทำไมโมถิงเซียวถึงได้ถามเขาเรื่องการหย่า
“เธอเป็นคนขอหย่า เธอบอกว่าเธอต้องทนทรมารในทุกๆวัน การหย่าอาจจะเป็นทางออกเดียวให้เธอได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ผมทนไม่ได้ที่เห็นเธอรู้สึกเช่นนั้น” ซือเย่เสียงแหบ
โม่ถิงเซียมที่นั่งอยู่ข้างหลังมองไปที่เขา ก็เห็นซือเย่ที่ควบคุมอารมณ์และความรู้สึกของตนเองอยู่
ความพิเศษของซือเย่คือเขาเป็นคนที่สามารถควบคุมและดูแลสถาณการณ์โดยรวมได้อย่างดี ไม่มีอะไรพิเศษไปมากกว่านี้ แต่เขาเป็นคนที่ระมัดระวังและรอบคอบ ฉนั้นโม่ถิงเซียวจึงไว้ใจให้เขาเข้ามาทำงานด้วย
“ตัวนายเองไม่ทรมารหรอ?”
“ครับ” เขาคิดถึงเรื่องที่ทำให้เขามีความสุขแล้วยิ้มขึ้นมา: “แต่ทุกอาทิตย์ผมจะได้เจอกับลูกหนึ่งครั้ง และผมก็ได้เจอเธอด้วยในตอนนั้น”
โม่ถิงเซียวขมวดคิ้ว แล้วถามอย่างแปลกใจ : “พวกคุณมีลูกด้วยกัน?ถึงยังไงก็มีลูกด้วยกันแล้ว คุณไม่ให้สิทธิ์เธอเลี้ยงดูลูก เธอก็ไม่กล้าที่จะหย่ากับคุณแล้ว”
ก่อนหน้านี้ที่โม่ถิงเซียวไม่อนุญาตให้มู่นวลนวลออกไปข้างนอกเรื่องนี้เขาก็รู้ดี
เขาพอจะรู้ป่มในใจของโม่ถิงเซียว
“ถ้าเกิดว่าการจากไปของผมจะทำให้เธอมีความสุขขึ้นผมก็เต็มใจครับ”
“แม้ว่าความสุขนั้นจะไม่ใช่นายที่ให้เธอ?”
“หรอ?”
“เฮอะ!” โม่ถิงเซียวหัวเราะเยาะ: “ให้ทั้งสองคนทรมานไปด้วยกันสะยังดีกว่า”
ความคิดของโม่ถิงเซียวทำให้ซือเย่อึ้งไปสักพัก : “คุณผู้ชาย ความรู้สึกของคนเราไม่สามารทำแบบนั้นได้”
“อ้อ? นายคงจะมีความสุขกับการได้เป็นพ่อหม่าย” โม่ถิงเซียวกล่าวด้วยความเย้ยหยัน
ซือเย่ : “……….” ความคิดเห็นไม่ตรงกันกลับพูดจาเย้ยหยันฝ่ายตรงข้าม
เขาเรียนจบมหาวิทยาลัยก็เข้ามาทำงานกับโม่ถิงเซียว ฉนั้นเข้าจึงเข้าใจโม่ถิงเซียวยิ่งกว่าใคร รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่และกำลังจะทำอะไร
เขาพูดได้ไม่เต็มปากว่าโม่ถิงเซียวเป็นคนดี แต่เขาสามารถพูดได้ว่าโม่ถิงเซียวไม่ใช่คนเลว นี้ก็เป็นเหตุผลที่เขาเข้ามาทำงานกับโม่ถิงเซียว
คนคนหนึ่งที่สามารถทำงานให้บุคคลหนึ่งเป็นเวลาหลายปีได้นั้นไม่เพียงเพราะเงินเดือนที่มากขึ้น แต่อีกส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะเสน่ห์ส่วนตัวของบุคคลนั้นด้วย
…………
มู่นวลนวลทานข้าวเสร็จก็เข้ามานั่งดูปฏิทินที่ห้องโถง
เธอตกใจเล็กน้อยเพราะอีก10วันก็จะขึ้นปีใหม่แล้ว
เธอเขาโทรศัพท์วางไว้ข้างๆแล้วรู้สึกหงุดหงิด
เรื่องราวในโลกโชเชี่ยวครั้งก่อนก็ได้ซาลงแล้ว ตอนนี้กำลังจะถึงท้ายปีแล้ว เธอไม่ต้องรีบร้อนหางานทำเพราะตอนนี้เธอท้องอยู่ คงไม่มีบริษัทไหนที่พึ่งจะรับเธอเข้าไปแล้วยอมให้เธอลาคลอดทันที2เดือนหรอก
เรื่องที่เธอวางแพลนไว้ทั้งหมดไม่เป็นไปตามเป้าหมาย เธอต้องรอให้คลอดลูกก่อนแล้วค่อยเริ่มวางแพลนใหม่
ทุกครั้งที่ถึงช่วงเวลานี้ทำให้มู่นวลนวลอดที่จะโทษโม่ถิงเซียวไม่ได้
“พวกแกรู้ว่าฉันเป็นใครไหม?”
“ขอโทษครับ นี้เป็นคำสังของคุณชาย”
“กล้าดีอย่างไรไม่ให้ฉันเข้าไป!”
ข้างนอกเสียงดังราวกับมีคนทะเลาะกัน มู่นวลนวลจึงเดินออกไปดู
เดินออกมาจากห้องโถงก็เห็นว่าประตูบ้านมีคนมุงกันอยู่ เหมือนกำลังทะเลาะกัน
บอดี้การ์ดกำลังห้ามไม่ให้ใครเข้ามา
บอดี้การ์ดรูปร่างสูงทำให้เธอมองไม่เห็นคนคนนั้น
เธอเดินออกไปดู : “มีเรื่องอะไรกัน?”
“คุณผู้หญิง”
บอดี้การ์ดก้มหัวทำความเคารพเธอ
และเธอก็ได้เห็นคนที่บอดี้การ์ดขวางไว้อย่างชัดเจน เธอคือโม่เอินหยาคนที่มู่นวลนวลเคยเจอที่บ้านหลังก่อน
ครั้งนี้โม่เอินหย่าดูสุภาพกว่าครั้งก่อน
เธอมองเห็นมู่นวลนวลแล้วเรียกเธอ : “พี่สะใภ้”
มู่นวลนวลรู้ว่าหล่อนมาหาเธอ แต่กลับทำเป็นไม่รู้และทำเป็นตกใจถามเธอ: “เธอมาหาโม่ถิงเซียวหรอ? เขาเข้าไปที่บริษัทแล้ว”
โม่เอินหยาหยุดพูดสักพักแล้วกลับมาทำตัวปกติ : “ไม่ใช่ ฉันได้ยินคุณปู่พูดว่าพี่ตั้งท้องแล้ว ฉันก็มาเยี่ยมพี่แล้วก็ซื้อของที่คนท้องต้องใช้มาฝากพี่ด้วย”
เธอชูของในมือขึ้นให้มู่นวลนวลดู
มู่นวลนวลเห็นของในมือเธอก็รู้เลยว่าของพวกนี้เป็นของของบริษัทตระกูลโม่ โม่ถิงเซียวให้คนส่งมาให้เธอแล้วหลายชุด
เธอยื่มมือไปรับแล้วตีหน้ายิ้ม ไหนๆเธอก็มาถึงหน้าบ้านแล้วก็ไม่กล้าไล่เธอกลับไป
“ขอบใจเธอมากนะ” มู่นวลนวลยื่นมือไปรับของ: “เข้าไปนั่งข้างในเถอะ”
โม่เอินหยาได้ยินเช่นจะเดินเข้าไปในบ้าน แต่บอดี้การ์ดไม่ปล่อยตัวเธอ
มู่นวลนวลหันกลับมามอง: “นี้เป็นน้องสาวของคุณผู้ชาย ยังไม่ปล่อยเธอเข้ามาอีกหรอ”
บอดี้การ์ดจึงปล่อยให้เธอเข้าไป
โม่เอินหยาทำตัวสนิทสนมและจะเดินไปเกาะแขนมู่นวลนวล แต่มู่นวลนวลกลับหลบเธอไม่ให้เธอเกาะแขน
เธอเก็บมือตัวเองอย่างหน้าเสีย แล้วมองไปรอบๆพอรู้ว่าไม่มีใครเห็นเธอจึงถอนหายใจ
พอเดินเข้าไป มู่นวลนวลก็เห็นฉินซุ่ยซาน
มู่นวลนวลเรียกเธอ : “ซุ่ยซานมาเอาของไปเก็บ นี้เป็นของที่เอินหยาเอามาฝาก เอาไปเก็บไว้ดีๆละ อย่าทำเสียหายนะ”
เรื่องที่เธอต่อปากต่อคำกับมู่นวลนวลเมื่อวาน เธอคิดว่ามู่นวลนวลจะแกล้งเธอ แต่คิดไม่ถึงว่ามู่นวลนวลจะทำตัวปกติและไม่ทำอะไร
แต่เธอจะไม่มีทางคิดว่ามู่นวลนวลเป็นคนจิตใจดีมีเมตตา
พอได้ยินมู่นวลนวลเรียก เธอยิ้มอย่างไม่เต็มใจคิดว่ามู่นวลนวลจะแกล้งเธอ
เธอเงยหน้าขึ้นแล้วเห็นโม่เอินหยา สีหน้าเธอก็เปลี่ยนไป
“โม่เอินหยา?”
“ฉินซุ่ยซาน!”
ทั้งสองเรียกชื่อของอีกฝ่ายพร้อมกัน
“พวกเธอรู้จักกัน?” มู่นวลนวลทำเป็นตกใจ
จริงๆแล้วเธอตั่งใจทำอย่างนั้น ฉินซุ่ยซานเป็นลูกสาวของผู้อำนวยการสถานีโทรทัศน์เชี่ยงไฮ้และโม่เอินหยาก็เป็นพิธีกรของช่อง ทั้งสองรู้จักกัน
ตอนที่มู่นวลนวลยังเรียนอยู่ เพื่อนของเธอได้เข้าไปฝึกงานที่นั้นและมีคนพูดถึงเรื่องของฉินซุ่ยซานและโม่เอินหยาอยู่บ้าง
แต่ตอนนั้นเธอไม่รู้ว่าลูกสาวของผู้อำนวยการคือฉินซุ่ยซาน
โม่เอินหยาเป็นทหารอากาศหญิง เป็นคนมีระดับอยู่พอสมควร และฉินซุ่ยซานเป็นลูกสาวของผู้อำนวยการสถานีและเธอทำงานเบื่องหลัง ในขณะทำงานพวกเธอมักจะมีเรื่องขัดใจกัน ทั้งสองเป็นคนสวยและมักถูกคนอื่นเอามาเปรียบเทียบกันอยู่เสมอ
ฉนั้นทั้งสองจึงทะเลาะกันบ่อยครั้ง
มู่นวลนวลพอเห็นโม่เอินหยาจึงนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมา
โม่เอินหยาเห็นฉินซุยหยาสวนใส่ชุดสาวใช้แล้วพูดขึ้น: “เมื่อก่อนได้ยินคนอื่นเขาพูดว่า ฉินซุ่ยซานอยากแต่งเขามาในตระกูลโม่ แต่คิดไม่ถึงว่าจะยอมเป็นสาวใช้เพื่อจะเข้ามาในตระกูลเรา”
ฉินซุ่ยซานโมโหจนหน้าซีด : “เรื่องนี้เกี่ยวกับเธอด้วยหรอ?”